เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 22
  พิมพ์  
อ่าน: 23532 คุยกันเรื่องวิลเลียม เชกสเปียร์
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8424


ความคิดเห็นที่ 105  เมื่อ 21 ก.พ. 25, 10:32

           นอกจาก tragic flaw สารตั้งต้นโศกนาฏกรรมแล้ว อีกตัวการสำคัญคือ สิ่งที่เกินการควบคุม,คาดหมาย
และร้ายนัก ที่เรียกว่า fate โชคชะตา - เคราะห์กรรม คอยซ้ำเติมมนุษย์จนความยุติธรรม(poetic justice) ไม่มีที่ยืน
บนเวที   คนดีๆ อย่างเจ้าหญิงคอร์ดีเลียต้องมาตายอย่างขัดใจคนดู, ในสมัยนั้น, คงมีคนที่ยืนหน้าเวทีบางคนส่งเสียง บู,
บางรายอาจถึงกับขว้างปาสิ่งของ เช่น ผลแอปเปิลขึ้นไปบนเวที
           ท่านเชกอาจเห็นว่าคนดูชอบความรุนแรงถึงเลือด,ถึงตาย เหมือนพ่อครัวเห็นว่าคนกินชอบรสจัดจึงปรุงปรน
อาหารแซ่บๆ ให้ถูกปาก หากแต่ว่าอาหารท่านเชกยังมีประโยชน์ต่อสมองและช่วยจรรโลงจิตใจของคนดูที่รับรู้ได้


บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8424


ความคิดเห็นที่ 106  เมื่อ 22 ก.พ. 25, 09:43

     อีกอย่าง ถ้าตัวละครตายกันไปมากๆ ร่วงเหมือนใบไม้ร่วง    คนดูจะเริ่มชินชาจนไม่รู้สึกสะเทือนใจ 
เผลอๆจะเฮฮากันด้วยซ้ำไปเมื่อตัวละครตัวหลังๆล้มตายลงไปอีกคน

             สารภาพว่า ถึงตอนจบของแฮมเลท ที่ตัวเอกตายตกตามกันหมดเวที รู้สึกขำในใจอยู่บ้างครับ

             พูดถึง โชคชะตา เคราะห์กรรม แล้วก็นึกถึง A pair of star-crossed lovers take their life
จาก Romeo and Juliet ที่มีคนนิยมชมชอบ โศกนาฏกรรมรัก เรื่องนี้จน มักติดอันดับ top 5 หลายสำนัก


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 107  เมื่อ 22 ก.พ. 25, 14:55

   ใช่ค่ะ สิ่งที่นักเขียนบทละคร และผู้จัดละคร (รวมผู้กำกับด้วย) กลัวที่สุดคือ คนดูดันขำในสิ่งที่เป็นเรื่องโศกสลดเข้าให้จนได้    นี่คือจุดล่มของละคร  เพราะฉะนั้นนักเขียนบทละครจะต้องระวังเป็นที่สุด ไม่ให้ตายเกลื่อนกลาดเต็มเวที ราวกับยุงถูกฉีดด้วยไบก้อน   ต้องโศกพอดีๆ ไม่มากไม่น้อย  ถึงจะงาม
   เพราะฉะนั้นก็มาถึงคำถามว่า   แล้วแค่ไหนล่ะพอดี
   คำตอบยังล่องลอยอยู่ในสายลม   แปลอีกทีว่า ไม่รู้    เพราะอะไรก็ตามที่คำตอบเป็น "ความคิดเห็น"  ไม่ใช่ "ข้อเท็จจริง"  มันเถียงกันได้ไม่รู้จบ  
   แม้แต่วรรณกรรมเอกของกวีเอกอย่างท่านเชก  ก็ยังไม่คลาดแคล้วจากข้อนี้
   คนดูสมัยท่านเชกอาจรับความรุนแรงของโศกนาฏกรรมเรื่องนี้ได้ แต่เม่ื่อยุคสมัยผ่านไป จนถึงศตวรรษที่ 17 รสนิยมของคนก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา     จึงมีนักเขียนบทละครคนหนึ่งชื่อ นาเฮม เทท (Nahum Tate) ตัดสินใจว่าจะต้องเปลี่ยนบางตอนและตอนจบเรื่องนี้ เพราะรับไม่ไหวที่จะให้จบอย่างทารุณจิตใจคนดู  
   ที่สำคัญคือ  นายคนนี้ไม่ใช่คนกระจอกๆ เขาเป็นทั้งกวี  นักเขียนบทละคร และได้รับเกียรติยศสูงเป็นถึง Poet Laureate ของอังกฤษ  คำนี้แปลว่ากวีหลวง หรือกวีระดับชาติ  ถ้าเทียบกับไทยก็ทำนองศิลปินแห่งชาติ

     เททจัดการเขียนใหม่แบบมีของเก่าปนอยู่ด้วย  ชื่อละครว่า The History of King Lear   เปลี่ยนเนื้อเรื่องตอนท้ายเสียใหม่ ให้พระเจ้าเลียร์ไม่วิกลจริตและไม่สิ้นพระชนม์  ส่วนคอร์ดีเลียกับเอ็ดการ์กลายเป็นคู่รักกันตั้งแต่ต้นเรื่อง   นางรอดตายมาได้หลังจากประสบภัยนานาชนิด  รวมทั้งรอดจากเอ็ดมันต์ผู้พยายามขืนใจนางด้วย      ตอนท้ายได้สมรสกับเอ็ดการ์   จบแฮปปี้เอนดิ้งถูกใจคนดูอย่างยิ่ง    


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25 ก.พ. 25, 09:43 โดย เทาชมพู » บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 108  เมื่อ 22 ก.พ. 25, 15:03

   แน่นอนว่าบรรดานักวิชาการและนักวิจารณ์ที่เคร่งครัดต่อแบบแผนละคร  โดยเฉพาะพวกที่ชื่นชมงานของเชกสเปียร์ว่าไร้เทียมทาน   พากันก่นด่าการเปลี่ยนบทครั้งนี้ว่าไร้รสนิยม ไร้คุณค่า  ไม่มีใครทนได้     แต่ปรากฏว่ามหาชนในศตวรรษที่ 17  ซึ่งเป็นรุ่นหลานเหลนโหลนของยุคเชกสเปียร์ พากันยินดีปรีดากับบทที่เปลี่ยนใหม่    กลายเป็นเรื่องถูกอกถูกใจคนดูยิ่งนัก
    King Lear ก็เลยสูญเสียความเป็นโศกนาฏกรรม แต่ถูกแปลงให้เป็นคล้ายๆเทพนิยาย  คือหลังจากฝ่าฟันภัยมาหลายครั้ง   พระเอกนางเอกก็ได้อยู่กันอย่างมีความสุขตลอดไป     เสียงของนักวิจารณ์ดังๆที่ด่ากันจนเหนื่อย ถูกกลืนหายไปในเสียงที่ดังมากกว่าของมหาชน 
     ในเมื่อเสียงของมหาชนคือเสียงสวรรค์ในสายตาของผู้จัดละคร    คนดูเขาเรียกร้องยังไง ผู้จัดก็ต้องตามใจตามนั้น    ละครจึงนำมาแสดงกันอย่างเทพนิยายแบบนี้ยาวนานถึง 150 ปี จนมาถึงศตวรรษที่ 19 ถึงได้แสดงกลับไปเป็นแบบเดิมจนปัจจุบัน
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 109  เมื่อ 22 ก.พ. 25, 15:06

  จบเรื่องที่ 4  คือ Othello  แล้ว จะมาเล่าถึง Romeo and Juliet  ซึ่งเป็นเรื่องดังที่สุดของเชกสเปียร์  ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน    ว่าทำไมจึงตกรอบไป   ไม่ได้รับการยกย่องให้เป็นโศกนาฏกรรมยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าเทียมอีก 4 เรื่อง   
  ทั้งที่ บางเรื่องอย่าง Othello  ที่กำลังจะเล่าต่อไปนี้  อย่าว่าแต่คนที่อยู่ห่างครึ่งทางโลกอย่างพวกเราเลย  แม้แต่ฝรั่งเจ้าของภาษาเอง ก็มีถมไปที่ไม่รู้จัก
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16057



ความคิดเห็นที่ 110  เมื่อ 23 ก.พ. 25, 09:35

ขอสารภาพว่า ไม่รู้จัก Othelloในฐานะเป็นวรรณกรรมของท่านเชก รู้เพียงว่าเป็นชื่อเกมหมากหนีบญี่ปุ่น


บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8424


ความคิดเห็นที่ 111  เมื่อ 23 ก.พ. 25, 10:08

          ท่าน Nahum Tate ก็ดัดแปลงเสียจนสุดขั้ว จากมืดมนเป็นสว่างจ้าพร่าตา  เจ๋ง
          น่าจะประนีประนอมให้คิงตัวสาเหตุ ตาย แต่ได้ทันพบคอร์ดีเลียผู้แคล้วคลาดปลอดภัย และได้เอ่ยคำขอโทษ
พ่อผิดไปแล้ว ร้องไห้
 
          เรื่องใหม่ก็มืดมนตัวเอกตายตามกัน อีก แต่ยังไม่พีคเท่า แฮมเลท ที่ต้องบันทึกไว้อีกครั้งว่า ตอนจบ
ตัวเอกตายหมดเกลื่อนเวที ๔ ร่าง          


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 112  เมื่อ 23 ก.พ. 25, 10:39

ขอสารภาพว่า ไม่รู้จัก Othelloในฐานะเป็นวรรณกรรมของท่านเชก รู้เพียงว่าเป็นชื่อเกมหมากหนีบญี่ปุ่น
ขอสารภาพเหมือนกันว่า รู้จัก Othelloในฐานะเป็นวรรณกรรมของท่านเชก แต่ไม่เคยรู้ว่าชื่อของพระเอกถูกนำไปเป็นชื่อเกมหมากหนีบญี่ปุ่น
้เขาเล่นกันยังไง คุณหมอเพ็ญทราบไหมคะ
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16057



ความคิดเห็นที่ 113  เมื่อ 23 ก.พ. 25, 11:35

บางทีก็เรียกว่า Oshello

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 114  เมื่อ 23 ก.พ. 25, 12:34

     ถ้าหากว่าเรียนวรรณคดี อย่างหนึ่งที่ต้องเรียนและจำ เพราะอาจารย์มักจะเอามาออกข้อสอบ   คือคำคมหรือวรรคทองจากวรรณคดีเรื่องนั้นๆ เช่นถ้าเรียนอิเหนา ก็ต้องรู้จักกลอนที่ว่า "แม้นแผ่นดินสิ้นชายที่พึงเชย  อย่ามีคู่เสียเลยจะดีกว่า" หรือ "โอ้ว่าอนิจจาความรัก เพิ่งประจักษ์ดังสายน้ำไหล"
    King Lear ในฐานะวรรณกรรมเอกชิ้นหนึ่ง ย่อมไม่ไร้ซึ่งวรรคทองเช่นกัน
 1    "Nothing will come of nothing."
      นี่คือคำพูดที่พระเจ้าเลียร์ให้กับคอร์ดีเลีย  เมื่อนางไม่ยอมเยินยอบิดาด้วยคำพูดหวานหยดย้อยอย่างพี่สาวทั้งสอง  พระเจ้าเลียร์พิโรธมาก ถือว่าคอร์ดีเลียไม่รักพ่อ  จึงตอบนางว่า"ถ้าเจ้าไม่ให้สิ่งใดกับใคร  เจ้าก็ย่อมไม่ได้รับสิ่งใดกลับมาเช่นกัน"
     แปลอีกทีคือ  ถ้าไม่ให้ ก็ย่อมไม่ได้รับ
  2   "How sharper than a serpent’s tooth it is to have a thankless child!"
    คำนี้พระเจ้าเลียร์พูดกับเจ้าหญิงกอนเนอริล ธิดาคนโต   เมื่อนางแสดงความอกตัญญูให้เห็นชัดๆ หลังจากได้อาณาจักรไปครองแล้ว    พระเจ้าเลียร์ถึงกับออกปากว่า "มีบุตรที่เนรคุณนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกเขี้ยวอสรพิษขบกัดเสียอีก"

    3"The worst is not so long as we can say, ‘This is the worst.’"
    คำนี้เอ็ดการ์รำพึงเมื่อถูกกลั่นแกล้งจากน้องชายต่างแม่ จนสูญเสียทุกอย่าง  ต้องหนีเอาชีวิตรอด ปลอมตัวเป็นขอทานบ้าๆบอๆ    เพื่อไม่ให้ใครจำได้  
   เอ็ดการ์เป็นคนฉลาด และอดทนอดกลั้นอย่างสูง จึงบอกตนเองว่า ตราบใดที่เรายังสามารถบ่นว่า นี่ฉันทุกข์ถึงที่สุดแล้วนะ   ย่อมแสดงว่ายังไม่ถึงทุกข์มากที่สุด   ทุกข์ที่เลวร้ายกว่านี้ยังมี      แปลอีกทีคือหากเรายังสามารถรับรู้และแสดงออกถึงความทุกข์ของเรา นั่นหมายความว่าเรายังไม่ได้เผชิญกับจุดที่เลวร้ายที่สุดจริง ๆ—เพราะหากถึงจุดนั้น เราอาจจะไร้คำพูดหรือไม่สามารถเข้าใจมันได้เลย

ข้อคิดจากเชกสเปียร์คือ  ความทุกข์ดูเหมือนจะไม่มีจุดสิ้นสุด เมื่อเราคิดว่าเราเผชิญกับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดแล้ว มันอาจจะมีมากกว่านี้อีกก็ได้ เพราะฉะนั้นก็อย่าคร่ำครวญตีโพยตีพายไปเลย     แนวคิดนี้เแสดงถึงความอดทนของมนุษย์และความลึกซึ้งของความทุกข์ใน King Lear
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8424


ความคิดเห็นที่ 115  เมื่อ 23 ก.พ. 25, 13:19

   
 1    "Nothing will come of nothing."
      นี่คือคำพูดที่พระเจ้าเลียร์ให้กับคอร์ดีเลีย  เมื่อนางไม่ยอมเยินยอบิดาด้วยคำพูดหวานหยดย้อยอย่างพี่สาวทั้งสอง  พระเจ้าเลียร์พิโรธมาก ถือว่าคอร์ดีเลียไม่รักพ่อ  จึงตอบนางว่า"ถ้าเจ้าไม่ให้สิ่งใดกับใคร  เจ้าก็ย่อมไม่ได้รับสิ่งใดกลับมาเช่นกัน"
     แปลอีกทีคือ  ถ้าไม่ให้ ก็ย่อมไม่ได้รับ

          ท่านเชกทิ้งมรดกศัพท์และวรรคทองไว้มากมาย

          คิดว่า Oscar Hammerstein ผู้ประพันธ์เนื้อร้องเพลง - Something Good ในหนังเพลงอมตะ
The Sound of Music น่าจะอิงวรรคนี้ ที่ต้นทางเอ่ยจากความพิโรธสู่เพลงรักหวานของกัปตันกับมาเรีย

Nothing comes from nothing
Nothing ever could
So somewhere in my youth
Or childhood
I must have done something good


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 116  เมื่อ 23 ก.พ. 25, 14:18

คุณหมอ SILA ความจำดีมากค่ะ

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 117  เมื่อ 23 ก.พ. 25, 14:23

    ขออธิบายสำหรับท่านผู้อ่านเรือนไทยที่เกิดไม่ทันหนัง The Sound of Music
    นางเอกร้องเพลงนี้เมื่อพบว่าพระเอกก็รักตนเองเช่นกัน   ไม่ได้รักบารอนเนสคนสวยผู้มีหน้ามีตาเท่าเทียมกันทุกอย่าง     ในเมื่อกัปตันฟอนแทร็ปป์เป็นชายที่สง่างาม   พร้อมทั้งเกียรติยศและร่ำรวย  มารักสาวน้อยกำพร้า ที่ไม่มีอะไรติดตัวสักอย่าง อนาคตก็คือบวชเป็นแม่ชี   มาเรียจึงเชื่อว่า  การที่เธอได้รับความรักอย่างนี้  เธอคงเคยทำสิ่งดีๆไว้บ้างในวัยเยาว์    เพราะถ้าไม่เคยให้สิ่งที่ดี ย่อมไม่ได้รับสิ่งที่ดีกลับมา
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 118  เมื่อ 24 ก.พ. 25, 11:16

     มาต่อคำคมใน King Lear
   คำพูดสำคัญของเอ็ดมันด์  ก่อนจะตาย คือ
   4     "The wheel is come full circle: I am here."
    วงล้อได้หมุนจนสุดรอบแล้ว  พาข้ามาถึงตรงนี้

     วงล้อ ที่ว่านี้ หมายถึงวงล้อแห่งโชคชะตา (Wheel of Fortune) คำนี้เชกสเปียร์นำมาจากปรัชญายุคกลางของยุโรป ที่เปรียบชะตากรรมของมนุษย์ว่าเหมือนวงล้อที่สามารถยกชีวิตคนให้ขึ้นสูง และขณะเดียวกันก็หมุนลงให้ตกต่ำได้   ดังนั้นชีวิตมนุษย์ก็จะมีทั้งขึ้นและลง  ไม่ได้หยุดอยู่ที่จุดเดียวไปจนตาย
      ในที่นี้ เอ็ดมันด์ยอมรับว่าชะตากรรมได้หมุนนำพาเขากลับมาสู่จุดตกต่ำสุด    เขาเริ่มต้นจากการเป็นบุตรนอกสมรสที่ต่ำต้อยของกลอสเตอร์  เขาใช้ความทะเยอทะยาน ไต่เต้าขึ้นสู่ฐานะสูง ผ่านการหลอกลวงและหักหลังผู้อื่น จนมีอำนาจในอาณาจักร   แต่สุดท้ายเขากลับพ่ายแพ้ ถูกเปิดโปง และต้องเผชิญกับความตาย
       คำพูดของเขาสื่อว่าท้ายที่สุดแล้ว เขากลับมายังจุดที่เขาเคยอยู่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนเราไม่อาจหนีพ้นผลกรรมจากการกระทำของตนเอง
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8424


ความคิดเห็นที่ 119  เมื่อ 24 ก.พ. 25, 12:06

                    วงล้อโชคชะตา ฟากตะวันดก กับ วงล้อ(กง)เกวียน ของบ้านเรา

ราชบัณฑิต -     กงเกวียน คือ วงรอบของล้อเกวียน ส่วน กำเกวียน คือ ซี่ล้อซึ่งตรงกลางมีดุม ที่มีรูสำหรับสอดเพลาเป็นแกนยึดล้อ ๒ ข้าง
                    เมื่อกงเกวียนหมุนไปทางใด กำเกวียนก็หมุนตามไปทางนั้น  
                    ในภาษาไทยมีสำนวนเปรียบเทียบว่า กงเกวียนกำเกวียน หมายถึง การกระทำใด ๆ ที่มีผลต่อผู้กระทำนั้น ๆ เช่น
                    เขาทำบาปมาตลอดชีวิต จึงต้องทุกข์ทรมานเช่นนี้ นี่แหละกงเกวียนกำเกวียน


บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 22
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.041 วินาที กับ 19 คำสั่ง