เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8 9 ... 14
  พิมพ์  
อ่าน: 13332 คุยกันเรื่องวิลเลียม ซอมเมอเซท มอห์ม (William Somerset Maugham)
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41506

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 90  เมื่อ 15 ก.ค. 25, 08:54

    หล่อนกินไข่ปลาคาเวียร์และปลาแซมมอนไปพลาง คุยไปพลางถึงเรื่องศิลปะ วรรณกรรม และดนตรี  ส่วนตัวผู้ชายก็ได้แต่นั่งเงียบฟังอย่างเดียว   ใจมัวพะวงว่าค่าอาหารจะออกมาเท่าไหร่
   จนเนื้อแกะนำมาเสิฟ   ผู้หญิงก็ออกปากตำหนิว่า 
    " ทำไมกินมื้อกลางวันหนักจังคะ  ไม่เอาอย่างฉันล่ะ กินแค่จานเดียว"
    " ผมก็กินจานเดียวเท่านั้น"
     เมื่อบริกรเดินมาถามว่าจะสั่งอะไรอีกหรือไม่    หล่อนก็โบกมือปฏิเสธแบบสบายๆ ตอบว่า
     "ไม่ค่ะ ปกติมื้อกลางวันฉันไม่กินอยู่แล้ว  ถ้ากินก็แค่คำสองคำ  เอาไว้ประกอบการคุยเท่านั้น  เว้นแต่ว่าจะมีแอสปารากัส  มาปารีสทั้งที ไม่กินแอสปารากัสก็น่าเสียดาย"
     แอสปารากัสเป็นของแพงสาหัสในตอนนั้น   บริกรยิ้มกว้างเมื่อได้ยินคำสั่งลูกค้า   
     หล่อนบอกว่า
     " ฉันไม่หิวหรอกนะคะ แต่ถ้าคุณอยากให้ชืมก็สั่งมาหนึ่งที่แล้วกัน  คุณล่ะ ไม่กินบ้างหรือคะ"
    "ไม่ครับ   ผมไม่เคยกินหน่อไม้ฝรั่ง"
     "ฉันรู้ว่ามีบางคนไม่ชอบ  แต่คุณรับประทานของหนักๆอย่างเนื้อเข้าไปแล้ว คงกินอะไรไม่ลงอีก"
      ตอนนั้น  เขาเริ่มตื่นตระหนกว่าจะมีเงินพอจ่ายมื้อนี้หรือไม่   ทำไงดีหนอ  ถ้าไม่พอจะต้องยืมเงินแขกเชิญก็น่าอายแย่   หรือทำทีว่าถูกล้วงกระเป๋า ก็ไม่ไหวเหมือนกัน
      ในที่สุด แอสปารากัสก็มาถึง   หล่อนก็กินอย่างเอร็ดอร่อย   
      เป็นอันจบมื้อนั้น
      "รับกาแฟไหมครับ?" เขาถาม
      "ค่ะ ขอแค่ไอศกรีมกับกาแฟก็พอ
      เป็นอันว่าหล่อนกินไอศกรีมกับกาแฟตบท้าย  ส่วนเขาสั่งกาแฟอย่างเดียว
      แต่..เปล่า...ยังไม่จบอยู่ดี 
      " คุณรู้ไหมคะ ฉันเชื่ออยู่อย่าง" หล่อนบอกขณะกินไอศกรีม "คนเราไม่ควรกินอิ่มเกินไป  น่าจะให้ท้องยังว่างอีกนิดหน่อยเวลากินเสร็จ" 
     "คุณยังหิวอยู่รึครับ?" เขาถามอย่างหมดแรง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41506

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 91  เมื่อ 15 ก.ค. 25, 09:05

    "อุ๊ย  ไม่หรอกค่ะ   ปกติฉันไม่กินอาหารกลางวันอยู่แล้ว  เช้าดื่มกาแฟแล้วข้ามไปมื้อเย็นเลย   ส่วนกลางวันก็กินอะไรนิดๆหน่อยๆแต่หนึ่งอย่าง    ฉันหมายถึงคุณต่างหาก"
     "อ้อ  ครับ ผมเข้าใจแล้ว!"
      เรื่องแย่ยังไม่จบแค่นั้น ยังตามมาอีกในรูปของบริกรถือตะกร้าใบใหญ่เดินผ่านมา  ในตะกร้าบรรจุลูกพีชขนาดใหญ่ ผิวอิ่ม แดงระเรื่อเหมือนแก้มสาวบริสุทธิ์    เป็นผลไม้นอกฤดูที่ราคาแพงลิบลิ่ว    แขกรับเชิญกำลังคุยเพลิน  ก็เลยเผลอหยิบมาลูกหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ
    หล่อนบอกอีกว่า
    " เห็นไหมคะ คุณรับประทานเนื้อแกะหนักท้องจนอิ่ม  เลยกินอะไรไม่ลง  ไม่เหมือนฉัน  ฉันกินอะไรเบาๆ ก็เลยยังกินลูกพีชได้อีก"  
    เมื่อบิลค่าอาหารมาถึง  ปรากฏว่าเขาต้องเทกระเป๋าจนเกลี้ยงสำหรับมื้อนั้น   เมื่อเดินมาส่งหล่อนที่หน้าร้านอาหาร หล่อนบอกว่า
   "ลองทำตามอย่างฉันนะคะ  อย่ากินเกินหนึ่งอย่างสำหรับมื้อกลางวัน"
    "ผมจะทำได้ดีกว่านั้นอีกครับ " ผมตอบกลับ "เย็นนี้ ผมจะไม่กินอะไรเลย"
    " ตลกจัง!" หล่อนว่าอย่างร่าเริง ขณะก้าวขึ้นรถแท็กซี่ "คุณนี่ตลกจริงๆด้วย!"
    20 ปีผ่านไป   เมื่อพบกันอีกครั้ง เขาเชื่อว่าเทพเจ้าได้ลงโทษผู้หญิงคนนี้สาสมแล้ว    เขาสะใจมากเมื่อพบว่าวันนี้หล่อนหนักอย่างน้อยก็ 133 กิโลกรัมเข้าไปแล้ว
 
จบ


   แล้วจะกลับมาวิเคราะห์แนวการเขียนของมอห์มจากเรื่องนี้นะคะ
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8464


ความคิดเห็นที่ 92  เมื่อ 15 ก.ค. 25, 10:35

             อ่านแล้วนึกถึงฉาก "มื้อกลางวัน" จากนิยายน่าจะเป็นของ เศก ดุสิต เมื่อนานมากสมัยยังเป็นนักเรียน
             บรรยายความตอนที่พระเอกมีนัดหญิงรับประทานมื้อกลางวัน โดยฝ่ายหญิงเลือกร้านอาหารญี่ปุ่น*
(สมัยนั้นจัดว่าเป็นของหรูและแพง) บรรยากาศอารมณ์เหมือนในเรื่องนี้อย่างสูง พระเอกของเราระมัดระวังเลือก
รายการอาหารที่ราคาย่อมเยาโดยคำนึงถึงคำนวณเงินที่มีในกระเป๋าตลอดเวลา รายการอาหารผ่านไปทีพระเอก
ก็เหงื่อซึมทีโดยที่ความเย็นของเครื่องปรับอากาศในร้านช่วยไม่ได้เลย เมื่อถึงเวลาใกล้จะคิดเงิน, คำนวณดูแล้ว
มีไม่พอจึงขอตัวไปห้องน้ำ แต่ความจริงคือแอบไปโทรศัพท์ให้คนรู้จักนำเงินมาเพิ่ม แล้วมาจิบกาแฟอย่างช้าๆ
แทบว่าจะทีละหยดเพื่อรอเงิน  
             เรื่องผ่านไปโดยที่ พระเอกแวบไปรับเงินแล้วกลับมา พบว่าฝ่ายหญิงได้จ่ายค่าอาหารไปเรียบร้อยแล้ว

* ความจำแว้บกลับมา บอกว่า น่าจะเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นชั้นบนของห้าง ไทยไดมารู ราชประสงค์ สาขาดั้งเดิม
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16150



ความคิดเห็นที่ 93  เมื่อ 15 ก.ค. 25, 12:35

ยังนึกอยู่ว่า ฉากในเรื่อง "อาหารมื้อกลางวัน" ของมอห์ม คงสามารถนำไปดัดแปลงแทรกในนวนิยายไทยได้อีกหลายเรื่อง

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41506

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 94  เมื่อ 15 ก.ค. 25, 20:36

  อย่างที่บอกมาแล้วว่า มอห์มเป็นนักเขียนที่เล่าเรื่องด้วยภาษาเรียบง่าย  แสดงภาพที่ผ่านสายตาผู้เล่า เหมือนเรามองเห็นภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวิดีโอ    แต่เขาเข้าใจซ่อนเรื่องราวที่ลึกกว่านั้นไว้ระหว่างบรรทัดอย่างแยบคาย   ไม่บอกออกมาตรงๆ แต่ให้คนอ่านคิดเอาเอง  
  มองจากที่เห็นผ่านสายตาของนักเขียนหนุ่ม(ซึ่งอาจเป็นตัวมอห์มเอง) ก็คือชายหนุ่มคนหนึ่งเชิญหญิงคนหนึ่งไปรับประทานอาหารมื้อกลางวันในภัตตาคาร  แต่เงินแทบไม่พอจ่าย   จบลงด้วยเงินหมดกระเป๋า ต้องลำบากยากแค้นไปตลอดเดือน  
  แต่ระหว่างบรรทัด  มอห์มทำให้เราเห็นอะไรบ้าง  ลองมาดูกัน
  1   ผู้หญิงเป็นฝ่ายทอดสะพานไมตรีเข้ามาก่อน  ไม่ใช่ผู้ชายเป็นฝ่ายสนใจอยากผูกมิตรด้วยแต่แรก
   หล่อนเขียนจดหมายมาแสดงความชื่นชมผลงานของเขา   จดหมายชมแบบนี้ แน่นอนว่าผู้รัับต้องตอบรับด้วยความยินดี
   2  เมื่อตอบรับแล้ว ก็ถึงเป้าหมาย คือบอกว่าจะแวะมาปารีส มีเวลาน้อยนิดแค่กินอาหารกลางวันด้วย  บอกชื่อร้านมาเสร็จสรรพ
   ถ้าเป็นคนที่ไม่มีแผนอยู่ในใจ   อยากจะแวะมาพบปะนักเขียนที่ตัวชื่นชอบ   ก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาควักกระเป๋าเลี้ยงอาหาร  และไม่สมควรระบุชื่อร้านอาหารแพงๆด้วย
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41506

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 95  เมื่อ 16 ก.ค. 25, 09:55

  3 ตอนที่ผู้เล่าเรื่องมาเจอหน้าผู้หญิงคนนี้ครั้งแรก  เขาบอกว่า หล่อนไม่ใช่หญิงสาวอย่างที่เขาคิด แต่เป็นหญิงวัย 40
   ทำไมผู้เล่าเรื่องถึงคิดว่าหล่อนเป็นสาว  ก็เป็นเพราะข้อความในจดหมาย น่าจะเขียนด้วยสำนวนหวานๆอ้อนๆ แบบสาวน้อย เขียนถึงชายที่หล่อนปลื้ม     ผู้หญิงอายุ 40 ถ้าชื่นชมศิลปินน่าจะใช้สำนวนสุภาพ หรือเรียบๆเป็นทางการอยู่สักหน่อย
   เรื่องนี้เขียนขึ้นหลังจากเหตุการณ์ผ่านไป 20 ปี   ผู้เล่าอยู่ในวัยผู้ใหญ่ผ่านโลกมาพอสมควรแล้ว    วิธีเล่าอ้อมๆแบบนี้คือให้คิดเอาเองว่า หล่อนวางกับดักไว้ตั้งแต่วิธีเขียนจดหมายเลยทีเดียว
   4   ต่อไปก็มาดูวิธีการพูดของผู้หญิงคนนี้บ้าง
       ฉันไม่กินอะไรตอนกลางวันหรอกค่ะ
       ฉันไม่เคยกินอาหารเกินหนึ่งจานค่ะ
       ที่จริงปลาเล็กๆสักตัวก็พอ
       ฉันไม่เคยกินอะไรเกินหนึ่งจานอยู่แล้ว    เว้นแต่จะมีไข่ปลาคาเวียร์
       ฉันไม่เคยดื่มอะไรตอนกลางวันเลยค่ะ    ยกเว้นไวน์ขาว
       หมอประจำตัวไม่ให้ฉันดื่มอย่างอื่นนอกจากแชมเปญค่ะ
       ปกติมื้อกลางวันฉันไม่กินอยู่แล้ว   เว้นแต่ว่าจะมีแอสปารากัส  มาปารีสทั้งที ไม่กินแอสปารากัสก็น่าเสียดาย
       ขอแค่ไอศกรีมกับกาแฟก็พอ
       ฉันกินอะไรเบาๆ ก็เลยยังกินลูกพีชได้อีก

       ฝ่ายชายกินเนื้อแกะชิ้นเล็กๆ 1 จานกับกาแฟ
       สรุปว่า มื้อกลางวัน หล่อนสวาปาม 1 ปลาแซมมอน 2 ไข่ปลาคาเวียร์ 3 แชมเปญ  4 แอสปารากัส  5 ไอศกรีม 6 กาแฟ 7  ลูกพีชลูกใหญ่
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41506

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 96  เมื่อ 17 ก.ค. 25, 11:11

   5  ความเด่นของวรรณกรรมไม่ได้อยู่ที่ว่าเนื้อหาจะต้องซับซ้อน  ตรงกันข้าม เรื่องนี้มีเนื้อหาง่ายๆธรรมดาๆมาก  แต่วิธีเล่าของมอห์มต่างหากที่เป็นชั้นเชิงของนักประพันธ์เอก
   มอห์มไม่ได้บอกออกมาโจ่งแจ้งว่าตัวละคร 2 ตัวในเรื่องเป็นคนประเภทไหน อย่างไร    เขาให้คนอ่านมองเห็นเอาเอง ว่าฝ่ายชายคือนักเขียนหนุ่มอ่อนหัด  ขี้เกรงใจ  รักษามารยาท  ส่วนผู้หญิงก็คือไก่แก่แม่ปลาช่อน เพียงแต่ไม่ได้มุ่งไปด้านชู้สาว แต่หล่อนเจนโลกเรื่องหลอกให้ผู้ชายเลี้ยงอาหารแพงๆ 
   ถ้าหากว่ามอห์มเขียนเสียใหม่ แบบตรงๆ มีอะไรเล่าหมด  อย่างข้างล่างนี้   ก็จะเหมือนใครคนหนึ่งมาพล่ามประสบการณ์ห่วยๆของตัวเองให้เพื่อนฝูงฟัง ด้วยน้ำเสียงเคืองแค้น   ฟังแล้วก็แล้วกัน   หาความน่าสนใจไม่ได้เลย   
   ถ้าเป็นงานเขียนก็คือเรื่องเขียนแบบไร้ฝีมือ ไร้วรรณศิลป์
   " เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีก่อน  ผมยังเป็นนักเขียนหน้าใหม่ กระเป๋าแห้ง   นิสัยก็เป็นคนขี้เกรงใจคน   อยากรักษาหน้าตัวเอง  แถมยังอ่อนหัดไม่รู้เท่ากันผู้หญิง    ส่วนแม่คนนั้นก็เป็นผู้หญิงวัยคราวน้า รอบจัด เหลี่ยมจัด  สามารถหลอกให้ผมเลี้ยงอาหารแพงๆได้อย่างหน้าด้านๆ  แถมยังโกหกทุกคนเสียอีก"
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41506

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 97  เมื่อ 17 ก.ค. 25, 11:42

   ถ้าถามว่า เนื้อเรื่องเดียวกันแต่เล่าโดยนักเขียนแต่ละคนไม่ซ้ำกัน  เรื่องจะมีคุณค่าน่าสนใจเท่าเทียมกันไหม  คำตอบคือไม่
   คุณค่าของวรรณกรรมไม่ได้อยู่แค่เนื้อเรื่อง  แต่อยู่ที่ชั้นเชิงการเล่าด้วย   ว่าเรื่องไหนทำให้ "คิด"  ส่วนเรื่องไหนทำได้แค่ให้ "ฟัง"
   เรื่องนี้ถ้าเล่าแบบธรรมดา ก็เป็นการเลี้ยงอาหารแพงๆที่เจ้าภาพเกือบไม่มีเงินจ่าย   แต่มอห์มทำให้เรา"คิด" ได้ว่านี่มันคือศึกระหว่างฝ่ายเจ้าภาพและแขกต่างหาก  มีอาหารเป็นเดิมพัน    เป็นเรื่องขำที่ไม่ใช่เรียกเสียงหัวเราะกันงอหาย แต่คนอ่านอ่านแล้วมักจะขำระคนอึดอัดใจกับวิธีรุกคืบเอาอาหารในแต่ละขั้นตอนของฝ่ายหญิง   ส่วนฝ่ายชายก็ได้แต่ถูก "ยิง" ครั้งแล้วครั้งเล่า ให้คนอ่านลุ้นระทึกว่าในตอนจบเขาจะต้องยกธงขาว ไม่มีเงินพอจ่ายหรือไม่
   
6   นักเขียนที่เก่งจะไม่บรรยายออกมาโต้งๆ ว่าตัวละครแต่ละตัวเป็นคนอย่างไร  พฤติกรรมแบบนี้เรียกว่าอะไรดี  แต่จะให้คนอ่านคิดเอาเอง
    ฝ่ายชายในเรื่องนี้ สิ่งที่มอห์มบรรยายจากลักษณะภายนอกคือเป็นคนจน   พูดน้อย  รู้สึกอย่างไรก็เก็บไว้ในใจ   ตรงกันข้ามกับผู้หญิงที่พูดไม่หยุด
    สิ่งที่ให้คิดเอาเองคือ  เขาต้องเป็นคนอ่อนต่อโลก   รักษาหน้าตัวเอง จึงยอมไปรา้นอาหารแพงๆโดยดี  แทนที่จะบอกผู้หญิงแต่แรกว่า ผมสะดวกที่จะไปร้านอาหารอื่น(ที่ไม่แพง)มากกว่าครับ   แต่กลับพยายามรักษาหน้า แม้ใจสั่นระรัวทุกครั้งที่หล่อนสั่งอาหารเพิ่ม—เขาก็ขี้เกรงใจจนไม่กล้าพูดว่า "ไม่" เลยสักครั้ง
    พอเข้าใจเขา  เราก็จะหวนนึกถึงตัวเอง ว่าสมัยยังเป็นละอ่อน  เราเองก็เคยเจอมาแบบนี้บ้างหรือเปล่า  คือหน้าบาง ขี้เกรงใจ จนเสียเปรียบคนอื่น   ใครบ้างล่ะไม่เคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น  มันก็คงเคยเจอบ้างละน่า
    ตรงนี้คือฝีมือของนักเขียน ให้คนอ่านรู้สึกว่า "ดูหนังดูละคร แล้วย้อนดูตัว"
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41506

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 98  เมื่อ 18 ก.ค. 25, 09:54

   ทีนี้ มาดูถึงตัวละครเอกในเรื่องสั้นนี้บ้าง   มอห์มไม่ได้ระบุชื่อหล่อน  ไม่ได้บอกภูมิหลัง หรืออาชีพ   แต่ก็บอกอะไรเกี่ยวกับตัวหล่อนให้คนอ่านได้มองเห็นมากโดยไม่ต้องบรรยายออกมาโต้งๆ ตรงๆ
   วิิธีบอกโดยไม่ต้องเล่าแบบนี้ นักเขียนที่เจนจัดและมีชั้นเชิงการเขียนถึงจะทำได้     ถ้ายังอ่อนเชิง ก็จะบรรยายออกมาตรงๆ
   " ผู้หญิงคนนี้เป็นคนน่ารังเกียจ    ใครจะคบหาสมาคมด้วยต้องระวังให้ได้   หล่อนเป็นคนปากหวานแต่ไม่จริงใจ   พูดจาโกหกหน้าตาเฉย ฯลฯ
   มอห์มไม่ทำแบบนั้น  เขาถ่ายทอดคำพูดของหล่อนออกมาให้คนอ่านได้ฟังแต่ละประโยค  ที่ล้วนแต่ขัดกันเองทั้งสิ้น
เพื่อให้คนอ่านสรุปได้เอง
    -บอกว่าไม่กินมื้อกลางวัน แต่สวาปามจนเจ้าภาพหมดตัว
   - พูดเท็จหน้าตาเฉย   
   - โยนความผิดให้คนอื่น  ด้วยการย้ำว่าเขาเป็นฝ่ายกินอาหารมากกว่าหล่อน ทั้งๆเขากินจานเดียว
   - หล่อนดูออกว่าเขาหมดตัว แต่ก็ทำเป็นไม่รู้
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16150



ความคิดเห็นที่ 99  เมื่อ 20 ก.ค. 25, 09:35

ลองให้ Grok3 วิจารณ์ "The Luncheon" ของ มอห์ม ได้เรื่องดังนี้

๑. การเสียดสีและอารมณ์ขัน มอห์มใช้ภาษาที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความประชดประชันในการถ่ายทอดเรื่องราว การที่ผู้เล่าต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่อึดอัดแต่ไม่สามารถแสดงออกได้อย่างตรงไปตรงมา สร้างความขบขันให้กับผู้อ่าน โดยเฉพาะการที่หญิงสาวยืนยันว่าเธอ "กินน้อย" แต่กลับสั่งอาหารราคาแพง เช่น คาเวียร์ แซลมอน และแชมเปญ สะท้อนถึงความหน้าซื่อใจคดและความไม่รู้ตัวของตัวละครนี้ อารมณ์ขันในเรื่องนี้เกิดจากความขัดแย้งระหว่างคำพูดและการกระทำของตัวละคร รวมถึงความรู้สึกของผู้เล่าที่ต้องฝืนยิ้มทั้งที่ใจสลาย

๒. ตัวละครที่สมจริง มอห์มสร้างตัวละครหญิงสาวที่เป็นตัวแทนของคนบางประเภทในสังคมคนที่ดูดีมีมารยาทแต่ขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เธอไม่ได้มีเจตนาร้าย แต่ความไม่ใส่ใจต่อสถานการณ์ของผู้อื่นทำให้เธอกลายเป็นตัวละครที่น่าหงุดหงิดแต่ก็น่าสนใจ ในทางกลับกัน ผู้เล่าเป็นตัวละครที่ผู้อ่านสามารถรู้สึกเห็นใจได้ เพราะเขาต้องเผชิญกับความกดดันทางสังคมที่บังคับให้เขาต้องรักษาหน้า แม้ว่าจะต้องเสียเงินจำนวนมากที่เขาไม่มี

๓. ประเด็นทางสังคม เรื่องนี้สะท้อนถึงประเด็นของชนชั้น ความคาดหวังทางสังคม และมารยาทในสังคมยุโรปช่วงต้นศตวรรษที่ ๒๐ ผู้เล่าที่เป็นนักเขียนหนุ่มที่มีรายได้จำกัดต้องเผชิญกับความกดดันในการรักษาภาพลักษณ์ในสังคมที่ให้ความสำคัญกับมารยาทและการปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณะ การที่เขายอมจ่ายเงินเกินตัวเพื่อรักษาหน้าสะท้อนถึงความขัดแย้งระหว่างความต้องการส่วนตัวและความคาดหวังของสังคม

๔.โครงสร้างและสไตล์การเขียน มอห์มใช้โครงสร้างเรื่องที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ การเล่าเรื่องผ่านมุมมองบุคคลที่หนึ่งทำให้ผู้อ่านรู้สึกใกล้ชิดกับความคิดและความรู้สึกของผู้เล่า ภาษาที่ใช้กระชับและตรงไปตรงมา แต่เต็มไปด้วยรายละเอียดที่ช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพของสถานการณ์ได้ชัดเจน เช่น การบรรยายเมนูอาหารที่หรูหราและปฏิกิริยาของผู้เล่าเมื่อเห็นบิล นอกจากนี้ การหักมุมในตอนท้าย เมื่อผู้เล่าพบหญิงสาวอีกครั้งในอีกหลายปีต่อมาเพิ่มความน่าจดจำให้กับเรื่องราว

๕. ข้อคิดจากเรื่อง "The Luncheon" ไม่เพียงแต่ให้ความบันเทิง แต่ยังชวนให้ผู้อ่านครุ่นคิดถึงเรื่องของความจริงใจ มารยาท และผลกระทบของการกระทำที่ขาดการไตร่ตรอง การที่หญิงสาวไม่ตระหนักถึงผลกระทบจากการกระทำของเธอ สะท้อนถึงพฤติกรรมของคนที่มักมองข้ามความรู้สึกของผู้อื่น ในขณะที่ผู้เล่าเองก็เป็นตัวอย่างของคนที่ยอมจำนนต่อความกดดันทางสังคมจนต้องสูญเสียบางสิ่งไป

"The Luncheon" เป็นเรื่องสั้นที่ทั้งสนุกและเต็มไปด้วยการเสียดสีอันชาญฉลาด  มอห์มใช้สถานการณ์ที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อยในชีวิตประจำวันมาสร้างเรื่องราวที่ทั้งขบขันและชวนให้คิด ด้วยสไตล์การเขียนที่กระชับและการใช้ภาษาที่เฉียบคม เรื่องนี้จึงเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของการเล่าเรื่องที่ผสมผสานอารมณ์ขันและการวิพากษ์วิจารณ์สังคมได้อย่างลงตัว เหมาะสำหรับผู้อ่านที่ชื่นชอบวรรณกรรมที่ทั้งให้ความบันเทิงและชวนให้ขบคิดถึงพฤติกรรมของมนุษย์
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41506

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 100  เมื่อ 21 ก.ค. 25, 10:19

    คำตอบทางวรรณกรรมแตกต่างจากคำตอบทางสายวิทยาศาสตร์อยู่อย่างหนึ่ง คือสายวิทย์มุ่งได้คำตอบบนพื้นฐานข้อเท็จจริง  ซึ่งผ่านการทดลอง ทดสอบ รวบรวมวิเคราะห์หลักฐาน จนพิสูจน์ได้  แต่คำตอบทางวรรณกรรมมีพื้นฐานบนความคิดเห็น
   ดังนั้น จึงขอให้เข้าใจว่า คำตอบจาก AI ข้างบนนี้เป็นเพียงการรวบรวมความคิดเห็นโดยเจ้าปัญญาประดิษฐ์  ตามที่มันอ่านมาจากบรรดาข้อมูลที่ป้อนเข้าไปในโปรแกรมของมัน    ไม่ใช่คำตอบตายตัว   
   คนอ่านเรื่องสั้นเรื่องนี้ มีสิทธิ์จะคิดเห็นแตกต่างกันไปได้  เช่นอาจมองว่าผู้หญิงในเรื่อง เป็นคนมีเจตนาร้าย    ไม่ใช่แค่ขาดความเห็นอกเห็นใจ    เจตนาร้ายของนางไม่ถึงกับร้ายแบบฆ่าแกงฝ่ายชาย  แต่ว่าจ้องเอาเปรียบเขาแต่แรก  หลอกให้เขาจ่ายค่าอาหารแพงแสนแพง เกินกว่าคนทั่วไปจะพึงจ่าย และจะพึงกิน   ดูจากรายการที่นางสวาปามเข้าไป ก็มากเกินกว่าผู่้หญิงทั่วไปจะกินใน 1 มื้อ
   หรืออาจจะมีสิทธิ์ออกความเห็นได้ว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก   หลอกตั้งแต่เขียนจดหมายมาล่อให้นักเขียนชายตกหลุมเลยทีเดียว   จริงๆก็เป็นได้ว่านางไม่ได้ชื่นชอบผลงานของเขา แต่ต้องการเจ้าภาพเลี้ยงข้าวหรูๆในปารีสเท่านั้น     เห็นได้จากว่า พอกินเสร็จ   ออกจากเมืองปารีสไป นางก็ไม่ได้ติดต่อกลับมาอีกเลยตลอด 20 ปี
   ความสำคัญในการศึกษาวรรณกรรมอยู่ที่การตีความ  ยิ่งถ้าแปลก(แต่ต้องมีเหตุผลรองรับ) มักจะถือกันว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์    คะแนนไม่ได้อยู่ที่ต้องคิดซ้ำๆกับอาจารย์จึงจะถือว่าเป็นเด็กเก่ง เพราะจำคำสอนได้หมด
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8464


ความคิดเห็นที่ 101  เมื่อ 21 ก.ค. 25, 10:57

           ผม คือหนึ่งในร้อยของเหยื่อที่ถูกนางหลอก, ผมเป็นรุ่นแรกๆ หลังจากนางประสบความสำเร็จด้วยดี
นางก็ออกหาเหยื่อรายต่อไปที่เป็นหน้าใหม่อ่อนหัดในวงการต่างๆ กรรมที่นางทำได้ส่งผลให้ในที่สุดนางกลายสภาพ
มีน้ำหนักเกินร้อย


        เชื่อว่าสมาชิกเรือนไทยไม่น้อยก็มากที่อายุถึง จะต้องเคยอ่านหรือผ่านตางานของนักเขียนเรื่องสั้น(หักมุม)ชั้นแถวหน้า
ของไทยเมื่อหลายปีก่อนโน้น - ปกรณ์ ปิ่นเฉลียว* นายตำรวจนักเขียน ผู้ฝากผลงานรวมเรื่องสั้นในรูปเล่มพ็อคเกตบุคปกแข็ง
วางจำหน่ายหลายชุด

* 3 พี่น้องนักเขียนไทยนามสกุล ปิ่นเฉลียว คุณปกรณ์ มีน้องชาย คุณวาทิน(ต่วย'ตูน)  และน้องสาว คุณจินตนา (จินตวีร์ วิวัธน์)
   (คล้ายสามพี่น้อง Bronte ของอังกฤษ)  

                รับมื้อกลางวันของท่านมอห์มแล้ว เปลี่ยนอารมณ์กับอาหารของท่านปกรณ์, เล่ารำลึกถึงโดยคุณวินทร์ เลียววาริณ


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41506

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 102  เมื่อ 21 ก.ค. 25, 12:33

  คุณปกรณ์เป็นนักเขียนฝีมือดี ทั้งสำนวนภาษาหนักแน่น กระชับ  ไม่ต้องบรรยายเยิ่นเย้อก็เห็นภาพเหมือนดูวิดีโอ  ส่วนสำคัญคือการหักมุมเรื่องที่ให้อารมณ์สะเทือนใจ
  เป็นหนึ่งในนักเขียนเรื่องสั้น ยืนอยู่แถวหน้า ในอดีตเมื่อหลายสิบปีก่อน
  เรื่องสั้นชื่อ "เงาอุบาทว์" คุณปกรณ์เขียนได้สมจริงมาก  ขนาดผอ.โรงพยาบาลต้องทำหนังสือขี้แจงว่าไม่มีกรณีคนไข้ดังที่บรรยายไว้ในเรื่อง มารักษาที่โรงพยาบาลตามท่ีปรากฏชื่อในเรื่องนี้
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41506

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 103  เมื่อ 21 ก.ค. 25, 18:07

     ถ้าไม่มีอะไรจะคุยเรื่องนี้อีก ก็จะเสนอเรื่องต่อไป คือเรื่องของสาวงามนามว่า ลิเซ็ตต์ มีชื่อเรื่องว่า  "Appearance and Reality"  ในที่นี้ หมายความถึง "สิ่งที่ฉาบหน้า กับความเป็นจริง"
      นางเอกเรื่องนี้ชื่อลิเซ็ตต์ (Lisette) วัย 19 ปี ทำงานเป็นนางแบบ แสดงแบบเสื้อให้ร้านเสื้อหรูหราแห่งหนึ่งในปารีส  ในเมื่อเป็นนางแบบก็รับประกันได้ว่าสวยเด่นทั้งรูปร่างและหน้า   แต่ที่สำคัญคือเป็นเด็กสาวที่สดใสปราศจากจริต   ผิดกับนางแบบส่วนใหญ่ที่ดูเย่อหยิ่งทะนงตนในความงาม
       ความสาวและสดใสก็ของลิเซ็ตต์เกิดไปเตะตาบุรุษคนสำคัญคนหนึ่งเข้า มีนามว่าเมอซิเออร์ เรย์มงด์ เลอ ซูเออร์ (Monsieur Raymond Le Sueur) โดยอาชีพเขาเป็นวุฒิสมาชิกผู้ทรงเกียรติ  โดยส่วนตัวเขาเป็นเศรษฐี  แต่งงานกับภรรยาทายาทเจ้าของโรงเหล็ก ก็ยิ่งรวยบวกรวย
      ด้วยรูปลักษณ์และนิสัย   ลุงแกก็เป็นเฒ่าหัวงูดีๆนี่เอง   ก็เป็นธรรมดาของผู้ชายประเภทนี้ เมื่อหมายตาสาวสวยฐานะยากจนแล้ว  ย่อมไม่มีวันพลาด   เขาก็หาทางรวบรัดชักจูงสาวน้อยมาเป็น "อีหนู" ของเขาจนได้  ให้อยู่ในห้องชุดหรูหราให้ลิเซ็ตต์  เลี้ยงดูเธออย่างดี ด้วยความมั่นใจว่าเด็กสาวคนนี้เป็นเด็กซื่อๆ เรียบร้อย เจียมตัวและรู้หน้าที่ตัวเอง  เขาจึงมีความสุขมาก รู้สึกว่านี่คือรางวัลของความดีที่เขากระทำ
      เรื่องดำเนินไปอย่างมีความสุขเกือบสองปี จนกระทั่งเช้าวันอาทิตย์หนึ่ง วุฒิสมาชิกกลับจากต่างจังหวัดเร็วกว่ากำหนด  เข้ามาพบลิเซ็ตต์กำลังกินอาหารเช้าบนเตียงนอน  ที่เขาแทบล้มทั้งยืนคือเธออยู่กับชายหนุ่มแปลกหน้า  และที่สำคัญคือหนุ่มคนนั้นใส่ชุดนอนของวุฒิสมาชิกเอง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41506

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 104  เมื่อ 22 ก.ค. 25, 10:22

     วุฒิสมาชิกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ   ถึงขั้นตบหน้าลิเซ็ตต์   ด่าชายหนุ่มว่าบังอาจมาสวมเสื้อผ้าของเขา   แล้วไล่ชายหนุ่มให้ไสหัวออกไป  แต่ลิเซ็ตต์กลับตอบเรียบๆ ไม่แสดงอารมณ์ว่า เขาอยู่ในชุดนอน  ยังเดินออกถนนไปไม่ได้ ต้องรอเสื้อผ้าให้แม่บ้านซักรีดเสร็จเอามาส่งก่อน
      พอเสื้อผ้ามา ชายหนุ่มก็ออกไปจากห้อง   ทางนี้เหลือกัน 2 คน วุฒิสมาชิกระบายความเดือดดาลใส่ลิเซ็ตต์อย่างรุนแรง ด่าไม่นับว่าเนรคุณ  ทรยศหักหลัง  ทำความอัปยศมาให้เขา
      เขายังแถมท้ายว่า
      "เสียแรงฉันเตรียมเงินหนึ่งล้านฟรังก์ไว้ให้เธอ เป็นของขวัญวันครบรอบสองปีที่เราอยู่ด้วยกัน"
     ลิเซ็ตต์ฟังอย่างเงียบๆ ไม่ตระหนกตกใจ  ไม่โต้เถียง หรือร้องไห้ไม่ฟูมฟาย  หล่อนรับโดยดีว่าชายหนุ่มคนนั้นคือชู้รัก     แต่พร้อมกันนั้นหล่อนบอกว่า ถึงหล่อนมีชู้ หล่อนก็ยังรักวุฒิสมาชิกด้วย   แต่เป็นความรักที่ต่างกัน  
      "หนูรักท่านเพราะท่านฉลาด  ท่านใจดี  พูดจาก็คมคาย น่าติดใจ"
      ส่วนเจ้าหนุ่มนั้น  หล่อนยอมรับง่ายๆว่า
     "หนูรักเพราะเขาหนุ่มค่ะ"
     หล่อนยังพูดอีกว่า  ถ้าเป็นกรณีกลับกัน   ถ้าเจ้าหนุ่มคือสามี  ส่วนวุฒิสมาชิกคือชู้    ถ้าเขาผู้เป็นชู้โผล่เข้ามาเจอหล่อนอยู่กับสามี  เขาจะรู้สึกอัปยศและประณามหล่อนสาดเสียเทเสียอย่างนี้ไหม    หรือว่าเขาจะตกใจแล้วรีบผลุบกลับออกไป  ไม่อยากให้ถูกจับได้ แล้วแอบกลับมารับขวัญหล่อนทีหลัง
      คำนี้ ทำให้วุฒิสมาชิกคิดได้  
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8 9 ... 14
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.123 วินาที กับ 19 คำสั่ง