เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 14
  พิมพ์  
อ่าน: 13309 คุยกันเรื่องวิลเลียม ซอมเมอเซท มอห์ม (William Somerset Maugham)
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41506

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 60  เมื่อ 06 ก.ค. 25, 18:45

  3  ทีนี้ก็มาถึงฉากสำคัญ 1 ใน 2 ของเรื่อง
   ฉากแรกคือการเสียชีวิตของสาธุคุณเดวิดสัน   
   มอห์มไม่ได้บรรยายฉากนี้โดยตรง  คือไม่ได้เล่าว่าเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้เดวิดสันฆ่าตัวตาย   ไม่มีฉากเขาฆ่าตัวตายที่ชายหาดปรากฏในสายตาคนอ่าน
    มอห์มเลือกเล่าเหตุการณ์เมื่อเหตุร้ายเกิดและจบไปแล้ว  เวลาผ่านไปจนถึงรุ่งเช้าเมื่อคนไปพบศพเดวิดสันนอนตายที่ชายหาด ศพแช่น้ำอยู่ครึ่งๆ     คนอ่านมองเห็นผ่านสายตาของหมอแมคเฟลผู้งุนงงไม่รู้สาเหตุ   หมายความว่าพลอยทำให้คนอ่านไม่รู้สาเหตุด้วยเช่นกัน
    จากนั้นมอห์มก็ตัดอีกฉากจากสายตาคนอ่านด้วยเช่นกัน คือเมื่อนางเดวิดสันได้รับแจ้งข่าวร้าย   ตอนแรกนางตื่นตระหนกมาก  ตัวสั่น น้ำตาไหลอาบแก้ม อย่างภรรยาทั้งหลายที่เสียขวัญเมื่อได้รับข่าวร้ายว่าสามีตายกะทันหัน     แต่เมื่อไปที่ห้องเก็บศพ  นางขอเข้าไปดูศพคนเดียว   มอห์มก็ตัดฉากนี้ออกไปจากสายตาคนอ่านอีก
    คนอ่านไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อนางเดวิดสันเห็นศพสามี   ไม่เห็นปฏิกิริยาว่าตกใจ เสียใจ  ช็อค  หรือ...อะไรแน่
    คนอ่านรู้ผ่านสายตาของหมอแมคเฟลที่รออยู่ภายนอกว่า  ขากลับออกมา นางเดวิดสัน...
   1  ไม่ปริปากบอกเล่าอะไร  ไม่คร่ำครวญเศร้าโศก   
   2  เมื่อเปิดปากพูด  เสียงของนางเครียด แต่มั่นคง  ไม่สั่นเครือ ไม่สะอึกสะอื้น
   3  แววตาของนางมีแววบางอย่างที่หมอแมคเฟลไม่เข้าใจ   มันคืออะไร มอห์มไม่บอกเรา
   นักเขียนที่มีชั้นเชิงการนำเสนอจะไม่เล่าให้คนอ่านฟังชนิดหมดเปลือก    แต่จะทำให้คนอ่านคิดเอง เดาเอง ถกเถียงกันเอง   เพิ่มรอยหยักในสมองให้ตนเอง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41506

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 61  เมื่อ 07 ก.ค. 25, 08:34

   บางครั้ง  การเงียบไม่พูดไม่จา  สีหน้าท่าทางเก็บความรู้สึก สามารถบอกคนอ่านได้พอๆกับนักเขียนเล่าหมดเปลือก
   เรามาตามเหตุการณ์กันทีละขั้นนะคะ
   1  นางเดวิดสันไม่พูดไม่จาอะไร เดินกลับมาที่ที่พักแรม 
   2   เจอเซดี้กลับไปแต่งกายฉูดฉาดอย่างโสเภณี เปิดเพลงดังลั่น แถมยังแสดงกิริยาหยาบคาย  ถ่มน้ำลายใส่สตรีที่เพิ่งสูญเสียสามีมาหยกๆ
   3 ปฏิกิริยาของนางเดวิดสัน แทนที่จะแสดงความโกรธหรือเหยียดหยามต่อการลบหลู่ซึ่งๆหน้า  กลับเอามือปิดหน้า วิ่งหนีเข้าห้องไป แสดงการพ่ายแพ้อย่างหมดประตูสู้
   มอห์มบอกคนอ่านระหว่างบรรทัดอย่างไรบ้าง
   1   ในตอนแรกเมื่อรู้ข่าวว่าสามีเสียชีวิตกะทันหัน  จากเหตุอะไรยังไม่รู้  นางเดวิดสั่นตัวสั่น น้ำตาไหลพราก 
    นี่คือปฏิกิริยาธรรมดาของญาติผู้ตาย  เกิดจากช็อค ตระหนกตกใจ เศร้าโศกเสียใจรุนแรงเมื่อประสบเหตุร้ายไม่คาดฝัน
   2   เธอขอไปดูหน้าสามีเป็นครั้งสุดท้าย   
    ถ้าเป็นกรณีธรรมดาทั่วไป  เมื่อตระหนักว่าเขาตายแน่แล้ว  ความเศร้าโศกเสียใจน่าจะเพิ่มขึ้น แสดงออกด้วยการร้องไห้หนักขึ้น สะอื้นหนัก  มือเท้าอ่อนเดินแทบไม่ไหว ต้องประคองกัน
     แต่นี่เธอหยุดร้องไห้   ไม่มีเสียงกลั้นสะอื้น  พูดเสียงห้วนๆ หนักๆ   สีหน้าเคร่งเครียด  ดวงตามีแววที่หมอแมคเฟลไม่เข้าใจ  ซึ่งไม่ใช่แววเศร้าโศก  เพราะถ้าเป็นแววตาแบบนั้นเขาคงอ่่นออกได้ไม่ยาก
     ทั้งหมดนี้ไม่ได้บ่งบอกความเศร้าโศกเสียใจ   แต่เป็นอารมณ์อื่นที่ลึกกว่านั้น   ลึกจนกระทั่งคนนอกอย่างหมอแมคเฟลอธิบายไม่ได้ 
    เป็นอารมณ์ที่ซ่อนเร้นลึกมาก ภายใต้ความเคร่งเครียดกดดัน
    แล้วมาระเบิดออก เมื่อเซดี้ถุยน้ำลายใส่หน้า แสดงความเหยียดหยามชิงชัง    นางเดวิดสันหนีด้วยอาการพ่ายแพ้หมดประตูสู้
    เธอเห็นอะไรจากศพของสามี?
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41506

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 62  เมื่อ 07 ก.ค. 25, 09:49

  มอห์มทิ้งให้คนอ่านคาดเดากันเองว่า นางเดวิดสันเลิกเศร้าโศกเสียใจเป็นปลิดทิ้งเมื่อเห็นศพสามี  เปลี่ยนเป็นความเครียดอย่างหนักเมื่อกลับออกมา
   เพราะอะไร?
   เพราะศพของสาธุคุณเดวิดสันบอกให้นางรู้ทันทีว่า เขาตายเพราะอะไร น่ะซี
   ปัญหาคือศพบอกได้อย่างไร?
   เมื่ออ่านเรื่องนี้ครั้งแรก   อดคิดไม่ได้ว่ามีร่องรอยอะไรบนศพหรือเปล่า  บอกให้ภรรยารู้  เช่น
   - รอยช้ำ รอยกัด หรือเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ย อันมีที่มาจากความสัมพันธ์ทางเพศ
   - ริ้วรอยสีหน้าของศพ  ที่บอกความรู้สึกก่อนตาย
   -  แค่รอยปาดคอตาย ก็มากพอแล้วที่นางเดวิดสันจะรู้
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8464


ความคิดเห็นที่ 63  เมื่อ 07 ก.ค. 25, 10:56

                 เข้าใจว่า เป็นสไตล์,ชั้นเชิงเรื่องสั้น ตัดจบให้คิดต่อเองของท่านมอห์ม แต่ช่างไม่ถูกจริตเลย
                 เรื่องสั้นอื่นๆ ของไทย,เทศที่เคยอ่านก็มีแบบตัดจบหักมุม ให้คนอ่านคิดแทนต่อว่าตัวเอกจะตัดสินใจ,
เป็นอย่างไรต่อไป เช่น สร้อยคอที่หาย ซึ่งแปลจากผลงานนักเขียนเอกของฝรั่งเศส ที่คนอ่านคิดเองต่อแค่สั้นๆ พองาม
ไม่มากหลากแนวคิด, และเป็นการคิดบวก, รู้สึกว่าจบลงเอยด้วยดี
             แต่ สำหรับเรื่องนี้ของท่านมอห์ม มึความ ปั่น, ป่วน, กวน, ขัด ใจ เป็นภาระคนอ่านเกิน

                 ดึกมากแล้วคืนนั้น สาธุคุณ ไม่กลับห้องสักที นางไปตามหาที่ห้องเซดี้ ที่เป็นได้ทั้ง นางได้รู้เห็นเหตุการณ์,
พบว่าห้องปิดเงียบ, ได้พบแต่เซดี้ ที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงเอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ ไม่บอกอะไร ไล่นางออกจากห้อง  
                 นางรู้ว่า อาจเกิดเรื่องไม่งาม แต่ยังไม่แน่ใจ ไม่กล้าคิดว่า ไม่งามขนาดไหน นั่งสวดมนต์รอในห้อง
                 ในที่สุด สามีกลับมา ซึม,สำนึกผิด ถูกนางคาดคั้นคำตอบ หรือเขาสารภาพบาปเอง นางอึ้งโกรธแค้นร้องไห้เงียบๆ
หรือ ต่อว่าต่อขาน ประณามความอัปยศอดสูจะอยู่มองหน้าใครต่อไปได้ สาปแช่ง ไปตายเสีย สามีนิ่งสำนึกละอายซึมเศร้า
ปลีกตัวออกไปโดยฉวยมีดโกนติดตัวไปด้วย
                 เมื่อรู้ว่าสามีตาย นางเศร้าปนรู้สึกผิดที่นางไล่ให้ไปตาย
                 เมื่อเห็นศพสามี ร่องรอยต่างๆ รอยเล็บข่วนบอกว่า สามีนางเป็นผู้ใช้กำลังข่มเหงเซดี้


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41506

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 64  เมื่อ 07 ก.ค. 25, 11:39

     คุณหมอวาดเหตุการณ์ได้ชัดเจนเหมือนเอาหนังมาฉายให้ดูต่อหน้า   แล้วยังขัดใจว่าเป็นภาระเกินอีกหรือคะ
     เอางี้นะคะ   ภาพที่มอห์มฉายให้เราดูผ่านทางตัวหนังสือ เราก็อ่านไปแล้ว
     แต่ภาพที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง เหมือนการแสดงดำเนินไปหลังม่าน  มันคืออะไร ก็แล้วแต่คนอ่านจะตีความเอาเอง  คุณหมอ SILA ตีภาพออกมาข้างบนนี้
     ส่วนดิฉันตีความอีกแบบหนึ่ง
     สาธุคุณเดวิดสันอายุราวๆ 40 ปี ยังไม่แก่เฒ่า    เขาไม่มีโอกาสจะข้องแวะกับใครนอกจากภรรยา ซึ่งก็เหมือนฝาแฝดเขายกเว้นแต่เป็นเพศหญิงเท่านั้นเอง    เขาเชื่อมั่นว่าตัวเองเป็นสาวกของพระเจ้า  ยังไงก็อยู่เหนืออบายมุขและกิเลสตัณหาอยู่แล้ว
     ส่วนเซดี้อยู่ในวัย 27 ปี เป็นสาวเต็มตัว    ขึ้นชื่อว่าโสเภณี  ต้องมีรูปร่างหน้าตาดึงดูดใจเพศชาย   ไม่งั้นคงประกอบอาชีพนี้ไม่ได้   
     แม้ว่าตอนแรก เดวิดสันชิงชังรังเกียจนางบาปคนนี้้ด้วยใจจริง  แต่เมื่อเข้าไปคลุกคลีใกล้ชิดด้วยหน้าที่    กิเลสตัณหาที่เขาไม่เคยคิดว่ามีในตัวเองก็จู่โจมขึ้นมา จนหลับไม่ลงในแต่ละคืน    จะถอนตัวจากเซดี้ก็ทำไม่ได้ จะเดินหน้าต่อก็รู้ว่าผิด   กิเลสสองฝ่ายผลัดกันรุกอยู่ในตัวทุกค่ำทุกคืน
     ถ้าสังเกตระหว่างบรรทัด จะเห็นสัญญาณอันตรายเตือนมาแต่แรกแล้ว  เช่น เดวิดสันไม่เคยเอาภรรยาเข้าไปร่วมเทศนาและสวดมนตร์ด้วยเมื่อเข้าไปในห้องของเซดี้    ไม่เคยเชิญหมอแมคเฟลและภรรยาไปนั่งเป็นพยานความบริสุทธิ์ใจ   เขาอยู่กับเซดี้ตามลำพังทุกคืนจนดึกค่อนคืน      นางเองก็สวมแค่เสื้อคลุมนอนหละหลวม  ไม่ได้แต่งกายมิดชิด
     ผ่านไปหลายคืน   คนอ่านก็ไม่รู้ว่าการแพ้ต่อกิเลสตัณหามันเริ่มในคืนไหน   รู้แต่ว่าแพ้แน่ๆในคืนสุดท้าย  เมื่อเดวิดสันไม่กลับไปสู้หน้าภรรยา แต่เลือกที่จะฆ่าตัวตาย   เพราะไม่สามารถทนมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ 
     คนอ่านไม่รู้เช่นกันว่า นางเดวิดสันเห็นอะไรบนศพสามี 
    -  ร่องรอยการต่อสู้ขัดขืนของเซดี้
    -  หรือ ร่องรอยการเมคเลิฟแบบที่เรียกกันว่า love bite   
    -  สีหน้าเจ็บปวด อัปยศ สิ้นหวังบนใบหน้าของศพ  แทนที่จะเป็นสีหน้าเศร้าโศกเสียใจ 
    แต่จะเป็นอย่างไหนก็ตาม นางเดวิดสันมองเห็น...และเข้าใจสาเหตุ
    โลกของนางก็พังครืนลงมา   เพราะเทพเจ้าที่นางบูชา กลายเป็นมารไปเสียแล้ว    บาปหนักที่เขาประณามคนอื่นๆ บัดนี้เขาทำเสียเอง   เมื่อนางมารที่นางเคยรังเกียจ กลับผงาดขึ้นมาในฐานะผู้เหนือกว่า กล้าแสดงความเหยียดหยามชิงชัง อย่างที่นางเดวิดสันเคยรู้สึกกับผู้หญิงคนนี้   นางก็ไม่มีทางจะสู้หน้า  จึงยกมือปิดหน้าวิ่งหนีไป ด้วยความอัปยศเกินกว่าจะทน 
     ต่อไป มาลองคาดคะเนดูถึงเซดี้ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสาธุคุณกับนาง แท้จริงเป็นอย่างไร
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 2091



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 65  เมื่อ 07 ก.ค. 25, 11:48

โดยความเชื่อทางศาสนา การฆ่าตัวตายเป็นเรื่องร้ายแรงมากนะครับ น่าจะเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาด้วยครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41506

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 66  เมื่อ 07 ก.ค. 25, 12:36

  ข้อนี้ก็จริงของคุณม้าค่ะ น่านำมาพิจารณาด้วย
  คุณม้ามีความเห็นไหมคะ
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8464


ความคิดเห็นที่ 67  เมื่อ 07 ก.ค. 25, 13:45

       ท่านมอห์ม แม้ตอนเด็กต้องไปอยู่กับลุงที่เป็นบาทหลวง แต่ก็ไม่น่าจะได้ใกล้ชิดสนิทกัน
ที่นั่น ท่านมอห์มมีหนังสือเป็นเพื่อน
       ถามกูเกิ้ลเอไอ ตอบมาว่า
       Somerset Maugham was an agnostic who expressed a lack of belief in God,
finding the misery of the world incompatible with the idea of a divine being.
He viewed religion as a practical outcome of agnosticism, suggesting one should act
as if God does not exist. Maugham's writings often explored themes of human nature
and morality, sometimes hinting at a search for meaning without a traditional religious framework.
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41506

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 68  เมื่อ 07 ก.ค. 25, 16:17

    ทำการบ้านให้คุณหมอ SILA ก่อนนะคะ ด้วยการแปลข้อความ
    ซอมเมอร์เซ็ต มอห์มเป็นผู้ที่ไม่นับถือศาสนาใด    แสดงออกถึงความไม่เชื่อถือในพระเจ้า โดยมองว่าความทุกข์ยากทั้งปวงของโลกไม่สอดคล้องกับแนวคิดว่าพระเจ้ามีจริง
    เขาถือว่าศาสนาเป็นผลทางปฏิบัติของความไม่เชื่อถือในพระเจ้า โดยแนะนำว่าเราควรปฏิบัติตนราวกับว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริง   งานเขียนของมอห์มมักเป็นการศึกษาประเด็นเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์และศีลธรรม บางครั้งชี้ให้เห็นถึงการแสวงหาความหมายของชีวิต  โดยไม่ถูกจำกัดกรอบด้วยความเห็นทางศาสนาแบบดั้งเดิม

   ขออธิบายเพ่ิ่มเติมตามนี้
   agnostic ที่บรรยายตัวตนของมอห์มน้ัน  แปลเป็นไทยที่อ่านยากกว่าภาษาอังกฤษว่า อไญยนิยม   หมายถึงผู้ที่เชื่อว่ามนุษย์เราไม่อาจรู้หรือไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าพระเจ้ามีจริง   เพราะจนบัดนี้ยังไม่มีใครสามารถพิสูจน์กันให้เห็นจะจะกับตา ว่าพระเจ้ามีจริง
   ขณะที่เรารู้ว่าดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาว โลก บ้านเมือง ฯลฯ มีจริง  สิ่งที่มองเห็นไม่ได้เช่นคลื่นวิทยุ คลื่นไฟฟ้า เชื้อโรค  แต่พิสูจน์ได้ ก็มีอยู่จริง  แต่พระเจ้าอยู่ตรงไหน หน้าตาเป็นอย่างไร  ก็ไม่มีใครเคยเห็นหรือพิสูจน์ออกมาได้  เพราะฉะนั้น  มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะรู้ว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริงหรือไม่
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41506

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 69  เมื่อ 07 ก.ค. 25, 17:17

     มีอีกคำหนึ่ง คือ Atheist หมายถึงผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้ามีจริง   เมื่อไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง เขาก็ไม่นับถือศาสนาใดๆ เพราะพระเจ้ากับศาสนาเป็นสิ่งควบคู่กันไป
     ต่างจาก agnostic ยังไง คือต่างตรงที่ agnostic  คือผู้ที่เห็นว่ามนุษย์พิสูจน์ไม่ได้ว่าพระเจ้ามีจริงหรือ   พวกนี้เอาความรู้และข้อพิสูจน์เป็นหลัก  ผิดกับ Atheist  ที่เอาความเชื่อเป็นหลัก  คือไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง
     ยังมีพวกอื่นๆอีกค่ะ  เรียกแยกไปอีกได้หลายชื่อ
      Freethinker   พวกนี้ปฏิเสธพิธีกรรมหรือตำรับตำราใดๆในศาสนา   แต่เชื่อต่อเมื่อตัวเองมีเหตุผลที่จะเชื่อ   
      Skeptic      พวกนี้ยังไม่เชื่อจนกว่าจะมีหลักฐาน หรือพิสูจน์ได้เสียก่อน ถึงจะเชื่อ
     Humanist      พวกนี้เน้นความสำคัญของคุณค่าของมนุษย์  มากกว่าจะให้ความสำคัญกับความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นใด
      Secularist –  พวกนี้ถือว่าศีลธรรมไม่ได้ขึ้นกับศาสนา แต่เป็นผลมาจากความคิดเชิงเหตุผลและสิ่งที่พิสูจน์ได้แล้วว่าถูกต้องดีงาม  เขาแยกศาสนาออกจากการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม    ถือว่าศาสนาเป็นเรื่องส่วนบุคคลล้วนๆ
     Non-theist –  พวกนี้จางสีกว่า atheist หน่อย  คือไม่ถึงกับปฏิเสธศาสนา  แค่ไม่เชื่อฟังหรือไม่ยึดถือตาม
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8464


ความคิดเห็นที่ 70  เมื่อ 07 ก.ค. 25, 18:00

Meta AI ก็ว่าแบบนี้


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41506

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 71  เมื่อ 07 ก.ค. 25, 18:56

    แปล
    มุมมองของมอห์มทางด้านศาสนานั้นมีความซับซ้อนและแตกต่างจากคนอ่ื่น  แม้ว่าเขาจะเติบโตมาในนิกายเชิชออฟอิงแลนด์  แต่งานเขียนมักจะมุ่งศึกษาประเด็นด้านเคลือบแคลงไม่เชื่อถือ  (skepticism), สงสัยไม่แน่ใจ (doubt) และการแสวงหาความหมายแท้จริงของชีวิต    บางคนเห็นว่าเขาเป็นผู้นับถืออไญยนิยม (agnostic) หรือผู้ไม่เชื่อในพระเจ้า (atheist) ในขณะที่บางคนมองว่าเขาเป็นผู้ที่โรมรันพันตูกับคำถามทางจิตวิญญาณมาตลอดชีวิต ผลงานของเขามักจะวิพากษ์วิจารณ์บรรทัดฐานของสังคมและหลักคำสอนทางศาสนา ซึ่งสะท้อนถึงความอิสระไม่ขึ้นกับหลักธรรมใดๆ  และความสงสัยใคร่รู้อันเป็นนิสัยประจำตัว
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41506

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 72  เมื่อ 07 ก.ค. 25, 19:14

  มอห์มมีวิธีเขียนให้คนอ่านรู้สึกว่ากำลังชะเง้อมองอยู่นอกห้องของเซดี้  บานประตูปิด  แว่วๆเสียงเคล่ื่อนไหวและเสียงสวดมนตร์อยู่ข้างใน จนดึกจนดื่น   มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง ชวนให้หงุดหงิดไม่มากก็น้อย
  ฉากสำคัญคือคืนสุดท้าย   หมอแมคเฟลก็หลับอยู่ในห้องของเขา   เป็นอันว่าเขาไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไร   คนอ่านก็พลอยอดรู้ไปด้วย
   เรารู้จากคำบอกเล่าของภรรยาสาธึุคุณว่าเขาออกจากห้องของเซดี้ตอนตีสอง   ไม่กลับเข้าห้องตัวเอง แต่ออกไปจากที่พัก   ก็แปลว่าเขาออกไปเดินอยู่มืดๆ ริมชายหาด   แล้วก็ฆ่าตัวตายหลังจากนั้นอีกไม่นาน   เพราะตอนเช้าเมื่อคนพบศพ  ศพเขาเย็นแข็งแล้ว  ไม่ใช่อุ่นๆเหมือนเพิ่งขาดใจ
   เกิดอะไรขึ้นในห้องของเซดี้?
   ตอนนี้รู้แล้วว่ามีเรื่องทางเพศเกิดขึ้นในห้องนั้นแน่นอน     แต่มันเกิดจากอะไร ในรูปแบบไหน   หมอแมคเฟลเองก็ไม่รู้    คนอ่านอย่างเราก็ได้แต่เดา ทางนั้นบ้างทางนี้บ้าง
    ดิฉันลองแกะรอยตามนี้
   1   ความสัมพันธ์ระหว่างสาธุคุณกับโสเภณี เริ่มต้นอย่างนักบุญกับคนบาป  แต่พอใกล้ชิดกันเข้า นักบุญก็พบว่าตัวเองไม่ได้มีปณิธานสะอาดบริสุทธิ์อย่างที่ตัวเองคิด     แต่ว่าถูกแรงดึงดูดมหาศาลให้เกิดตัณหาในตัวหญิงสาว  ห้ามใจเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ    ในที่สุดก็ต้องยอมแพ้ สยบให้ความใคร่
   2  คืนนั้น เป็นเรื่องของการสมยอมแบบตกกระไดพลอยโจนทางฝ่ายหญิง  และใจอ่อนเป็นขี้ผึ้งถูกไฟลนทางฝ่ายชาย
คล้ายๆหนังรักที่เราดูกันทางทีวี    ประเภทพระเอกนางเอกไม่ถูกกันมาแต่แรก แต่พอใกล้ชิดกันเข้า  ไฟฟ้าก็สปาร์กขึ้นมาเฉยๆ
   3   บังคับข่มขืน  ในรูปแบบที่ผู้หญิงไม่อาจจะร้องโวยวายให้ใครช่วยได้   
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41506

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 73  เมื่อ 08 ก.ค. 25, 09:23

     การฆ่าตัวตายของสาธุคุณเดวิดสัน บอกอะไรกับคนอ่านบ้าง
     1   เขาไม่ใช่คนหน้าไหว้หลังหลอก  ประเภทภายนอกแสร้งทำเป็นนักบุญ ภายในคือซาตานล้วนๆ  แต่เป็นคนที่สุดโต่งไปทางด้านหนึ่ง  เข้มงวดกับทุกคนรอบตัวรวมทั้งตัวเองด้วย
     2   เขาไม่เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ที่ย่อมมีดีและชั่วปะปนกัน    เขาจึงไม่ยืดหยุ่นกับคนรอบตัว   ยิ่งได้ภรรยาที่เห็นดีเห็นงามไปด้วยหมดทุกอย่าง  เขาก็ยิ่งเตลิดไปไกลสุดกู่
     3  เซดี้คือตัวแทนของ "มาร" ที่เขาผจญ   ตอนแรกนึกว่าปราบมารได้สำเร็จ เป็นงานชิ้นโบแดง   แต่เอาเข้าจริงก็กลับพบว่า "มาร" นั้นไม่ได้อยู่ในตัวมนุษย์คนไหนนอกจากในใจส่วนลึกของเขาเอง
     4  เมื่อพ่ายแพ้กิเลสมารในตัวเอง   เดวิดสันพบว่าโลกที่เขายึดถือพังทลายลงมาจนไม่เหลืออะไร  หมดความเชื่อมั่น หมดความภูมิใจ  สู้หน้าใครไม่ได้โดยเฉพาะภรรยา   เขาก็ประหารตัวเอง
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16150



ความคิดเห็นที่ 74  เมื่อ 08 ก.ค. 25, 09:35

คุณสุดลาภา ปรีมนวงศ์ ได้แปลเรื่องสั้นของมอห์มเรื่องนี้พร้อมเขียนบทวิเคราะห์ เป็นสารนิพนธ์ในการศึกษาตามหลักสูตรศิลปกรรมศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการแปลภาษาอังกฤษและไทย ภาควิชาภาษาอังกฤษ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๓

อ่านรายละเอียดได้ใน บทแปลเรื่องสั้น เรื่อง "ฝน" ของ วิลเลียม ซอเมอร์เซ็ต มอห์ม พร้อมบทวิเคราะห์
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 14
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.106 วินาที กับ 19 คำสั่ง