เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7
  พิมพ์  
อ่าน: 4133 คุยกันเรื่องวิลเลียม ซอมเมอเซท มอห์ม (William Somerset Maugham)
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41307

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 75  เมื่อ 08 ก.ค. 25, 09:44

   ทีนี้ มาถึงบทบาทของเซดี้กันบ้าง
   ถ้ามอห์มไม่มีฝีมือมากพอ  เขาจะสร้างเซดี้ได้เพียงเป็นนางมารธรรมดาๆ ล่อลวงผู้ชายทุกคนได้หมด    รวมทั้งนักบวชเคร่งศาสนา  เรื่องแบบนี้  ฮอลลีวู้ดสร้างได้ง่ายมากในระดับ NC-17
   แต่เขาสร้างเซดี้ได้ลึกกว่านั้น
   มอห์มนำเสนอภาพโสเภณีที่เต็มใจทำอาชีพนี้   ไม่ได้ถูกบังคับหรือสิ้นหวังไม่มีทางเลือกอื่น   ไม่มีลักษณะหน้าชื่นอกตรม  แปลว่านางเลือกแล้วที่จะเดินไปตามเส้นทาง   จนกระทั่งเดวิดสันเดินเข้ามาขัดขวาง   บังคับให้เดินอีกทางหนึ่งตามใจต้องการของเขา
   เซดี้ตกอยู่ใต้อำนาจบังคับข่มขู่ที่มาในรูปของบาปบุญคุณโทษ    นางหวาดกลัว  นางจำยอม แม้กระทั่งยอมเปลี่ยนแปลงความคิดตนเอง เห็นว่าสิ่งที่ทำอยู่เป็นเรื่องบาป  ตกอยู่ในโทษทัณฑ์ที่เดวิดสันบังคับให้เป็นไป  ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ว่าเซดี้ตระหนักด้วยตัวเอง  แต่นางเชื่อเดวิดสันอย่างจริงใจ
   มันก็เหมือนคนที่เชื่อว่าถ้าไม่ไปจำศีลอยู่ในป่า  ไม่ทรมานร่างกายด้วยประการต่างๆ   เช่นอดกิน อดนอน อดทำสิ่งที่ต้องการ  เขาจะต้องตกนรกหมกไหม้ หรืออดบรรลุถึงเป้าหมายของความดีงามสูงสุด     ก็เลยต้องตั้งหน้าตั้งตาฝืนธรรมชาติของตนเองไป เพราะนึกว่าสิ่งที่ทำอยู่ถูกต้องแล้ว
   จนกระทั่งคืนสุดท้าย   เซดี้ถึงตระหนักว่านักบุญที่นางยำเกรงและเชื่อฟังนักหนา  เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ต่างอะไรจากมนุษย์เพศผู้อื่นๆที่เข้ามาในห้อง  และที่สำคัญก็คือ มอห์มสะกิดให้คนอ่านสงสัยด้วยว่าความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น อาจเป็นการบังคับมากกว่าสมยอม    เรียกง่ายๆว่าเดวิดสันใช้กำลังข่มขืน   เซดี้เองก็ตกอยู่ในภาวะหวาดกลัวเกินกว่าจะโวยวายให้ใครช่วย   เพราะเกรงกลัวกันมาแต่แรกแล้ว
    เมื่อทุกอย่างผ่านไป  เดวิดสันก็ได้สติ   เซดี้เองก็ได้สติ  แต่สวนทางกันไปคนละทาง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41307

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 76  เมื่อ 08 ก.ค. 25, 10:00

   ปฏิกิริยาของเซดี้ที่มอห์มนำเสนอ  หลังจากเหตุการณ์ตอนกลางคืนผ่านไป  ไม่ใช่อาการงุนงงสงสัย  หรือเสียขวัญ หรือหมดอาลัยตายอยาก  แต่เป็นลูกตุ้มนาฬิกาที่เหวี่ยงกลับไปสู่จุดเริ่มต้น
   นางกลับไปเป็นโสเภณีคนเดิม   เปิดเพลงครึกครื้นดังแสบแก้วหู  แต่งตัวแต่งหน้าฉูดฉาด  ต้อนรับลูกค้าชายอย่างเต็มอกเต็มใจ
   เพราะอะไร?
   นี่ก็ตีความได้หลายนัย
   - ตระหนักว่าเส้นทางบุญที่ตัวเองกำลังเดินไป เอาเข้าจริงเป็นภาพลวงตา  ก็เลยถอยกลับ ไม่เดินอีกแล้ว
   - พบว่ากลับเป็นตัวของตัวเอง  ดีที่สุด
   - รู้สึกถึงชัยชนะเหนือคนที่กดขี่ตนเองมาหลายวัน
   - ชิงชังความจอมปลอมที่ประสบอย่างที่สุด   เพราะฉะนั้นตัวตนจริงของนาง ถึงแม้ถูกรังเกียจจากสังคม  ก็ยังไม่ใช่สิ่งจอมปลอม       
    ท่านผู้อ่านเรือนไทยเชิญวิเคราะห์ได้ตามอัธยาศัย
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8428


ความคิดเห็นที่ 77  เมื่อ 08 ก.ค. 25, 13:53

           ท่านมอห์มควรรับค่าเรื่องนี้ไม่เกิน 70 % ของอัตราค่าเรื่องปกติ เพราะคนอ่านต้องแต่งเติมเองหลายส่วน
ในกรณีดัดแปลงเป็นละครเวทีหรือหนังก็เพิ่มงานคนเขียนไม่น้อย แต่นักเขียนบทบางคนอาจจะชอบเพราะสนุกกับ
การตีความและเปิดโอกาสให้แต่งเติมตามความคิดแล้วลุ้นว่าจะถูก,ตรงใจคนดูหรือไม่
           ในส่วนของเซดี้ ส่วนตัว ไม่ค่อยวางใจว่านางบาปไม่สนโลกอย่างเธอจะเลื่อมใสกลับตัวกลับใจได้สนิทใจ
ในเวลาอันสั้น นางน่าจะกลัวคุกมากกว่ากลัวบาปจึงจำใจเข้าสู่่ขบวนการล้างบาป
           อย่างไรก็ดี เซดี้ได้ทำหน้าที่สำคัญของเรื่องเป็นนางบาปลอกคราบ,ถอดหน้ากากนักบุญปลอม  

           คนที่น่าสนใจ,สงสัย คือ นางเดวิดสัน ในตอนจบที่เงียบเกินไป แทบไม่ปริปากเอ่ยคำใดเลย
           ประเด็นคือ สาธุคุณจะไปหามีดโกนที่ไหน ในยามวิกาล, บ้านเมืองแบบนั้น จะไปหยิบยืมใครให้เอิกเกริก
ก็ไม่น่า ดังนั้น มีดโกนนั่นเป็นของตัวเอง แสดงว่า สาธุคุณกลับไปห้องและ เป็นดังที่ว่าไว้ ว่า

อ้างถึง
สามีกลับมา ซึม,สำนึกผิด ถูกนางคาดคั้นคำตอบ หรือเขาสารภาพบาปเอง นางอึ้งโกรธแค้นร้องไห้เงียบๆ
หรือ ต่อว่าต่อขาน ประณามความอัปยศอดสูจะอยู่มองหน้าใครต่อไปได้ สาปแช่ง ไปตายเสีย สามีนิ่งสำนึกละอายซึมเศร้า
ปลีกตัวออกไปโดยฉวยมีดโกนติดตัวไปด้วย

         อีกเหตผลที่สนับสนุนว่า นางเดวิดสันได้เจอสาธุคุณก่อนตายก็คือ หากสามีหายตัวไป ไม่กลับมา ผิดเวลาขนาดนี้
นางคงไม่รอจนเช้า ต้องออกไปถามไถ่ห้องเซดี้,เจ้าของที่พัก และหมอ ตั้งแต่ก่อนรุ่งสางหรือเช้ามืดเป็นอย่างช้าแล้ว
ไม่ใช่รอจนภรรยาหมอมาบอกข่าว
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41307

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 78  เมื่อ 08 ก.ค. 25, 17:04

   คุณหมอ SILA ตอบได้ละเอียดจน 30% ที่ว่า น่าจะเอามาโปะให้ที่คุณหมอ  
   ขอทวนอีกครั้งจากคำบอกเล่าของภรรยาหมอแมคเฟล  ตามนี้ค่ะ

   “ ทำไงดีคะ  คุณนายเดวิดสันกลุ้มใจจะตายแล้วเรื่องสามี” เธอบอกเขาทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าไปในห้อง “ท่่านสาธุคุณไม่ได้เข้านอนมาทั้งคืน เธอได้ยินเขาออกจากห้องของมิสทอมป์สันตอนตีสอง แต่ไม่กลับเข้าห้อง   กลับออกไปข้างนอก นี่ถ้ามัวแต่ออกไปเดินจงกรมจนเช้าละก็ มีหวังอดนอนตายแน่”

    แสดงว่าสาธุคุณเดวิดสัน ไม่ได้ ย้อนกลับเข้าไปในห้องตัวเอง    แต่ออกจากห้องเซดี้ก็เดินออกจากที่พักไปที่ชายหาดเลยตอนตีสอง    เช้าข้ึนมาก็ปาดคอตัวเองตายไปแล้ว
    ทีนี้ มีดโกนก็ต้องติดตัวเขามาก่อนเข้าห้องเซดี้  อยู่กับตัวตลอดที่อยู่ในห้อง และติดกระเป๋าออกไปเมื่อไปที่ชายหาด
    ดิฉันก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่าเป็นไปได้ยังไง
    -  ที่ใครสักคนพกมีดโกนติดตัวไว้ตลอด
    สมัยเกือบ 100 ปีก่อน มีดโกนไม่ใช่อันเล็กๆรูปร่างเหมือนตัว T  อย่างที่ใช้กันทุกวันนีิ้   แต่เป็นมีดยาว ใบมีดบางเฉียบคมกริบ  รูปโค้งๆ มีปลอกติดอยู่  ยาวพอจะพกเป็นอาวุธได้  
    ที่จำได้เพราะตอนเด็กๆเคยเห็นที่บ้านมี   มันคมกริบ  ดูน่ากลัวจนเด็กๆไม่กล้าแตะ  
    นักบวชไม่ใช่อันธพาล  ไม่ใช่วิสัยที่จะพกอาวุธ      เดวิดสันเป็นคนที่ใครๆก็ยำเกรงความเป็นมิชชันนารี  ไม่จำเป็นต้องไปรบราฆ่าฟันกับใคร  
    - หากว่าเขาฉวยออกมาจากห้องของเซดี้  
    นางอาจจะมีบริการ  สำหรับลูกค้าชายที่ลืมพกมีดโกนหนวด หรืออาจมีไว้บริการลูกค้าถ้าค้างอยู่จนเช้า    แต่มันก็ประหลาดอีก   ถ้าเซดี้มีอาวุธระดับนี้อยู่ในห้อง   นางคงไม่ต้องจำยอมให้สาธุคุณกระทำย่ำยีเอา    คงฉวยไปเงื้อง่าเตรียมปาดคอเขาเสียนานแล้ว  
    ด้วยความสงสัยแบบเดียวกันก็เลยไปพิมพ์ถาม AI  มันก็ตอบไม่ได้   ตอบกลับมาว่าไปค้นข้อมูลทุกอย่างทุกชนิดเกี่ยวกับมอห์ม และเรื่อง "ฝน" จากเว็บนับล้านๆแล้ว    ไม่มีใครเอ่ยถึงมีดโกนเลยสักคน
    สรุปอย่างวิชาการว่าเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยการค้นคว้าต่อไป     แต่ถ้าแปลง่ายๆแบบชาวบ้าน คือ "ไม่รู้"


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41307

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 79  เมื่อ 08 ก.ค. 25, 17:05

   คุณหมอ SILA ตอบได้ละเอียดจน 30% ที่ว่า น่าจะเอามาโปะให้ที่คุณหมอ  
   ขอทวนอีกครั้งจากคำบอกเล่าของภรรยาหมอแมคเฟล  ตามนี้ค่ะ

   “ ทำไงดีคะ  คุณนายเดวิดสันกลุ้มใจจะตายแล้วเรื่องสามี” เธอบอกเขาทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าไปในห้อง “ท่่านสาธุคุณไม่ได้เข้านอนมาทั้งคืน เธอได้ยินเขาออกจากห้องของมิสทอมป์สันตอนตีสอง แต่ไม่กลับเข้าห้อง   กลับออกไปข้างนอก นี่ถ้ามัวแต่ออกไปเดินจงกรมจนเช้าละก็ มีหวังอดนอนตายแน่”

    แสดงว่าสาธุคุณเดวิดสัน ไม่ได้ ย้อนกลับเข้าไปในห้องตัวเอง    แต่ออกจากห้องเซดี้ก็เดินออกจากที่พักไปที่ชายหาดเลยตอนตีสอง    เช้าข้ึนมาก็ปาดคอตัวเองตายไปแล้ว
    ทีนี้ มีดโกนก็ต้องติดตัวเขามาก่อนเข้าห้องเซดี้  อยู่กับตัวตลอดที่อยู่ในห้อง และติดกระเป๋าออกไปเมื่อไปที่ชายหาด
    ดิฉันก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่าเป็นไปได้ยังไง
    -  ที่ใครสักคนพกมีดโกนติดตัวไว้ตลอด
    สมัยเกือบ 100 ปีก่อน มีดโกนไม่ใช่อันเล็กๆรูปร่างเหมือนตัว T  อย่างที่ใช้กันทุกวันนีิ้   แต่เป็นมีดยาว ใบมีดบางเฉียบคมกริบ  มีปลอกติดอยู่  ยาวพอจะพกเป็นอาวุธได้  
    ที่จำได้เพราะตอนเด็กๆเคยเห็นที่บ้านมี   มันคมกริบ  ดูน่ากลัวจนเด็กๆไม่กล้าแตะ  
    นักบวชไม่ใช่อันธพาล  ไม่ใช่วิสัยที่จะพกอาวุธ      เดวิดสันเป็นคนที่ใครๆก็ยำเกรงความเป็นมิชชันนารี  ไม่จำเป็นต้องไปรบราฆ่าฟันกับใคร  
    - หากว่าเขาฉวยออกมาจากห้องของเซดี้  
    นางอาจจะมีบริการ  สำหรับลูกค้าชายที่ลืมพกมีดโกนหนวด หรืออาจมีไว้บริการลูกค้าถ้าค้างอยู่จนเช้า    แต่มันก็ประหลาดอีก   ถ้าเซดี้มีอาวุธระดับนี้อยู่ในห้อง   นางคงไม่ต้องจำยอมให้สาธุคุณกระทำย่ำยีเอา    คงฉวยไปเงื้อง่าเตรียมปาดคอเขาเสียนานแล้ว  
    ด้วยความสงสัยแบบเดียวกันก็เลยไปพิมพ์ถาม AI  มันก็ตอบไม่ได้   ตอบกลับมาว่าไปค้นข้อมูลทุกอย่างทุกชนิดเกี่ยวกับมอห์ม และเรื่อง "ฝน" จากเว็บนับล้านๆแล้ว    ไม่มีใครเอ่ยถึงมีดโกนเลยสักคน
    สรุปอย่างวิชาการว่า "เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยการค้นคว้าต่อไป"     แต่ถ้าแปลง่ายๆแบบชาวบ้าน คือ "ไม่รู้"
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41307

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 80  เมื่อ 08 ก.ค. 25, 17:10

          คนที่น่าสนใจ,สงสัย คือ นางเดวิดสัน ในตอนจบที่เงียบเกินไป แทบไม่ปริปากเอ่ยคำใดเลย
           อีกเหตผลที่สนับสนุนว่า นางเดวิดสันได้เจอสาธุคุณก่อนตายก็คือ หากสามีหายตัวไป ไม่กลับมา ผิดเวลาขนาดนี้
นางคงไม่รอจนเช้า ต้องออกไปถามไถ่ห้องเซดี้,เจ้าของที่พัก และหมอ ตั้งแต่ก่อนรุ่งสางหรือเช้ามืดเป็นอย่างช้าแล้ว
ไม่ใช่รอจนภรรยาหมอมาบอกข่าว
          นี่ก็น่าคิด  ว่านางเดวิดสันมีบทบาทอะไรบ้าง ที่มอห์มไม่ได้บอก  คนอ่านต้องขุดหากันเองระหว่างบรรทัด
          เป็นไปได้ไหมว่านางเดวิดสันเห็นสามีกลับดึกผิดปกติ ก็ออกไปตาม  เจอเขากับเซดี้ในภาวะที่ไม่ควรเป็น   นางก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
         แต่ไม่ได้ปริปากบอกสามีภรรยาแมคเฟล?
         นางวิ่งหนีเซดี้กลับเข้าไปในห้อง  เพราะไม่อยากให้คนอื่นๆสงสัยขึ้นมา  ว่านางเกี่ยวข้องกับการตายของสามี?
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41307

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 81  เมื่อ 09 ก.ค. 25, 10:27

      สิ่งที่มอห์มนำเสนอในผลงานไม่ว่าเรื่องไหน คือการตีแผ่ธรรมชาติ(หรืออาจเรียกว่าสันดาน) มนุษย์  แตกต่างจากที่คนด้วยกันมักมองอย่างผิวเผิน เห็นแต่สิ่งที่ฉาบไว้ข้างบน    มอห์มขุดลึกลงไปถึงก้นบึ้งของจิตใจ
      ถ้าหากว่า Rain เป็นลายแทง  มอห์มก็ทิ้งร่องรอยไว้ให้แกะรอยได้เต็มไปหมด   ขึ้นกับนักล่าขุมทรัพย์จะแกะรอยไปในเส้นทางไหน
      เมื่อขุดตามไป ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่บางคนจะชอบใจว่า โอ้โฮ ไม่เคยนึกมาก่อน   บางคนจะปวดหัวว่าเห็นแต่สิ่งไม่เจริญตาเจริญใจ    บางคนก็บอกว่าไม่รู้จะเห็นไปทำไม  เห็นของจริงรอบตัวก็เยอะพอแล้ว
      จึงขอจบเรื่อง Rain ไว้แค่นี้ค่ะ  แต่ก็ไม่ขัดข้องหากว่าท่านใดจะติดใจอยากอภิปรายต่อ

     ตอนนี้ ดิฉันอ่านเรื่องสั้นของมอห์มอยู่หลายเรื่อง   พิจารณาอยู่ว่าจะเลือกเรื่องไหนดี   ไม่เอาเรืื่องหนักสมองอย่าง Rain   หาเรื่องเบาๆมาคั่นดีกว่า
     1 The Verger  เป็นเรื่องเจ้าหน้าที่ดูแลโบสถ์ (ถ้าเรียกแบบเก่า น่าจะพอเทียบกับ 'ภารโรง' ในโรงเรียนได้) ที่ถูกไล่ออกจากงานเพราะอ่านเขียนไม่ออก
     2 The Luncheon  เรื่องของนักเขียนหนุ่มมือใหม่กับแฟนคลับหญิง  ที่เขาเชิญมารับประทานอาหารมื้อกลางวันด้วยกัน  เป็นมื้อที่จดจำต่อมาอีกหลยสิบปี  
     3  Appearance and Reality    เรื่องของ "ป๋า" ที่ไปเจอ "อีหนู" ของเขาบนเตียงกับเซลล์แมนรูปหล่อ    เขาจะหาตอนจบกันอย่างไร
     ใครอยากเลือกเรื่องไหนก่อนคะ
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8428


ความคิดเห็นที่ 82  เมื่อ 09 ก.ค. 25, 10:50

งานส่งท้าย, คั่นรายการก่อนเรื่องใหม่

         มัดรวมเรียบเรียงส่วนต่อเติมที่จิ้นตนาการได้เป็นดังนี้ ครับ
 
๑. ประเด็นที่มาของมีดโกน ทำให้สรุปได้ว่า สาธุคุณกลับมาที่ห้องในคืนนั้น

๒. ตัวละครนางเดวิดสัน นางน่าจะเป็นเพียงตัวละครจืดๆ ไม่มีบทบาทอะไรนอกจากหญิงผู้น่าสงสารรับผลกระทบจากสามีมาร
    แต่ เนื่องจากท่าทีของนางหลังการตายของสามีชวนให้คิดว่านางน่าจะมีส่วนในการตายของสามี
      
      ประเด็น เมื่อนางบอกว่า ไม่พบสาธุคุณในคืนนั้น

     “ท่่านสาธุคุณไม่ได้เข้านอนมาทั้งคืน เธอได้ยินเขาออกจากห้องของมิสทอมป์สันตอนตีสอง แต่ไม่กลับเข้าห้อง  
กลับออกไปข้างนอก นี่ถ้ามัวแต่ออกไปเดินจงกรมจนเช้าละก็ มีหวังอดนอนตายแน่”

 
เป็นไปได้ว่า

      ก. นางโกหก (ทั้งสามีภรรยาศาสนิกชนผู้เคร่ง ต่างก่อบาปมาก,น้อยทั้งคู่)
      ข. นางบอกไม่หมด เพราะจงใจปิด หรือ เพราะใช้ "กลไกป้องกันจิตใจของตัวเอง" เช่น การกดเก็บไว้ หรือ แยกออกจากการรับรู้

       ที่นางบอกไม่หมด ส่วนเว้นข้ามไป เขียนบทแต่งเติม(อีกครั้ง)ว่า

       เขาออกจากห้องของมิสทอมป์สันตอนตีสอง แต่ไม่กลับเข้าห้อง กลับออกไปข้างนอก...
       ตีสามแล้วยังไม่กลับห้อง นางจึงไปเคาะประตูห้องเซดี้ เธอเปิดประตูยืนอยู่ในเงามืด ผมเผ้ายุ่งเหยิง สวมเสื้อคลุมชุดนอน
ตอบด้วยน้ำเสียงขุ่นเครือว่า ผัวนางออกจากห้องไปนานแล้ว กลับไปซะ จังหวะที่เธอกำลังจะปิดประตู ฟ้าแลบสว่างแวบฉายให้
เห็นแววหยาดน้ำตาอาบสองร่องแก้ม นางออกไปเดินแถวที่พักมองหาสามี ฝนก็ตกกระหน่ำเทลงมาจึงตัดสินใจกลับห้อง
        ก. สามีกลับห้องมาหยิบมีดโกนไป สวนทางกันจึงไม่พบนาง แบบนี้ นางไม่มีบทบาทข้องเกี่ยวการตาย เป็นตัวละครสีซีดๆ
ใช้นักแสดงไม่ต้องมากฝีมือ ไม่สะใจ ไม่เข้ากับท่าทีเงียบๆ แปลกๆ ในเวลาต่อมา จึงจัดให้เป็นว่า
        ข. นางพบสามีนั่งอยู่ในเงามืดของห้อง (ก่อนหน้านี้ จัดแสงให้สาธุคุณสว่างมีออร่ากว่าผู้อื่น แต่คราวนี้กลับอยู่ในเงามืด)
นางเห็นสามีจากด้านข้าง(ซ้ายหรือขวาก็ได้)
             สามีสารภาพว่ากระทำบาปเพราะ เซเทิน - ซาตาน ยิ้ม เข้าสิงตัว หรือ
             แก้ตัว,บอกว่าพลั้งพลาดเพราะนางมารเซดี้รุกรานคุกคาม
             โทสะเปลี่ยนนางเป็นมาร นางตบหน้าสามีด้านหนึ่งแล้วสาปแช่งประณามความอัปยศอดสู ไม่รู้จะอยู่มองหน้าผู้คนได้อย่างไร
ว่าแล้วก็ผละไปร้องไห้ต่อลำพัง สามีตัดสินใจหยิบมีดโกนออกจากห้องเดินฝ่าสายฝนกระหน่ำไปแวะที่โบสถ์บนเกาะก่อนที่จะมุ่งหน้า
ไปชายหาด    

              เมื่อนางไปดูร่างของสามี ใบหน้าด้านนั้นยังปรากฏรอยมือที่นางฟาดเขาไปเมื่อคืน ส่วนอีกข้างเป็นรอยเล็บข่วนขัดขืน
              บอกว่า สามีนางโกหก, เขาเองต่างหากที่เป็นฝ่ายรุกรานข่มเหงเซดี้
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8428


ความคิดเห็นที่ 83  เมื่อ 09 ก.ค. 25, 11:09

         เหลือประเด็นเรื่อง ฝน ที่ได้กล่าวไปบ้างแล้ว
         ฝน เป็นตัวกำหนดให้ตัวละครจำต้องมาอยู่ร่วมกัน เหมือนในเรื่อง ราโชมอน ที่ตัวละครติดฝนที่ประตูผี
เล่าเรื่องการไต่สวนคดีฆาตกรรม ฆ่าเวลารอฝนหยุด
         ในหนังหลายเรื่อง ใช้ฝนสร้างอารมณ์ บรรยากาศประกอบเรื่องราว ทั้งเศร้า สุข เครียด กดดัน ฯ
         ในเรื่องนี้ ดูเป็นแนวความหม่นมัว อึมครึม คลุมเครือ และ แสดงธรรมเปรียบว่า ฝนเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ
ที่ไม่สามารถควบคุมกำกับได้ คล้ายกิเลสของคน - ขนาดเป็นคนท่าทางเคร่งศาสนายังพ่ายกิเลสมาร 
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16068



ความคิดเห็นที่ 84  เมื่อ 09 ก.ค. 25, 11:35

"ฝน" ของ วิลเลียม ซอมเมอร์เซต มอห์ม  
ไฟราคะแผดเผามรสุมแห่งศรัทธาจนเหือดแห้ง

ศรัทธามาประดังดั่งสายฝน
พรั่งพรั่งนองท้องสถลล้นหลั่งท่า
มิหยุดหย่อนย่อท้อรอระอา
อันละอองไอฟ้ามรรคาครอง

จะเปลี่ยนแปลงแหล่งรักให้ภักดี
เปลี่ยนวิถีทีท่าทำตามคำสนอง
พลังศรัทธาบ่าท้นบนบ่าปอง-
บีบคั่นผองวารีไหลไปทางเดียว

ไฟราคะแผดร้อนจะฟอนโลก
ขู่กรรโชกและยวลเย้าใจเหงาเปลี่ยว
เผาผลาญรนหลอมละลายใจเค้นเคี่ยว
จนอ่อนเหลวเกินเฉลียวเกินฉุดรั้ง

ความร้อนแรงแห่งไฟราคราคะ
ปั่นป่วนระเหยเหือดจนแห้งฝั่ง-
หัวใจที่สายธารศรัทธาท่าเคยยัง
อยู่เปี่ยมท้นจนกระทั่งแห้งแล้งร้อน

ร้อนเกินร้อนละอายในไฟบาป
ยังสันดาปตราบชีวันสั่นสะท้อน
สะเทือนธารศรัทธาในอาวรณ์
ในอาดูรเกินจะย้อนศรัทธาคืน

ปรศุราม
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41307

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 85  เมื่อ 12 ก.ค. 25, 12:00

    ใช่ค่ะ ฝนเป็นได้ทั้งสัญลักษณ์ทางอารมณ์ของตัวละคร  และเป็นได้ทั้งบรรยากาศแรงกดดันของเรื่อง
    ฝนกระหน่ำหนักไม่ขาดสายในแต่ละวัน  สร้างความหงุดหงิดรำคาญ  รบกวนความสงบในใจ  แต่ก็ไม่มีใครห้ามฝนได้ ทุกคนต้องทนรับชะตากรรมในสายฝนไปจนกว่าจะหนีพ้นจากที่นั้น  หรือไม่ฝนก็หยุดไปเอง
    นักวิจารณ์บางคนบอกว่า ฝนคือสัญลักษณ์ความกดดันของเดวิดสัน     กิเลสตัณหาของเขาตั้งเค้ามืดทะมึนดังเมฆฝนมาตั้งแต่ก่อนเริ่มเรื่องด้วยซ้ำ    เห็นได้จากเขาทนร่างกายเปลือยท่อนบนของชาวพื้นเมืองไม่ได้  เห็นว่าอุจาดตา และเป็นบาปมหันต์ ต้องปกปิด  แทนที่จะรู้สึกผ่อนคลายว่า...เออ  ก็อากาศมันทั้งร้อนทั้งชื้น  เหงื่อออกเหนียวเหนอะหนะทั้งวัน   ชาวบ้านเขานุ่งแต่ผ้าผืนเดียวก็ถูกต้องแล้ว   
   เมื่อเดวิดสันมาเจอเซดี้  ร่างกายเซกซี่ของหล่อนจึงเร้าความต้องการของเขาถึงขีดสูงสุด  เขาไม่กินไม่นอนตลอดเวลาที่เข้าไปคลุกคลีด้วย  เหมือนฝนที่กระหน่ำไม่ขาดสาย   ในที่สุดเขาก็พ่ายแพ้ต่อมารที่มาผจญ
    มารนั้นไม่ได้อยู่ในตัวของหญิงสาว   หากแต่อยู่ในใจของเขาเอง  ยิ่งกดมันลงไปก็เหมือนกดลูกโป่งลงไปในน้ำ  ยังไงมันก็ต้องเด้งพรวดขึ้นมา
    ถ้าหากว่าท่านผู้อ่านเรือนไทยอยากถามว่า  "แล้วเดวิดสันจะมีทางออกอย่างไร จึงจะไม่พบจุดจบแบบนี้"  คำตอบก็มี       คืออย่าไปอยู่ใกล้ชิด  นักบวชอยู่กับสีกาสาวสวยตามลำพังเมื่อไหร่  มารตรงเข้ามาโดยอัตโนมัติเมื่อนั้น  จึงต้องมีบุคคลที่สามสี่ไปนั่งเป็นก้างขวางคอ  เป็นการเตือนสติไม่ให้เผลอ    แต่เดวิดสันก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น   
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41307

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 86  เมื่อ 13 ก.ค. 25, 09:53

ยูทูปมีภาพยนตร์เรื่องนี้   ปี 1932  ดัดแปลงนิดหน่อยให้เซดี้มีพระเอก  ที่ไม่รังเกียจอดีตของนาง  จึงจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง
หนังไม่ได้แสดงว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนสุดท้าย  ทิ้งให้คนอ่านคิดเอาเอง

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41307

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 87  เมื่อ 14 ก.ค. 25, 13:33

   เรื่องต่อไป เป็นเรื่องสั้น  เนื้อหาเบาๆ เสียดสีสังคม อย่างที่มอห์มถนัด   เรื่องนี้เคยมีผู้แปลเป็นภาษาไทยแล้ว   อาจจะมีในเว็บอื่นก็เป็นได้   แต่เว็บนี้ลงเรื่องทั้งหมดไม่ได้เพราะติดปัญหาลิขสิทธิ์
  ช่ื่อเรื่องว่า The Luncheon  แปลว่า "การเลี้ยงอาหารมื้อกลางวัน"
   เรื่องนี้เล่าผ่านผู้เล่าซึ่งใช้ชื่อว่า "ผม" เล่าประสบการณ์เมื่อ 20 ปีก่อน สมัยเขาเป็นนักเขียนหน้าใหม่ที่พอจะมีชื่อเป็นที่รู้จักในแวดวงหนังสือบ้าง    แต่ก็ยังยากจน เช่่ห้องอยู่ในปารีส  มีรายได้พอกินไปวันๆอย่างประหยัด
    ที่เล่าย้อนอดีตขึ้นมาก็เพราะเขาไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาจำไม่ได้ จนกระทั่งหล่อนเอ่ยขึ้นมาว่า 
    "จำได้ไหมคะ คุณเชิญฉันไปรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน"
    นั่นละ  อดีตจึงย้อนกลับมา
    ในตอนแรกเริ่มคือเขาไม่ได้รู้จักหล่อนมาก่อน   หล่อนเขียนจดหมายมาหาเขาในฐานะแฟนหนังสือ  เขาตอบกลับ ขอบคุณหล่อน    ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็ได้รับจดหมายอีกฉบับ  บอกว่าหล่อนกำลังจะผ่านมาทางปารีสและอยากจะสนทนาด้วย แต่มีเวลาน้อยมาก แค่กินมื้อกลางวันกันนิดหน่อยที่ร้านฟัวโยต์ได้ไหม 
     ฟัวโยต์เป็นร้านอาหารดัง คนใหญ่ๆโตๆเขานิยมไปกัน  แน่นอนว่าราคาอาหารเกินกำลังทรัพย์จนเขาไม่เคยคิดจะไปที่นั่นด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อแฟนหนังสือขอนัดเจอกันทั้งที  เขาก็ปลื้ม และยอมรับว่า  "....ผมยังเด็กเกินกว่าที่จะเรียนรู้ที่จะปฏิเสธผู้หญิง"


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41307

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 88  เมื่อ 14 ก.ค. 25, 20:42

     ตอนนั้น ทั้งเนื้อทั้งตัวเขามีเงิน 80 ฟรังก์ ที่จะต้องใช้ไปจนปลายเดือน   เขากะว่าอาหารกลางวันคงประมาณ 15 ฟรังค์   จ่ายค่ามื้อนี้แล้วไปอดกาแฟเอา 2 อาทิตย์จากนั้นก็พอไหว    เขาก็เลยตอบตกลงไปตามนัด
     ตอนที่หล่อนส่งจดหมายมา ข้อความในนั้นชวนให้คิดว่าเป็นสาวน้อย  แต่พอเจอตัวจริงพบว่าอายุประมาณ 40  มีฟันขาวซี่ใหญ่ๆเต็มปาก  ช่างพูดช่างคุย  
    เขาตกใจเมื่อบริกรนำรายการอาหารมาให้ เพราะราคาแพงกว่าที่คิดมาก แต่หล่อนก็บอกให้เขาสบายใจว่า
    "ฉันไม่กินอะไรตอนกลางวันหรอกค่ะ"  
     เขาก็เลยเชื้อเชิญตามมารยาทให้หล่อนกินอะไรสักนิดหน่อย   หล่อนก็ตอบกลับมาว่า
    " ฉันไม่เคยกินอาหารเกินหนึ่งจานค่ะ   คนสมัยนี้กินอะไรเยอะเกินไปแล้วนะฉันว่า  ที่จริงปลาเล็กๆสักตัวก็พอ   ไม่รู้มีปลาแซมมอนไหม"
      ตอนนั้นไม่ใช่ฤดูกาลของปลาแซมมอน  แต่บริกรบอกว่า ทางร้านเพิ่งได้ปลาแซมมอนตัวงามมาใหม่ๆ  เขาก็เลยสั่งปลาให้หล่อน  ระหว่างรอ บริกรถามหล่อนว่าจะรับอะไรเรียกน้ำย่อยสักหน่อยไหม
      " ไม่ละค่ะ" หล่อนตอบ " ฉันไม่เคยกินอะไรเกินหนึ่งจานอยู่แล้ว    เว้นแต่จะมีไข่ปลาคาเวียร์"
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41307

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 89  เมื่อ 14 ก.ค. 25, 20:53

   พอได้ยิน ฝ่ายชายก็ใจหายวูบ เพราะไข่ปลาคาเวียร์มันแพงมาก เขาไม่มีปัญญาจะซื้อ  แต่จะบอกตรงๆก็ไม่ได้ ก็จำใจสั่งบริกรให้เอาไข่ปลาคาเวียร์มาให้คุณผู้หญิง   ส่วนเขาเลือกอาหารที่ถูกที่สุดในเมนู คือสเต๊กเนื้อแกะ
   หล่อนก็ติติงเขาว่า
   "ฉันว่าคุณไม่น่ากินเนื้อนะคะ" เธอบอก "สเต๊กมันหนักท้องจะแย่   ตอนบา่ยจะทำงานไม่ไหวเอาน่ะนา     ฉันว่าคนเราไม่น่ากินมากไปจนหนักท้องนะคะ"
   จากนั้นก็มาถึงเรื่องเครื่องดื่ม
  "ฉันไม่เคยดื่มอะไรตอนกลางวันเลยค่ะ" หล่อนบอก
  "ผมก็ไม่ดื่มอะไรเหมือนกัน เขาก็รีบบอก
  "ยกเว้นไวน์ขาว" หล่อนพูดต่อ  "ไวน์ขาวฝรั่งเศสมันเบาๆดีนะคะ   เหมาะเอาไว้ดื่มย่อยอาหาร"
   "คุณอยากด่ื่มอะไรครับ" เขาถามตามมารยาท แต่เริ่มเซ็ง
  หล่อนฉีกยิ้ม "หมอประจำตัวไม่ให้ฉันดื่มอย่างอื่นนอกจากแชมเปญค่ะ"
   คราวหน้าฝ่ายชายหน้าซีด แต่ก็ไม่มีทางอื่นนอกจากสั่งแชมเปญมาครึ่งขวด   บอกว่าหมอก็ห้ามเขาดื่มแชมเปญอย่างเด็ดขาด
   "แล้วคุณจะดื่มอะไรล่ะคะ?" 
   "น้ำเปล่าครับ"
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.046 วินาที กับ 19 คำสั่ง