เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41269
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
หมายเหตุ บทความนี้สงวนลิขสิทธิ์ ห้ามคัดลอก เผยแพร่ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบทความ
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เรียนวรรณคดีเชกสเปียร์ครั้งแรกกับรศ. สดใส พันธุมโกมล เรื่อง Macbeth ซึ่งเป็น 1 ใน 4 โศกนาฏกรรมเอกของละครเชกสเปียร์ ด้วยความที่อาจารย์สอนได้ดีวิเศษมหัศจรรย์ ทำให้เรื่องอภิมหายากสำหรับนิสิตปี 1กลายเป็นของง่าย เข้าใจได้ทุกตอน ก็เลยประทับใจมาจนบัดนี้ ต่อมาได้ไปเรียนเพิ่มเติม โชคดีอาจารย์ที่สอนเป็นผู้เรียนจบปริญญาเอกทางวรรณคดีอังกฤษสมัย Elizabethan คือสมัยเชกสเปียร์นั่นแหละค่ะ แต่รวมกวีอีกหลายๆคนด้วย ก็เลยได้ความรู้เพิ่มเติมอีกหลายอย่าง เสียดายว่าเรียนจบมา ไม่ได้มีโอกาสสอนวิชานี้เลย เก็บความรู้เข้าตู้ไว้จนบัดนี้ บัดนี้ก็ได้โอกาสที่จะงัดกุญแจตู้ที่ขึ้นสนิมเขรอะ เปิดตู้เอาเรื่องราวที่ยังจำได้ มาเล่าสู่กันฟัง ก่อนที่จะไม่มีใครได้รู้เห็นอีกค่ะ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 ม.ค. 25, 10:10 โดย เทาชมพู »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 26 ม.ค. 25, 12:49
|
|
เรื่องบังเอิญ, วานนี้หน้าฟบ. มีฟีดจาก Learn English British Council ประวัติเชคสเปียร์ ตอนที่หนึ่ง นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าจากผลงานวรรณกรรม ที่ฟีดมาคือ Hamlet https://www.facebook.com/reel/851397880271843
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41269
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 26 ม.ค. 25, 18:45
|
|
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับวิลเลียม เชกสเปียร์ กวีเอกของอังกฤษว่าเป็นใครมาจากไหน
เคยมีคนตั้งสมญา วิลเลียม เชกสเปียร์ว่า homespun poet คำแรกแปลว่า ของบ้านๆ ของพื้นเมือง หรือบ้านนอก ทั้งนี้เพราะเขากำเนิดมาอย่างชาวบ้านธรรมดา ไม่ปรากฎว่ามีเทือกเถาเหล่ากอเป็นนักปราชญ์หรือกวีคนใด พ่อเขาเป็นช่างทำถุงมือ ต่อมาได้เป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมืองสนิตเตอร์ฟิลด์ในมณฑลวอร์ริคเชียร์ ส่วนแม้ชื่อแมรี อาร์เดน ลูกสาวชาวนาเจ้าของที่ดิน ตัววิลเลียมเองเกิดที่เมืองสแตรตฟอร์ด-อะพอน-เอวอน วันที่เท่าไหร่ยังหาหลักฐานชัดเจนไม่ได้ รู้จากหลักฐานบันทึกในโบสถ์ว่าเด็กชายวิลเลียมรับศีลล้างบาปเมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1564 เขาเป็นลูกคนที่สามจากทั้งหมดแปดคน และเป็นบุตรชายคนโตที่รอดชีวิตมาได้จนโต เชกสเปียร์น่าจะได้รับการศึกษาในโรงเรียนคิงส์นิวสคูลในสแตรตฟอร์ด ซึ่งเป็นโรงเรียนใกล้บ้าน แม้ไม่มีหลักฐานว่าเขาเรียนจนกระท้่งจบจากรร.นี้ แต่ก็น่าจะได้รับการศึกษาพอสมควร ยุคนั้นหลักสูตรโรงเรียนแม้เป็นโรงเรียนบ้านนอกก็ยังมีการสอนภาษาละตินด้วย นับว่าเป็นพื้นฐานให้เด็กหนุ่มต่อยอดไปจนถึงสร้างบทละครออกมาได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41269
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 27 ม.ค. 25, 11:02
|
|
เมื่ออายุได้ 18 ปี เชกสเปียร์ไปยื่นใบขออนุญาตสมรสกับหญิงชื่อแอนน์ เวทลีย์ (Anne Whateley) แต่ในวันรุ่งขึ้น คือ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 1582 มีการอนุญาตสมรสระหว่างวิลเลียม เชกสเปียร์กับแอนน์ แฮทธาเวย์ (Ann Hathaway) วัย 26 ปี ตรงนี้ก็เป็นเงื่อนปมที่น่าฉงนสนเท่ห์ เพราะชื่อเจ้าสาวเกิดแตกต่างกัน ไปยื่นเรื่องขอแต่งกับคนหนึ่ง แต่วันรุ่งขึ้นกับแต่งกับอีกคน หรือไร? ทำให้นักรวบรวมชีวประวัติของเชกสเปียร์เถียงกันไม่จบข้ามหลายศตวรรษ สันนิษฐานกันไปหลากหลาย เช่น - ที่จริงก็คนเดียวกันนี่แหละ บังเอิญเสมียนที่ลงทะเบียนชื่อดันสะกดนามสกุลผิดสุดขั้ว เพราะยุคนั้นไม่ได้กวดขันเรื่องตัวสะกด จึงสะกดผิดสะกดถูกกันตามใจชอบ - เชกสเปียร์ตั้งใจจะแต่งงานกับแอนน์ เวทลีย์ แต่มีเหตุจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเจ้าสาวเป็นแอนน์ แฮทธาเวย์ - เวทลีย์อาจเป็นนามสกุลแท้จริงของแอนน์ แฮทธาเวย์ เพราะแฮทธาเวย์เป็นนามสกุลพ่อเลี้ยงของเธอ ฯลฯ แต่จะอะไรก็ตาม หนุ่มสาวคู่นี้ก็แต่งงานกันเรียบร้อยถูกต้องตามกฎหมายและประเพณี สาเหตุที่แต่งทั้งๆเจ้า บ่าวเพิ่งจะอายุ 18 และเจ้าสาวแก่กว่าตั้ง 8 ปีก็เดาไม่ยาก เพราะหกเดือนหลังจากการแต่งงาน แอนน์ได้ให้กำเนิดลูกสาวชื่อซูซานนา ซึ่งได้รับศีลล้างบาปเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ค.ศ. 1583 ต่อมาเกือบสองปี เชกสเปียร์และแอนน์มีลูกแฝดคือ แฮมเน็ต ลูกชาย และจูดิธ ลูกสาว ซึ่งได้รับศีลล้างบาปเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1585 แต่แฮมเน็ตเสียชีวิตด้วยสาเหตุที่ไม่ทราบเมื่ออายุ 11 ปี ถูกฝังเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 1596 หลังจากนั้น เชกสเปียร์ไม่มีทายาทชายสืบสกุลอีก
ภาพนี้วาดขึ้นในยุคหลัง ไม่มีหลักฐานร่วมสมัยว่าแอนน์ แฮทธาเวย์มีหน้าตาเป็นอย่างไร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 27 ม.ค. 25, 11:39
|
|
(นักแสดงสมัยยังสาว) Anne Hathaway กับ Shakespeare in Love (สวมบทโดย Joseph Fiennes)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41269
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 27 ม.ค. 25, 11:59
|
|
ตั้งแต่คุณแอนน์ แฮทธาเวย์เธอโด่งดังอยู่ในฮอลลีวู้ด พอพิมพ์ชื่อ Anne Hathaway เพื่อจะหารายละเอียดประกอบกระทู้ หน้าสวยๆของเธอก็โผล่ขึ้นมาเป็นแถว เบียดชื่อแอนน์ แฮทธาเวย์ตัวจริงเมื่อ 400 กว่าปีก่อนตกเวทีไม่เห็นฝุ่นค่ะ หนัง Shakespeare in Love พระเอกสวมบทโดย Joseph Fiennes สนุกดี ฉากและบรรยากาศสมจริงเหมือนยุคนั้น แต่อย่าไปเชื่อเนื้อเรื่อง หนังคนละม้วนกับชีวิตจริงค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41269
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 27 ม.ค. 25, 16:32
|
|
ใ่นช่วงหลังสมรส นักวิชาการเรียกช่วงปี ค.ศ. 1585 ถึง 1592 ว่าเป็น "ช่วงปีที่หายไป" ของเชกสเปียร์ คือไม่รู้เหตุการณ์ในชีวิตช่วงนี้ รู้แต่ว่าเขาเป็นพ่อลูก 3 เมื่ออายุเพียง21 ปี ก็ได้แต่เดาว่าเขาคงทำงานหาเลี้ยงครอบครัวอย่างชาวบ้านทั่วไป จนกระทั่ง ปี ค.ศ. 1592 เมื่อเขาอายุ 28 ปี จึงปรากฏหลักฐานว่าตอนนี้เขาทำงานในวงการละครในลอนดอนไปเรียบร้อยแล้ว มีตำนานแบบ "เขาเล่ากันว่า..." ว่าก่อนหน้านี้ เชคสเปียร์จำต้องหนีออกจากบ้านเกิดไปลอนดอน เพื่อหลบเลี่ยงการถูกดำเนินคดีในข้อหาแอบเข้าไปล่ากวางในที่ดินของสไควร์โธมัส ลูซี คหบดีท้องถิ่น แต่เรื่องนี้ก็เป็นแค่เล่าลือกันมา ไม่มีหลักฐานสนับสนุน ไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าเชกสเปียร์เริ่มต้นอาชีพในวงการละครเมื่อใด แต่น่าจะก่อนปี 1592 หลายปีอยู่เหมือนกัน เพราะมีหลักฐานร่วมสมัยว่าในปีนี้ มีละครฝีมือเขาหลายเรื่องออกแสดงในลอนดอนแล้ว เรียกว่ามีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ พิสูจน์ความดังได้จากถูกโจมตีดุเดือดโดยนักเขียนบทละครอีกคนหนึ่ง ชื่อโรเบิร์ต กรีนซึ่งเป็นมือเก๋าในวงการมาก่อน กรีนเขียนประณามเชคสเปียร์ไว้ในหนังสือ Groats-Worth of Wit ของเขาในปี 1592 ว่า " (มัน) เป็นแค่อีกาไก่อ่อนสอนขัน ที่เอาขนนกของเราไปประดับกายให้งาม ซ่อนหัวใจเสือไว้ในร่างนักแสดง คิดว่าตัวเองมีฝีมือแต่งกลอนเปล่า (blank verse) ได้เหนือชั้นดังพวกท่านที่อยู่ในระดับเยี่ยมยอด (ทั้งที่)ตัวมันเองก็แค่ไอ้คนโคตรกระจอกรู้อะไรแบบงูๆปลาๆ แต่กลับคิดว่ามันเองคือนักเขียนบทที่เก่งกาจที่สุดบนปฐพี" " is an upstart Crow, beautified with our feathers, that with his Tiger's heart wrapped in a Player's hide, supposes he is as well able to bombast out a blank verse as the best of you: and being an absolute Johannes factotum, is in his own conceit the only Shake-scene in a country."
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41269
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 28 ม.ค. 25, 10:08
|
|
ตอนเชกสเปียร์ออกจากบ้านเกิดมาอยู่ลอนดอน หลักฐานช่วงต้นนี่ก็หายไปเหมือนกัน ไม่รู้ว่าไปทำอะไรอยู่ที่ไหนก่อนเข้าวงการละคร แต่มีประเภท 'เขาว่ากันว่า' หนุ่มคนนี้ไต่เต้าขึ้นมาจากคนงานดูแลม้าของคนดูที่มาชมละคร ต่อมาได้เป็นเล่นเป็นนักแสดงรองๆ แล้วจึงเขยิบฐานะขึ้นเป็นคนเขียนบท แต่หลักฐานแน่ๆคือละครผลงานเขาประสบความสำเร็จอย่างดี ออกแสดงที่โรงละคร The Theatre ในย่านชอร์ดิตช์ โดยคณะละคร Lord Chamberlain's Men เมื่อมีความจัดเจนมากขึ้น เขาก็เขยิบฐานะไปอีกขั้นหนึ่งเป็นหุ้นส่วนเจ้าของคณะละคร ไม่ช้าก็กลายเป็นคณะละครชั้นนำของลอนดอน
ในปี ค.ศ. 1599 คณะละครสร้างโรงละครของตัวเองบนฝั่งใต้ของแม่น้ำเทมส์ ตั้งชื่อว่า The Globe ในปี ค.ศ. 1608 ก็ขยายกิจการเข้าครอบครองโรงละครอีกแห่งหนึ่ง เรียกว่าอาชีพบริหารคณะละครและเขียนบทละครประสบผลสำเร็จมาก ตรงกันข้ามกับความเชื่อเดิมๆ ที่ว่าศิลปินมักอยู่อย่างอาภัพ ลำบากยากจน ตายก็ตายเดียวดาย จนหลังตายไปแล้วนั่นแหละโลกถึงค่อยยกย่อง เชกสเปียร์สร้างฐานะได้ระดับเศรษฐีตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ มีชื่อเสียงแพร่หลายในวงการละครสมัยนั้น
ภาพล่าง โรงละคร The Globe ในสมัยนั้น (สร้างจำลอง)
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41269
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 28 ม.ค. 25, 10:22
|
|
เชกสเปียร์แตกต่างจากผู้ชายอื่นๆสมัยนั้นอยู่ข้อหนึ่ง คือหลังจากออกจากครอบครัวที่สแตรตฟอร์ดมาแล้ว เขาก็ปักหลักอยู่ในลอนดอน ให้แอนน์ผู้ภรรยาและลูกสาวทั้งสองอยู่ในเมืองสแตรตฟอร์ดอย่างเดิม ไม่พามาอยู่ด้วย แต่ก็กลับไปเยี่ยมทุกปี จนกระทั่งเขาเกษียณจากงาน ถึงกลับไปอยู่ที่สแตรตฟอร์ดอย่างถาวร ข้อนี้ละค่ะ เป็นอีกประเด็นหนึ่งทำให้นักวิชาการถกเถียงกันไม่รู้จบ คือความสัมพันธ์ส่วนตัวในครอบครัวว่าจริงๆมันเป็นยังไงกันแน่ อันที่จริง ผู้ชายที่จำต้องทิ้งครอบครัวไปแสวงหาโชคลาภในถิ่นอื่นมีอยู่ถมเถไป ไม่แปลกอะไร แต่พอตั้งหลักปักฐานได้แล้ว ร้อยละร้อยก็ต้องเอาลูกเมียไปอยู่ด้วย ถ้าไม่เอาไปด้วยก็แปลว่ามีเมียใหม่ไปแล้ว เชคสเปียร์ไม่ได้สมรสใหม่ ไม่มีหลักฐานว่าเขามี "บ้านเล็ก" อยู่ในลอนดอน แม้ว่าโคลง Sonnet บทหนึ่งของเขาบรรยายถึง สาวผิวดำ หรือ The Dark Lady แต่ก็ไม่เคยมีคนร่วมสมัยยืนยันได้ว่านางมีตัวจริง เพราะกวีย่อมสร้างนางในจินตนาการขึ้นมาได้เสมอ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41269
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 28 ม.ค. 25, 10:24
|
|
ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เชกสเปียร์ไม่ยักเอาลูกเมียไปอยู่ด้วย ปีหนึ่งก็กลับไปเยี่ยมบ้านทีหนึ่ง นับว่าน้อยมาก ทั้งๆทางบ้านก็มีแต่ผู้หญิงทั้งนั้น ไม่มีลูกชายคอยคุ้มครองแม่และพี่สาวน้องสาวที่โตเป็นสาวแล้ว ที่แปลกอีกอย่างก็คือพอเกษียณในค.ศ. 1613 อายุ 49 ปี เชกสเปียร์ก็กลับไปอยู่บ้านเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แอนน์ก็ยังรอคอยสามีอยู่ เหมือนเขาไม่ได้แยกกันอยู่กับเธอเป็นสิบๆปี เชคสเปียร์กลับถ่ินเดิมอย่างเศรษฐี ซื้อบ้านหลังใหญ่เป็นอันดับ 2 ในเมืองสแตรตฟอร์ด ชื่อบ้าน New Place ไว้อยู่อาศัย ส่วนลูกสาว 2 คนก็ทยอยแต่งงานแยกบ้านไป เขาวางมือจากอาชีพเดิมอย่างเด็ดขาด ดำเนินชีวิตอย่างนายทุนให้กู้ยืมเงิน กับอยู่แบบสบายๆอย่างคหบดีผู้มั่งคั่งคนหนึ่งของเมือง เชกสเปียร์ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 23 เมษายน ค.ศ. 1616 ขณะอายุ 52 ปี หนึ่งเดือนหลังจากลงนามในพินัยกรรม ซึ่งเริ่มต้นด้วยการระบุว่าตนเองยังอยู่ใน "สุขภาพสมบูรณ์ดี" ข้อมูลร่วมสมัยไม่่ได้ระบุถึงสาเหตุหรือเหตุผลที่เขาเสียชีวิต ครึ่งศตวรรษต่อมา จอห์น วอร์ด บาทหลวงประจำเมืองสแตรตฟอร์ด เขียนในบันทึกส่วนตัวว่า "เชกสเปียร์ เดรย์ตัน และเบน จอนสัน (เป็นนักเขียนบทละครร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงทั้ง 2 คน) ได้พบปะสังสรรค์กัน ดูเหมือนว่าจะดื่มหนักไปหน่อย ทำให้เชกสเปียร์ป่วยเป็นไข้ และเสียชีวิตจากการสังสรรค์ครั้งนั้น" ข้อนี้ก็น่าจะเป็นไปได้ เนื่องจากเชกสเปียร์รู้จักทั้งจอนสันและเดรย์ตัน ในบรรดาคำสดุดีจากนักเขียนร่วมสมัย หนึ่งในนั้นกล่าวถึงการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของเขาว่า
"เราประหลาดใจ, เชกสเปียร์, ที่เจ้าจากเวทีแห่งโลกไปสู่ความเงียบแห่งหลุมฝังศพเร็วเพียงนี้"
ส่วนภรรยาและลูกสาวสองคนยังมีชีวิตอยู่ เชกสเปียร์มอบมรดกส่วนใหญ่ให้แก่ซูซานนา ลูกสาวคนโต โดยมีเงื่อนไขว่าต้องส่งต่อทรัพย์สินนั้นให้แก่ "บุตรชายคนแรกของเธอ" เธอมีลูก 3 คนแต่ตายไปหมดก่อนถึงวัยสมรส ส่วนจูดิธลูกสาวคนเล็ก มีลูกสาวคนเดียวชื่อเอลิซาเบธ แต่งงานสองครั้งแต่ไม่มีบุตร เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1670 ทำให้เชื้อสายตรงของเชกสเปียร์สิ้นสุดลงเพียงแค่นั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41269
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 28 ม.ค. 25, 10:28
|
|
ในพินัยกรรมของเชกสเปียร์แทบไม่มีการกล่าวถึงแอนน์ผู้ภรรยา ผู้น่าจะได้รับมรดกหนึ่งในสามส่วนของทรัพย์สินตามกฎหมาย มีข้อเดียวที่เขาระบุไว้ว่ายกให้ (ไม่ยักใช่เงินทองของมีค่า) คือ "เตียงที่ดีที่สุดอันดับสองของฉัน" (second-best bed) เตียงเดียวนี่แหละนำมาซึ่งตีความและคาดเดากันใหญ่โต อีกนานกว่า400 ปี พอๆกับการขอใบอนุญาตแต่งงานตอนต้นกระทู้นี้ นักวิชาการบางคนมองว่าการยกแค่เตียงชั้นรองของบ้านให้ แสดงนัยเหยียดหยามแอนน์ว่ามีค่าน้อยมากในสายตาสามี แต่บางคนกลับค้านว่า เตียงชั้นรองนี้อาจเป็นเตียงสมรสของทั้งคู่ เพราะธรรมเนียมในสมัยนั้นจะจัดเตียงนอนที่ดีที่สุดไว้ให้แขก เจ้าของบ้านนอนเตียงชั้นรองลงมา ดังนั้นการยกเตียงที่เคยนอนร่วมกันให้ภรรยาก็คือแสดงความรักความผูกพันแต่หนหลังด้วยกันนั่นเอง
สองวันหลังจากเสียชีวิต ศพเชกสเปียร์ถูกฝังใต้ช่องทางเดินในโบสถ์โฮลีทรินิตี เขาสั่งให้จารึกบนแผ่นหินที่ปิดหลุมศพของเขา มีคำสาปแช่งสำหรับผู้ที่บังอาจมาขุดหรือรบกวนหลุมศพของเขา Good frend for Iesvs sake forbeare, To digg the dvst encloased heare. Bleste be yͤ man yͭ spares thes stones, And cvrst be he yͭ moves my bones. สหายเอ๋ย ขอให้เห็นแก่พระคริสต์เจ้า จงอย่าเคลื่อนย้าย อัฐและเถ้าถ่านของข้าที่บรรจุอยู่ตรงนี้ จงประทานพรแก่ผู้ที่ละเว้นการเคลื่อนย้ายศิลาเหนือหลุมศพนี้ และคำสาปแช่งจงตกแก่ผู้ที่บังอาจเคลื่อนย้ายกระดูกของข้า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 28 ม.ค. 25, 11:20
|
|
ขอคั่นด้วย ประวัติเชคสเปียร์
จากหนังสือ ตามใจท่าน พระราชนิพนธ์แปลในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ครับ
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 28 ม.ค. 25, 11:22
|
|
จากหนังสือ ตามใจท่าน พระราชนิพนธ์แปลในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ครับ
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|