เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 7
  พิมพ์  
อ่าน: 8988 ทะแกล้วทหารสามเกลอกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 30  เมื่อ 03 ก.พ. 25, 10:11

       
       เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวลงนามในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว รัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเริ่มเดินหน้าบริหารสยามประเทศ ต่อมาในเดือนมีนาคม 2476 หลวงประดิษฐ์มนูธรรมซึ่งกำลังร้อนวิชาหลังจากเตรียมตัวมาหลายปี ได้ออกหนังสือเค้าโครงการเศรษฐกิจหรือสมุดปกเหลืองซึ่งแบ่งออกเป็น 11 หมวด สิ่งนี้เปรียบได้กับร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรกของประเทศไทย และก่อให้เกิดความคิดที่แตกต่างกันอย่างรุนแรงภายในรัฐบาลรวมทั้งคณะราษฎร

   ความแตกแยกอย่างรุนแรงเกิดขึ้นเนื่องจากหลายฝ่ายมองว่า เค้าโครงการเศรษฐกิจมีลักษณะเป็นสังคมนิยมคล้ายระบบคอมมิวนิสต์ พระยาทรงสุรเดชพยายามคัดค้านและพระบรมราชวินิจฉัยจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็แสดงความไม่เห็นด้วย คณะรัฐมนตรีจึงลงมติรับนโยบายเศรษฐกิจของพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนโยบายของรัฐบาล

   จากเหตุการณ์นี้พระยามโนปกรณ์นิติธาดาจับมือกับพระยาทรงสุรเดช เพื่อผลักดันหลวงประดิษฐ์มนูธรรมให้เดินทางลี้ภัยไปอยู่ประเทศฝรั่งเศส และพลอยทำให้พระยาพหลพลพยุหเสนาซึ่งเห็นด้วยกับสมุดปกเหลืองเริ่มแตกคอกับเพื่อนรักตัวเอง

           


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 31  เมื่อ 03 ก.พ. 25, 10:13

        บุคคลผู้ร้อนวิชาหาได้มีแค่หลวงประดิษฐ์มนูธรรมคนเดียว พระยาทรงสุรเดชก็มีเส้นทางชีวิตที่ไม่แตกต่างกัน ด้านการทหารเขาพยายามปรับปรุงกองทัพให้เข้มแข็งมากกว่าเดิม โดยการสับเปลี่ยนกำลังพลย้ายหน่วยงานนี้ไปที่โน่น ย้ายหน่วยงานโน้นไปที่นี่ จึงเกิดแตกคอกับหลวงพิบูลสงครามซึ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นนายพันโท โดยเฉพาะนโยบายให้ทหารทุกนายมียศสูงสุดเพียงนายพันเอก กระจายกำลังทหารไปสังกัดตามภูมิภาคต่างๆ และเก็บอาวุธประจำกายไว้กับตัวเพื่อรอคำสั่งรวมพลในยามที่ชาติต้องการ อันเป็นลักษณะเดียวกับกองทัพบกประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่พระยาทรงสุรเดชชื่นชอบมากเป็นพิเศษ

        ความคิดพระยาทรงสุรเดชคือต้องการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น รวมทั้งกระจายกำลังทหารเพื่อไม่ให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งใช้ในการยึดอำนาจ การจำกัดยศแค่นายพันเอกก็เป็นการลดความทะเยอทะยานทหารมืออาชีพ ทว่าเรื่องนี้ผมเองเข้าใจและเห็นใจหลวงพิบูลสงครามเช่นกัน ตัวเองสู้อุตส่าห์เสี่ยงหัวขาดเพื่อยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์ แทนที่จะได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์กลับถูกดองเค็มอดได้เป็นนายพลหรือจอมพล หนำซ้ำยังถูกจำกัดอำนาจมากกว่าเดิมชนิดแทบไม่เหลือกำลังทหารในมือ

       ทหารที่มีแนวคิดคล้ายหลวงพิบูลสงครามมีจำนวนค่อนข้างมาก กองทัพบกในตอนนั้นถูกแบ่งแยกเป็นสองฝ่ายไม่แตกต่างไปจากคณะรัฐมนตรี

       ภาพประกอบคือหลวงพิบูลสงครามซึ่งเริ่มมีบทบาททางการทหารและการเมืองมากขึ้นทีละนิดๆ

        



บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 32  เมื่อ 03 ก.พ. 25, 10:14

      วันนี้สั้นหน่อยนะครับ พอดีผมวุ่นวายอยู่กับการยื่นแบบเสียภาษ๊  ขยิบตา
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 33  เมื่อ 04 ก.พ. 25, 09:03


       นอกจากตัวเองจะขัดแย้งกับหลวงพิบูลสงครามนายทหารรุ่นน้อง พระยาทรงสุรเดชยังมีอาการขบเหลี่ยมกับเพื่อนรักนักเรียนเยอรมัน แม้พระยาพหลพลพยุหเสนาจะได้ครองตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ทว่าข้อเท็จจริงเขามีหน้าที่หลักเป็นประธานตัดริบบิ้นตามงานเลี้ยง เนื่องจากอำนาจที่แท้จริงตกอยู่ในมือเพื่อนรักเพื่อนสนิท และพระยาทรงสุรเดชก็ขยันทำโน่นนั่นนี่ตลอดเวลา ข้ามหัวตัวเองไปข้ามหัวตัวเองมาไม่มีความเกรงใจสักนิดเดียว

       เวลาเดียวกันการเมืองไทยกำลังแบ่งแยกออกเป็นสองฝ่าย พระยาพหลพลพยุหเสนาเข้าร่วมฝ่ายหลวงประดิษฐ์มนูธรรมคนรุ่นใหม่ไฟแรง ผู้ต้องการเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างแบบพลิกฝ่ามือภายในระยะเวลาสั้นๆ ส่วนพระยาทรงสุรเดชเข้าร่วมฝ่ายพระยามโนปกรณ์นิติธาดาคนรุ่นเดอะมากประสบการณ์ ผู้ต้องการรักษาพระราชอำนาจพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้มากที่สุด รวมทั้งเป็นคนนอกไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับคณะราษฎร

       สองเพื่อนสนิทอยู่กันคนละขั้วคนละฝ่ายย่อมมีความคิดแตกแยก เมื่อความเห็นไม่ตรงกันการโต้เถียงทะเลาะเบาะแว้งย่อมตามมา วันหนึ่งพระยาทรงสุรเดชรู้สึกเบื่อหน่ายชีวิตตัวเอง จึงชวนพระยาฤทธิอัคเนย์กับพระประศาสน์พิทยายุทธเพื่อนร่วมแก๊งสี่ทหารเสือ มาพบพระยาพหลพลพยุหเสนาเพื่อโน้มน้าวให้เพื่อนลาออกจากทุกตำแหน่งพร้อมกัน นัยว่าอยากลงจากหลังเสือไปประกอบสัมมาอาชีพเลี้ยงตัวเองเหมือนดั่งชาวบ้านทั่วไป

       แรกสุดพระยาพหลพลพยุหเสนาไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ ครั้นถูกพระยาฤทธิอัคเนย์ใช้สาลิกาลิ้นทองพูดกล่อมจนเริ่มคล้อยตามกัน พระยาทรงสุรเดชก็รีบนำใบลาออกมาให้เซ็นเพื่อนำไปยื่นต่อนายกรัฐมนตรี สี่ทหารเสือแห่งคณะราษฎรได้พลันสูญสลายหายไปในช่วงกลางปี 2476 สร้างความปั่นป่วนต่อรัฐบาลซึ่งมีเรื่องวุ่นวายมากเกินพออยู่แล้ว

         


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 34  เมื่อ 04 ก.พ. 25, 09:09

       นายประยูร ภมรมนตรีผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะนายกรัฐมนตรีรีบเดินทางมาพบ หวังเกลี้ยกล่อมให้เหล่านายทหารผู้เรืองอำนาจทั้งสี่ยอมเปลี่ยนใจ เมื่อทำไม่สำเร็จจึงหันไปทาบทามบุคคลอื่นเข้ามาทำหน้าที่ดูแลกำลังพลกองทัพบกต่อไป

       วันที่ 18 มิถุนายน 2476 มีประกาศเรื่องแต่งตั้งทหารรักษาราชการแทนประกอบไปด้วย

       1.นายพลตรี พระยาพิชัยสงคราม เป็นผู้รักษาราชการในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก

       2.นายพันเอก พระยาศรีสิทธิสงคราม เป็นผู้รักษาราชการในตำแหน่งเจ้ากรมยุทธการทหารบก

       3.นายพันโท หลวงพิบูลสงครามเป็นผู้รักษาราชการในตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก

        นั่งตบยุงอยู่ที่กระทรวงธรรมการไม่ทันครบขวบปี พระยาศรีสิทธิสงครามก็บุญหล่นทับจนขาแทบหัก เขาได้กลับมาเป็นใหญ่มีอำนาจสูงสุดในกองทัพบกอีกครั้ง

        ชะตาชีวิตนักเรียนนายร้อยทหารบกผู้สอบได้อันดับหนึ่งทั้งสามนาย เดี๋ยวพรุ่งนี้ขึ้นสูงเดี๋ยววันนี้ลงต่ำคล้ายดั่งละครวิทยุคณะเสนีย์ บุษปะเกศ

           



บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 35  เมื่อ 04 ก.พ. 25, 11:57

      หลวงประดิษฐ์มนูธรรมกับพระยาทรงสุรเดชอาจเป็นคนร้อนวิชาเกินเหตุ ทว่ายังมีอีกหนึ่งทหารกล้าทั้งร้อนวิชาและร้อนรุ่มในใจ อันเกิดจากความแค้นเพราะถูกเพื่อนสนิทแทงข้างหลัง เขาต้องการเอาคืนและกระทำทันทีเมื่อตัวเองได้รับโอกาสทองฝังเพชร

       โอกาสทองฝังเพชรเกิดขึ้นจากหลังการสูญสลายของสี่ทหารเสือ พระยาทรงสุรเดชกับพระประศาสน์พิทยายุทธเพื่อนสนิทคนใหม่ ได้ออกเดินทางไปพักผ่อนที่อินโดนีเซียเป็นเวลาหลายเดือน เปิดโอกาสให้พระยาศรีสิทธิสงครามได้ทวงแค้นสมดั่งความตั้งใจ

       วันแรกของการเดินทางมาทำงานที่กรมเสนาธิการ พระยาศรีสิทธิสงครามเตรียมออกคำสั่งย้ายคณะผู้ก่อการฝ่ายทหาร ให้พ้นไปจากกองทัพเหมือนที่ตัวเองเคยถูกกระทำในอดีต นอกจากเป็นแผนป้องกันไม่ให้พระยาทรงสุรเดชกลับมามีอำนาจดังเดิม เขายังหมายมั่นปั้นมือทำลายขุมกำลังคณะราษฎรให้แหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี

       แผนการลับสุดยอดของพระยาศรีสิทธิสงครามเป็นไปตามที่ควรเป็น บังเอิญนายร้อยเอกขุนอนุมานดันรู้เรื่องนี้เข้าเสียก่อน เขารีบนำสำเนาคำสั่งมามอบให้กับหลวงพิบูลสงคราม ก่อนที่คำสั่งฉบับดังกล่าวจะมีผลอย่างเป็นทางการในอีกไม่กี่ชั่วโมง

บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 36  เมื่อ 05 ก.พ. 25, 08:57

      หลวงพิบูลสงครามเห็นสำเนาคำสั่งก็พลันเม้งแตก ไม่นึกไม่ฝันว่าตัวเองจะโชคร้ายหนีเสือมาพบจระเข้ พระยาทรงสุรเดชแค่ลดทอนอำนาจไม่ให้มากเกินไป แต่พระยาศรีสิทธิสงครามตั้งใจตัดทอนอำนาจทั้งหมด การเสี่ยงหัวขาดในปีที่แล้วไร้สิ้นซึ่งความหมาย อนาคตอันสดใสหลังรับตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก คงเป็นเพียงความฝันบนหอคอยงาช้างที่ไม่มีวันเป็นจริง มีความจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม และวิธีการที่รวดเร็วเฉียบขาดมากที่สุดก็คือการล้างไพ่โดยใช้รถถังกับหมู่ปืนกล

       คืนวันที่ 19 มิถุนายน 2476 หลวงพิบูลสงครามสั่งให้กำลังพลทั้งหมดเตรียมพร้อมยึดอำนาจจากรัฐบาล และเนื่องมาจากตัวเองยังอ่อนพรรษาเป็นหัวหน้าคณะผู้ก่อการไม่ได้ คนทั่วไปอาจมองว่าตัวเองกระเหี้ยนกระหือรืออยากเป็นเจ้าคนนายคน เขารีบเดินทางมาพบพระยาพหลพลพยุหเสนาเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ยอมเข้าร่วมหัวหน้าคณะผู้ก่อการ
หลังตกปากรับคำพระยาพหลพลพยุหเสนารู้สึกโดดเดี่ยวเกินไป ลำพังแค่ตัวเองคนเดียวอาจทำงานใหญ่ไม่สำเร็จ การยึดอำนาจครั้งก่อนยังมีเพื่อนร่วมรุ่นตั้งหลายคน ส่วนคณะผู้ก่อการก็เป็นทหารรุ่นน้องไม่สนิทกันสักเท่าไร เขาตัดสินใจเดินทางมาเกลี้ยกล่อมพระยาฤทธิอัคเนย์ให้ยอมเข้าร่วมอีกราย โชคร้ายพระยาฤทธิอัคเนย์บอกปัดแล้วยังให้คำแนะนำกลับคืนว่า พวกเราสมควรวางมือจากการเมืองอย่างเด็ดขาดได้แล้วอ้ายเพื่อนเกลอ

      เพื่อนๆ สมาชิกทุกคนทดพระยาฤทธิอัคเนย์ไว้ในใจก่อนนะครับ ผมจะกลับมาพูดถึงอีกครั้งในช่วงเวลาที่เหมาะสม


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 37  เมื่อ 05 ก.พ. 25, 09:00

       วันที่ 20 มิถุนายน 2476 คณะผู้ก่อการนำโดยพระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา วันนั้นพระยาศรีสิทธิสงครามเดินทางมาทำงานที่กรมเสนาธิการเป็นวันที่สอง เขาถูกกำลังพลคณะผู้ก่อการขับไล่ออกจากห้องทำงานอย่างเสียศักดิ์ศรี เท่ากับว่าตัวเองได้เป็นผู้รักษาราชการเจ้ากรมยุทธการทหารบกเพียงสองวัน ก็พลันถูกเพื่อนรักอีกคนถีบก้นกลับมานั่งตบยุงที่กระทรวงธรรมการดังเดิม

       ว่ากันตามจริงพระยาศรีสิทธิสงครามสมควรโมโหพระยาพหลพลพยุหเสนา เพราะใช้วิธีการเหี้ยมโหดกับเพื่อนหนักยิ่งกว่าพระยาทรงสุรเดช บังเอิญพระยาศรีสิทธิสงครามกลับโกรธแค้นหลวงพิบูลสงครามอย่างหนัก เพราะเป็นคนโน้มน้าวให้เขารับตำแหน่งพร้อมนายประยูร ภมรมนตรี ครั้นตัวเองยอมทำตามกลับถูกใช้เป็นเครื่องมือโค่นล้มรัฐบาล โดยอ้างว่าเป็นคนนอกที่พยายามกำจัดคณะราษฎรสายทหารทั้งหมดออกจากกองทัพ

   ข้อเท็จจริงเรื่องพระยาศรีสิทธิสงครามเซ็นคำสั่งย้ายนายทหารกลุ่มคณะราษฎร ไม่มีพยานวัตถุหรือคำสั่งย้ายฉบับจริง มีพยานบุคคลเพียงรายเดียวคือนายร้อยโทจงกล ไกรฤกษ์ เขาทำหน้าที่ช่วยพระยาศรีสิทธิสงครามวางแผนการโยกย้าย นายร้อยโทจงกล ไกรฤกษ์ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริงในอีก 10 ปีต่อมา หลังตัวเองได้รับพระราชทานอภัยโทษจากคดีก่อกบฏครั้งสำคัญ ข้อมูลส่วนนี้ผมยังอับจนหนทางไม่รู้จะค้นหาเพิ่มเติมได้จากที่ไหน

       ภาพประกอบคือนายร้อยโทจงกล ไกรฤกษ์ พยานบุคคลเพียงหนึ่งเดียวอันเป็นต้นเหตุก่อให้เกิดการยึดอำนาจในวันที่ 20 มิถุนายน 2476 บุคคลท่านนี้มีประวัติทางการเมืองโชกโชนมากในภายหลัง

          


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 38  เมื่อ 05 ก.พ. 25, 09:02

        วันที่ 21 มิถุนายน 2476 พระยาพหลพลพยุหเสนาเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พระยาทรงสุรเดชยังคงท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจอยู่ที่อินโดนีเซีย ส่วนพระยาศรีสิทธิสงครามกลับมาทำงานที่กระทรวงธรรมการพร้อมบาดแผลขนาดใหญ่ในใจ

   ทะแกล้วทหารสามเกลอได้พลันสูญสลายอย่างเป็นทางการและไม่อาจหวนกลับคืน

         

   การเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งชีวิตของพระยาพหลพลพยุหเสนา ผมพยายามตั้งสมมุติฐานตามความเหมาะสมได้ดังนี้

   1.เขารู้ซึ้งแล้วว่าการทำงานโดยไม่หวังผลตอบแทนไม่มีอยู่จริง

   2.ขึ้นหลังเสือแล้วลงจากหลังเสือไม่ได้ ไม่เช่นนั้นตัวเองอาจโดนแทงข้างหลัง

   3.อยากเป็นนายกรัฐมนตรีมันผิดตรงไหน ใครบ้างไม่อยากเป็นใหญ่เป็นโต

   4.ถ้าตัวเองได้เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อนทุกคนจะอยู่รอดปลอดภัยไม่ถูกรบกวน

   เพื่อนๆ สมาชิกชอบใจสมมุติฐานไหนเลือกได้เลยครับ

   หมายเหตุ : จะเห็นนะครับว่า พระยาทรงสุรเดชก็ดี พระยาศรีสิทธิสงคราม หรือพระยาพหลพลพยุหเสนาก็ดี ให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าวิธีการ สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องผิดแม้กระทั่งผมเองก็คิดเช่นนั้น เพียงแต่จะดีหรือร้าย เหมาะสมหรือน่าเกลียด ทุกคนยอมรับหรือติฉินนินทา ได้เป็นวีรบุรุษหรือโจรกระจอก ขึ้นอยู่กับว่าเรา…คือผู้ชนะหรือผู้แพ้


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 39  เมื่อ 05 ก.พ. 25, 10:39

  ไม่ขอฟันธงลงไปว่าดีหรือไม่ดีนะคะ    แต่วิธีการนี้ทำให้นึกถึงทฤษฎีของนิโคโล  มาเคียเวลลี นักทฤษฎีการเมืองที่คนเรียนวิชารัฐศาสตร์น่าจะรู้จักกันดี
   มาเคียเวลลีเห็นว่าการใช้วิธีการอะไรก็ตาม  หากมันนำมาสู่ผลที่ออกมาเป็นบวก   ย่อมถือว่าดี    เหมือนเชกสเปียร์เรียกว่า All's well that ends well  คือเรื่องอะไรก็ตามที่จบลงด้วยดีย่อมถือว่าเป็นเรื่องดี  (ไม่ว่าตอนต้นเรื่องจะยุ่งเหยิงหรือลำบากลำบนยังไงก็ตาม)  เช่นการกวาดล้างศัตรูเสียแต่ต้นทางให้ราบเรียบไปหมด    จะได้สะกัดบ้านเมืองไม่ให้นองเลือดในตอนปลาย   ย่อมถือว่าเป็นเรื่องดีควรทำ  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะฟันล้างโคตรอย่างไร้เหตุผล เพื่อสนองอัตตาตัวเอง
   ผู้นำที่ดีในความคิดของเคียเวลลีคือผู้นำที่น่ายำเกรง เป็นที่เกรงกลัวจนผู้น้อยยอมศิโรราบไม่กล้าหือ  มากกว่าผู้นำซึ่งเป็นที่รัก  เพราะอย่างหลังนี้อาจนำมาซึ่งความไม่เกรงใจหรือตีเสมอก็ได้

    ไม่ทราบว่าเหล่าทหารเสือในอดีตของเรายึดทฤษฎีของมาเคียเวลลีหรือเปล่า   แต่จะยึดหรือแค่บังเอิญไปคล้ายกันบางส่วน   ผลออกมาภายหลังในช่วงชีวิตของพวกท่านเอง  ว่าเละเทะ ไม่ได้จบลงด้วยดี
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 40  เมื่อ 06 ก.พ. 25, 08:40

ในบในบรรดานักทฤษฎีการเมืองที่นักรัฐศาสตร์ในยุคใหม่ต้องศึกษาแนวคิด ต้องปรากฏชื่อ นิโคโล มาเคียเวลลี (Nicolo Machiavelli) สามัญชนแห่งฟลอเรนซ์ ผู้ถูกเรียกว่า “เจ้าของศาสตร์ทรราช” ซึ่งภายหลังได้มีโอกาสขึ้นเป็นนักการทูต เขาคือผู้เขียนหนังสือ “เจ้าผู้ครองนคร” หรือ “The Prince” เล่มน้อยที่เคยถูกศาสนจักรขึ้นบัญชีดำ แต่ทรงอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน


ถ้าอาจารย์ไม่พูดถึงผมลืมไปแล้วนะครับ
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 41  เมื่อ 06 ก.พ. 25, 08:59

       ถัดมาเพียงไม่กี่วันพระยาศรีสิทธิสงครามเดินทางมาพบนายประยูร ภมรมนตรี เพื่อโวยวายเรื่องหลวงพิบูลสงครามฉวยโอกาสยึดอำนาจจากรัฐบาล รวมทั้งเรื่องตัวเองถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือปลุกปั่นทางการเมือง ตอนนี้เขามีกำลังทหารที่คอยสนับสนุนจำนวนพอสมควร จะปรับปรุงบ้านเมืองให้อยู่ในสภาพมั่นคงเมื่อไรก็ได้ ที่เดินทางมาที่นี่เพื่อชวนคุณประยูรให้เข้าร่วม เพราะคุณคือคนรับรองการแต่งตั้งหลวงพิบูลสงครามเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ฉะนั้นคุณต้องรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำพลาดครั้งใหญ่

       นายประยูร ภมรมนตรีตอบว่าผมไม่รู้เรื่องการล้มรัฐบาลจริงๆ แต่ตัวเองจำเป็นต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ ผมยินดีเข้าร่วมคณะผู้ก่อการโดยมีเงื่อนไขสองข้อ หนึ่งพระยาศรีสิทธิสงครามต้องเป็นหัวหน้าคณะผู้ก่อการ และสองให้กำจัดหลวงพิบูลสงครามแค่เพียงคนเดียว ไม่ใช่ถือโอกาสทำลายล้างคณะราษฎรทั้งหมด รวมทั้งยังบอกอีกว่ามีนายทหารจำนวนมากไม่พอใจหลวงพิบูลสงครามและพร้อมเข้าร่วมอาทิเช่นนายพันตรีหลวงวีระโยธา

       พระยาศรีสิทธิสงครามตอบตกลงยอมทำตามก่อนเดินทางกลับ มีการนัดหมายว่าเมื่อถึงเวลาที่สมเหตุสมผลจะติดต่อกันอีกครั้ง ให้ลงมือตอนนี้คิดว่าคงไม่เหมาะผู้คนจะนินทาว่าหวงตำแหน่ง เป็นอันว่าการเจรจาเพื่อโค่นล้มหลวงพิบูลสงครามเป็นไปได้ด้วยดี

       ภาพประกอบคือนายพันตรีหลวงวีระโยธา (วีระ วีระโยธา) ที่นายประยูร ภมรมนตรีอ้างว่าไม่ถูกชะตากับหลวงพิบูลสงคราม ในภาพท่านยศพลโทครองตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 คนแรกของกองทัพบกระหว่างวันที่ 3 กันยายน 2491 – 3 มิถุนายน 2493

                   
 



บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 42  เมื่อ 06 ก.พ. 25, 09:12

       ช่วงเวลาเวลาที่สมเหตุสมผลเดินทางมาถึงอย่างรวดเร็ว ช่วงพลบค่ำวันที่ 8 ตุลาคม 2476 พระยาศรีสิทธิสงครามเดินทางมาพบนายประยูร ภมรมนตรีที่บ้านพัก เพื่อเชิญชวนให้เข้าร่วมคณะผู้ก่อการซึ่งเรียกตัวเองว่า ‘คณะกู้บ้านกู้เมือง’ รวมทั้งให้เดินทางไปที่อยุธยาพร้อมกันด้วยเรือเร็ว นายประยูร ภมรมนตรีซึ่งรู้เรื่องนี้จากการพูดคุยกับพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ตัดสินใจบอกปัดเนื่องจากหัวหน้าคณะกู้บ้านกู้เมืองไม่ใช่พระยาศรีสิทธิสงคราม แต่เป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดชไม่ตรงตามคำมั่นสัญญา

       เมื่อพูดจาโน้มน้าวไม่สำเร็จพระยาศรีสิทธิสงครามจึงเดินทางไปที่อยุธยา เพื่อเข้าร่วมกับคณะทหารที่ต้องการล้มรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา เหตุการณ์นี้มีการจดบันทึกจุดเริ่มต้นไว้หลายเวอร์ชัน ผมขอยึดเวอร์ชันจากหนังสือ ‘เมื่อข้าพเจ้าก่อการกบฎ’ เขียนโดยนายร้อยเอก หลวงโหม รอนราญ (ตุ๊ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา) ทหารม้าจังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นบุคคลที่ทหารทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายคณะกู้บ้านกู้เมืองล้วนให้ความยำเกรง

       ผู้ริเริ่มแผนการยึดอำนาจจากรัฐบาลประกอบไปด้วย ทหารระดับนายพันจำนวนหนึ่งจากนครราชสีมา ซึ่งมองเห็นความเหลวแหลกของการบริหารประเทศมาช้านาน จึงได้เชิญชวนเพื่อนพ้องจากหลายหน่วยงานให้ร่วมมือร่วมใจ จากนั้นจึงเริ่มติดต่อนายทหารยศสูงกว่าอาทิเช่น พระยาพิชัยสงครามซึ่งเคยเป็นผู้บัญชาการทหารบก หรือพระยาศรีสิทธิสงครามซึ่งเคยเป็นเจ้ากรมยุทธการทหารบก มีการประชุมร่วมกันแบบลับสุดยอดเป็นครั้งแรก และมีมติแต่งตั้งให้นายพลเอกพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช รับตำแหน่งหัวหน้าคณะกู้บ้านกู้เมือง

       พระยาศรีสิทธิสงครามรับหน้าที่เสนาธิการวางแผนการรบ กำลังพลคณะกู้บ้านกู้เมืองที่อยู่ในมือประกอบไปด้วย

       -นครราชสีมา ทหารราบ 2 กองพัน ทหารม้า 1 กองพัน ทหารปืนใหญ่ 1 กองพัน

       -อยุธยา ทหารช่าง 2 กองพัน

       -สระบุรี ทหารม้า 1 กองพัน

      -ราชบุรี เพชรบุรี ทหารราบ 1 กองพัน

       -ปราจีนบุรี ทหารราบ 2 กองพัน ทหารม้า 1 กองพัน ทหารปืนใหญ่ 1 กองพัน

      -นครสวรรค์ ทหารราบ 2 กองพัน ทหารปืนใหญ่ 1 กองพัน

      -อุบลราชธานี อุดรราชธานี ทหารราบ 2 กองพัน

       ภาพประกอบคือนายพลเอกพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช หัวหน้าคณะกู้บ้านกู้เมือง

       

       
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 43  เมื่อ 06 ก.พ. 25, 09:14

       ทหารทุกหน่วยเดินทางโดยรถไฟ ทหารนครสวรรค์ นครราชสีมา สระบุรี อยุธยา เคลื่อนพลมายึดกรมอากาศยานดอนเมือง โดยให้ทหารส่วนหน้ายึดบางเขน ทหารปราจีนบุรีเคลื่อนพลไปยึดสถานีหัวหมาก โดยให้ทหารส่วนหน้ายึดมักกะสัน ทหารราชบุรี เพชรบุรีเคลื่อนพลไปยึดสถานีตลิ่งชัน โดยให้ทหารส่วนหน้ายึดสะพานพระราม 6 ส่วนทหารในพระนครที่ยินดีเข้าร่วมให้อยู่นิ่งเฉยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งรัฐบาล

       แผนล้อมกวางเพื่อโค่นล้มรัฐบาลของพระยาศรีสิทธิสงคราม ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าแผนจับเสือมือเปล่าของพระยาทรงสุรเดชในวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระยาพหลพลพยุหเสนาซึ่งเป็นพี่ใหญ่แก๊งทะแกล้วทหารสามเกลอคงไม่อาจรับมือได้ เพราะถูกตัดแขนตัดขาแทบไม่เหลือกำลังทหารในมือ จะหลบหนีออกจากพระนครก็โดนโอบล้อมทุกทิศทาง ทำได้เพียงยอมจำนนโดยที่ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครเสียเลือดเนื้อ
 
     ไม่มีเหตุผลแม้แต่ข้อเดียวที่คณะกู้บ้านกู้เมืองจะประสบความพ่ายแพ้ ยกเว้นแค่เพียงเกิดสนิมเนื้อในซึ่งเป็นเรื่องปรกติของการโค่นล้มอำนาจ หรือข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ เกิดจากความไม่ประสีประสา อันเป็นสิ่งที่พระยาศรีสิทธิสงครามไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 44  เมื่อ 07 ก.พ. 25, 08:48


       วันที่ 11 ตุลาคม 2476 คณะกู้บ้านกู้เมืองประกอบไปด้วยกำลังพลจำนวนมาก ยกพลมาตั้งกองบัญชาการที่กรมอากาศยานดอนเมือง โดยมีทัพหน้าอยู่ที่สถานีบางเขน เพื่อบีบบังคับให้รัฐบาลถวายบังคมลาออกภายในหนึ่งชั่วโมง มิเช่นนั้นคณะกู้บ้านกู้เมืองจะใช้กำลังบุกเข้ายึดและปกครองประเทศชั่วคราว พระยาพหลพลพยุหเสนารีบแก้เกมโดยออกคำสั่งถึงทหารทุกกรมกองว่า ในพระนครเหตุการณ์เรียบร้อย อย่าฟังคำสั่งผู้ใดทั้งสิ้นนอกจากข้าพเจ้า จากนั้นจึงมีคำสั่งให้ทหารในพระนครออกไปจัดการทหารฝ่ายกบฏ

       คณะกู้บ้านกู้เมืองใช้แผนล้อมกวางของพระยาศรีสิทธิสงครามตามนัดหมาย เพียงแต่หัวหมู่ทะลวงฟันอยู่ที่สถานีบางเขนเพียงแห่งเดียว สถานีหัวหมากหัวหมากกับสถานีตลิ่งชันมีเพียงความว่างเปล่า ทั้งนี้เนื่องมาจากก่อนหน้านี้มีการเลื่อนวันทำการ ทหารหลายจังหวัดก็เลยเบี้ยวนัดทำเป็นแกล้งตาย เหลือเพียงทหารจากนครราชสีมา อุบลราชธานี สระบุรี และอยุธยา ทหารทุกนายเดินทางเข้าสู่สมรภูมิด้วยความเต็มใจบ้างไม่เต็มใจบ้าง

       อีกหนึ่งเหตุผลที่กำลังพลคณะกู้บ้านกู้เมืองลดลงแบบฮวบฮาบ เกิดจากมีการแต่งตั้งพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดชเป็นผู้นำ ทันทีที่ทราบข่าวทหารในพระนครตัดสินใจไม่เอาด้วย ทั้งที่เคยตกปากรับคำกับพระยาศรีสิทธิสงครามไว้อย่างมั่นเหมาะ หนำซ้ำยังกลายร่างเป็นกำลังพลสำคัญของทหารฝ่ายรัฐบาล ในการบุกโจมตีกำลังพลฝ่ายคณะกู้บ้านกู้เมือง

                     


บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 7
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.065 วินาที กับ 19 คำสั่ง