NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 135 เมื่อ 14 พ.ค. 14, 06:35
|
|
ผมเพ่งมองต้นฉบับขนาดโปสการ์ดอยู่นาน เมื่อขยายแล้วจึงทราบว่าในภาพนี้มิใช่เพิงที่เขาทำถวายริมหนองให้ท่านพักระหว่างการเสด็จ แต่เป็นเพิงที่ทำเป็นประทุนคล่อมเรือมาดขนาดกลางๆสองลำที่ยึดติดกันไว้ น่าจะเป็นการนำเสด็จไปชมทิวทัศน์ของหนองดังกล่าวโดยทั่วไป
ปัจจุบันหนองนี้รู้จักกันในนามบึงทุ่งสร้าง ซึ่งจัดทำเป็นสวนสาธารณะสวยงาม ในเขตเทศบาลนครขอนแก่น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 136 เมื่อ 14 พ.ค. 14, 10:38
|
|
ฉันเดินบกไปจากเมืองนครราชสีมา ๕ วัน เข้าเขตมณฑลอุดรที่เมืองชนบท พอถึงเมืองชนบทก็เห็นชาวเมืองผิดกับเมืองนครราชสีมา ทั้งเครื่องแต่งตัวและฟังสำเนียงพูดภาษาไทยแปร่งไปอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งชาวกรุงเทพฯสำคัญกันมาแต่ก่อนว่าเป็นลาว แต่เดี๋ยวนี้รู้กันมากแล้วว่าเป็นไทยมิใช่ลาว ถึงในราชการแต่ก่อนก็อ้างว่าหัวเมืองในมณฑลพายัพกับมณฑลอุดรและอีสานเป็นลาว เรียกมณฑลพายัพว่า "ลาวพุงดำ" เพราะผู้ชายชอบสักมอมตั้งแต่พุงลงไปจนถึงเข่า เรียกชาวมณฑลอุดรและอีสานว่า "ลาวพุงขาว" เพราะไม่ได้สักมอมอย่างนั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 137 เมื่อ 15 พ.ค. 14, 06:45
|
|
สงสัยอยู่ครามครันว่า แม่หญิงชาวชนบทสมัยนั้นลงอาบน้ำในชุดผ้าซิ่นห่มสไบอย่างนั้นตามปกติวิสัยหรือว่าจัดฉาก ด้วยเห็นชาวกรุงยกกล้องมาจ้องจะถ่ายรูป ลองไปค้นชุดอาบน้ำของแหม่มตะวันตกดู ก็เห็นว่ากาลครั้งหนึ่ง พวกเธอก็หวงนวลสงวนตัว ไม่อยากให้สายตาใครได้ค้นพบว่าพุงขาวหรือพุงลายเหมือนกัน
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 138 เมื่อ 15 พ.ค. 14, 07:00
|
|
อันนี้เพื่ออ่านเป็นความรู้ครับ
เมื่อจัดหัวเมืองชายพระราชอาณาเขตเป็นมณฑลในรัชกาลที่ ๕ ราว พ.ศ. ๒๔๓๓ แรกก็ขนานนามหัวเมืองลาวพุงดำว่า"มณฑลลาวเฉียง"มณฑล๑ ขนานนามหัวเมืองลาวพุงขาวว่า"มณฑลลาวพวน"มณฑล๑ "มณฑลลาวกาว"มณฑล๑ เป็นเช่นนั้นมาจนถึงสมัยเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเปลี่ยนแปลงลักษณะการปกครองพระราชอาณาเขตตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๓๕ เป็นต้นมา ด้วยทรงพระราชปรารภว่า ลักษณะการปกครองแบบเดิมนิยมให้เป็นอย่างประเทศราชาธิราช(Empire) อันมีเมืองคนต่างชาติต่างภาษาเป็นเมืองขึ้นอยู่ในพระราชอาณาเขต จึงถือว่าเมืองชายพระราชอาณาเขต ๓ มณฑลนั้นเป็น"เมืองลาว" และเรียกชาวเมืองซึ่งอันที่จริงเป็นชนชาติไทยว่าลาว แต่ลักษณะการปกครองอย่างนั้นพ้นเวลาอันสมควรเสียแล้ว ถ้าคงไว้กลับให้โทษแก่บ้านเมือง
จึงทรงพระราชดำริให้แก้ลักษณะการปกครอง เปลี่ยนเป็นอย่าง พระราชอาณาเขต(Kingdom) ประเทศไทยรวมกัน เลิกประเพณีที่มีเมืองประเทศราชถวายต้นไม้ทองเงิน และให้เปลี่ยนนามมณฑลลาวเฉียงเป็น "มณฑลพายัพ" เปลี่ยนนามมณฑลลาวพวนเป็น "มณฑลอุดร" และเปลี่ยนมณฑลลาวกาวเป็น "มณฑลอีสาน" ตามทิศของพระราชอาณาเขต ทั้งให้เลิกเรียกไทยชาวมณฑลทั้ง ๓ นั้นว่าลาวด้วย แต่นั้นก็เรียกรวมกันว่า "ไทยเหนือ" แทนเรียกว่าลาว ถ้าเรียกแยกกันก็เรียกตามชื่อมณฑลที่อยู่ว่า ชาวมณฑลพายัพ ชาวมณฑลอุดร ชาวมณฑลอีสาน อย่างเช่นที่เรียกชาวมณฑลปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตกว่า "ชาวนคร" (นครศรีธรรมราช)
ครั้นมาถึงสมัยเมื่อเลิกมณฑลเสียแล้ว มีผู้รู้โบราณคดีคนหนึ่งแต่งหนังสือเอาชื่อแว่นแคว้นมณฑลพายัพแต่โบราณ มาใช้เรียกชาวมณฑลพายัพว่า "ชาวลานนา" ฉันเห็นชอบด้วย จึงเอาอย่างมาเรียกชาวมณฑลอุดรและอีสานในนิทานนี้ว่า "ชาวลานช้าง" ตามชื่อแว่นแคว้น อันเป็นคู่กันกับ "ลานนา" มาแต่ก่อน
เดี๋ยวนี้เขาไม่เรียกลานนา-ลานช้างแล้ว แก้ไขเป็นล้านนา-ล้านช้าง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 139 เมื่อ 15 พ.ค. 14, 07:15
|
|
เมืองอุดรธานี แต่เดิมเรียกว่า "บ้านเดื่อหมากแข้ง" เพิ่งตั้งเป็นเมืองเมื่อ ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) ยังไม่มีอะไรที่น่าพรรณนาในนิทานนี้......
..........เมื่อภายหลังฉันไปมณฑลอุดรได้สักปีหนึ่ง วันหนึ่งราชทูตฝรั่งเศสให้มาบอกว่า กิจการทางชายแดนฝรั่งเศสกับไทยก็เรียบร้อยมานานแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ได้ทราบว่าสมุหเทศาภิบาลมณฑลอุดร รับญวนหัวหน้ากบฏที่หนีจากเมืองญวนเลี้ยงไว้คนหนึ่ง เหตุใดจึงทำเช่นนั้น ฉันได้ฟังออกประหลาดใจ ตอบไปว่าฉันไม่ทราบเลยทีเดียว แต่เทศาฯคนนั้นฉันไว้ใจว่าคงไม่ทำอะไรให้ผิดความประสงค์ของรัฐบาล ถ้ารับญวนหัวหน้ากบฏเลี้ยงไว้ ก็เห็นจะเป็นเพราะไม่รู้ว่าเป็นคนเช่นนั้น ฉันจะถามดูก่อน เมื่อมีตราถามไป พระยาโพธิตอบมาว่า เดิมญวนคนนั้นไปหาที่เมืองอุดรธานี ว่าจะขอรับจ้างทำการงานเลี้ยงชีพแล้วแต่จะใช้ พระยาโพธิสืบได้ความว่าเคยเป็นหัวหน้าพวกกบฏหนีมาจากเมืองญวน คิดว่าที่ในมณฑลอุดรธานี มีพวกญวนเข้ามาตั้งค้าขายอยู่หลายแห่ง ถ้าปล่อยญวนคนนั้นไปเที่ยวหากินตามชอบใจ อาจจะไปชักชวนพวกญวนที่อยู่มณฑลอุดรให้ร่วมคิดกับพวกกบฏ ด็จะเกิดลำบากขึ้นในระหว่างรัฐบาลทั้งสองฝ่าย ครั้นจะจับกุมกักขังญวนคนนั้น ก็ไม่ได้ทำความผิดอย่างใดในเมืองไทย เห็นว่าหางานให้ทำอยู่ใกล้ๆจะดีกว่าอย่างอื่น มันทำอย่างไรจะได้รู้ จึงได้จ้างญวนนั้นไว้เป็นคนเลี้ยงม้า ฉันอ่านคำตอบชอบใจ ส่งไปให้ทูตฝรั่งเศสดู ก็ชมมาว่าเทศาฯทำถูกแล้ว
พระยาโพธิเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลอุดรมาจนถึงอนิจกรรม ในเวลานั้นฉันยังเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 140 เมื่อ 15 พ.ค. 14, 07:28
|
|
"พระยาโพธิ" ในพระนิพนธ์ผู้เป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลอุดรท่านนี้ รับราชการมีความดีความชอบเป็นเอนกอนันต์ ต่อมาได้เป็นถึงที่พระยาศรีสุริยราชวรานุวัติ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 141 เมื่อ 15 พ.ค. 14, 07:29
|
|
สงสัยอยู่ครามครันว่า แม่หญิงชาวชนบทสมัยนั้นลงอาบน้ำในชุดผ้าซิ่นห่มสไบอย่างนั้นตามปกติวิสัยหรือว่าจัดฉาก น่าจะเป็นการจัดฉากครับ เพราะผิดวิสัยการเล่นน้ำต้องผลัดผ้าออก จะตีโป่งลอดผ้านุ่งคงไม่งาม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 142 เมื่อ 15 พ.ค. 14, 07:45
|
|
นั่นดิ๊ แต่จัดฉากแปลว่า เธอนุ่งห่มกันมาสวยงามเพื่อดูขบวนเสด็จ แต่ตากล้องกลับให้พวกเธอลงไปนั่งแช่น้ำเล่นซะยังงั้น เพียงเพื่อจะถ่ายรูปรึ
จึงสมควรรอความเห็นแม่หญิงในเรือนไทยนี้ จะด่วนสรุปคงยังไม่ได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 143 เมื่อ 15 พ.ค. 14, 10:50
|
|
สงสัยอยู่ครามครันว่า แม่หญิงชาวชนบทสมัยนั้นลงอาบน้ำในชุดผ้าซิ่นห่มสไบอย่างนั้นตามปกติวิสัยหรือว่าจัดฉาก น่าจะเป็นการจัดฉากครับ เพราะผิดวิสัยการเล่นน้ำต้องผลัดผ้าออก จะตีโป่งลอดผ้านุ่งคงไม่งาม ช่างสังเกตกันจริงจริ๊ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 144 เมื่อ 15 พ.ค. 14, 11:30
|
|
แม่หญิงชาวชนบทในภาพ มีหัวหน้าทีมเป็นผู้มีอายุ ส่วนลูกทีมล้วนอายุเยาว์วเรศรุ่นเจริญศรี เห็นทีจะยกทีมมาล้างอะไรซักอย่างในหนองน้ำเป็นแน่แท้
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 145 เมื่อ 15 พ.ค. 14, 12:27
|
|
เห็นล้างเท้าน่ะคนหนึ่งละ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 146 เมื่อ 15 พ.ค. 14, 18:22
|
|
ไม่รู้ว่าสาวอีสานอาบน้ำ มีผ้าติดตัวอยู่หรือไม่ แต่สาวภาคกลางอย่างนางพิม ลงอาบน้ำที่ท่าน้ำ พร้อมพี่เลี้ยงและบ่าวสาวๆ มีขุนช้างไปแอบดู เธอน่าจะนุ่งกระโจมอก เพราะบรรยายว่า นั่งถูตัวอยู่ ผ้าเลื่อนหลุดลงมาจากรักแร้ จนขุนช้างมองเห็น ขุนช้างทะยานงุ่นง่านใจ ผ้านางพิมไพล่จากรักแร้ ขุนช้างเห็นนมกลมตละปั้น ........................ จากนั้นก็มีคำบรรยายว่าตอนอาบน้ำเสร็จก็ขึ้นมาผลัดผ้า เดินกลับบ้านกันเป็นขบวน
ส่วนในภาพนี้ สาวอีสานลงน้ำไปทั้งชุดใหญ่ สไบยังห่มมิดชิดรัดกุม เช่นเดียวกับผ้านุ่งก็นุ่งเป็นโจงกระเบนอยู่ ไม่เหมาะจะลงอาบน้ำเลย เรียกว่าลงแช่น้ำเฉยๆดีกว่ามั้งคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Jalito
|
ความคิดเห็นที่ 147 เมื่อ 15 พ.ค. 14, 20:09
|
|
จริงๆแล้วเป็นนักเรียนอยู่ข้างจะธัมมะธัมโม อาจารย์ทิ้งวรรคสำคัญเป็นดอทดอทดอทไว้ เลยพลอยงุ่นง่านทะยานใจตามขุนช้างไปด้วย จะไปค้นฉบับจริงต้องไปรื้อค้นอีกหลายเพลา ขอความกรุณาท่านอาจารย์ต่ออีกนิดเถอะครับ จะได้เห็นลีลาฝีปากครูบาอาจารย์สมัยโน้นด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 148 เมื่อ 15 พ.ค. 14, 21:32
|
|
ท่านอาจารย์อาจจะไม่สะดวกใจ จขกท.จึงขอรับหน้าที่แทนครับ
สายทองนางพิมอยู่ริมตลิ่ง หัวเราะล้มกลิ้งไม่ลุกได้ ขุนช้างทะยานงุ่นง่ามใจ ผ้านางพิมไพล่จากรักแร้ ขุนช้างเห็นนมกลมตะละปั้น มือคั้นหน้าแข้งยึนแยงแย่ โคลงตัวคลุกคลุกเป็นตุ๊กแก อีแม่เอ๋ยวันนี้กูตาย
คุณหมอคงทราบได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับขุนช้าง จึงได้ออกอาการจะเป็นจะตายเช่นนั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Jalito
|
ความคิดเห็นที่ 149 เมื่อ 15 พ.ค. 14, 23:38
|
|
ขอบคุณอาจารย์NAVARAT.C ครับ ค่อยโล่งไปได้ เป็นเด็กต่างจังหวัด เด็กหญิงชายแถวบ้านจะรวมกลุ่มเล่นกันไม่ถือสา สมัยก่อนการเล่นกลางแจ้งก็มี ไม้หึ่ง ตี่จับ ลิงชิงหลัก ช่วงน้ำขึ้น น้ำในคลองแถวบ้านจะใส เด็กๆจะลงเล่นน้ำกัน คลุกคลีตีโมงกันมากๆ ก็เรียนรู้แต่เด็กว่า เอ้อ..ผิวสัมผัสต่างเพศให้ความรู้สึกอีกแบบแฮะ แต่ไม่ได้งุ่นง่านแบบขุนช้างหรอกนะครับ ยังเด็กๆกัน ขอเชิญอาจารย์NAVARAT.C ดำเนินกระทู้ต่อเลยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|