SILA
|
ความคิดเห็นที่ 90 เมื่อ 17 ก.พ. 25, 10:24
|
|
ปรมาจารย์ คุโรซาวะ ดัดแปลง คิง เลียร์ เป็น Ran เปลี่ยน ๓ เจ้าหญิงเป็น ๓ เจ้าชาย สร้างสรรค์ผลงานได้เป็นภาพยนตร์แสงสีวิจิตร จนบางสำนักวิจารณ์ยกให้เป็นภาพยนตร์สวยสดงดงามที่สุด (เดิมทีงานชิ้นเอก,โด่งดัง เช่น ราโชมอน เจ็ดซามูไร ฯ เป็นหนังขาวดำ)
คลิป Fanmade ใช้ดนตรีประกอบเร้าใจจาก Star Wars The Last Jedi Trailer (2017)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 91 เมื่อ 17 ก.พ. 25, 12:35
|
|
蜘蛛巣城 (ปราสาทใยแมงมุม) หรือชื่อในภาษาอังกฤษว่า Throne of Blood (บัลลังก์เลือด) งานดัดแปลงอีกเรื่องหนึ่งของปรมาจารย์ คุโระซะวะ จากเรื่อง Macbeth ของเช็กสเปียร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 92 เมื่อ 18 ก.พ. 25, 09:37
|
|
ท่านคุโรซาวะ ดัดแปลงงานชิ้นเอกของท่านเชก 3 เรื่อง เริ่มด้วย Macbeth > Throne of Blood, Hamlet > The Bad Sleep Well เรื่องนี้ทำเป็นร่วมสมัย และ King Lear > Ran เป็นภาพยนตร์สีวิจิตร, ต่างจากสองเรื่องก่อน - ขาวดำ, ได้รับคำยกย่องทั่วถ้วน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41299
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 93 เมื่อ 18 ก.พ. 25, 13:14
|
|
มาเล่าเนื้อเรื่อง King Lear ต่อ ค่ะ
เจ้าหญิงกอนเนอริลสมรสกับดยุคแห่งอัลบานี ส่วนรีแกนสมรสกับดยุคแห่งคอร์นวอลล์ เมื่ออำนาจการครองอาณาจักรตกอยู่ในมือของทั้งสองนาง ใครที่เคยดูสื่อนำเสนอเรื่องเศรษฐีโอนสมบัติให้ลูกขณะตัวเองยังมีชีวิตอยู่ แล้วผลเป็นอย่างไร ก็คงเดาได้ว่าพระเจ้าเลียร์ก็ไม่ต่างจากเถ้าแก่หรือคุณยายที่เป็นข่าวนั้นหรอก เพราะทั้งกอนเนอริลและรีแกนพอสมประสงค์แล้ว ก็เริ่มเห็นว่าพระเจ้าเลียร์คือคนไร้ประโยชน์ อยู่ไปก็เกะกะน่ารำคาญ กอนเนอริล เป็นคนแรกที่แสดงความอกตัญญู นางเริ่มต่อต้านบิดาไม่ว่าพระองค์จะทำอะไร นางไม่พอใจข้าราชบริพารที่ถวายงานรับใช้มาตั้งแต่ก่อนนางเกิดเสียอีก นางกล่าวหาว่าพวกเขาเรื่องมาก เรียกร้องให้บิดาลดจำนวนมหาดเล็กเด็กชาลง รวมถึงต้องวางตัวให้เหมาะสมกับสถานะใหม่ คือเจียมเนื้อเจียมตัว เพราะไม่ได้เป็นผู้นำอาณาจักรอีกแล้ว เมื่อพระเจ้าเลียร์คัดค้าน นางก็ทำเพิกเฉย เย็นชา ไม่ให้ความเคารพต่อพระองค์ทั้งในฐานะกษัตริย์และพระบิดา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41299
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 94 เมื่อ 18 ก.พ. 25, 13:15
|
|
รีแกน ใจร้ายยิ่งกว่าพี่สาว เมื่อพระเจ้าเลียร์ผิดหวังและเคืองแค้นจากลูกสาวคนใหญ่ หันไปพึ่งลูกสาวคนรองเพื่อขอให้นางดูแลท่านได้ดีกว่า นางกลับเข้าข้างพี่สาว และยิ่งไปกว่านั้น นางยังลดพระเกียรติของบิดาลงไปอีก ด้วยการกล่าวว่าบัดนี้ในเมื่อไม่ใช่กษัตริย์แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีข้าราชบริพารสักคนก็ได้ ซึ่งทำให้พระองค์กลายเป็นเพียงชายชราผู้โดดเดี่ยวเดียวดาย ไร้ความหมายใดๆในราชสำนัก บัดนี้ เมื่อสิ้นอำนาจ สิ้นวาสนา กลายเป็นตาแก่ที่ไม่มีใครสนใจไยดี พระเจ้าเลียร์ก็รู้ตัวว่าตัดสินใจผิดไปแล้ว ที่หลงเชื่อคำหวานป้อยอของลูกสาวสองคนและลงโทษลูกคนเล็กที่ซื่อตรง กอนเนอริลและรีแกนนอกจากทรยศต่อคำพูดตัวเอง ยังริดรอนอำนาจและศักดิ์ศรีของพระองค์จนหมดสิ้น พระองค์จึงซัดเซพเนจรออกจากวังไปท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำ กลายเป็นคนเร่ร่อน และค่อย ๆ ฟั่นเฟือนไป ในขณะเดียวกัน คอร์ดีเลียซึ่งได้แต่งงานกับกษัตริย์แห่งฝรั่งเศส ได้ข่าวว่าบิดาถูกพี่สาวทรยศหักหลัง ก็ยกทัพกลับมาเพื่อช่วยเหลือพระบิดา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41299
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 95 เมื่อ 19 ก.พ. 25, 10:09
|
|
ทีนี้ก็มาถึงโครงเรื่องรองซึ่งมีแนวเรื่องคู่ขนานไปกับโครงเรื่องใหญ่ คือเรื่องราวของขุนนางสำคัญในอาณาจักรของพระเจ้าเลียร์ ชื่อดยุคแห่งกลอสเตอร์ กลอสเตอร์มีบุตรชายชื่อเอ็ดการ์ เป็นบุตรถูกต้องตามกฎหมาย แต่เขาไปมีลูกนอกสมรสอีกคนหนึ่งชื่อเอ็ดมันด์ เอ็ดมันต์เติบโตขึ้น ตระหนักว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์สืบทอดตำแหน่งและทรัพย์สินของบิดา นอกจากจะกำจัดพี่ชายต่างแม่ให้กระเด็นออกไปเสียก่อน แล้วค่อยจัดการกับพ่อทีหลัง เขาจึงปลอมแปลงจดหมายขึ้นมา หลอกลวงให้พ่อเชื่อว่าเอ็ดการ์กำลังวางแผนโค่นล้มพ่อของตนเอง กลอสเตอร์จะว่าไปก็โง่พอๆกับพระเจ้าเลียร์ เพราะทำแบบเดียวกัน คือหลงเชื่อลูกชายคนเลว หันมาเล่นงานลูกชายคนดี จนเอ็ดการ์ต้องหนีเอาชีวิตรอดจากคฤหาสน์ ปลอมตัวเป็นขอทานบ้าๆบอๆชื่อทอม หลบซ่อนภัยจากพ่อ
เอ็ดมันด์กำจัดพี่ชายพ้นทางไปได้แล้ว ก็เข้าสู่ราชสำนัก ล่อลวงกอนเนอริลและรีแกนให้หลงรัก หลอกใช้พวกนางเพื่อเพิ่มอำนาจให้กับตนเอง จากนั้น ขั้นต่อไปคือกำจัดบิดาโดยเปิดเผยว่ากลอสเตอร์สนับสนุนพระเจ้าเลียร์ ด้วยการแอบไปตามหาตัวพระเจ้าเลียร์ขณะซัดเซพเนจรจนพบ แล้วส่งตัวไปโดเวอร์เพื่อจะพบกับทัพฝรั่งเศสของคอร์ดีเลีย เรื่องนี้ทำให้ดยุคแห่งคอร์นวอลล์สามีของรีแกน โกรธมาก สั่งทหารควักลูกตากลอสเตอร์ออกเป็นการลงโทษ มหาดเล็กคนหนึ่งทนความโหดเหี้ยมที่เห็นไม่ไหว จึงทำร้ายคอร์นวอลล์จนถึงแก่ความตาย แต่กลอสเตอร์ก็ถูกทิ้งไว้ในสภาพตาบอดและอับจนหนทาง เขาเพิ่งตาสว่าง ตระหนักถึงความจริงหลังจากตาบอด—ว่าเอ็ดมันด์เป็นคนทรยศ และเอ็ดการ์เป็นผู้บริสุทธิ์มาตลอด สูญสิ้นทุกอย่าง กลอสเตอร์เดินเร่ร่อนไปด้วยความสิ้นหวัง แต่เอ็ดการ์ (ซึ่งปลอมตัวเป็นขอทาน) ตามมาพบพ่อ นำทางเขาไปยังโดเวอร์ เมื่อตระหนักถึงความจริงว่าเขาผิดพลาดไปแล้วที่หลงเชื่อลูกเลวและลงทัณฑ์ลูกคนดีให้ลำบาก กลอสเตอร์ประสบความเจ็บปวดในอารมณ์ที่รุนแรงสุดขีดก็เลยเสียชีวิตลงในที่สุด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 96 เมื่อ 19 ก.พ. 25, 11:27
|
|
ถึงจุดนี้ รู้สึกว่าท่านเชก "จงใจ" ขีดเขียนชะตากรรมของตัวละครให้รันทด,ลำเค็ญเหลือเกินแบบคูณสอง(คน) ทั้งยังเริ่มเสิร์ฟความรุนแรงอีกครั้ง หลังจากสองเรื่องก่อนก็เวทีเลือดนองมาแล้ว นอกจากนี้ การเสนอภาพ ความตกต่ำ downfall ของบุคคลระดับสูงบนเวที เพื่อสร้างธรรมสังเวชให้แก่ผู้ชมแล้ว ยังอาจเพื่อสร้างความสะใจหรือปลอบใจให้แก่ผู้ชมบนดินที่มีชีวิตลำบาก,ไม่ได้ร่ำรวยสุขสบาย เป็นแบบว่า ละครเวทีบำบัด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41299
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 97 เมื่อ 19 ก.พ. 25, 11:46
|
|
มันเป็นรสนิยมของคนอังกฤษยุคนั้นด้วยค่ะ ที่ชอบอะไรแรงๆ สะใจคนดู ฆ่าฟันกันก็ต้องตายเกลื่อนเวที ไม่ใช่ตายแค่ตัวละครตัวเดียวสองตัว ส่วนการหลุดร่วงสู่สภาพอับจน(downfall) ของตัวละครที่มียศศักดิ์สูงๆนั้น ก็สะใจคนดูอย่างที่คุณหมอว่า ละครยุคอลิซบีทันหรือยุคเรอเนสซองส์นี้สืบทอดจารีตมาจากละครโศกนาฏกรรมของกรีก ที่นิยมแสดงชีวิตตัวเอกที่เป็นเจ้าเป็นนาย เพราะถือว่าการดิ่งลงสู่ที่ต่ำจะทำให้เกิดความสังเวชในอารมณ์คนดูได้มากกว่า พระเจ้าเลียร์ที่ไร้บัลลังก์ กระเซอะกระเซิงไปเดียวดาย ย่อมก่อความสะเทือนใจได้มากกว่าเห็นทหารเลวประสบชะตากรรมอย่างเดียวกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41299
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 98 เมื่อ 20 ก.พ. 25, 09:30
|
|
กลับมาทางในวัง กอนเนอริลและรีแกนต่างหึงหวงแย่งชิงความรักจากเอ็ดมันด์ กอนเนอริลวางยาพิษน้องสาวจนตายเพื่อจะครอบครองเอ็ดมันด์ไว้แต่ผู้เดียว นางพยายามกำจัดดยุคแห่งอัลบานีผู้สามีด้วย แต่ทำไม่สำเร็จ ทัพของคอร์ดีเลียยกมาถึง แต่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ คอร์ดีเลียถูกจับได้ และถูกเอ็ดมันด์ซึ่งกุมอำนาจในอาณาจักรอยู่สั่งประหาร เอ็ดการ์เปิดเผยตัวขึ้นมา ท้าดวลกับเอ็ดมันด์ เอ็ดการ์สามารถเอาชนะเอ็ดมันด์ได้ ก่อนตายเอ็ดมันด์สำนึกผิดและพยายามจะสั่งงดโทษประหารคอร์ดีเลีย แต่ไม่ทัน นางถูกประหารไปแล้ว เมื่อกอนเนอริลรู้ข่าวว่าชู้รักตาย นางก็ฆ่าตัวตายตามไปอีกคน
พระเจ้าเลียร์ปรากฏตัว อุ้มร่างไร้วิญญาณของคอร์ดีเลีย เดินเร่ร่อนไปไร้จุดหมายอย่างคนคลุ้มคลั่งเสียสติ ใจเต็มไปด้วยทุกข์แสนสาหัส ที่ตัวเองคือสาเหตุให้ลูกรักประสบความวิบัติ ทีแรกพระองค์หวังว่าลูกสาวยังมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อรู้ว่านางจากไปจริงๆ หัวใจของเลียร์ก็แตกสลาย สิ้นพระชนม์ในเวลาต่อมา
เมื่อมาถึงตอนจบของเรื่อง ตัวละครเอกตายกันเกือบหมด เหลือดยุคแห่งอัลบานี สามีของกอนเนอริล และเอ็ดการ์ อัลบานีเสนอให้เอ็ดการ์และเอิร์ลแห่งเคนท์ ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของเลียร์ปกครองอาณาจักรร่วมกัน แต่เคนท์ปฏิเสธ โดยบอกเป็นนัยว่าเขาจะติดตามพระเจ้าเลียร์ไปในไม่ช้า อาณาจักรจึงตกเป็นของเอ็ดการ์ในตอนจบ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41299
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 99 เมื่อ 20 ก.พ. 25, 09:32
|
|
ทีนี้ก็มาถึงคำถามว่า Tragic flaw อันเป็นต้นเหตุของโศกนาฏกรรมในชีวิตพระเจ้าเลียร์คืออะไร ตรงกันข้ามกับแม็คเบธ พระเจ้าเลียร์ไม่ต้องทะเยอทะยานใดๆ เพราะพระองค์นั่งอยู่บนที่สูงสุดคือบัลลังก์กษัตริย์มาตั้งแต่แรกแล้ว อาณาจักรของเลียร์ก็ดูสงบสุขดีมาตลอดรัชกาล ไม่มีปัญหายุ่งยากอย่างเดนมาร์กของแฮมเล็ต ดังนั้น ก็เช่นเดียวกับคนที่ครองอำนาจบริหาร หรือนั่งอยู่บนเก้าอี้ประธานอยู่นานๆ เก้าอี้ไม่สั่นคลอน มันก็อดไม่ได้ที่จะเกิด hubris ขึ้นมาในความสำคัญของตน คำนี้เป็นคำเก่า ไม่ค่อยจะเคยเห็นในนวนิยายยุคใหม่ แปลเป็นไทยได้หลายคำ เช่นเย่อหยิ่ง หยิ่งยโส โอหัง อหังการ ทะนงตนว่าเหนือกว่าผู้อื่น วิชาจิตวิทยามีโรคประเภทหนึ่งเรียกว่า Hubris Syndrome หรือ เรียกอย่างทางการว่า Leadership Personality Disorder คือพอเป็นผู้นำที่มีอำนาจมากๆ เข้า หรือครองอำนาจนานเข้า ก็อาจจะเกิดความผิดปกติทางจิตบางประการข้ึนมาโดยไม่รู้ตัว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41299
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 100 เมื่อ 20 ก.พ. 25, 09:33
|
|
พวกที่เป็น disorder แบบนี้ เชื่อว่าตัวเองเป็นคนวิเศษวิโสกว่าคนอื่นๆรอบด้าน เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่คนศิโรราบ เมื่อคิดเช่นนั้น อัตตาก็จะเริ่มพองคับตนเอง เช่นชอบให้คนป้อยอ ท่านทำอะไรก็ถูกหมดดีหมด ใครจะค้านไม่ได้ ต้องเยินยอว่าถูกครับนาย ใช่ครับท่าน กันลูกเดียว พระเจ้าเลียร์ป่วยหรือเปล่า ไม่รู้ เชกสเปียร์เองก็คงไม่รู้เพราะท่านเชกไม่ใช่หมอ สมัยนั้นวิชาจิตวิทยา หรือแพทย์สาขาจิตเวชก็ยังไม่ถือกำเนิด แต่ท่านเชกน่าจะเคยเห็นคนประเภทนี้มาก่อนจะแต่งละครเรื่องนี้ จึงสามารถสร้างพระเจ้าเลียร์ให้เป็นคนทะนงตนว่าดีวิเศษกว่าคนอื่น ชอบคำสรรเสริญเยินยอมากกว่าคำพูดตรงๆไม่หวานหู ในเมื่อหลงเชื่อเช่นนี้ จึงนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด ลงท้ายด้วยความหายนะของตนเองและบุคคลใกล้ชิด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 101 เมื่อ 20 ก.พ. 25, 11:30
|
|
หากจะพูดว่า R.I.P. แบบที่สะดวกนิยมกัน, ก็รู้สึกว่า ไม่จริงใจ เพราะคิดว่าจิตใจคิง ไม่น่าสงบปลงได้ กับการสูญเสียมหันต์ เสียรู้แล้วได้บทเรียนเมื่อสาย เพราะอัตตา มานะ ทิฏฐิของตน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 102 เมื่อ 20 ก.พ. 25, 11:37
|
|
เรื่องนี้ท่านเชกชโลมเลือดบนเวทีอีกครั้ง(เขาว่า ใช้กระเพาะและเลือดหมูซ่อนไว้ในเครื่องแต่งกาย) ย้อนมองทั้งสามเรื่องเอกนี้ มีแบบแผนเหมือนๆ กัน(สำหรับละครเล่าเรื่องจบใน 2-3 ชั่วโมง ไม่ค่อยมี เวลาพอจะเกริ่นนำที่มา,พื้นฐานตัวละครหลักๆ สักเท่าใด) เปิดเรื่องเริ่มด้วย อุบัติเหตุ tragic flaw ของตัวละครเอก แล้วจึงตามมาด้วยเหตุการณ์วิบัติหายนะ นองเลือดในตอนจบ ราวกับว่าจะให้คนดูใช้เลือดชำระล้างจิตใจ ให้ได้สังเวช,ปลง,ได้คิด,เห็นบทเรียนบนเวที
ใน Shakespeare in Love, Juliet ใช้ผ้าสีแดงแทนเลือดสดงดงาม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41299
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 103 เมื่อ 21 ก.พ. 25, 09:00
|
|
King Lear เป็นโศกนาฏกรรมที่หม่นมืดที่สุดใน 4 เรื่อง เพราะตัวละครเกือบทุกตัวล้วนจบชีวิตลง ถ้าไม่ใช่เพราะฝีมือคนอื่น ก็จบลงด้วยหัวใจสลายจากความรู้สึกผิดของตนเอง ถ้าหากว่าตัวละครฝ่ายร้ายตาย คนดูก็คงไม่รู้สึกอะไรมากนอกจากสะใจ ถ้าตัวละครที่มี tragic flaw ตาย คนดูก็ทำใจไว้พร้อมตั้งแต่แรกอีกนั่นแหละ แต่เชกสเปียร์เพิ่มความเข้มข้นลงไปอีก ด้วยการเพิ่มสีขาวลงไปตัดกับสีดำ ให้เห็นชัดขึ้น คือให้ตัวละครสะอาดบริสุทธิ์และแสนดีอย่างคอร์ดีเลีย ต้องมาตายไปอย่างไม่น่าจะตาย จะว่าไปคอร์ดีเลียมีบทน้อย แต่มีพลังต่อความรู้สึกของคนดูมาก นางออกมาตอนต้นเรื่องแล้วก็เข้าฉากไป กลับมาอีกครั้งตอนใกล้ๆจะท้ายๆ นางประสบชะตากรรมเลวร้ายซ้ำซ้อน นอกจากถูกพ่อขับไล่ออกจากเมืองให้ไปแต่ตัวแล้ว พอยกทัพมาเพื่อจะช่วยเหลือพ่อ ก็กลับถูกตัวร้ายจับได้แล้วสั่งประหารเสียอีก คนดูจะรู้สึกสะเทือนใจยิ่งกว่าตัวละครอื่นๆที่ตายลงเช่นกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41299
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 104 เมื่อ 21 ก.พ. 25, 09:02
|
|
ทำไมเชกสเปียร์ถึงเขียนให้คอร์ดีเลียตายอย่างน่าเวทนา ทั้งๆนางไม่ได้ทำอะไรเลวร้าย ผิดกับพี่สาวสองคนนั่น (ซึ่งตายเสียได้ก็ไม่น่าเสียดาย) คำตอบก็มีให้ตีความกันได้มากมาย อย่างหนึ่งคือเพื่อเน้นโทษของความหลงตนเอง ที่พระเจ้าเลียร์กระทำ ไม่เฉพาะแต่ทำลายตัวเองให้สูญสิ้นยศศักดิ์เท่านั้น แต่ทำลายผู้ที่พระองค์รักมากที่สุด และเป็นผู้บริสุทธิ์ในทุกกรณีด้วย อย่างที่สองคือเชกสเปียร์ต้องการแสดงให้เห็นว่าโลกเราก็ใช่ว่าจะถูกต้องยุติธรรมกันไปเสียทุกกรณี ความอยุติธรรม ความเลวร้าย ความไม่ถูกไม่ควร ต่างหาก กลับเป็นสิ่งคู่โลกมาทุกยุคทุกสมัย ถ้าเราจะถามว่าทำไมคอร์ดีเลียต้องตาย ก็ต้องถามต่อไปว่า ในสงครามแต่ละครั้ง ผู้บริสุทธิ์อย่างเด็กเล็กๆที่ไม่ประสีประสาและไม่เคยก่อเรื่องก่อราวให้ใคร กลับต้องตายลงไปมากมาย มันไม่ถูกไม่ควรใช่ไหม แต่สงครามก็ยังเกิดมานับครั้งไม่ถ้วนในอดีต และจะยังเกิดต่อไปในอนาคต แต่เชกสเปียร์ก็ยังยั้งมือไว้ ไม่บรรเลงเพลงโศกให้ตัวละครฝ่ายดีตายกันมากไปกว่านี้ เท่ากับบอกว่า บางครั้งความดีก็ยังมีชัยอยู่บ้าง เอ็ดการ์ถึงเอาชนะเอ็ดมันด์ได้ ถ้าเอ็ดมันด์ตัวร้ายเป็นฝ่ายชนะ ฆ่าทุกคนได้หมด แล้วขึ้นครองราชย์ เรื่องนี้จะเปลี่ยนจากโศกนาฏกรรมเป็นเรื่องเหี้ยมโหดซาดิสม์ ไม่ใช่จุดมุ่งหมายของโศกนาฏกรรมของเชกสเปียร์ อีกอย่าง ถ้าตัวละครตายกันไปมากๆ ร่วงเหมือนใบไม้ร่วง คนดูจะเริ่มชินชาจนไม่รู้สึกสะเทือนใจ เผลอๆจะเฮฮากันด้วยซ้ำไปเมื่อตัวละครตัวหลังๆล้มตายลงไปอีกคน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|