แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่เป็นผลดั่งใจเจ้าน้อย เนื่องจากปัญหาบ้านเมืองนั้นน่าวิตกยิ่งมะเมียะได้ถูกเกลี้ยกล่อมให้กลับไปรอเจ้าน้อยที่เมืองมะระแหม่ง มิฉะนั้น บ้านเมืองอาจเดือดร้อน นางได้เอ่ยขึ้นด้วยความเสียใจ และยอมจากไป เพื่อไม่ให้คนที่ตนรักได้รับความเดือดร้อน
"มะเมียะเห็นใจเจ้าแล้ว
มะเมียะต้องจากเจ้าไป
ตลอดชีวิตของมะเมียะจะไม่ขอเป็นของใครอีก
มะเมียะจะเป็นของเจ้าคนเดียวเท่านั้น
มะเมียะมีใจเดียวรักเดียว
จะขอรอเจ้าจวบจนชีวิตดับ"
เสียงมะเมียะขาดห้วงลง เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอหอยมิให้พูดต่อไปอีก เจ้าศุขเกษมดึงร่างมะเมียะกระชับเข้ามาอีก แล้วคร่ำครวญเป็นภาษาพม่าอย่างชัดถ้อยชัดคำ
"สุดที่รักของฉัน ฉันเกิดมามีกรรม
เราเคยสาบานกันว่าใครทรยศต่อรักขออย่าให้อายุยืนยาว
แล้วฉันก็ต้องทำลายเธอ
ทำลายชีวิตเธอทางอ้อมขอกลับไปรอฉันที่บ้านเถิด
หากฉันมีบุญวาสนาในวันหน้า
ฉันจะไปรับเธอกลับมาอยู่เชียงใหม่จนได้
มะเมียะจ๋า ฉันจะรักเธอจนวันตาย"
แล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่ถูกพลัดพรากจากกันจนชั่วชีวิต มันเป็นเช้าของเดือนเมษายน พ.ศ. 2446 เจ้านายข้าราชการและประชาชนรวมทั้งชาวพม่า มอญ เงี้ยว ต่องสู้ ที่ทราบข่าวการตัดสินใจเดินทางกลับเมาะละแหม่งของหมะเมียะยอดหญิงของทายาทเจ้าอุปราชผู้ยอมหลีกทางให้เพราะแรงกดดันทางการเมืองและเพื่อความสุขสวัสดิ์สถาพรและอนาคตของสามีอย่างน่าสรรเสริญต่างก็จับกลุ่มเดินมุ่งสู่ประตูหายยา ซึ่ง ณ ที่นั่นขบวนช้างอันเป็นพาหนะและคนติดตามควบคุมขบวนและเสบียงกรังได้ไปรอคอยอยู่ เสียงสนทนาพาทีของประชาชนเซ็งแซ่ล้วนแต่สงสารเอ็นดูสาวน้อยวัย 16 ปี ผู้มีกรรมจำพราก ท้าวบุญสูงผู้มีหน้าที่ไปรับตอนเดินทางมาแต่แรกต้องรับภาระนี้อีก ควบคุมลูกหาบประมาณ 20 คน รวมทั้งช้าง 3 เชือก ทุกคนรอการมาถึงของมะเมียะด้วยความกระสับกระส่ายกระวนกระวายใจ ต่างใคร่เห็นรูปโฉมโนมพรรณของสาวพม่าที่ร่ำลือกันว่างามแสนงาม (หมายเหตุ ท้าวบุญสูงเป็นพี่เลี้ยงคนสนิทของเจ้าน้อยศุขเกษม)
สักครู่ใหญ่ รถม้าของคุ้มอุปราชก็ค่อยๆชะลอมาหยุดกึกลงมะเมียะในชุดแต่งกายพม่า มีผ้าคลุมผมก้าวลงจากรถก่อน ตามติดด้วยเจ้าน้อยศุขเกษม ทั้งคู่มีหน้าตาหมองคล้ำ ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะปิดบังหรือละอายใจ ถึงแม้ประชาชนจะห้อมล้อมมุงดูอยู่รอบด้านมืดฟ้ามัวดิน
เจ้าน้อยศุขเกษมเองก็พลอยสะอื้นตื้นตันใจ คร่ำครวญสุดแสนอาดูรจนท้าวบุญสูงมาเตือนครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าถึงเวลาจะเคลื่อนขบวนเดินทาง นั่นแหละทั้งสองจึงยอมแยกจากการโอบกอดกัน
แม้จะขึ้นไปบนกูบช้างแล้วก็ตาม มะเมียะก็ขอลงมาหาเจ้าน้อยศุขเกษมอีกจนได้ เธอคุกเข่าลงกับพื้นก้มหน้าสยายผมออกเช็ดเท้าสามีด้วยความรักอาลัย เรียกน้ำตาของเจ้าน้อยศุขเกษมให้ไหลลงนองอาบสองแก้ม แล้วก็โผเข้ากอดรัดกันอีก
เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงซึ่งเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาประชาชนทั้งชายหญิง ทำให้ผู้ที่มีจิตใจไม่เข้มแข็งกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เหมือนกัน ท้าวบุญสูงต้องอึดอัดใจอย่างยิ่ง เพราะไหนจะต้องปลอบใจมะเมียะกลับขึ้นไปบนหลังช้าง ไหนมะเมียะจะดึงดันกลับลงมาอีกเป็นหนที่สองวิ่งเข้าสู่อ้อมกอดเจ้าน้อยศุขเกษมอีก กว่าขบวนจะออกเดินทางได้ก็เลยกำหนดเวลาไปนานอีกโข
เจ้าน้อยศุขเกษมยืนเหม่อมองดูจุดเล็กๆที่ขยับเขยื้อนได้ โดยมีหมะเมียะเหลียวมองด้านหลังจากบนหลังช้างนั้นตลอดเวลาจนลับจากสายตา จึงกลับสู่คุ้ม
ประชาชนชาวเชียงใหม่ ไม่มีโอกาสได้ประสบพบเห็นความรักต่างแดนอันลงเอยด้วยความโศกสลดรันทดใจมาก่อน และไม่มีโอกาสจะพบเห็นอีกแล้วในประวัติศาสตร์ของเวียงพิงค์
รูปประตูหายยา