เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41493
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 120 เมื่อ 24 ก.พ. 25, 13:58
|
|
5 "When we are born, we cry that we are come to this great stage of fools." คนพูดคือพระเจ้าเลียร์ ในช่วงที่กำลังเสียสติเพราะความทุกข์ที่ประสบมา
"เมื่อเราเกิดมา เราร้องไห้" – ทารกเมื่อคลอดจากท้องแม่ จะร้องไห้จ้ากัน เชกสเปียร์จึงเอาเรื่องนี้ไปสะท้อนความคิดเห็นผ่านทางบทบาทพระเจ้าเลียร์ว่า ตั้งแต่วินาทีแรกของชีวิต มนุษย์ต้องเผชิญกับความทุกข์ยาก เด็กทารกส่งเสียงร้องทันทีที่ลืมตาดูโลก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอุปสรรคและความทุกข์ที่พวกเขาจะต้องพบเจอ
"เพราะเราได้มายังเวทีอันยิ่งใหญ่ของเหล่าคนโง่เขลา" – พระเจ้าเลียร์เปรียบโลกใบนี้กับเวทีละคร (เป็นอุปมาที่เชกสเปียร์ใช้บ่อย) ซึ่งมนุษย์ต่างเป็นคนเขลา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เขามองว่าชีวิตคือการแสดงที่เต็มไปด้วยความหลงผิด การถูกหลอกลวง และความโง่เขลาเบาปัญญา
ตอนนั้นพระเจ้าเลียร์ ซึ่งสูญเสียทั้งอำนาจ สติสัมปชัญญะ และครอบครัว มองว่าชีวิตมนุษย์นั้นเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและไร้สาระ เขาเชื่อว่าผู้คนล้วนถูกกำหนดให้ต้องทนทุกข์และทำเรื่องโง่เขลาไม่ต่างจากตัวละครในละครเวที บทพูดนี้สะท้อนถึงความสิ้นหวังและความมองโลกในแง่ร้ายอย่างล้ำลึก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41493
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 121 เมื่อ 25 ก.พ. 25, 08:45
|
|
6 "I am a man more sinned against than sinning." ข้าคือผู้ได้รับผลกรรมหนักยิ่งกว่ากรรมท่ีข้าได้กระทำลงไปเสียอีก พระเจ้าเลียร์ตรัสเช่นนี้ หมายความว่าพระองค์ได้รับทุกข์ทรมานยิ่งกว่าทุกข์ที่ได้ก่อให้ลูกสาวเสียด้วยซ้ำไป ตอนนี้พระเจ้าเลียร์เริ่มตระหนักถึงความผิดพลาดที่ทำลงไปแล้ว และยอมรับว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ที่รู้ยิ่งกว่านี้ คือผลกรรมร้ายที่สะท้อนกลับมา หนักหนากว่าความผิดที่ทำลงไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41493
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 122 เมื่อ 25 ก.พ. 25, 08:54
|
|
7 "We that are young shall never see so much, nor live so long." คนพูดประโยคนี้คือเอ็ดการ์ ในตอนท้ายของละคร เมื่อตัวละครสำคัญๆ เช่นพระเจ้าเลียร์ คอร์ดีเลีย กลอสเตอร์ เอ็ดมันด์ กอนเนอริล รีแกน ตายกันหมดแล้ว "We that are young" หมายถึง คนรุ่นใหม่หรือคนที่อายุน้อยกว่า รวมถึงเอ็ดการ์เอง "Shall never see so much" สื่อว่าพวกเขาจะไม่มีวันได้เห็นหรือประสบกับเหตุการณ์ที่ลึกซึ้ง รุนแรง หรือเต็มไปด้วยปัญหาแบบที่คนรุ่นก่อนเคยเผชิญ "Nor live so long" หมายความว่าคนรุ่นเก่า เช่น พระเจ้าเลียร์และกลอสเตอร์ มีอายุยืนยาวและต้องพบกับความผันผวนใหญ่หลวงของชีวิต ในขณะที่คนรุ่นใหม่อาจไม่มีชีวิตยืนยาวหรือเผชิญชะตากรรมหนักหนาเท่า บริบทในบทละคร: เมื่อเอ็ดการ์พูดประโยคนี้ ตัวละครสำคัญหลายตัวตายหมดแล้ว เหลือเพียงคนรุ่นใหม่ที่ต้องสืบทอดและเดินหน้าต่อไป เอ็ดการ์ตระหนักว่าความทุกข์และโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นนั้นลึกซึ้งและรุนแรงจนไม่มีใครในรุ่นหลังจะสามารถเข้าใจหรือเผชิญได้ในระดับเดียวกัน
ประโยคนี้สะท้อนให้เห็นถึงการตระหนักรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ความทุกข์ทรมานของมนุษย์ และผลลัพธ์ของการกระทำในอดีต เป็นคำพูดที่เต็มไปด้วยความเศร้าและความสำนึกถึงชะตากรรมของมนุษย์อันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41493
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 123 เมื่อ 25 ก.พ. 25, 09:43
|
|
คราวนี้ก็มาถึงเรื่องสุดท้ายใน 4 อภิมหาโศกนาฏกรรมเสียที คือ Othello ฉากของเรื่องนี้ไม่ใช่อังกฤษที่เชกสเปียร์เป็นพลเมืองอยู่ แต่เป็นเวนิส ซึ่งยุคนั้นเป็นเมืองท่าร่ำรวย ค้าขายกับหลายประเทศในยุโรป ชาวเวนิสเองก็ถือว่าตนเป็นชนชั้นสูงในสังคม ถือตัวว่าสูงส่งกว่าคนเชื้อชาติอื่นๆที่อยู่ในเมืองนี้ การแบ่งแยกผิวระหว่างคนผิวขาว(คือชาวเวนิส) กับผิวสี (คือชาติอื่นๆที่มาค้าขายหรือทำงานอยู่ที่นี่) จึงเป็นที่ประจักษ์ตลอดในเรื่อง ต้องเล่าพื้นหลังของเรื่องนี้อีกนิดหน่อยว่า เวนิสเป็นเมืองท่า ค้าขายเก่งก็จริง แต่รบไม่เก่ง การที่จะต้องรักษาตัวให้รอดปลอดภัยจากการรุกรานของอาณาจักรอื่นๆในยุโรป จึงต้องมีการจ้างนักรบมารับราชการอยู่ในเมือง ทำหน้าที่ป้องกันและสะกัดผู้ที่คิดจะรุกราน หนึ่งในนักรบที่เก่งกาจ คือพวก Moor พวก Moor นี้ คนไทยสมัยอยุธยารู้จักดี เราเรียกว่า "แขกมัวร์" เดิมอยู่ในแอฟริกาตอนเหนือ แต่เดินทางเรือมาถึงเอเชียอาคเนย์ จึงขอเอาชื่อที่คนอยุุธยาใช้เรียก มาเรียกพระเอกเรื่องนี้ว่า "แขกมัวร์" เช่นกัน โอเธลโล พระเอกของเรื่องนี้เป็นแขกมัวร์ที่รับราชการอยู่ในเวนิส ตำแหน่งไม่ใช่เบา คือเป็นถึงแม่ทัพ บังคับบัญชาทหารทั้งปวงรวมทั้งนายทหารชาวเวนิสผิวขาวด้วย คำที่เรียก Moor เป็นการเรียกรวมไปถึงพวกแอฟริกัน ไปจนอาหรับทางตอนเหนือของทวีป แต่ในเรื่องนี้ พวกเวนิสเรียกโอเธลโลว่า black จึงขอสรุปว่าโอเธลโลเป็นแขกมัวร์ผิวดำ ไม่ใช่ชาวอาหรับที่สีผิวอ่อนกว่า ตอนอ่านเรื่องนี้เพื่อเอามาลงในเรือนไทย เห็นหน้าเดนเซิล วอชิงตันลอยเด่นขึ้นมาในบทของโอเธลโล แล้วก็เป็นจริงเสียด้วย เขาเคยรับบทนี้เมื่อนำไปแสดงในละครบรอดเวย์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 124 เมื่อ 25 ก.พ. 25, 10:54
|
|
30 ปีก่อน รับบทโดย Laurence Fishburne โดยมียอดฝีมือบนเวทีและจอเงินอย่าง Kenneth Branagh รับบท Iago หนังได้รับคำวิจารณ์ชื่นชมโดยเฉพาะบทบาทของเคนเนธ
spoiler alert
ขนาดตุ้มหูคงยังเล็กไป
(ไม่สามารถถ่วงให้โอเธลโลไม่หูเบา)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41493
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 125 เมื่อ 26 ก.พ. 25, 09:58
|
|
เรื่องนี้เริ่มด้วย โอเธลโล ขุนนางแขกมัวร์ผู้เป็นแม่ทัพแห่งกองทัพเวนิส ได้แอบแต่งงานอย่างลับๆกับเดสเดโมนา บุตรสาวของขุนนางชาวเวนิส ทั้งนี้แม้ว่าโอเธลโลมีเกียรติยศสูงเป็นถึงแม่ทัพ แต่เขาก็ได้รับการยกย่องเฉพาะหน้าที่การงานเท่านั้น ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวแล้ว ชาวเวนิสยังถือตัวและเหยียดผิวมากอยู่ดี สมรสต่างผิวจึงเกือบจะเป็นไปไม่ได้ในสังคมชั้นสูงของเวนิส เมื่อรู้ว่าลูกสาวแอบไปแต่งงานกับแขกมัวร์ บราบันชิโอ บิดาของเดสเดโมนาโกรธจัด นำเรื่องขึ้นฟ้องร้องกล่าวหาโอเทลโลว่าใช้มนตร์ดำสะกดลูกสาว แต่เดสเดโมนายืนยันว่าความรักของทั้งสองเป็นไปโดยสมัครใจ ดยุคแห่งเวนิสจึงตัดสินให้โอเธลโลนำทัพไปป้องกันไซปรัสจากการโจมตีของเติร์ก เป็นการชดเชยส่ิงที่กระทำลงไป
ในบรรดานายทหารใต้บังคับบัญชา มีทหารหนุ่มชาวเวนิส ชื่อ อีอาโก มีตำแหน่งเป็นนายธงของโอเธลโล เขาคาดหวังจะได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นในครั้งนี้ จึงรู้สึกโกรธที่โอเธลโลกลับไปแต่งตั้งนายทหารอีกคนชื่อคาสซิโอ ขึ้นเป็นผู้บังคับบัญชาแทนตนเอง ด้วยความโกรธแค้น อีอาโกจึงร่วมมือกับโรเดรีโก ชายหนุ่มที่หลงรักเดสเดโมนา เพื่อวางแผนแก้แค้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41493
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 126 เมื่อ 26 ก.พ. 25, 10:00
|
|
เมื่อมาถึงไซปรัส กองทัพเวนิสพบว่าพายุทำลายกองเรือเติร์กฝ่ายศัตรูไปแล้ว ผู้คนจึงเฉลิมฉลองชัยชนะ อีอาโกเริ่มวางแผนให้คาสซิโอเสียตำแหน่ง โดยหลอกให้เขาดื่มเหล้าและสร้างสถานการณ์ให้เกิดการทะเลาะวิวาท จนโอเธลโลปลดคาสซิโอจากตำแหน่ง อีอาโกทำทีเห็นใจ แนะนำให้คาสซิโอไปหาเดสดิโมนาแบบเงียบๆ ไม่ให้ใครรู้ เพ่ือขอความช่วยเหลือเรื่องขอคืนตำแหน่ง แท้จริงแล้วเป็นกับดักที่เขาวางแผนใช้ เพื่อให้โอเทลโลเกิดความระแวงว่าทั้งสองมีอะไรถึงต้องลอบพบปะกัน จากนั้น อีอาโกจัดฉากให้โอเธลโลแอบได้ยินคาสซิโอพูดถึงหญิงอื่น แต่ทำให้ดูเหมือนว่าเขากำลังรำพันถึงเดสเดโมนา โอเทลโลเข้าใจผิดว่าเดสเดโมนามีความสัมพันธ์ลับกับคาสซิโอ ด้วยความโกรธ เขาตบหน้าเดสเดโมนาต่อหน้าผู้คนและกล่าวหาว่านางทรยศนอกใจเขา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41493
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 127 เมื่อ 26 ก.พ. 25, 10:19
|
|
อีอาโกยังใช้เล่ห์กลหาทางให้ผ้าเช็ดหน้า ซึ่งเป็นของขวัญที่โอเธลโลเคยมอบให้เดสเดโมนา มาตกอยู่ในมือเขา ด้วยการให้เอมีเลีย (ภรรยาของเขาและเป็นสาวใช้ของเดสเดโมนา) ช่วยขโมยมาให้ แล้วไปบอกโอเธลโลว่าเดสเดโมนามอบให้คาสสิโอ โอเธลโลเห็นเข้าก็ถูกความหึงหวงครอบงำจนคลั่งด้วยความแค้น สาบานว่าจะฆ่าเดสเดโมนา พร้อมแต่งตั้งอีอาโกเป็นรองผู้บังคับบัญชาแทน โอเธลโลเข้าไปพบภรรยาในห้องนอนขณะนางกำลังหลับ ปลุกขึ้นมากล่าวหานางพร้อมหลักฐานที่อีอาโกจัดหามาให้ แม้ว่าเดสเดโมนาจะร้องไห้อ้อนวอน สาบานว่าตนบริสุทธิ์ไม่เคยนอกใจสามี โอเธลโลก็ไม่เชื่อ ใช้หมอนกดเธอจนขาดอากาศหายใจ เอมิเลียเข้ามาในห้องขณะที่เดสเดโมนาฟื้นคืนสติชั่วขณะ เมื่อเอมิเลียร้องถามว่าใครทำร้ายนาง เดสเดโมนายังปกป้องสามีอยู่จนนาทีสุดท้าย โดยกล่าวว่า "ไม่มีใคร ฉันทำร้ายตัวเอง ลาก่อน" ก่อนจะสิ้นใจ ความตายของเดสเดโมเป็นจุดเริ่มของความโศกสลดที่สุดของละครฉากสุดท้าย เมื่อเอมิเลียเปิดเผยความจริงว่าทั้งหมดเป็นแผนของอีอาโกสามีของนาง จากนั้นก็ถึงจุดวิบัติของโอเธลโล เมื่อรู้ความจริง โอเธลโลทั้งแค้นใจตัวเองและเสียใจสุดขีด ที่หลงเชื่อคนร้าย ทำร้ายผู้หญิงที่รักเขาและเขารักมากที่สุด จนไม่อาจทนมีชีวิตต่อไปได้ ก็เลยแทงตัวตาย ส่วนอีอาโกถูกจับกุมนำตัวไปลงโทษตามความผิดที่กระทำ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41493
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 128 เมื่อ 26 ก.พ. 25, 10:20
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 129 เมื่อ 26 ก.พ. 25, 10:53
|
|
ฉากพิฆาตนารี จาก Othello (1951) สวมบทโดยนักแสดง,ผู้กำกับผู้ยิ่งใหญ่ในตำนาน Orson Welles (ผู้รังสรรค์ภาพยนตร์อมตะ Citizen Kane)
รู้สึกหงุดหงิดกับเรื่องราว(แบบว่า ละครหลังข่าวบ้านเรา) ที่ตัวร้ายประสบความสำเร็จเซ็ทอัพครั้งแล้วครั้งเล่า ในการหลอกล่อตัวเอกที่ไม่ฉุกคิดเฉลียวใจ,โดนลวงซ้ำซาก (แต่ละครหลังข่าวบ้านเรา ตอนท้ายตัวเอกจะคิดได้หรือ มีคนช่วยให้ได้คิดจึงรู้เท่าทันแล้วจัดการจับกุมคนร้ายแต่ก็มักมีการสูญเสียไปบ้างแล้ว) น่าสนใจ,ชวนคิดเหตุที่ท่านเชกเลือกให้โอเทลโลเป็นชาวมัวร์ อดคิดไม่ได้,สงสัยเรื่องอคติสีผิว,เชื้อชาติ เพราะ ค้นดูอีกเรื่อง Titus Andronicus (ที่ตัวละครตายมากมายที่สุด) หนึ่งในตัวร้ายก็เป็นชาวมัวร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41493
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 130 เมื่อ 26 ก.พ. 25, 11:07
|
|
ใช่ค่ะ Othello มีเรื่องเหยียดผิว (Racism) แฝงอยู่เป็นพื้นหลังของเรื่อง เป็นความตั้งใจของเชกสเปียร์ที่จะเลือกชาวแขกมัวร์มาเป็นพระเอก ถ้าหากว่าโอเธลโลเป็นชาวอังกฤษหรือเวนิส เรื่องจะไม่เข้มข้นเท่านี้ แต่เมื่อเขาเป็นแขกมัวร์ และนางเอกเป็นสาวผิวขาวลูกผู้ดีชาวเวนิส มันก็ให้ภาพที่สีตัดกันอย่างรุนแรงมากกว่าพระเอกนางเอกจะเป็นชาวยุโรปผิวขาวด้วยกัน เรื่อง Racism หรือเมื่อก่อนเรียกว่า Racial Discrimination เป็นประเด็นที่ทำให้นักวิชาการถกเถียงกันได้อีกยาว ในเรื่อง Othello เอาไว้พรุ่งนี้จะเล่าให้ฟังนะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 131 เมื่อ 26 ก.พ. 25, 12:03
|
|
ละครท่านเชก (ซึ่งมีเวลาจำกัดในการเล่าเรื่องปูพื้นฐานที่มาที่ไปของตัวละคร) เรื่องนี้ดูชัดเจนในการจัดให้ ตัวละครเอกเป็นผิวสี,ชาวมัวร์เสียเลย เพื่อจะให้คนดูรับรู้,เข้าใจ,ยอมรับได้เลยว่า โอเทลโลนั้นมีตำแหน่งสูงก็เพราะเป็นฝ่ายบู๊ ไม่ใช่บุ๋น ขาดสติ,ปัญญา ไม่มีความยั้งคิด,ใช้ความรุนแรงผลุนผลันตามอารมณ์(จน)นำพา ไปสู่ความสูญเสียแล้วจึงค่อยได้ สำนึกคิดว่าผิดไปแล้ว และความรุนแรงนั้นย้อนกลับเข้าตัวจนทำร้ายตัวเอง
นึกถึง Javert ใน Les Miserables
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41493
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 132 เมื่อ 27 ก.พ. 25, 13:07
|
|
โอเธลโลเป็นแม่ทัพ มีตำแหน่งสูงส่งในสังคมเช่นเดียวกับแม็คเบธ แต่ tragic flaw ของเขาไม่ใช่ความทะเยอทะยาน แต่เป็นความหึงหวง ก็นับว่าแปลกสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับโศกนาฏกรรมของเชกสเปียร์ เพราะ tragic flaw ของพระเอกมันน่าจะเป็นอะไรที่สมตัวหน่อย เช่นมักใหญ่ใฝ่สูง(อย่างแม็คเบธ) หรืออัตตาสูง(อย่างพระเจ้าเลียร์) แต่นี่กลับเป็นหึงหวง ถือว่าส่วนตัวเอามากๆ แต่ท่านปู่ของเราก็ฉลาดพอจะสร้างพื้นฐานให้หนักแน่นสมจริง คือสร้างพระเอกเป็นแขกมัวร์ในสังคมของชาวยุโรปผิวขาว ดังนั้นความเป็นแขกแปลกภาษาของโอเธลโลเอง ในเมืองต่างชาติต่างภาษา ก่อให้เกิดความรู้สึกแปลกแยกกับคนรอบตัว นำไปสู่ความไม่มั่นใจในคุณค่าของตัวเอง นอกจากนี้ยังหาคนมาคบหาสมาคมได้น้อย จึงไว้เนื้อเชื่อใจคนที่เข้ามาแสดงท่าทีว่าเป็นมิตร อย่างอีอาโก ซึ่งเข้ามาแสดงบทลูกน้องที่อ่อนน้อม จงรักภักดี จนเป็นที่ไว้วางใจของนาย ด้วยความเป็นแขกมัวร์ ถูกตัดสินว่าเป็นคนนอกในสังคมเวนิส โอเธลโลจึงไม่ค่อยจะมั่นใจเรื่องความรัก แม้ว่าชนะใจหญิงสาวลูกผู้ดีมีตระกูลอย่างเดสเดโมนาได้ เขาก็ไม่มีความมั่นใจว่านางจะไม่กลับใจขึ้นมาในวันหนึ่ง เพราะเห็นหนุ่มเวนิสผิวขาวด้วยกันดีกว่าคนผิวดำอย่างเขา อีกอย่างคือโอเธลโลอายุมากกว่าเดสเดโมนาหลายปี แม้เชกสเปียร์ไม่ได้บอกว่าอายุเท่าไหร่ แต่ในเมื่อเป็นถึงแม่ทัพ ก็น่าจะอยู่ในวัยกลางคนแล้ว ข้อนี้ก็เป็นจุดอ่อนอีกข้อที่ทำให้เขาไม่มั่นใจว่าภรรยาสาวจะซื่อสัตย์กับเขาได้นาน ในเมื่อมีเพื่อนน้อย มีแต่อีอาโกเป็นลูกน้องคนสนิท โอเธลโลจึงเชื่อใจอีอาโกมากเกินไป ทำให้เขาตาบอดต่อความจริง เมื่ออีอาโกปลูกฝังความคิดว่าเดสเดโมนาเลิกรักเขา แอบไปคบหนุ่มเวนิสด้วยกัน ความไม่มั่นใจในตัวเองและอารมณ์อันเร่าร้อนฉุนเฉียวของโอเทลโลจึงทวีความรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นความหึงหวงอย่างหน้ามืดตาบอด เดสเดโมน่าอ้อนวอนเท่าไรก็ไม่ฟัง จนเกิดเรื่องทำลายล้าง นำไปสู่โศกนาฏกรรมในที่สุด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41493
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 133 เมื่อ 27 ก.พ. 25, 13:20
|
|
ประเด็นเหยียดผิว หรือเรียกแบบทางการว่า "การเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ"มีอยู่ชัดเจนในโศกนาฏกรรมเรื่องนี้ นับว่าเป็นประเด็นที่ไม่ค่อยจะมีการหยิบยกขึ้นมากล่าวกันนัก แต่เชกสเปียร์ก็นำเสนอไว้ชัดเจน นอกจากเรื่องนี้ก็มี "เวนิสวาณิช" อีกเรื่องหนึ่งที่แสดงความขมขื่นคับแค้นของชาวยิว ที่ถูกมองว่าเป็นผู้ร้ายตลอดกาล
มีอะไรบ้างที่สะท้อนการเหยียดผิวในเรื่อง 1 ปฏฺิกิริยาของบราบันชิโอ บิดาของเดสเดโมนาที่คัดค้านอย่างรุนแรงเมื่อลูกสาวแอบไปแต่งงานกับโอเธลโล ถ้าลองคิดอีกด้าน หากนางไปแต่งงานกับชายชาวเวนิสที่มีตำแหน่งเป็นถึงแม่ทัพ บราบันชิโอคงจะเนื้อเต้นด้วยความยินดี และอวยชัยให้พรลูกสาวลูกเขยเต็มที่ แต่ในเมื่อลูกเขยเป็นชายผิวดำเสียอย่าง เป็นแม่ทกแม่ทัพอะไรท่านบราบันก็ไม่เอาด้วยทั้งนั้น ถึงนำเรื่องขึ้นฟ้องร้อง ด้วยการกล่าวหาว่าเดสเดโมนารักชายผิวดำได้ลง ก็เพราะถูกมนตร์สะกดจากอีกฝ่าย เขากล่าวว่า: "ถ้านางไม่ได้ถูกมนตร์สะกดไว้ หญิงสาวผู้อ่อนโยน งดงาม และร่าเริง … จะละทิ้งครอบครัวของตน เพื่อไปหาชายผิวดำเช่นเจ้า ผู้เป็นที่หวาดกลัวมากกว่าน่าหลงใหลหรือ?"
สิ่งที่น่ารังเกียจในสายตาของบราบันชิโอ มีอย่างเดียวคือสีผิวของโอเธลโล แสดงให้เห็นว่าคนเวนิสมองว่าเป็นเรื่องผิดปกติที่หญิงสาวชาวยุโรปจะรักชายผิวดำ คุณสมบัติอื่นเช่นความเก่งกาจ ตำแหน่งงานสูงส่ง ความเป็นชายโสด ประวัติดีไม่มีข้อเสียหาย ทั้งหมดไม่มีความหมายถ้าผิวสีดำเสียอย่าง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 134 เมื่อ 27 ก.พ. 25, 13:46
|
|
หญิงสาวผู้อ่อนโยน งดงาม และร่าเริง … จะละทิ้งครอบครัวของตน เพื่อไปหาชายผิวดำเช่นเจ้า ผู้เป็นที่หวาดกลัวมากกว่าน่าหลงใหลหรือ?"
ในจุดนี้,ท่านเชกสะกิดต่อมสงสัย ทำไมเดสโมนาถึงปลงใจรักต่างวัย,ต่างสถานะ,ต่างผิวสี ถ้าเป็นบทละครยุคนี้คงมีการย้อนอดีตให้เห็นความดีงามของโอเทลโลที่ชนะใจนาง(หรือเหตุอื่นๆ) ทำให้นางหลงรักมากจนหมดใจ,ตราบจนจะหมดลมหายใจก็ยังปกป้องสามี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|