เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 17 18 [19] 20 21 22
  พิมพ์  
อ่าน: 25135 คุยกันเรื่องวิลเลียม เชกสเปียร์
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41291

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 270  เมื่อ 01 เม.ย. 25, 12:00

   ขอแยกซอยอีกสักครั้ง
   บางท่านที่เข้ามาอ่านคงสงสัยว่า ในเมื่อเบน จอนสันได้รับการยกย่องในสังคมสมัยโน้นมากกว่าเชกสเปียร์  ทำไมล่วงมาถึงสมัยนี้ แทบไม่มีใครได้ยินชื่อเขา ยกเว้นคนที่เรียนวรรณคดีสมัยนั้นจึงจะได้เรียนงาน เช่น Every Man in His Humour , Volpone  และ The Alchemist   แต่ก็ไม่เจาะลึกเท่าของเชกสเปียร์
     คำตอบคือ สายวิทย์ กับสายสังคม(ในที่นี้หมายถึงสายอักษรศาสตร์) เขามีวิธีคิดแตกต่างกัน   แยกออกได้เป็น 2 คำ คือ ข้อเท็จจริง (Fact) กับ ความคิดเห็น (Opinion)
    การนับถือยกย่องบุคคลผู้ยิ่งใหญ่  ถ้าเป็นสายวิทย์ นับที่ fact  คือผลงานของบุคคลเหล่านั้นมีคุณประโยชน์หรือสร้างสรรค์สิ่งมหัศจรรย์แก่โลกอย่างไรบ้าง    เพราะฉะนั้นนักวิทยาศาสตร์ดังๆ ผ่านไปกี่ร้อยปีก็ยังเป็นที่จดจำ อย่างโทมัส เอดิสัน  ไม่มีใครปฏิเสธได้ถึงผลงานสำคัญอย่างประดิษฐ์หลอดไฟ นำแสงสว่างกระจายไปทั่วโลกในยามค่ำคืน นอกจากนี้ เอดิสัน ยังเป็นเจ้าของสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์อีกกว่า 1,000 รายการ เช่น เครื่องส่งโทรเลข เครื่องถ่ายทำภาพยนตร์ เครื่องเล่นจานเสียง เครื่องขยายเสียง เครื่องอัดสำเนา ฯลฯ   ใครจะลุกขึ้นมาคัดค้านว่าเอดิสันไม่ใหญ่จริง ต้องหักล้างกันด้วยข้อพิสูจน์ มีหลักฐานข้อเท็จจริงให้ยอมรับได้  จึงจะลบชื่อเขาออกไปจากความเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ได้  
         แต่ถ้าเป็นสายอักษร  ความยิ่งใหญ่ของบุคคลในวงวรรณกรรม นับกันจากความคิดเห็น (opinion) ที่มีต่อการยกย่องเชิดชูผลงาน   ดังนั้นงานที่ได้รับการเชิดชูในสมัยหนึ่งก็อาจจะกลายเป็นเฉยๆ หรือแม้แต่ตกกระป๋องในอีกสมัยหนึ่งได้  ถ้าความคิดในสังคมนั้นเปลี่ยนแปลงไป     และก็อาจกลับมาได้รับการยกย่องในอีกยุคต่อมาได้  หากความคิดในสังคมเปลี่ยนแปลงไปอีก    เพราะความคิดมนุษย์เหมือนกระแสน้ำที่ไหลขึ้นไหลลงไม่หยุดนิ่ง  วรรณกรรมที่เป็นผลผลิตของความคิดของมนุษย์ จึงไม่หยุดนิ่งตายตัว
      ตัวอย่างที่เห็นชัดในด้านนี้คือวรรณกรรมจีนที่คนไทยสมัยรัชกาลที่ 5 รู้จักในนาม "ซ้องกั๋ง"  หรือเดี๋ยวนี้เรารู้จักในนาม " ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเขาเหลียงซาน"   เรื่องนี้เดิมเป็นตำนานของกบฏชาวนาจีน นำโดยชาวนาชื่อซ้องกั๋ง หรือซ่งเจียง(ในภาษาจีนกลาง)
      ซ้องกั๋งมีอิทธิพลกับประวัติศาสตร์จีนมากจนได้รับการยกย่องเป็นคัมภีร์วีรกรรมของคนชั้นชาวนา   กบฏในสมัยราชวงศ์หมิงและชิงต่างได้รับอิทธิพลจากนิยายซ้องกั๋ง ทั้งเรื่องความคิดหรือวิธีการ ไม่ว่าจะเป็นกบฏหลี่จื้อเฉิง จางเซี่ยนจง กบฏไท่ผิง หรือกบฏอี้เหอถวน (กบฏนักมวย)
      แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป  สังคมก็เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย     "ซ้องกั๋ง" กลายเป็นวรรณกรรมที่ถูกพลิกไปพลิกมาระหว่างงานวีรกรรมยิ่่งใหญ่น่ายกย่อง  กับงานท่ีถูกประณามในฐานะลัทธิยอมจำนน   ประธานเหมาเจ๋อตงเคยชื่นชอบเรื่องนี้มากในวัยเยาว์   แต่ต่อมาเมื่อเป็นประมุขของประเทศ ท่านก็กลับมีความเห็นว่า ซ้องกั๋งเป็นวรรณกรรมสรรเสริญพวกลัทธิยอมจำนนและควรนำมาศึกษาในฐานะตำรากลับด้าน
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41291

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 271  เมื่อ 02 เม.ย. 25, 11:10

  ตอนนี้ ถ้าไม่มีผู้้ใดซักถามอีก จะขอเล่าถึงสุขนาฏกรรมของเชกสเปียร์อีกสักเรื่อง     เรื่องนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน เป็นเรื่องเบาๆ สนุกแกมตลก ผ่อนคลายประสาทผู้อ่านเรือนไทยที่เจอโศกนาฏกรรมหนักๆมาหลายเรื่อง
  คือ A Midsummer Night's Dream หรือ ฝัน ณ กลางราตรีฤดูร้อน

   เรื่องนี้เปิดฉากขึ้นที่ป่านอกกรุงเอเธนส์ แต่ครั้งโบราณกาล   ป่านี้เป็นที่อยู่อาศัยของพวกแฟรี่
    แฟรี่คืออะไร
    แฟรี่  (Fairy หรือ Fairies) เป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่ง  อยู่ในนิทานพื้นบ้านของชาวยุโรป   พวกนี้ไม่ใช่ภูตผีปีศาจ แต่ก็ไม่ใช่เทวดานางฟ้า   มักจะอาศัยอยู่ในป่านอกเมืองหรือตามทุ่งนาไกลบ้านคน    รูปร่างเล็กกว่ามนุษย์ประมาณครึ่งหนึ่งหรือเล็กกว่านั้น  หน้าตางดงามท้ังหญิงชาย   มักจะมีปีกบางๆเหมือนปีกผีเสื้อหรือแมลงปอ สีสันสวยงาม  มีนิสัยไม่ดุร้าย แต่ซุกซนและชอบแกล้งคนเป็นเรื่องสนุก
    เมื่อเริ่มเรื่อง ละครกล่าวถึงราชาและราชินีของแฟรี่ ชื่อพระราชาโอบีรอนและราชินีทิทาเนีย   กำลังทะเลาะกันเรื่องแย่งตัวเด็กชายหลงแม่ที่พเนจรเข้ามาอยู่ในป่า    โอบีรอนอยากได้เด็กน้อยเป็นบริวาร แต่ทิทาเนียไม่ยอมส่งตัวให้   โอบีรอนอยากจะแกล้งชายา ก็เลยเรียกแฟรี่ชื่อพัค ซึ่งมีนิสัยคึกคะนองชอบแกล้งผู้อื่นเล่นเป็นเรื่องสนุก  ให้ไปหาดอกไม้วิเศษ ซึ่งเมื่อคั้นน้ำหวานจากเกสรดอกไม้แล้วหยดลงบนเปลือกตาใคร คนนั้นจะหลงรักมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตสิ่งแรกที่ลืมตาขึ้นมาเห็น   โอบีรอนอยากจะแกล้งหยดลงบนเปลือกตาทิทาเนียขณะนางหลับ แล้วขโมยเด็กน้อยไปเป็นบริวารของเขา


บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8424


ความคิดเห็นที่ 272  เมื่อ 02 เม.ย. 25, 12:03

            หลายคนน่าจะเคยคุ้นกับผลงานเพลงประพันธ์สัมพันธ์บทละคร ฝันกลางคืนกลางคิมหันต์ ของ Felix Mendelssohn
คีตกวีชาวเยอรมัน โดยเฉพาะ  "Wedding March"



บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41291

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 273  เมื่อ 02 เม.ย. 25, 12:09

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41291

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 274  เมื่อ 02 เม.ย. 25, 12:12

ถอยหลังไปอีกถึงปี  1999 ก็มีให้ชมเหมือนกัน


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41291

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 275  เมื่อ 02 เม.ย. 25, 12:13

สร้างฉากเป็นยุคปัจจุบัน

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41291

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 276  เมื่อ 02 เม.ย. 25, 12:16

ถ้าเป็นหนังปี  1968  ขนดารานำของอังกฤษมาเล่น   พูดตามแบบละครของคุณปู่
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41291

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 277  เมื่อ 02 เม.ย. 25, 17:41

    ในเวลาเดียวกัน ในเมืองกำลังจัดงานใหญ่ คืองานอภิเษกสมรสระหว่างพระราชาแห่งเอเธนส์กับราชินีแห่งเผ่าอเมซอน   แต่พอดีพระราชาถูกขัดจังหวะด้วยขุนนางคนหนึ่งขอเข้าเฝ้าด่วน เพื่อขอให้พระองค์ช่วยชี้ขาดเรื่องเขากำลังพิพาทกับลูกสาวชื่อเฮอร์เมีย   เพราะพ่อต้องการให้นางแต่งงานกับหนุ่มนามว่าดีมีเทรียส  แต่เฮอร์เมียไม่ยอมท่าเดียวเพราะนางมีคนรักแล้วชื่อไลซานเดอร์   พระราชาตัดสินให้เฮอร์เมียอยู่ในโอวาทพ่อ  มิฉะนั้นจะถูกประหารหรือไม่ก็ถูกส่งไปบวชตลอดชีวิตในสำนักนางชี  
    ตัวเลือกแบบนี้ใครจะเอา  เฮอร์เมียจึงนัดกับคนรักหนีเข้าป่าไปด้วยกัน เพราะที่นั้นปลอดพ้นจากมือพ่อ  แต่ก่อนหนีทั้งสองก็ได้บอกเรื่องนี้แก่เฮเลนาเพื่อนรักของเฮอร์เมีย   แต่เฮเลนาหลงรักดีมีเทรียสอยู่ จึงแอบเผยความลับให้รู้  คู่หมั้นของเฮอร์เมียจึงติดตามเข้าป่าไปเพื่อไปเอาตัวนางคืน   ส่วนเฮเลนาหวังว่าดีมีเทรียสเมื่อไม่สมหวังแล้วคงจะกลับมาหานาง  นางก็ติดตามดีมีเทรียสไปอีกทอดหนึ่ง
     เฮอร์เมียกับไลซานเดอร์หลงทางอยู่กลางป่า   ส่วนเฮเลนาตามไปจนถึงตัวดีมีเทรียส อ้อนวอนให้เขาเลิกล้มความคิดจะติดตามเฮอร์เมียด้วยความหวังว่าเขาจะเปลี่ยนใจมารักนาง  แต่ดีมีเทรียสไม่ยอมเปลี่ยนใจ    โอบีรอนลอบได้ยินทั้งสองโต้เถียงกันอยู่   ก็เลยสั่งพัคให้เอาน้ำจากดอกไม้วิเศษมาหยอดลงบนเปลือกตาของดีมีเทรียสเมื่อเขานอนหลับ   โดยหวังว่าเมื่อเขาตื่นขึ้นเห็นเฮเลนาก็จะต้องมนต์ เกิดความรักนาง
       ในขณะเดียวกันนั้นเอง  ช่างฝีมือหกคน เดินทางเข้ามาในป่า  เพื่อปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับละครที่พวกเขาวางแผนจะแสดงในงานอภิเษกสมรสของเจ้านครที่จะมีขึ้น    ที่ตกลงกันยังไม่ได้คือคัดเลือกบทบาท แต่สุดท้าย บ็อตตอม ช่างทอผ้า และฟลูต ช่างสูบลม ก็ตกลงรับบทนำเป็นพีระมุสและธิสบี(พระเอกนางเอกในตำนานกรีก) ตามลำดับ ควินซ์ ช่างไม้ ผู้เป็นทั้งผู้แต่งและผู้กำกับละคร แจกจ่ายบทละคร  ทุกคนตกลงที่จะมาพบกันอีกครั้งเพื่อซ้อมใหญ่
ภาพประกอบ  Lysander and Hermia  ฝีมือจิตรกรชื่อ John Simmons (1823–1876)
   


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41291

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 278  เมื่อ 02 เม.ย. 25, 17:42

    ไลซานเดอร์และเฮอร์เมียนอนพักกันอยู่กลางป่า    พัคผ่านมาพร้อมด้วยน้ำดอกไม้วิเศษ  เห็นทั้งสองเข้าก็นึกว่าเป็นดีมีเทรียสกับเฮเลนา  จึงหยอดน้ำดอกไม้ลงบนเปลือกตาของไลซานเดอร์    
    ฝ่ายดีมีเทรียสยังคงบุกป่าฝ่าดงตามหาเฮอร์เมียไม่ละลด  มีเฮเลนาตามหลังมาติดๆ   แต่เขาขับไล่นางออกไปอย่างไม่ไยดี   เฮเลนาจึงจำใจต้องจากไป  จนเดินมาพบไลซานเดอร์หลับอยู่ ก็ดีใจ ปลุกเขาขึ้น  ด้วยมนต์วิเศษจากน้ำดอกไม้  ไลซานเดอร์ลืมตาขึ้นเห็นเฮเลนาก็หลงรักนางทันที  จึงสารภาพรักกับนาง  เฮเลนาเข้าใจว่าไลซานเดอร์แกล้งเล่นตลกด้วย   ก็เลยวิ่งหนีไป ไลซานเดอร์ก็วิ่งตามไป
     เฮอร์เมียตื่นขึ้นมา จึงพบว่าตัวเองถูกทิ้งอยู่ตามลำพัง ก็ออกตามหาคนรัก  แต่ไม่เจอ  กลับไปเจอดีมีเทรียส  เฮอร์เมียก็เลยวิ่งหนีเขา  โดยมีดีมีเทรียสก็วิ่งไล่ตามไปด้วย
     ระหว่างนั้น  ทิทาเนียก็กำลังเตรียมตัวเข้านอน   โอบีรอนได้จังหวะ เมื่อเห็นนางหลับก็แอบหยอดน้ำวิเศษลงบนเปลือกตา  เชื่อแน่ว่าตื่นขึ้นมานางจะต้องหลงรักตัวอะไรสักตัวในป่า ให้เป็นที่ขำขันครื้นเครงในหมู่แฟรี่

   ภาพประกอบ ทิทาเนียนอนหลับกลางแสงจันทร์    รายล้อมด้วยบริวารคือแฟรี่น้อยๆ คอยพิทักษ์รักษานายหญิง
ฝีมือจิตรกรชื่อ John Simmons (1823–1876)


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41291

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 279  เมื่อ 03 เม.ย. 25, 19:13

     พวกช่างฝีมือกลับเข้ามาในป่าอีกเพื่อซ้อมละคร    พัคแอบดูอยู่  นึกอยากแกล้งพวกนี้เล่นสนุกๆ ก็เลยร่ายมนต์ให้บัตตอมมีหัวเป็นลา    คนอื่นๆเห็นก็ตกใจ วิ่งเตลิดหนีกันไปหมด  บัตตอมเองก็ได้แต่งงว่าเพื่อนๆเป็นอะไรขึ้นมา   ในเมื่อถูกทิ้งอยู่คนเดียวในป่า   เขาก็เลยร้องเพลงปลอบใจตัวเอง  ทิทาเนียผู้หลับอยู่ใกล้ๆตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเพลง  พอเห็น มนต์จากน้ำดอกไม้ทำให้นางหลงรักชายหัวลาขึ้นมาทันที 
     โอบีรอนสนุกมากที่เห็นชายาหลงรักลา   แต่พอเห็นเฮอร์เมียวิ่งหนี ผ่านหน้าไป  มีดีมีเทรียสวิ่งไล่ตามมา   ก็ตกใจว่าพัคน่าจะทำผิดเสียแล้ว
      ราชาแฟรี่รอจนดีมีเทรียสเหนื่อยอ่อน ลงนอนพักแล้วหลับไป ก็ย่องไปพรมน้ำดอกไม้ลงบนเปลือกตา   พอดีเฮเลนากับไลแซนเดอร์ผ่านมาถึง ก็เข้าไปปลุกดีมีเทรียส  พอเขาลืมตาขึ้นก็เห็นเฮเลนาเป็นคนแรก   เขาก็หลงรักนางทันที   ส่วนเฮเลนาไม่เข้าใจ  นึกว่าทั้งเฮอร์เมียและชายหนุ่ม 2 คนนี้ รวมหัวกันแกล้งหลอกนางเล่นเป็นของสนุก
      ในตอนนั้น โอบีรอนโกรธมากที่พัคทำเอาทุกคนวุ่นวายไปหมด  จึงเรียกพัคมาแล้วเอายาสมุนไพรถอนพิษให้เขาเอาไปแก้มนตร์จากน้ำดอกไม้    พัคล่อหนุ่มสาวทั้งสี่ออกไปจากป่า ถึงชายป่าเมื่อทุกคนลงนอนพักผ่อน  พัคก็แอบหยอดยาถอนพิษลงบนดวงตาของไลซานเดอร์
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41291

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 280  เมื่อ 03 เม.ย. 25, 19:24

    เมื่อเริ่มรุ่งสาง  โอบีรอนเห็นว่าตัวเองเล่นสนุกกับชายามากพอแล้ว ก็ถอนมนตร์จากทิทาเนีย    หนุ่มสาวทั้งสี่ตื่นขึ้น กลับคืนสู่สติตามเดิม  ต่างก็กลับมาจับคู่กัน ดีมีเทรียสกับเฮเลนา และไลซานเดอร์กับเฮอร์เมีย   ส่วนนายหัวลาบัตตอมก็กลับเป็นมนุษย์ตามเดิม  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขานึกว่าตัวเองฝันประหลาดไปเอง
    เพื่อนๆนักแสดงเข้าป่ามาตามหาบัตตอม  พร้อมแจ้งข่าวดีว่าละครที่พวกเขาซ้อมได้รับคัดเลือกให้แสดงในวันเสกสมรสของพระราชา   
    จากนั้นทุกคนในเรื่องก็ออกจากป่ากลับสู่เมืองตามเดิม  เพื่อไปร่วมเฉลิมฉลองงานเสกสมรส     พระราชาประทานอภัยโทษแก่หนุ่มสาวทุกคน   และอนุญาตให้แต่งงานในวันเดียวกันกับพระองค์    คณะละครออกมาแสดงเรื่อง "พิรามัสและธิสบี" ที่เตรียมไว้    ทุกอย่างลุล่วงไปด้วยดี
    คืนนั้น ทุกคนเตรียมตัวเข้านอน    โอบีรอนและทิทาเนียออกมาที่ฉากสุดท้ายเพื่อประทานพรให้ทุกคนที่หลับไหลไปแล้ว   มีพัคกล่าวคำอวยพรและอำลาส่งท้ายละครเรื่องนี้
   
ภาพประกอบ  ทิทาเนียกับบอตตอม  ภาพวาดฝีมือ Sir Edwin Henry Landseer


บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8424


ความคิดเห็นที่ 281  เมื่อ 04 เม.ย. 25, 15:25

           หลังจากหาเรื่องท่านเชกในพ่อค้าเวนิสแล้ว รู้สึกว่าเรื่องนี้เบาๆ ไม่ต้องคิดมากนัก
สมกับเป็นเรื่องรักวุ่นๆ ของหนุ่มสาวในแดนแฟนตาซี สามารถใช้ซีจีวาดได้บรรเจิดแต่ที่ยัง
ไม่เคยเห็นใครนำมาดัดแแปลงเป็นอะนิเมชั่น


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41291

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 282  เมื่อ 04 เม.ย. 25, 19:17

  เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องเบาๆ ของหนุ่มสาววุ่นวายในรัก ป้ายยาผิด  รักผิดคน  เข้าใจผิด  วิ่งไล่กันไปมาในฉากต่างๆ   เหมือนหนังหนุ่มสาววัยรุ่น ก่อนจะจบลงแบบสุขนาฏกรรม salvation สมบูรณ์แบบ   ไม่มีใครเจ็บหรือตาย  ทุกคนประสบความสุขสมหวังพร้อมกันหมดในตอนจบ
  A midsummer Night's Dream  เหมาะจะนำมาเป็นการแสดงอีกประเภทคือบัลเล่ต์   เพราะบรรดาแฟรี่ทั้งหลายสร้างบรรยากาสันสวยงาม และโชว์ลีลาระบำปลายเท้าที่น่าตื่นตาตื่นใจ  ยิ่งกว่าตัวพระเอกนางเอกในละครเสียอีก

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41291

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 283  เมื่อ 04 เม.ย. 25, 19:18

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41291

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 284  เมื่อ 04 เม.ย. 25, 21:29

  ถึงได้ชื่อว่าเป็นสุขนาฏกรรมเบาๆ  แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้ขาด "ลายเซ็น" ของผู้ประพันธ์  อันได้แก่ข้อคิดคำคมทั้งหลาย ที่ทำให้คุณปู่มีชื่อเสียงยืนยงคงกระพันมาจนทุกวันนี้   เนื่องจากมันไม่เคยล้าสมัย
  ยกตัวอย่าง
   1   The course of true love never did run smooth.
        เส้นทางรักแท้ไม่เคยราบรื่น
   2   Love looks not with the eyes, but with the mind, and therefore is winged Cupid painted blind.
        ความรักไม่ได้เกิดจากสัมผัสด้วยตา แต่สัมผัสด้วยใจ   ด้วยเหตุนี้ กามเทพผู้มีปีกจึงมักจะถูกวาดให้ตามองไม่เห็น  
( ภาพกามเทพมักจะถูกวาดให้มีผ้าผูกตา  ไม่ได้แปลว่าถูกใครปิดตาเอาไว้  แต่หมายความว่าเป็นผู้ที่ตาบอด มองไม่เห็น)
     แปลไทยเป็นไทยอีกที ว่าความรักไม่ได้เกิดจากเห็นหน้าตาอีกฝ่าย  เขาหรือเธอจะสวยหรือไม่สวยก็ไม่สำคัญ ความรักอาจเกิดได้จากรักความเป็นตัวตนของคนนั้น  หรือรักจิตใจของคนนั้น    ดังนั้น ความรักจึงไม่ใช่สิ่งที่เอาหลักเกณฑ์หรือเหตุผลมาวัด  เพราะมันเป็นเรื่องของอารมณ์ล้วนๆ


บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 17 18 [19] 20 21 22
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.066 วินาที กับ 19 คำสั่ง