NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 150 เมื่อ 16 พ.ค. 14, 07:23
|
|
ครับผม
ขอเชิญทุกท่านเดินทางต่อครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 151 เมื่อ 16 พ.ค. 14, 07:33
|
|
หนองประจักษ์ ตั้งชื่อตามพระนามพลตรี พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม พระนามเดิม พระองค์เจ้าทองกองก้อนใหญ่ ทรงเคยดำรงตำแหน่งข้าหลวงต่างพระองค์สำเร็จราชการมณฑลฝ่ายเหนือ และตั้งกองบัญชาการมณฑลลาวพวนที่บ้านหมากแข้ง ที่ทรงสร้างความเจริญจากหมู่บ้านจนวันนี้เป็นจังหวัดอุดรธานี
เมื่อฉันขึ้นไปมณฑลอุดร กรมหลวงประจักษ์ฯเสด็จกลับลงมากรุงเทพฯเสียกว่า ๑๐ ปีแล้ว เห็นจะเป็นเพราะราษฎรไม่ได้เห็นเจ้านายมาช้านาน พอได้ยินข่าวว่าจะมีเจ้านายเสด็จขึ้นไปก็พากันปิติยินดี ตั้งแต่ฉันเข้าเขตมณฑลอุดรเดินทางผ่านตำบลไหน ก็เห็นราษฎรชาวบ้านในตำบลนั้นทั้งชายหญิงเด็กผู้ใหญ่ พากันมานั่งคอยเคารพอยู่ที่ริมทางเป็นหมู่ๆและมากๆ เวลาไปหยุดพักที่ไหน พวกราษฎรก็พากันนั่งห้อมล้อมรอบข้าง บางคนก็มาไหว้ด้วยมือเปล่า บางคนมีเครื่องสักการะมาด้วย บางคนถึงเอาขันใส่น้ำมาขอให้ทำน้ำมนต์ และอยากเข้าให้ใกล้ชิดทุกคน พวกหนึ่งเข้ามากราบไหว้แล้วถอยออกไป พวกใหม่ก็เข้ามาแทน มีกิจที่ต้องรับและปราศรัยให้พรพวกราษฎรเพิ่มขึ้นตลอดทางที่ไปทุกแห่ง แต่ที่ไหนก็ไม่เหมือนเมืองหนองคาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 152 เมื่อ 16 พ.ค. 14, 07:51
|
|
เวลาฉันพักอยู่ที่นั่น แต่เช้าก็มีพวกราษฎรมาหาทุกวัน พวกไหนมาถึงก็เข้ามานั่งอยู่ที่หน้าพลับพลา คอยอยู่จนฉันออกไปปราศรัยแล้วจึงกลับไป พวกหนึ่งไปแล้ว พวกอื่นก็มาอีก ถ้าไม่ได้พบฉันก็ไม่กลับ ต้อง "เสด็จออก" ร่ำไปไม่รู้ว่าวันละกี่ครั้ง จนฉันออกปากว่าอ่อนใจ พวกกรมการเมืองหนองคายเขาจึงบอกให้รู้ ว่าราษฎรที่มาหานั้น มิใช่แต่ชาวเมืองหนองคายเมืองเดียว พวกราษฎรทางฝั่งซ้ายในแดนฝรั่งเศสก็มามาก ฉันได้ฟังก็เกิดลำบากใจ ด้วยเดิมคิดไว้ว่าจะหาโอกาสไปดูเมืองเวียงจันทน์ แต่นึกขึ้นว่าถ้าเวลาเมื่อฉันไป มีพวกราษฎรในเมืองเวียงจันทน์พากันมาห้อมล้อมไหว้เจ้า ตามประสาของเขาเหมือนอย่างทางฝั่งข้างนี้ ก็อาจจะกระเทือนไปถึงการเมือง จึงงดความประสงค์ เลยไม่ได้ไปเห็นเมืองเวียงจันทน์ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่พ้นความลำบากได้ทีเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 153 เมื่อ 16 พ.ค. 14, 08:07
|
|
ขอหยอดภาพที่เมืองโคราชสัก ๑ ภาพก่อนที่จะไปหนองประจักษ์ต่อ ภาพศซุ้มรับเสด็จพระพุทธเจ้าหลวง เสด็จโคราช (ทรงขี่ม้าด้วยองค์เอง) ในปลายรัชกาล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 154 เมื่อ 16 พ.ค. 14, 11:44
|
|
ขออนุญาตขัดจังหวะ เสริมเรื่องนางพิมอาบน้ำตรงนี้อีกสักหน่อย เห็นคุณ Jailto สนใจ จริงๆแล้วเป็นนักเรียนอยู่ข้างจะธัมมะธัมโม อาจารย์ทิ้งวรรคสำคัญเป็นดอทดอทดอทไว้ เลยพลอยงุ่นง่านทะยานใจตามขุนช้างไปด้วย จะไปค้นฉบับจริงต้องไปรื้อค้นอีกหลายเพลา ขอความกรุณาท่านอาจารย์ต่ออีกนิดเถอะครับ จะได้เห็นลีลาฝีปากครูบาอาจารย์สมัยโน้นด้วย ตามไปอ่านได้ที่กระทู้ นางพิมพิลาไลย ต่อมาเป็นนางวันทอง อาบน้ำที่ไหนบ้าง สนุกสนานได้วิชาลีลาฝีปากครูบาอาจารย์สมัยโน้นดีเชียวแหละ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Jalito
|
ความคิดเห็นที่ 155 เมื่อ 16 พ.ค. 14, 23:52
|
|
เพิ่งเข้ามาในเรือนเมื่อกี้นี้เอง ขอบคุณคุณเพ็ญชมพูที่ช่วยให้เบาะแสแก่หนุ่มๆที่แอบซุ่มอยู่หลังขุนช้างน่ะครับ นางพิมหรือวันทองอาบน้ำกี่ครั้ง ที่ไหน เอามาเป็นกระทู้ได้เลยหรือครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 156 เมื่อ 17 พ.ค. 14, 07:57
|
|
อ่านทุกอิริยาบถในการอาบน้ำของสาวภาคกลางอย่างนางวันทอง ช่างห่างไกลจากภาพสาวอีสานในภาพที่ผ่านมา จะว่าพวกเธอมานั่งทำงานโดยเอาอะไรมารวมกลุ่มล้างกันเพื่อทำผลิตภัณฑ์โอท๊อป ก็ไม่ปรากฏร่องรอยให้เดา หนองน้ำ หมายถึงที่ลุ่มที่น้ำฝนไหลลงมารวมกันอยู่ตามธรรมชาติตื้นๆ โดยไม่มีการไหลถ่ายเทได้เช่นแม่น้ำลำคลอง น้ำที่ขังนิ่งเช่นนั้นจึงไม่ค่อยจะสะอาดเท่าไร คนลงไปอาบโคลนใต้น้ำก็ฟุ้งขึ้นมาขุ่นคลั่ก เผลอๆจะทำให้เป็นโรคผิวหนังคันคะเยอ แถมอาจโดนปลิงควายมุดเข้าไปเกาะใต้ร่มผ้าด้วย
นอกจากนั้นในพระนิพนธ์ยังมีข้อความนี้เสียอีก ตอนไปในมณฑลอุดรสบฤดูหนาวเย็นสบายดี บางทีถึงเย็นเกินต้องการ เช่น เมื่อวันพักแรมที่ตำบลน้ำซวย แขวงจังหวัดหนองคาย ปรอทลงถึง ๓๘ ดีกรีฟาเรนไฮต์ (3.3 °C)ยังอีก ๖ ดีกรีก็จะถึงน้ำแข็ง ฉันไม่เคยพบหนาวที่ไหนในเมืองไทยเหมือนวันนั้น
ตำบลน้ำซวย เดี๋ยวนี้คืออำเภอเพ็ญในหนองคาย มีแม่น้ำสั้นๆอยู่ที่ตำบลจอมศรี มีชื่อตามสมัยนิยมว่าแม่น้ำสวย คงเปลี่ยนด้วยเหตุผลคล้ายๆกับตำบลบางเหี้ยที่เปลี่ยนเป็นตำบลคลองด่าน ตำบลน้ำซวยกับอำเภอชนบท แม้จะอยู่คนละจังหวัดแต่ดูแผนที่ก็ไกล้กันนิดเดียว สะท้อนให้เห็นว่าขณะนั้นเป็นหน้าหนาวที่หนาวสุดๆปีหนึ่ง ไม่เหมาะจะมานั่งแช่น้ำนานๆไม่ว่าจะมานั่งทำงาน หรือมาอาบเล่นโดยแต่งกายอย่างนั้น เสร็จแล้วจะเดินตัวเปียกกลับไปบ้านหรืออย่างไร ถ้าเอาผ้ามาผลัด ทำไมไม่เป็นผลัดชุดอาบน้ำที่ทะมัดทะแมงกว่านี้ตั้งแต่ต้น
ดังนั้นหญิงกลุ่มนี้มาทำอะไรให้เขาจับถ่ายรูปจึงขอทิ้งให้เป็นปริศนาอยู่ต่อไป โดยผมจะนำพวกเราตามเสด็จกันต่อ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 157 เมื่อ 17 พ.ค. 14, 08:23
|
|
เมื่อฉันขึ้นไปมณฑลอุดร กรมหลวงประจักษ์ฯเสด็จกลับลงมากรุงเทพฯเสียกว่า ๑๐ ปีแล้ว เห็นจะเป็นเพราะราษฎรไม่ได้เห็นเจ้านายมาช้านาน พอได้ยินข่าวว่าจะมีเจ้านายเสด็จขึ้นไปก็พากันปิติยินดี ตั้งแต่ฉันเข้าเขตมณฑลอุดรเดินทางผ่านตำบลไหน ก็เห็นราษฎรชาวบ้านในตำบลนั้นทั้งชายหญิงเด็กผู้ใหญ่ พากันมานั่งคอยเคารพอยู่ที่ริมทางเป็นหมู่ๆและมากๆ เวลาไปหยุดพักที่ไหน พวกราษฎรก็พากันนั่งห้อมล้อมรอบข้าง บางคนก็มาไหว้ด้วยมือเปล่า บางคนมีเครื่องสักการะมาด้วย บางคนถึงเอาขันใส่น้ำมาขอให้ทำน้ำมนต์ และอยากเข้าให้ใกล้ชิดทุกคน พวกหนึ่งเข้ามากราบไหว้แล้วถอยออกไป พวกใหม่ก็เข้ามาแทน มีกิจที่ต้องรับและปราศรัยให้พรพวกราษฎรเพิ่มขึ้นตลอดทางที่ไปทุกแห่ง แต่ที่ไหนก็ไม่เหมือนเมืองหนองคาย
เวลาฉันพักอยู่ที่นั่น แต่เช้าก็มีพวกราษฎรมาหาทุกวัน พวกไหนมาถึงก็เข้ามานั่งอยู่ที่หน้าพลับพลา คอยอยู่จนฉันออกไปปราศรัยแล้วจึงกลับไป พวกหนึ่งไปแล้ว พวกอื่นก็มาอีก ถ้าไม่ได้พบฉันก็ไม่กลับ ต้อง "เสด็จออก" ร่ำไปไม่รู้ว่าวันละกี่ครั้ง จนฉันออกปากว่าอ่อนใจ พวกกรมการเมืองหนองคายเขาจึงบอกให้รู้ ว่าราษฎรที่มาหานั้น มิใช่แต่ชาวเมืองหนองคายเมืองเดียว พวกราษฎรทางฝั่งซ้ายในแดนฝรั่งเศสก็มามาก ฉันได้ฟังก็เกิดลำบากใจ ด้วยเดิมคิดไว้ว่าจะหาโอกาสไปดูเมืองเวียงจันทน์ แต่นึกขึ้นว่าถ้าเวลาเมื่อฉันไป มีพวกราษฎรในเมืองเวียงจันทน์พากันมาห้อมล้อมไหว้เจ้า ตามประสาของเขาเหมือนอย่างทางฝั่งข้างนี้ ก็อาจจะกระเทือนไปถึงการเมือง จึงงดความประสงค์ เลยไม่ได้ไปเห็นเมืองเวียงจันทน์ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่พ้นความลำบากได้ทีเดียว ถึงเมืองหนองคาย ครั้งนั้นรัฐบาลฝรั่งเศสมีแก่ใจจัดเรือไฟชื่อ ลาเครนเดีย อันเป็นพาหนะสำหรับข้าหลวงลำหนึ่ง กับเรือไฟสำหรับบรรทุกของลำหนึ่งส่งมาให้ฉันใช้ทางลำแม่น้ำโขง จึงลงเรือไฟมาจากเมืองหนองคายระยะทาง ๔ วันถึงเมืองนครพนม เมื่อลงเรือไฟลาแครนเดียของฝรั่งเศส ล่องลำแม่น้ำโขงลงไปจากเมืองหนองคาย ถึงเวลาบ่ายในวันแรกล่องนั้น นายเรือขอจอดรับฟืนที่สถานีของฝรั่งเศสแห่งหนึ่งทางฝั่งซ้าย เวลาขนฟืนลงเรือ ฉันนั่งอยู่บนดาดฟ้าด้วยกันกับนายพันตรีโนลังฝรั่งเศสซึ่งรัฐบาลให้เป็นผู้ไปกับฉัน มียายแก่คนหนึ่งถือพานเครื่องสักการะเดินไต่ตลิ่งลงมาจากสถานี ฉันเห็นก็นึกว่าคิดถูกที่ไม่ไปเมืองเวียงจันทน์ แต่ที่นี่มีเพียงยายแก่คนเดียวจะประสานการเมืองได้ไม่ยากนัก พอแกลงมาในเรือเดินตรงเข้ามาหาฉัน ฉันชี้มือให้แกไปที่นายพันตรีโนลัง แต่เขาก็คิดทันท่วงที ลุกขึ้นเดินไปรับพานเครื่องสักการะจากมือยายแก่เอามาส่งให้ฉัน ก็เป็นการเรียบร้อยด้วยอัชฌาสัยทั้งสองฝ่าย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 158 เมื่อ 17 พ.ค. 14, 08:39
|
|
เรือลาแครนเดีย La Grandière เป็นเรือกลไฟที่รัฐบาลฝรั่งเศสต่อขึ้นที่ประเทศแม่ แล้วส่งมาใช้งานที่อาณานิคมอินโดจีน โดยประจำการอยู่ในลาว ตอนที่เรื่องขัดแย้งกับสยาม เรือลำนี้สามารถติดปืนใหญ่เพื่อเตรียมรบกับคนไทยด้วย เมื่อเหตุการณ์สงบลงแล้วฝรั่งเศสก็ถอดปืนใหญ่ออกแล้วใช้ในกิจการด้านพลเรือนต่อไป
แม่น้ำโขงนั้นประกอบด้วยเกาะแก่งใหญ่ๆมากมาย ไม่สามารถเดินเรือผ่านขึ้นล่องได้ ฝรั่งเศสจึงต้องนำเรือมาขึ้นบกที่เมืองโขง แขวงสีพันดอน(สี่พันดอน แปลเป็นไทยว่าสี่พันเกาะ) แล้วต้องลากเรือขึ้นบก ใช้กุลีญวนชักลากไปตามรางรถไฟข้ามไปลงแม่น้ำโขงที่ปลายแก่ง แล้วจึงเดินทางต่อไปยังหลวงพระบางหรือเวียงจันทน์ได้
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33598
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 159 เมื่อ 17 พ.ค. 14, 08:51
|
|
สร้าง suspense เรื่องนางแช่น้ำแล้ว ท่าน NAVARAT.C ก็เดินทางตามเสด็จต่อไปซะดื้อๆงั้นละ แกะรอยจากรูปได้อีกนิดหน่อยว่า นางทั้งโขยงนี้ขณะถ่ายรูปยังไม่ได้ลงอาบน้ำ เพราะเห็นว่าสไบไม่ได้เปียกน้ำแนบตัว อย่างที่ควรเป็นถ้าพวกเธออาบน้ำทั้งชุดนี้แล้ว สไบสาวคนหน้าขวามือ ยังแห้งสนิท ส่วนที่ทิ้งลงจากไหล่ถ้าชุ่มน้ำ ผ้าคงแนบบ่า คนอื่นๆก็เหมือนกัน แสดงว่าเพิ่งจะลงนั่งในน้ำเมื่อถ่ายรูป เป็นได้ว่าเป็นนางแบบหน้ากล้อง ลงนั่งในน้ำให้ถ่ายรูปเท่านั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 160 เมื่อ 17 พ.ค. 14, 09:11
|
|
เอ้า ถอย ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
เชิญครับ เชิญกลับไปดูนวลน้องเล่นน้ำกันอีก วิเคราะห์กันให้แจ่ม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 161 เมื่อ 17 พ.ค. 14, 09:54
|
|
ครั้นขบวนเสด็จเคลื่อนมาใกล้หนองใหญ่แห่งหนึ่ง บรรดาช้างและโคต่างทั้งหลายได้กลิ่นน้ำก็ทำกิริยาขึ้น ท่านข้าหลวงจึงกราบทูลขอพักให้สัตว์ได้กินน้ำสักชั่วครู่ เพลานั้นมีหญิงสอบถามได้ความว่าเป็นชาวบ้านชนบทที่เพิ่งผ่านมานั้น จะมาอาบน้ำ ด้วยเวลาหัววันเช่นนี้อากาศยังมิหนาวเย็นจนเกินไปนัก ขุนจำลองทัศนีย์จึงเข้าไปเจรจาด้วยจักขอถ่ายรูปหญิงอาบน้ำไว้เป็นที่ระลึก หญิงทั้งสิ้นก็ขวยอายอิดเอื้อนอยู่ คุณนายข้าหลวงจึงได้มาช่วยพูดจากันอยู่นาน สุดท้ายแม่หญิงในกลุ่มบอกว่าจะถ่ายรูปพวกตนตอนอาบน้ำก็ได้ แต่ขอไม่ผลัดผ้าอาบ จะยอมลงไปนั่งแช่น้ำให้ถ่ายในชุดที่แต่งกายมาเช่นนี้ คุณนายข้าหลวงจึงบอกกับขุนจำลองทัศนีย์ว่าฉันหมดปัญญาแล้วเขายอมเพียงเท่านี้แหละ ท่านขุนจงรีบตั้งกล้องถ่ายเสียโดยเร็ว ขืนมัวชักช้าอยู่บัดเดี๋ยวจะไม่ทันขบวนเสด็จ
จขกท.มโนขึ้นเองตามท้องเรื่อง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33598
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 162 เมื่อ 17 พ.ค. 14, 10:06
|
|
ปานประหนึ่งรำลึกชาติได้แต่ปางก่อน เทียวหนอ น่าจะเคยได้ตามเสด็จไปในขบวนเป็นแม่นมั่น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33598
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 163 เมื่อ 17 พ.ค. 14, 10:12
|
|
นอกจากสไบไม่เปียก ผมเผ้าพวกเธอก็ยังแห้งสนิทด้วยค่ะ หน้าตายู่ยี่ เหมือนส่งภาษากายมาบอกว่า ท่านเจ้าคุณศรีนวรัตนตั้งกล้อง ใส่กระจกฟิล์ม เล็งอยู่หลังผ้าคลุมนานละเกิ๊น พวกอิฉันถูกแดดเผาซะตายิบหยีไปหมดแล้วนะเจ้าคะ
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 164 เมื่อ 17 พ.ค. 14, 10:15
|
|
ขุนจำลองทัศนีย์ พระยาศรีนวรัตน อ๊ะ เข้ากั๊นนนเข้ากัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|