เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 360 เมื่อ 15 ธ.ค. 15, 20:23
|
|
hog badger หมูหริ่ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33596
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 361 เมื่อ 15 ธ.ค. 15, 20:25
|
|
ลิงลม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 362 เมื่อ 16 ธ.ค. 15, 18:20
|
|
รูปลิงลมของ อ.เทาชมพู มีสีสันต่างจากที่ผมเคยเห็นในป่า ทำให้ผมต้องไปค้นคว้าเพิ่ม
ก็พบว่ามันคงจะมีหลาย varieties ซึ่งป่าผืนใหญ่ทางตะวันตกของไทยอาจจะเป็นถิ่นของพวกที่มีขนสีขี้เถ้าก็ได้นะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 363 เมื่อ 16 ธ.ค. 15, 19:04
|
|
ก็มีเล็กๆน้อยๆคั่นกลางเรื่องราวครับ
ในป่าที่มีต้นไม้ขึ้นอยู่ค่อนข้างหนาแน่น หรือแม้กระทั่งป่าที่ค่อนข้างโปร่ง ที่ภาษาชาวบ้านทางเหนือเรียกว่าป่าแดง หรือ ป่าแพะ นั้น แม้ในบางครั้งจะดูว่ามีทัศนวิสัยค่อนข้างดีและเห็นได้ในระยะไกล แต่การเห็นตัวสัตว์ทั้งหลายกลับมักจะไม่ได้เป็นไปตามทัศนวิสัยนั้นๆ ระยะที่เรามักจะเห็นตัวสัตว์จริงๆมักจะอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 20 ม. ส่วนในพื้นที่ๆเป็นทุ่งหญ้านั้นก็อาจจะเห็นได้ใกล้ไกลตามแต่ความสามารถของสายตาของเรา ระยะยิงสัตว์ทั้งหลายของพรานไพรชาวบ้านจึงมักจะอยู่ที่ประมาณ 10-15 ม. ซึ่งก็เป็นระยะหวังผลของปืนยาวที่ชาวบ้านผลิตเองที่เรานิยมเรียกว่าปืนแก็ป (ผมเรียกว่าปืนเสือตบตูบ)
โดยภาพรวมๆก็คือ เห็นตัวสัตว์ในระยะประมาณ 20 ม. เดินย่องเข้าไปให้ใกล้สักหน่อยจนได้ระยะยิงหวังผลที่ประมาณ 10-15 ม. ระยะที่เหมาะสมนี้ยังขึ้นอยู่กับความอันตรายจากความเร็วของการสวนกลับของสัตว์ที่จะยิงและระยะที่เราจะวิ่งเข้าไปจับตัวมันในกรณีมันบาดเจ็บและหนีอีกด้วย จากนั้นก็หาที่กำบัง แล้วก็ยิง ซึ่งเป็นภาพที่ต่างไปจากในความคิดของนักนิยมไพรชาวกรุงมาก ที่มักจะนึกถึงการใช้ปืนยาวติดกล้องส่องเป้าทางไกล นึกถึงปืนขนาดลูกใหญ่ๆและรุนแรง หรือ นึกถึงปืนที่มีศูนย์เล็งแบบยิงเป้า ฯลฯ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 364 เมื่อ 16 ธ.ค. 15, 19:17
|
|
เล่ามาก็เพื่อจะบอกว่า ชาวบ้านป่ากับป่าก็มีความสมดุลย์กันอยู่พอควร ใช้ปืนแก็บล่าสัตว์ใหญ่ขนาดเก้งได้ก็ค่อนข้างยากแล้ว และยิ่งด้วยความแม่นยำของตัวปืน ก็ทำให้การล่าพลาดได้จนเป็นเรื่องปรกติ สัตว์ใหญขนาดกวาง กระทิง วัวแดง เสือ เหล่านี้ ล้วนใช้ปืนล่าสัตว์สมัยใหม่ทั้งนั้น ก็คงพอจะเห็นภาพของผู้ล่านะครับ มาจากเมืองกันทั้งนั้น สัตว์ป่าเบาบางลงไปก็เกิดมาจากฝีมือของคนจากเมืองเข้าป่ามากกว่าจะเป็นชาวบ้านป่าเป็นผู้กระทำ
ผมเห็นภาพเช่นนี้นะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 365 เมื่อ 17 ธ.ค. 15, 18:20
|
|
การพบเห็นตัวสัตว์ในระยะที่ผมได้กล่าวถึงนี้ ดูใกล้จนอาจจะใช้คำว่า จ๊ะเอ๋ได้ แต่คำว่า จ๊ะเอ๋ ของผมหมายถึงการพบเห็นกันระหว่างคนกับสัตว์ในระยะใกล้กว่านี้และในลักษณะต่างตกใจ ไม่เขาก็เราหันหลังโกยหนีไป บางครั้งก็ต่างคนต่างหันหลังโกยหนีกัน ส่วนมากก็ระหว่างเรากับหมีในช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ กับงูก็คงเป็นเรื่องปรกติ กับช้างก็มีบ้าง แต่กับช้างนี้เราต้องใจแข็งไม่โกยในทันที มิฉะนั้นมันจะไล่กระทืบเรา มีอยู่ครั้งหนึ่งมันตกใจหันหลังเป่าแตรโกยเลย เราก็ต้องรีบโกยตามในทันใดไปหาต้นไม้ใหญ่บัง โชคดีที่มันนึกไม่ได้ว่าคนตัวเล็กกว่ามันตั้งเยอะ จะหนีไปทำไม ก็เป็นเรื่องที่ต้องรู้ว่า ที่เห็นช้างมันหันหนีไปนั้น แล้วมันก็มักจะกลับมาพร้อมกันอีกหลายตัวมาวิ่งไล่เรา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 366 เมื่อ 17 ธ.ค. 15, 18:50
|
|
ไปเรื่องของสัตว์ใหญ่บ้างนะครับ
สัตว์ใหญ่ประจำป่าของเมืองไทยเราที่พบเห็นได้ทุกผืนป่า ก็คือ หมูป่า และ เก้ง สำหรับหมูป่านั้น ผมเห็นมีชุกชุมอยู่มากจนผิดปรกติในพื้นที่ห้วยเต่าดำ อ.ไทรโยค (พื้นที่เหนือช่องข้ามแดนของเส้นทางด่านบ้องตี้)
ส่วนเก้งนั้น คงจะต้องแบ่งออกเป็น เก้งธรรดา และ เก้งหม้อ (ก้นดำ) เก้งธรรมดาพบอยู่ในพื้นที่ๆค่อนข้างจะราบโดยทั่วๆไป และพบทั้งในป่าชื้นและป่าแล้ง (ป่าละเมาะ ป่าแดง ป่าแพะ) ส่วนเก้งหม้อมักจะพบอยู่ในพื้นที่ป่าที่ค่อนข้างจะชื้นและเป็นพื้นที่เขา (ที่ระดับสูง) สำหรับกวางนั้น พบเป็นบริเวณๆไป ซึ่งในประสพการณ์ของผม ผมเห็นว่าหย่อมที่อยู่ที่หากินที่สำคัญของมันมีอยู่ 2 บริเวณ คือ ผืนป่าฝั่งตะวันตกของห้วยขาแข้งช่วงล่าง ต่อเข้าไปในเขตป่าต้นน้ำแควใหญ่ (ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร) และอีกผืนป่าหนึ่งตามแนวเทือกเขาตะนาวศรีโดยเฉพาะช่วงระหว่างหมู่เหมืองแร่ปิล๊อก เรื่องลงไปจนเข้าผืนป่าแก่งกระจาน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 367 เมื่อ 17 ธ.ค. 15, 19:11
|
|
กระทิง พบเห็นอยู่ในทุ่งหญ้าที่อยู่ในพื้นที่ห้วยทับเสลาที่แยงเข้าไปหาห้วยขาแข้งตอนช่วงกลาง
สมเสร็จ ตัวสามกีบของผม เป็นสัตว์ที่นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้พบเห็นในพื้นที่ห้วยขาแข้ง ขัดกับความรู้ที่ฝังห้วผมมาตั้งแต่เด็ก (ที่ได้มาจากการเดินดูสัตว์ในเขาดิน) ว่าพบเห็นได้ในพื้นที่ทางภาคใต้ของเรา
แน่นอนว่าขาดช้างไม่ได้ มันเป็นพวกนักบุกเบิก เป็นผู้ทำทางเดิน (ด่าน) ที่สำคัญๆในผืนป่าต่างๆ เป็นผู้เปิดโป่งน้ำซับทั้งหลายและก็เป็นผู้ทำให้โป่งเละไปอีกด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 368 เมื่อ 17 ธ.ค. 15, 19:27
|
|
แล้วก็มาถึงสัตว์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ..มหิงสา ซึ่งได้พบเห็นมันก็เพราะมันเข้ามาป้วนเปี้ยนอยู่ในพื้นที่ใกล้ๆหมู่บ้านเกริงไกร มาติดควายตัวเมียของชาวบ้าน บางวันก็เห็นยืนเป็นสง่าอยู่อีกฝั่งหนึ่งของลำห้วย บางคืนก็บุกเข้าคอกควายตัวเมียในหมู่บ้าน
เจ้าตัวนี้แหละที่ทำให้ จนท.ป่าไม้พร้อมปืนยิงเร็วหลายคน เดินตามหาตัวผมอยู่เป็นเดือน คิดว่าพวกผมเป็นพวกพรานชาวกรุงเข้ามาตามล่ามัน
ค่อยๆขยายความต่อไปนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 369 เมื่อ 18 ธ.ค. 15, 18:24
|
|
เรื่องของบุญรอดที่ไร่เล (ในกระทู้เรื่อง รู้จักกับคุณ NAVARAT.C) ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพื้นที่ชายฝี่งทะเล กับเรื่องของมหิสาห้วยขาแข้ง ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพื้นที่ป่าเขา มีผู้แสดงเป็นสัตว์พันธุ์เดียวกัน ทั้งคู่มีชื่อเรียกขานว่า ควาย เหมือนกัน แต่ทั้งคู่ก็อาจจะมีความแตกต่างกันในเรื่องของสายพันธุ์
ผมชอบควาย โดยเฉพาะตัวที่อ้วนท้วน ความที่มันอ้วนสมบูรณ์จึงทำให้มันมีตัวกลม ผิวหนังมัน มีเนื้อแน่นจนเห็นแผ่นหลังแบน หน้าอกช่วงใหล่มีเนื้อเต็ม เห็นแถบขนขาวที่ใต้คอระหว่างช่วงไหล่ได้ชัดเจน ผมจึงสะสมตุ๊กตาควาย (แบบคนเลือกมากและเรื่องมาก) ก็มีทั้งแบบหล่อเป็นโลหะ เป็นเรซิน และเป็นปั้นเคลือบ
ด้วยความชอบนี้เอง ทำให้ผมได้พบว่า ควายที่แกะสลักจากไม้นั้น ไม่มีวางขายในอยู่ในตลาดใดในไทยเลย ถึงจะมีก็มีสัดส่วนที่ไม่สัมพันธุ์กับรูปทรงของตัวควายจริงๆ และเกือบทั้งหมดก็จะเป็นควายการ์ตูนใช้ประดับสวน ผมเคยจะว่าจ้างให้ช่างแกะสลักไม้ทำ ช่างเองก็บอกว่าขอลองทำก่อน ไม่รู้ว่าจะทำได้ไหม แล้วก็ได้ทำออกมาสองสามตัว แต่มันไม่ได้สัดส่วนของควาย ก็เลยไม่กล้าให้ดู
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 370 เมื่อ 18 ธ.ค. 15, 18:33
|
|
ควายไม้ที่ผมมีอยู่ ได้มาจากเกาะโอกินาวา ก็สวยดีนะครับ สวยและได้สัดส่วนพอได้ทีเดียว แต่ดันไปมีขายาวเกินไป อย่างไรก็ตาม ก็เคยเห็นแบบแกะลอยทั้งตัว ตั้งวางอยู่ในร้านอาหารไทยในญี่ปุ่น ตัวขนาดใหญ่กว่าขวดน้ำอัดลมขนาดลิตรครึ่งเล็กน้อย ถือว่าเป็นควายไม้แกะสลักที่สมบูรณ์และได้สัดส่วนตามจริงมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 371 เมื่อ 18 ธ.ค. 15, 18:57
|
|
ด้วยความสนใจของผมดังที่เล่ามา ทำให้ผมเห็นว่า เรามีควายสายพันธุ์ไทยที่ตัวไม่ใหญ่นัก ขนาดประมาณถังน้ำมัน 200 ลิตร ซึ่งพบได้ค่อนข้างจะทั่วไปในภาคเหนือของไทยเรา (และในอีสาน ?) ก็จากประมาณแนวตาก - อุตรดิตถ์ เหนือขึ้นไป มีลักษณะเด่น คือ ตัวค่อนข้างกลม ไม่เห็นกระดูกสันหลังโปนออกมา รูปทรงออกไปทางจ้ำม่ำ ตัวตัน
แล้วเราก็มีควายสายพันธุ์ที่มีตัวขนาดใหญ่กว่า เป็นควายที่เราเห็นกันคุ้นตาในพื้นที่ลุ่มภาคกลาง ซึ่งมีลักษณะเด่น คือ มีกระดูกสันหลังโปนออกมาเห็นได้ชัด ส่วนท้องจะออกไปทางห้อยบานออกไป (ไม่กลม) ตัวมีลักษณะโครงใหญ่ เห็นกระดูกโปนออกมา โดยเฉพาะที่สะโพก
ทั้งหมดนี้เป็นข้อสังเกตส่วนตัวของผมนะครับ ว่าไปโดยไม่มีความรู้และข้อมูลทางสัตวศาสตร์ใดๆมาสนับสนุนเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 372 เมื่อ 18 ธ.ค. 15, 20:12
|
|
มหิงสาในป่าขาแข้ง ตัวของมันมีรูปทรงและลักษณะเป็นควายสายพันธุ์ไทยดังที่เล่ามา แต่ตัวของมันมีขนาดใหญ่กว่าค่อนข้างมาก
จำได้ว่า ชาวบ้านที่บ้านเกริงไกรเล่าว่า มันเป็นควายบ้านที่หลุดเข้าป่าไปนานแล้วจนเปลี่ยนสภาพไปเป็นควายป่า ชาวบ้านเขาเรียกกันว่า ควายเพลิด ซึ่งก็อาจจะเป็นเพราะด้วยความที่เห็นว่ามันเป็นควายบ้านที่หลุดเข้าป่าไปนี้เอง ชาวบ้านเขาก็เลยไม่ไปล่ามัน ไม่ยิงมัน ซึ่งก็ดูจะมีข้อสนับสนุนอยู่เหมือนกันว่า ก็เพราะความที่มันคุ้นกับคนมาก่อน พอมืดลง มันก็เลยกล้าแอบเข้าคอกควายตัวเมียของชาวบ้าน
ส่วนมันจะเป็นควายป่าจริงๆหรือไม่นั้น ก็เป็นไปได้เหมือนกัน แต่ตัวผมเองมีความเห็นค่อนไปทางเป็นควายเพลิดเสียมากกว่า ด้วยมีข้อสงสัยที่ยังไม่กระจ่างหลายเรื่อง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 373 เมื่อ 19 ธ.ค. 15, 19:06
|
|
ในช่วงที่ผมเดินทำงานอยู่นั้น ไม่เคยได้ยินชาวบ้านผู้ใดพูดถึงควายป่าในพื้นที่อื่นๆ (ยกเว้นเฉพาะในพื้นที่ใกล้บ้านเกริงไกร ซึ่งเขาเข้ามาติดควายบ้านตัวเมีย) ไม่เคยได้ยินชาวบ้านบอกว่าได้เคยพบเห็นเป็นฝูงควายป่า (ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านที่เดินท่องอยู่ในห้วยขาแข้งที่อาศัยอยู่ทางย่าน อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี หรือ ทางย่าน อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี) ชาวบ้านมีแต่พูดถึงกระทิงและสนใจที่จะล่ากระทิง ทั้งๆที่กระทิงนั้นดูจะล่าได้ยากกว่าควาย
อย่างไรก็ตาม เหนือจากปากลำขาแข้งขึ้นไปตามแควใหญ่ จะมีสถานที่หนึ่งทางด้านขวาของลำน้ำ เรียกกันว่าหาดปะนา เป็นชื่อเรียกภาษากะเหรี่ยงที่แปลว่าหาดควาย สถานที่นี้เป็นที่ราบ มีลักษณะเป็นทุ่งหญ้า มีน้ำซับชื้นแฉะ ก็จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเคยมีควายป่าเป็นฝูง และหาดปะนานี้ก็คงเป็นพื้นที่ในถิ่นอาศัยของควายป่า แต่ก็คงเป็นเรื่องในอดีตนานมาแล้วจนไม่มีชาวบ้านพูดถึงควายป่ากันอีก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 374 เมื่อ 19 ธ.ค. 15, 19:40
|
|
นึกขึ้นได้ว่า ที่เกาะตะรุเตาก็มีควายป่าอยู่หลายตัว อยู่เป็นฝูงเหมือนกัน เดินหากินเอง ไม่มีสัตว์นักล่าและไม่มีคนตามล่า เลยทำให้มันเดินเร่ร่อนอยู่อย่างสบายใจ จนท.อุทยานเขาคอยสำรวจติดตามจำนวนประชากรของมันอยู่ตลอดมา
ที่ผมเรียกว่าควายป่านั้น จริงๆไม่ใช่ควายป่านะครับ เป็นควายบ้านที่เอามาใช้งานในสมัยยังใช้เกาะตะรุเตาเป็นสถานที่กักกันนักโทษ ผมไม่รู้ข้อเท็จจริงนะครับว่าควายพวกนี้หนีงาน ถูกทอดทิ้ง หรือถูกปล่อยเข้าป่าเมื่อมีการเลิกใช้สถานกักกันนักโทษที่นี้ มันก็ออกลูกออกหลานจนกลายเป็นฝูงใหญ่เหมือนกัน
ควายป่าในห้วยขาแข้งก็จึงอาจจะมีเรื่องราวคล้ายๆกัน ทั้งนี้ จากช่วงเวลาที่ผมทำงานว่าเห็นตัวเดียว จนถึงปัจจุบันนี้ที่เขาว่ากันเห็นเป็นฝูง ก็แถวๆ 40 ปีมาแล้ว ก็คงจะไม่แปลกนักหากจะมีลูกหลานของมัน
อาจจะข้องใจว่า แล้วมันไปเอาตัวเมียมาจากใหน ที่จำได้ก็ว่ามันเข้ามาหาตัวเมียในคอก ชาวบ้านก็พยายามจะกักมันใว้ในคอก มันก็พังคอกแล้วพาควายสาววิวาห์เหาะ
ผมได้เคยเล่าเรื่องในกระทู้เก่ากระทู้หนึ่งว่า คืนหนึ่งได้เดินจากบ้านเกริงไกรกลับแคมป์ที่ตั้งอยู่ริมห้วยขาแข้ง และได้พบกับควายตัวมหึมายืนนิ่งอยู่ นั่นแหละครับ ตอนนั้นมันเข้าคอกแต่ชาวบ้านแอบปิดคอกไม่ทัน มันเข้ามาหาสาวหลายครั้งทีเดียว ยังกับการย่องสาวของชายชาวกะเหรี่ยงเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|