naitang
|
ความคิดเห็นที่ 720 เมื่อ 08 เม.ย. 16, 19:39
|
|
ปลาในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนในพื้นที่ๆเป็นผืนน้ำกว้างที่ชาวบ้านนิยมจับกันก็คือ ปลาตากลับ ก็ที่เห็นตากอยู่ตามแพของชาวบ้านต่างๆนั้นแหละ ตัวขนาดประมาณฝ่ามือเท่านั้น ตำแหน่งของตาทั้งสองข้างของปลาตากลับก็คล้ายๆกับของปลาตาเดียวนั่นเอง
ส่วนปลาที่เรามักได้ยินกล่าวถึงกันตามแพนักท่องเที่ยวต่างๆนั้นเป็น ปลาชะโด ในปัจจุบันนี้ ปลาชะโดกำลังแย่งปลาช่อนขึ้นโต๊ะอาหารต่างๆ ที่เราเห็นตากแห้ง เผา นึ่ง และที่ทำสดส่งออกทั้งหลายนั้น จะว่าไปแล้วเกือบทั้งหมดเป็นปลาชะโดทั้งนั้น หากประสงค์จะพบความแตกต่างของรสเนื้อปลาช่อนจริงๆ เห็นทีจะต้องเข้าตลาดซื้อเอามาทำเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 721 เมื่อ 09 เม.ย. 16, 18:09
|
|
เข้าไปเยี่ยมเยียนขาแข้งครั้งนี้ ได้นอนอยู่บนเรือนแพของเจ้าของบ้านที่เคยอยู่ปากลำ นอนอยู่คืนหนึ่ง ตกบ่ายแก่ๆก็ได้มีโอกาสตั้งวงสนทนาถึงเรื่องเก่าๆและที่ได้เปลี่ยนแปลงไป ได้รู้ว่าหลายคนเสียชีวิตไป หลายคนย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น
พอมืดลงก็มีกะเหรี่ยงคนหนึ่งมาเข้าร่วมวงด้วย หน้าตาคุ้นๆ เขาก็บอกว่าเขาเป็นใครและยังบอกว่าผมเคยจ้างเขาเป็นคนงาน ผมก็เลยถึงบางอ้อ นึกออก แล้วก็ถามถึงเรื่องราวของเขา ได้ความว่าหลังจากที่ผมไม่ได้จ้างต่อ เขาก็ได้เข้าไปเข้าเป็นพวก ผกค. ไปเป็นถึงระดับหัวหน้าหน่วยจรยุทธหน่วยเล็กๆหน่วยหนึ่งทีเดียว หน่วยของเขาได้พบเห็นตัวผมและคณะอยู่บ่อยๆ ก็ซุ่มดูอยู่ มีอยู่ 2-3 ครั้งที่ผมเกือบจะถูกลูกทีมของเขาซิวเอา ซึ่งเขาได้ห้ามปรามไว้ ผมก็เลยรอด
นึกดูแล้วเรานี่ก็โชคดีชะมัดเลยทีเดียว รอดมาได้แม้ว่าจะทำงานอยู่ในพื้นที่ในสภาพที่มีคนและปืนจ้องมองอยู่ตลอดเวลา ถามกะเหรี่ยงคนนั้นถึงเหตุผลที่ไม่ทำอะไรผมและคณะ ทั้งๆที่เป็นหน่วยราชการ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 722 เมื่อ 09 เม.ย. 16, 18:43
|
|
ได้ความว่า ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมจ้างช้างบรรทุกสัมภาระ 2 ตัวจาก บ.นาสวน เป็นเวลาประมาณเดือนหนึ่งที่ช้างและควาญช้างไม่ได้กลับบ้านเลย ก็เป็นที่โจษจันกันทั่วป่าขาแข้ง บ.นาสวน และหมู่บ้านอื่นๆนอกห้วยขาแข้ง ว่าควาญช้างทั้ง 2 คนถูกผมฆ่าตายไปแล้ว และช้างก็ถูกเอาไปแล้วด้วย พวกผมและควาญช้างไม่มีใครทราบเรื่องโจษจันนี้เลย ชาวกะเหรี่ยงเองในห้วยก็ไม่เล่าอะไรให้ฟัง
ครับ..คนในพื้นที่เขายังไม่เชื่อในสิ่งที่ผมบอกกล่าวและยังไม่ไว้ใจผม ยังเข้าใจว่าผมเป็นพวกนายทุน เข้าป่ามาเพื่อหาและจับจองแหล่งแร่ และไล่จับจองและฮุบที่ชาวบ้าน รวมทั้งอาจจะเป็นพวกทหารหรือตำรวจปลอมตัวเข้ามาหาข่าว แม้กระทั่งว่าเป็นหน่วยสรรพสามิตมาจับเหล้าเถื่อน หรือเป็น จนท.ป่าไม้ มาตรวจจับไม้ ก็คงจะพอเห็นเห็นภาพของ sensitivity ที่มีส่วนผลักดันให้เกิดมวลชนฝ่ายตรงข้ามกับรัฐได้ง่ายๆนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 723 เมื่อ 09 เม.ย. 16, 19:48
|
|
ด้วยที่ผมพอจะรู้อยู่บ้างจากสัมผัสและประสบการณ์ตั้งแต่ปี '11 แถวตาก ปี '12 แถวเขตต่อสุโขทัย แพร่ อุตรดิตถ์ ปี '13 แถวกำแพงเพชร และที่อื่นๆ ฯลฯ ผมจึงต้องทำในสิ่งที่ไม่สื่อความหมายไปในมโนภาพของหน่วยที่ใช้อำนาจ (ด้วยก็ใช้รถแลนด์โรเวอร์สีเขียวเช่นเดียวกันกับส่วนราชการอื่นๆ) ต้องทำก็เพื่อให้ผมและคนในคณะปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สินแบบถาวรตลอดไป
ถ้าท่านเคยเจอชาวบ้านวิ่งหนีเมื่อเห็นเรา เคยถูกปืนยิงไล่เมื่อเดินเข้าใกล้ เคยเจอชาวบ้านทิ้งของแล้ววิ่งหนี ฯลฯ ก็คงนึกออกนะครับว่าเราจะควรจะเริ่มต้นอย่างไร เริ่มตั้งแต่การเข้าให้ถึงตัวจนสามารถพูดคุยกันได้ ต่อไปถึงการจะต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกันให้เกิดขึ้น (อย่างไร) และก็จะต้องให้เกิดขึ้นในระดับที่มั่นใจว่าพอจะถาวร ได้ในช่วงระยะเวลาที่น้อยที่สุด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 724 เมื่อ 09 เม.ย. 16, 20:05
|
|
ในครั้งนั้น ผมทำอยู่ไม่กี่เรื่อง เป็นการทำด้วยใจ และก็ไม่คิดด้วยว่ามันจะส่งผลระยะยาวและกระจายไปในอีกหลายพื้นที่
ครับ.. ติดดิน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เอาเปรียบ พูดจริง ซื่อตรง คงเส้นคงวา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 725 เมื่อ 10 เม.ย. 16, 18:32
|
|
ติดดิน ก็คือ กินอยู่หลับนอนไม่ต่างไปจากเขาราวฟ้ากับดิน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทำได้หลากหลายเรื่อง โดยเฉพาะในเรื่องของการแบ่งปันปัจจัยสี่ ไม่เอาเปรียบ พูดจริง ซื่อตรง และคงเส้นคงวานั้น แสดงด้วยการกระทำให้ประจักษ์ในทุกเรื่อง ไม่มีการยกมาพูดสาธยายโน้มน้าวใดๆ
ก็คือการเป็นฝ่ายให้ โดยไม่คิดในเรื่องของความคุ้มค่า หรือกำไร-ขาดทุน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 726 เมื่อ 10 เม.ย. 16, 19:27
|
|
การรอดพ้นจากอันตรายในการเดินทำงานในห้วยขาแข้งของผมนั้น มาจากขวดน้ำพลาสติก 2 ขวด (ขวดเก็บตัวอย่างน้ำสำหรับการวิเคราะห์ทาง Geochemistry) ที่ผมให้กับควาญช้าง 2 คนที่เดินกลับไปเยี่ยมบ้านและครอบครัวที่ บ.นาสวน ควาญช้างของผมได้เล่าเรื่องราวการทำงานของผมและของแจกที่ได้รับ จนชาวบ้านเลิกคิดในทางไม่ดีกับผมและคณะ และจนทำให้กำนันย่องเบอะเลิกระแวงผม (ย่องเบอะเป็นกำนันชื่อดังในเรื่องเกี่ยวกับความเป็นนักเลงและเรื่องของช้าง ไม่ใช่นักล่าช้างนะครับ เป็นเรื่องของการจัดการเกี่ยวกับการจัดหาและควบคุมการว่าจ้างช้างเพื่อทำงานในเรื่องต่างๆ)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 727 เมื่อ 10 เม.ย. 16, 19:53
|
|
และก็ด้วยจากเหตุการเล่าเรื่องของควาญช้างทั้งสองคนนี้แหละ ผมก็เลยต้องไว้หนวดเป็นการถาวรมาจนทุกวันนี้
เหตุที่ผมไม่โกนหนวดและปล่อยให้หนวดครึ้ม โดยพื้นฐานก็เพราะว่าไม่มีกระจกส่องสำหรับการโกนหนวดและมีตุ่มสิว เมื่อควาญช้างไปเล่าเรื่องและบรรยายหน้าตาของผมและว่ามีหนวด ผมก็เลยต้องไว้หนวดตลอดการทำงาน เพื่อให้เป็นที่สังเกตของชาวบ้านทั้งหลาย และเพื่อที่จะให้เป็นภาพที่ครบถ้วนที่สามารถจำได้แต่ไกล ผมก็จึงต้องใส่หมวกสักหลาดของพ่อเสมอ (รุ่นสมัยมาลานำไทย) ซึ่งผมได้ใช้ใส่ตลอดช่วงของการทำงานก่อนที่ควาญช้างทั้งสองจะกลับไปเยี่ยมบ้าน
สำหรับชื่อของผมนั้น ไม่มีผู้ใดรู้จักหรือจำได้ ชาวบ้านจะรู้จักผมในชื่อเรียกขานว่า นายช่างหนวด หรือ ช่างหนวด ก็เพราะคนในคณะสำรวจจะเรียกผมว่า นายช่าง (คำว่านายช่างนี้ เป็นคำที่คนในคณะทำงานสำรวจนิยมใช้เรียกขานหัวหน้าหน่วยสำรวจคณะต่างๆ) ชื่อของผมก็แถมคำว่าหนวดไปอีกคำหนึ่งเท่านั้นเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 728 เมื่อ 12 เม.ย. 16, 18:24
|
|
ฤดูสำรวจปีถัดไป ผมก็ย้ายไปทำงานรับผิดชอบสำรวจทำแผนที่ธรณีฯมาตราส่วน 1:250,000 ระวางเย และ ระวางทวาย ก็พื้นที่ทางตะวันตกคลุมแม่น้ำแควใหญ่ แควน้อย จรดชายแดนไทย-พม่า ทั้งหมดตั้งแต่ อ.อุ้มผาง จ.ตาก ลงมาถึงด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี ซึ่งได้ใช้รถแลนด์ฯสีฟ้าเข้ม จนกระทั่งหลังจากเหตุการณ์เครื่องเฮลิคอปเตอร์ล่าสัตว์ตก จนทำให้มีความเข้มงวดในการเข้าพื้นที่เขตป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ซึ่งยังผลให้มีการเข้ามาขยายอิทธิพลของ ผกค.ยึดพื้นที่ป่าทุ่งใหญ่ ขยายและผนวกเขตอิทธิพลจนภายหลังกลายเป็นเป็นป่าผืนใหญ่ที่เกือบจะถูกปิดตาย (ป่าพบพระ ป่าแม่วงก์ ป่าขาแข้ง ป่าทุ่งใหญ่)
เอกลักษณ์ประจำตัวของผม คือ หนวดและหมวก ก็ยังใช้เป็นใบเบิกทางในการเข้าทำงานในพื้นที่ได้ดีอยู่ ปีถัดไปผมก็ไปเรียนต่อ หายไป 2 ปี เมื่อกลับมาก็ยังได้รับมอบหมายในรับผิดชอบสำรวจต่อในพื้นที่ของแผนที่ 2 ระวางดังกล่าว คราวนี้หนักเลยครับ ผืนป่าดังกล่าวเกือบจะถูกปิดตายโดยสิ้นเชิง เว้นวันบ้าง ทุกสัปดาห์บ้าง จะมีคนเข้ามาเยี่ยมคุยด้วยถึงที่พักแรม (สายหาข่าวทั้งนั้นแหละครับ) แม้กระทั่งในเมือง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 729 เมื่อ 12 เม.ย. 16, 18:54
|
|
ผมได้ใช้รถแลนด์คันใหม่ สีเขียว คราวนี้ผมเริ่มคิดมาก สีรถและลักษณะรถไปเหมือนกับหน่วยราชการอื่นที่ชาวบ้านเขาระแวงกัน เหตุการณ์ด้านการต่อสู้ในทุกพื้นที่ก็แรงและเข้มข้นมากขึ้น ผมก็หาทางออกโดยการแต่งรถให้แปลกออกไป เพิ่มไฟ spotlight ที่หน้ารถ ผมแต่งตัวด้วยเสื้อสีเด่นเห็นได้ชัด ใช้หมวกใบเดิม แล้วก็ไว้หนวดเหมือนเดิม ที่เอวไม่คาดผ้าขะม้า แสดงตนเป็น Mr.Clean ไม่พกและไม่มีอาวุธใดๆ (แต่ผู้ช่วยคู่หูของผมพกเห็บเอว ในรถก็มีปืนที่เหน็บไว้สำหรับคนขับรถคู่หูของผม) ครับ ทำตัวให้อยู่ในสภาพที่เด่นเห็นได้ระยะไกล เป้าผมคนแรก
ครับ..รถที่ผมใช้คันนี้ ได้ใช้ตลอดจนหลังปี '22 หลังปีที่เสียงปืนสงบ ก็รอดมาตลอด ช่วงนั้น ฝ่ายเขาก็ส่งข่าวบอกตลอดว่า เข้าใหนได้บ้าง เข้าได้ลึกเพียงใด ที่ใดอาจมีอันตราย ฯลฯ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 730 เมื่อ 12 เม.ย. 16, 19:24
|
|
ใกล้เข้าไปถึงเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองก่อนปี '35 เข้าทุกที ผมคงจะไม่เล่าขยายความต่อนะครับ
ก็เป็นภาพที่คงจะมีน้อยคนได้รับรู้เรื่องราวและได้สัมผัสตรง ภาพและเรื่องราวที่เรารับรู้กันโดยทั่วๆไปนั้นจะเป็นภาพในเขตเมือง ส่วนภาพความเคลื่อนไหวในชนบทและในพื้นที่ป่าเขานั้นไม่ค่อยจะมีข้อมูลและมีการกล่าวถึงกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 731 เมื่อ 12 เม.ย. 16, 19:59
|
|
ผมคิดว่าเรื่องในกระทู้นี้น่าจะให้ข้อมูลต่างๆได้มากพอสมควร ซึ่งข้อมูลทั้งหลายนั้น แม้จะไม่สามารถเล่าได้ดังที่ใจและปากอยากจะเล่า ผมก็ว่าน่าจะพอเพียงที่จะวิเคราะห์และพิจารณาได้ว่าอะไรมันเป็นอะไรในอดีตและที่ต่อเนื่องมาจนถึงในปัจจุบัน งานสำรวจของผมในพื้นที่นี้ เป็นงานทางวิชาการที่มีส่วนช่วยในการค้นพบแหล่งพลังงาน และช่วยในการตัดสินใจในการดำเนินนโยบายด้านพลังงานของประเทศเรา ก็น่าจะพอเพียงแล้วสำหรับกระทู้นี้นะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Anna
|
ความคิดเห็นที่ 732 เมื่อ 12 เม.ย. 16, 21:33
|
|
ขอบพระคุณอาจารย์ที่กรุณาเล่าให้ฟังค่ะ รอฟังเรื่องต่อไปอยู่นะคะ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|