เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1] 2 3 ... 7
  พิมพ์  
อ่าน: 8966 ทะแกล้วทหารสามเกลอกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
 เมื่อ 26 ม.ค. 25, 10:06

กระทู้นี้จะเป็นเรื่องราวเพื่อนรักสามคนประกอบไปด้วย

1.พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน)
2.พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน)
3.พระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ)



พอดีผมเพิ่งรู้ว่าทหารทั้งสามนายสนิทกันมาก และทหารทั้งสามนายก็มีบทบาทค่อนช้างสูงระหว่างการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 เลยไปถึงความขัดแย้งครั้งสำคัญที่ตามติดมาในภายหลัง ผมจึงไล่อ่านเรื่องราวทั้งหมดจากทุกฝ่ายเท่าที่ตัวเองสามารถหาได้

ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 และทุกเหตุการณ์ที่ตามมา ค่อนข้างสนุกแต่ค่อนข้างสับสนสร้างความปวดหัว เปรียบได้กับนิยายญี่ปุ่นเรื่อง ‘ราโชมอน’ ที่คุณแสตมป์พูดกับพี่หนุ่มกรรชัยในรายการโหนกระแส เรื่องราวเดียวกันมีคนเล่าเหตุการณ์แตกต่างกันถึง 3 รูปแบบ 3 มุมมอง เรียกว่าเป็นการโกหกเพื่อเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวเองก็คงไม่ผิด

ผมพยายามค้นหาข้อมูลพระยาศรีสิทธิสงครามสุดความสามารถ แต่เจอข้อเท็จจริงค่อนข้างน้อยไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม จึงตัดสินใจตั้งกระทู้เล่าเรื่องราวจากมุมมองที่ 4 ด้วยตัวเอง วางแผนไว้ว่าจะหาข้อมูลไปเขียนไปช้าบ้างเร็วบ้างคงไม่ว่ากัน

เปิดกระทู้ไว้ก่อนครับ…เรื่องราวทั้งหมดจะทยอยตามมาในภายหลัง  ยิ้มเท่ห์


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 26 ม.ค. 25, 10:19

พลเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) เป็นบุตรคนที่ 5 ของพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา (กิ่ม พหลโยธิน) ส่วนมารดาคือคุณหญิงจับ พหลพลพยุหเสนา อายุประมาณ 3 ปีเด็กชายพจน์เริ่มเรียนหนังสือกับท่านบิดา กระทั่งอายุครบ 5 ปีเขาถูกส่งมารับการศึกษาบ้านแม่ครูตูภรรยาสมุห์บัญชีด้วง เวลาที่ท่านบิดาไปไหนมาไหนมักพาบุตรคนที่ 5 ไปด้วยเสมอ เพื่อฝึกให้ใจกล้าและได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ อันเป็นวิชารอบตัวของเด็ก

เมื่อเด็กชายพจน์อายุประมาณ 8 หรือ 9 ปี ท่านบิดานำไปฝากขุนอนุกิจวิทูร (มหาหนอ) อาจารย์ใหญ่โรงเรียนวัดจักรวรรดิราชาวาส เพื่อให้เข้าเรียนหนังสือเหมือนดั่งนักเรียนทั่วไป อายุย่างเข้า 11 ปีพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาตั้งใจจัดพิธีโกนจุกให้กับบุตรคนที่ 5 บังเอิญถึงแก่อนิจกรรมก่อนทำพิธีกรรมเพียงเล็กน้อย เด็กชายพจน์จึงย้ายมาอยู่วัดพิชัยญาติการาม (วัดพระปรางค์เหลือง) เพื่อศึกษาต่อโรงเรียนสุขุมาลลัยและสอบไล่ได้ชั้น 3 ของสนามมหามงกุฎวิทยาลัย (วัดบวรนิเวศน์)

วันที่ 7 สิงหาคม 2444 พระศรีณรงค์วิชัยซึ่งเป็นพี่ชาย พาพจน์ซึ่งอายุ 12 ปีไปขึ้นทะเบียนเป็นนักเรียนนายร้อยทหารบก เริ่มศึกษาในชั้นที่ 2 รับพระราชทานเงินเดือนๆ ละ 2 บาทกับเบี้ยเลี้ยงวันละ 2 สลึง เมื่อสอบไล่ได้ขึ้นชั้นที่ 4 จึงได้รับพระราชทานเงินเดือนๆ ละ 4 บาทกับเบี้ยเลี้ยงตามเดิม (เบี้ยเลี้ยงสมุห์บัญชีเป็นผู้รับเพื่อใช้เป็นค่าเลี้ยงดู)

นักเรียนนายร้อยพจน์มีผลการเรียนน่าประทับใจ เขาสอบไล่เลื่อนจากชั้น 2 เป็นชั้น 3 ได้ที่ 9 สอบไล่เลื่อนจากชั้น 3 เป็นชั้น 4 ได้ที่ 6 สอบไล่เลื่อนจากชั้น 4 เป็นชั้น 5 ได้ที่ 4 และสอบไล่เลื่อนจากชั้น 5 เป็นชั้น 6 ได้ที่ 1 ส่งผลให้ตัวเองได้รับทุนหลวงไปศึกษาวิชาทหารที่ประเทศเยอรมัน แซงหน้าเพื่อนทุกคนเข้าเส้นชัยได้อย่างไม่มีใครคาดฝัน

เรื่องการศึกษาพระยาพหลพลพยุหเสนาเคยอธิบายว่า ตัวเองไม่ใช่คนเรียนเก่งต้องอาศัยความขยันเป็นใบเบิกทาง ทุกวันเขาจะตื่นนอนประมาณตี 4 เพื่ออ่านตำราทบทวนความรู้ตามลำพัง ครั้นถึงตี 5 ครึ่งจึงเริ่มทำกิจวัตรประจำวันเหมือนดั่งนักเรียนทั่วไป

สำหรับเรื่องนี้ผมมีข้อสงสัยเล็กน้อย ปี 2446 ประเทศไทยไม่น่ามีไฟฟ้าใช้อย่างแพร่หลาย อยากรู้ว่านักเรียนนายร้อยพจน์แอบไปนั่งอ่านตำราทบทวนความรู้ที่ไหน?




บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 26 ม.ค. 25, 10:21

พจน์ออกเดินทางจากกรุงเทพวัน 24 พฤศจิกายน  2447 โดยเรือเดลี แล้วไปเปลี่ยนเรือใหญ่ชื่อปรินส์เร เยนต์ ลุยโปลต์ ที่สิงคโปร์ ถึงกรุงเบอร์ลินประมาณกลางเดือนธันวาคม เขาใช้เวลา 2 ปีเพื่อเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างจากสำนักศาสตราจารย์ฟอนเกอร์เน่ กระทั่งปี 2450 จึงสามารถสอบเข้าโรงเรียนนายร้อยทหารบกเมืองโกรสซ์วิซเตอร์เฟลเด และใช้เวลาเรียน 3 ปีจึงสำเร็จการศึกษา (ปีแรกสอบตกเพราะภาษาเยอรมันค่อนข้างอ่อน)

หลังเรียนจบพจน์ได้รับคำสั่งให้ไปประจำกรมทหารปืนใหญ่ที่ 5 ณ เมืองมัวเดบวร์ก รับราชการที่เยอรมันประมาณ 9 เดือนจึงขอลาออก เพื่อไปศึกษาต่อวิชาช่างแสงที่ประเทศเดนมาร์ก ศึกษาวิชาขั้นต้นประมาณ 1 ปีจวนจะถึงเวลาสอบเข้าโรงเรียนเทคนิคขั้นสูง พจน์และนักเรียนทุกคนได้รับคำสั่งให้เดินทางกลับพระนครเนื่องจากปัญหาเรื่องเบี้ยหวัด กลับถึงประเทศพจน์ถูกส่งไปประจำกรมทหารปืนใหญ่ที่ 5 จังหวัดราชบุรี ขณะที่นักเรียนนอกคนอื่นรับราชการอยู่ในกรุงเทพใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย

ร้อยโทพจน์ถูกโยกย้ายตามวาระและได้รับยศสูงขึ้นตามลำดับ กระทั่งปี 2473 ได้เป็นพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนารับตำแหน่งจเรทหารปืนใหญ่ ช่วงเวลานี้แหละครับที่อาจถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทย






บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 26 ม.ค. 25, 10:37

จองแถวหน้าค่ะ
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 27 ม.ค. 25, 09:10

       
        ระหว่างการประชุมกระทรวงกลาโหมประจำปี 2473 ผู้เข้าร่วมประชุมประกอบไปด้วยนายทหารระดับสูงประมาณ 30 กว่านาย โดยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นประธาน พระยาพหลพลพยุหเสนาซึ่งมีอาวุโสน้อยที่สุด ได้เสนอเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งให้ที่ประชุมได้พิจารณา บังเอิญถูกโต้แย้งคัดค้านจากพระยาสุรเสนาเจ้ากรมเกียกกาย ท้ายที่สุดองค์จอมทัพผู้เป็นประธานให้ยึดถือตามความเห็นผู้อาวุโส 

   ต่อมาในการพิจารณาเรื่องรัฐบาลฝรั่งเศสเสนอขายปืนสโตรกบันให้กับกองทัพสยาม พระยาพหลพลพยุหเสนาพยายามอธิบายว่า ปืนที่ฝรั่งเศสตั้งใจขายให้เราเป็นรุ่นเก่าจากยุคสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สยามประเทศสมควรซื้อปืนรุ่นใหม่ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่ามาใช้งาน ความเห็นนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากผู้เข้าร่วมการประชุม และพระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสิงห์วิกรมเกรียงไกร เสนาบดีกระทรวงกลาโหมยังคงยืนยันแนวคิดเดิม

   หลังการประชุมพระยาพหลพลพยุหเสนาเกิดความรู้สึกหงุดหงิด เมื่อบังเอิญเจอทูตฝรั่งเศสจึงรีบตรงดิ่งเข้าไปสอบถามว่า รัฐบาลท่านขายปืนสโตรกบันรุ่นเก่าให้กับกองทัพเราใช่หรือไม่ ทูตฝรั่งเศสยอมรับว่าใช่รวมทั้งอธิบายเพิ่มเติม ข้าพเจ้าไม่คิดว่าสยามประเทศต้องรบกับชาติใด กองทัพสยามมีอาวุธไว้ปราบการจลาจลภายในบ้านเท่านั้นก็พอ

   เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้พระยาพหลพลพยุหเสนาขุ่นข้องหมองใจมาก พลันเกิดแนวคิดขึ้นมาในใจเป็นครั้งแรกว่า ต้องทำอย่างไรการบริหารแผ่นดินถึงจะไม่ผูกขาดโดยกลุ่มเจ้านายและเสนาบดีผู้ใหญ่เพียงไม่กี่คน หรือพูดง่ายๆ ว่าพระยาพหลพลพยุหเสนามีแนวคิดอยากเปลี่ยนแปลงการปกครอง

        ภาพประกอบคือพระยาสุรเสนาเจ้ากรมเกียกกาย  (ม.ร.ว. ชิต กำภู) ผู้ทำให้พระยาพหลพลพยุหเสนาเม้งแตก

                                 
 






บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 27 ม.ค. 25, 09:13

       ผมขออธิบายข้อเท็จจริงให้กระจ่างแจ้งมากกว่าเดิม

       ปืนสโตรกบันมีชื่อภาษาไทยว่าปืนใหญ่สนามเพลาะ ปัจจุบันถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเครื่องยิงลูกระเบิด หรือที่ชาวบ้านเรียกกันง่ายๆ กว่า ‘ปืนครก’ นั่นแหละครับ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง อังกฤษพัฒนาอาวุธชนิดนี้ขึ้นมา มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า ‘Stokes mortar’ ฝรั่งเศสเห็นดังนั้นจึงพัฒนาปืนครกเลียนแบบโดยขยายปากลำกล้องจาก 60 มม.เป็น 81 มม.และใช้ชื่อว่า ‘Brandt Mortar’ อันเป็นที่มาชื่อภาษาไทยว่าปืนสโตรกบัน (สโตรกจากอังกฤษ บันจากฝรั่งเศส)

                

   สิ่งที่พระยาพหลพลพยุหเสนาขุ่นข้องหมองใจนั้นมีอยู่ว่า รัฐบาลฝรั่งเศสเสนอขายปืนครกรุ่น Brandt Mle 27 (หรือโมเดล 1927) ซึ่งเป็นปืนรุ่นเก่าให้กับกองทัพสยาม ทว่าในปี 2473 ฝรั่งเศสกลับนำปืนครกรุ่น Brandt Mle 31 (หรือโมเดล 1931) เข้าประจำการ ข้อแตกต่างระหว่างปืนครกทั้งสองรุ่นก็คือ Brandt Mle 31 ติดตั้งกลไกช่วยให้พลยิงหันปากกระบอกปืนได้ครบ 360 องศา ส่วน Brandt Mle 27 ซึ่งเป็นรุ่นเก่ากว่าทำไม่ได้ เวลาเปลี่ยนทิศทางยิงจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายปืนทุกครั้ง ส่งผลให้การยิงเกิดความติดขัดขาดความต่อเนื่องไม่เป็นดั่งใจหวัง

   พระยาพหลพลพยุหเสนาอยากให้กองทัพสยามซื้อปืนครกรุ่น Brandt Mle 31 ถือว่าเจตนาดี บังเอิญผมมีข้อมูลที่พระยาพหลพลพยุหเสนาในตอนนั้นอาจยังไม่รับรู้
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 27 ม.ค. 25, 09:20

       ปรกติการพัฒนาอาวุธเพื่อใช้งานแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ หนึ่งอาวุธทันสมัยมากที่สุดสำหรับใช้งานเองและแบ่งขายให้กับมหามิตร สองอาวุธทันสมัยรองลงมาสำหรับขายให้กับลูกค้าทั่วไป การขายอาวุธทันสมัยมากที่สุดให้กับลูกค้าทั่วไปมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก

       ยกตัวอย่างง่ายๆ ให้เห็นภาพชัดเจนสักหนึ่งเรื่อง ประมาณ 2 ปีที่แล้วกองทัพอากาศไทยต้องการซื้อเครื่องบินขับไล่ F-35A จากสหรัฐอเมริกา เป็นเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 ถูกออกแบบให้ลดการตรวจจับจากคลื่นเรดาร์ หมายความว่าเรดาร์โดยทั่วไปจะเห็น F-35A ขนาดใหญ่แค่เพียงเท่าลูกฟุตบอล กว่าจะตรวจจับพบก็เป็นระยะเผาขนสายเกินแก้ไขเสียแล้ว F-35A จึงถือเป็นไพ่เด็ดไม้ตายไม่ใช่มีเงินก้อนโตแล้วสหรัฐอเมริกาจะยอมขาย เขาต้องมั่นใจจริงๆ ว่าเทคโนโลยีล้ำยุคของตัวเองจะไม่ตกอยู่ในมือฝ่ายตรงข้าม เพราะอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงอันเป็นสิ่งที่ยอมความกันไม่ได้

              

       กองทัพอากาศไทยต้องการซื้อ F-35A จากสหรัฐอเมริกามาใช้งานเป็นไพ่เด็ดไม้ตาย เวลาเดียวกันกองทัพอากาศไทยมีการฝึกผสมทางอากาศร่วมกับกองทัพอากาศจีน และมีอยู่ปีหนึ่งกองทัพอากาศไทยยอมให้นักบินจีนเข้ามาด้อมๆ มองๆ โรงเก็บเครื่องบินขับไล่ F-16 ซึ่งซื้อมาจากสหรัฐอเมริกา เมื่อสหรัฐอเมริการู้เรื่องนี้ก็พลันโมโหทำเรื่องประท้วงอย่างเป็นทางการ รวมทั้งอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ไม่ยอมขาย F-35A ให้กับกองอากาศไทย เหตุผลที่สองฐานทัพอากาศไทยมีระบบรักษาความปลอดภัยไม่ทัดเทียมสหรัฐอเมริกา กองทัพอากาศก็ตั้งใจซื้อแต่ F-35A ไม่สร้างโรงเก็บเครื่องบินที่มีความปลอดภัยมากกว่าเดิม และเหตุผลสุดท้ายเรายังไม่มีความพร้อมใช้งานเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 5 ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าเครื่องบินยุคที่ 4.5 พอสมควร

             

       ผมขอยกตัวอย่างอาวุธจากประเทศจีนบ้าง ภาพประกอบที่สองคืออาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบ C-802A ซึ่งกองทัพเรือซื้อจากประเทศจีนมาใช้งาน อาวุธชนิดนี้ประจำการที่จีนมีระยะยิงไกลสุดมากถึง 280 กิโลเมตร แต่ประจำการที่ไทยมีระยะยิงไกลสุดแค่ 180 กิโลเมตร เหตุผลก็คืออาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้เรือรบที่จีนขายให้ไทยเป็นรุ่นส่งออก ประสิทธิภาพน้อยกว่ารุ่นใช้งานเองและตัดออปชันโน่นนั่นนี่ออกไปบ้างตามสมควร อันเป็นเรื่องปรกติของการขายอาวุธสงครามทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต การขายอาวุธมักเป็นแบบนี้เสมอมาและเสมอไป


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 27 ม.ค. 25, 09:22

       กลับมาที่ความขุ่นข้องหมองใจของพระยาพหลพลพยุหเสนากันอีกครั้ง ปี 2473 ติดภาคเหนือกับภาคใต้ของเราเป็นดินแดนอังกฤษ ติดภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเราเป็นดินแดนฝรั่งเศส โอกาสที่เราจะทำสงครามกับอังกฤษหรือฝรั่งเศสมีค่อนข้างสูง จึงเป็นไปได้ว่าอังกฤษบอกปัดไม่ขายปืนครกให้กับเรา ส่วนฝรั่งเศสยอมขายก็จริงแต่เป็นรุ่นเก่าล้าสมัย ประมาณว่าข้ายอมขายปืนครกรุ่นเก่าให้เอ็งก็บุญท่วมหัว ถ้ารัฐบาลสยามเอาแต่ตั้งแง่ทหารจะไม่มีอาวุธทรงประสิทธิภาพใช้งาน มีความจำเป็นต้องจ่ายเงินทั้งที่รู้ดีว่าเป็นปืนครกรุ่นเก่า เพราะถือคติพจน์ ‘กำขี้ดีกว่ากำตด’ หรือ ‘อย่าหวังน้ำบ่อหน้า’
   
       พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสิงห์วิกรมเกรียงไกร เสนาบดีกระทรวงกลาโหมอาจรู้เรื่องนี้จากการเจรจา ส่วนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอาจรู้เรื่องนี้จากรายงาน แต่พระยาพหลพลพยุหเสนาไม่รู้เพราะตัวเองทั้งตำแหน่งและอาวุโสสูงไม่เพียงพอ ครั้นจะให้พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนสิงห์วิกรมเกรียงไกรอธิบายในที่ประชุมก็ดูจะไม่เหมาะสม ถ้าคนทั่วไปรู้เข้าอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ส่งผลกระทบต่อประเทศชาติทางใดทางหนึ่ง

       เรื่องนี้ไม่มีใครผิดไม่มีใครถูก เพียงแต่ทั้งสามฝ่ายพิจารณากันคนละมุมมอง รวมทั้งพระยาพหลพลพยุหเสนาไม่ได้พิจารณามุมมองฝรั่งเศส ซึ่งมีความจำเป็นต้องปกป้องดูแลดินแดนตัวเองในฝั่งขวาแม่น้ำโขง

       ฉะนั้นอาจสรุปความได้ว่า ‘ปืนครก…คือต้นสายปลายเหตุการเปลี่ยนแปลงการปกครอง’

   หมายเหตุ : ผมหาข้อมูลเรื่องตกลงกองทัพไทยซื้อปืนสโตรกบันจากฝรั่งเศสหรือเปล่าไม่พบ
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 27 ม.ค. 25, 09:23



      วันนี้ผมลงให้อ่านยาวเป็นพิเศษ เพราะผมจะหนีไปผจญฝุ่น PM 2.5 สัก 2-3 วัน  เศร้า
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 28 ม.ค. 25, 09:44

       เช้านี้ยังมีเวลาว่างเล็กน้อยไปกันต่อเลยครับ

       หลังการประชุมกระทรวงกลาโหมประจำปี 2473 พระยาพหลพลพยุหเสนานำความขุ่นข้องหมองใจมาปรึกษาเพื่อนสนิทจำนวน 2 รายประกอบไปด้วย

       1.พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน)

       เด็กชายเทพ พันธุมเสนถือกำเนิดเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2434 ที่บ้านริมสวนเจ้าเชษฐ์ ถนนเจริญกรุง เป็นบุตรนายร้อยโท ไท้ พันธุมเสน นายทหารปืนใหญ่ซึ่งเสียชีวิตหลังจากนั้นไม่นาน ต่อมาในปี 2447 เทพเข้าเรียนโรงเรียนนายร้อยทหารบกโดยได้รับความอุปการะจากพี่ชายต่างมารดาซึ่งเป็นนายทหารยศนายพันตรี

       สามปีถัดมาเทพสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อย เขาได้รับทุนหลวงให้ไปศึกษาวิชาทหารที่ประเทศเยอรมัน โดยเข้าเรียนวิชาทหารช่างที่โรงเรียนการสงครามปรัสเซีย หลังเรียนจบเทพได้รับการแต่งตั้งเป็นนายสิบประจำกรมทหารช่างที่ 4 เมืองมักเคเบอร์ก จากนั้นจึงศึกษาต่อกระทั่งสำเร็จได้เป็นนายร้อยตรีประจำกองทหารเมืองมักเคเบอร์ก ประจำการอยู่ 2 ปีจึงเดินทางกลับประเทศไทยในปี 2458 รวมเวลาที่อยู่ในเยอรมันเกือบ 8 ปีเต็ม

       ปี 2461 เทพถูกแต่งตั้งเป็นนายร้อยเอกหลวงณรงค์สงคราม จากนั้นไม่นานจึงย้ายไปรับตำแหน่งผู้บังคับกองพันที่ 2 ช่างรถไฟ กรมทหารบกที่ 3 ได้รับมอบหมายให้ควบคุมการสร้างทางรถไฟสายสำคัญๆ จำนวนหลายสาย ต่อมาได้เลื่อนยศเป็นนายพันโทพระทรงสุรเดช รับตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาทหาร กรมยุทธศึกษา พระทรงสุรเดชแต่งตำราจำนวนมากพลอยทำให้ตัวเองมีลูกศิษย์มากตามกัน กระทั่งปี 2474 จึงได้เลื่อนยศเป็นนายพันเอกพระยาทรงสุรเดช ดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาทหารตามเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง

               


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 28 ม.ค. 25, 09:47

       2.พระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ)
 
       เด็กชายดิ่น ท่าราบ ถือกำเนิดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2434 ที่ตำบลท่าราบ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี เป็นบุตรนายดิษฐ์ซึ่งเกิดจากนางกลิ่นในครอบครัวชนชั้นกลาง ดิ่นเป็นเด็กหัวดีเรียนหนังสือเก่งบวกกับมีความขยัน เขาจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบกด้วยคะแนนอันดับ 1 จึงได้รับทุนหลวงให้ไปศึกษาวิชาทหารที่ประเทศเยอรมัน ส่งผลให้ตัวเองได้รู้จักพระยาพหลพลพยุหเสนาและพระยาทรงสุรเดช และกลายเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิทสามใบเถาไปไหนไปกัน เมื่อกลับมารับราชการบ้านเกิดเมืองนอนจึงถูกพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอลงกฎ (กรมหมื่นอดิศรอุดมศักดิ์) เสนาบดีกระทรวงกลาโหม ทรงประทานฉายาให้ว่า 'ทะแกล้วทหารสามเกลอ' หรือ ‘สามทหารเสือ’

       หมายเหตุ : ปัจจุบันถ้าเขียนให้ถูกต้องสมควรใช้คำว่า 'ทแกล้วทหารสามเกลอ' แต่ผมใช้คำเหมือนหนังสือเก่าว่า 'ทะแกล้วทหารสามเกลอ' ไปแล้วให้แล้วตามกันนะครับ

       ปี 2457 ดิ่นเดินทางกลับเมืองไทยและถูกแต่งตั้งเป็นนายร้อยตรี หน้าที่การงานเจริญก้าวหน้าตามที่สมควรจะเป็น กระทั่งได้เป็นนายพันเอกดำรงตำแหน่งเสนาธิการกองทัพที่ 1 ก่อนถูกแต่งตั้งเป็นพระยาศรีสิทธิสงครามในปี 2474 ช่วงเวลาใกล้เคียงพระยาทรงสุรเดชถูกแต่งตั้ง

                  
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 28 ม.ค. 25, 09:48

       เรามาพิจารณาข้อเท็จจริงเรื่องความสัมพันธ์เพื่อนรักสามคน
 
       1.พระยาพหลพลพยุหเสนาไปศึกษาต่อที่เยอรมันปี 2447

       2.พระยาทรงสุรเดชไปศึกษาต่อที่เยอรมันปี 2450

       3.พระยาศรีสิทธิสงครามไปศึกษาต่อที่เยอรมันประมาณปี 2450 (ข้อมูลไม่ชัดเจน)

        พระยาพหลพลพยุหเสนาอายุมากกว่าพระยาทรงสุรเดชและพระยาศรีสิทธิสงครามประมาณ 4 ปี ถือเป็นพี่ใหญ่ของแก๊งแต่ความเฉลียวฉลาดอาจน้อยกว่าเพื่อนนิดหน่อย เขามีบุคลิกสุภาพอ่อนโยนแต่มั่นคงต่อความคิดตัวเอง ระหว่างรับราชการมักมีเหตุกระทบกระทั่งกับเจ้านายชั้นสูง รวมทั้งเหตุการณ์ระหว่างการประชุมประจำปีกระทรวงกลาโหม บังเอิญทุกคนไม่เก็บมาใส่ใจเพราะคิดว่าคนอย่างพระยาพหลพลพยุหเสนาคงไม่มีอะไร

        แท้จริงแล้วบุคคลผู้มีบุคลิกสุภาพมาตรแม้นผู้หญิง กิริยาท่าทางอ่อนน่วมละมุนละไม วาจาอ่อนโยนยิ้มย่อง จังหวะคำพูดไม่ช้าไม่เร็ว แต่มีกลเม็ดขบขันน่าฟัง บุคคลท่านนี้อยากเปลี่ยนแปลงการปกครองสยามประเทศ และนำความขุ่นข้องหมองใจของตัวเองมาระบายกับสองเพื่อนสนิท คล้ายเป็นการหยั่งเชิงว่าคนใกล้ตัวมีความคิดเห็นเช่นไรกันแน่

       พระยาทรงสุรเดชได้ยินครั้งแรกตัดสินใจเอาด้วยทันที ติดขัดแค่เพียงลำพังนายพันเอกสองนายคงทำอะไรไม่ได้ ส่วนพระยาศรีสิทธิสงครามรับฟังเงียบๆ ไม่แสดงความคิดเห็น เขาอาจไม่ได้บอกปัดแต่ไม่ได้ตอบรับความต้องการเพื่อนสนิทมากที่สุด

        สิ่งนี้อาจเป็นรอยร้าวเล็กๆ รอยแรกของสามทหารเสือแห่งสยามประเทศ


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 30 ม.ค. 25, 08:56

       หลังปรึกษาเรื่องการปกครองที่ไม่เป็นธรรมต่อเพื่อนรัก พระยาพหลพลพยุหเสนาได้เก็บสิ่งนี้ไว้เป็นความลับไม่เผยแพร่กับคนอื่น อยู่มาวันหนึ่งจมื่นสุรฤทธิ์พฤฒิไกร (ฝั่ง) ผู้เป็นน้องชายร่วมสายเลือดแต่ต่างมารดา ได้บ่นกับพี่ชายถึงความล้มเหลวของการบริหารราชการแผ่นดิน หากปล่อยทิ้งไว้รังแต่จะสร้างความเสียหายใหญ่โตมากกว่าเดิม พวกเราสมควรกอบกู้บ้านเมืองก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ไข

      พระยาพหลพลพยุหเสนาแสดงความเห็นในทิศทางเดียวกัน และถามน้องชายว่าการกอบกู้บ้านเมืองควรทำเช่นไร รวมทั้งเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ไม่น่ามีใครอยากเข้าร่วมกับเรา จมื่นสุรฤทธิ์พฤฒิไกรตอบว่าการกอบกู้บ้านเมืองต้องคิดอ่านเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน ขณะนี้มีกลุ่มคนที่กล้าเอาชีวิตเข้าเสี่ยงเพื่อล้มอำนาจสิทธิ์ขาดของกษัตริย์ คนกลุ่มนี้พยายามรวบรวมสมัครพรรคพวกมานานหลายปีดีดัก

       พระยาพหลพลพยุหเสนาซึ่งตกอยู่ในสถานะอับจนหนทาง อยากรู้จักกลุ่มคนที่มีแนวคิดคล้ายกันจึงวานให้น้องชายช่วยติดต่อประสานงาน

       ผมขอพูดถึงจมื่นสุรฤทธิ์พฤฒิไกรตัวละครสำคัญกันสักนิด

       อดีตนายพันตรีแห่งกรมทหารมหาดเล็กทำงานแบบลับสุดยอดในการล้มล้างการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เขาเป็นคนเงียบๆ แต่มั่นคงต่อความรู้สึกตัวเองคล้ายพี่ชาย ตั้งใจทำงานสุดความสามารถและไม่ชื่นชอบความคดโกงทั้งหลายทั้งปวง

       อยู่มาวันหนึ่งนายพันตรีสุรฤทธิ์พฤฒิไกรได้รับคำสั่งว่า ตัวเองต้องย้ายจากกรมทหารมหาดเล็กไปประจำกรมทหารราบกองพันที่ 3 และดูเหมือนการโยกย้ายครั้งนี้จะมีเบื้องหลังไม่น่าโสภา เขาตัดสินใจออกจากราชการมาประกอบอาชีพค้าขาย พลอยทำให้ตัวเองได้รู้จักผู้คนทั่วพระนครมากกว่าเดิม และพลอยทำให้ตัวเองได้รู้จักกลุ่มที่มีแนวคิดทางการเมืองคล้ายคลึงกัน

       หมายเหตุ : ผมหาภาพถ่ายจมื่นสุรฤทธิ์พฤฒิไกรไม่เจอ ข้อมูลก็มีค่อนข้างน้อยถนนทุกสายมุ่งสู่พี่ชายเพียงคนเดียว


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 30 ม.ค. 25, 09:01

       จมื่นสุรฤทธิ์พฤฒิไกรพาพี่ชายมาพบนายประยูร ภมรมนตรี ซึ่งเป็นบุตรของอาจารย์เก่าของพระยาพหลพลพยุหเสนา ส่วนมารดาเคยเป็นอาจารย์สอนภาษาเยอรมันให้กับพระยาพหลพลพยุหเสนากับพระยาทรงสุรเดช ได้พูดคุยกันเพียงไม่กี่คำก็พลันเกิดความเชื่อมั่นหมดสิ้นข้อข้องใจ

       นายประยูร ภมรมนตรีอธิบายให้ฟังว่า กลุ่มคนที่ตัวเองใช้เวลารวบรวมหลายปีประกอบไปด้วย นายพันตรีหลวงพิบูลสงครามทำหน้าที่รวบรวมทหารเสนาธิการกับทหารปืนใหญ่ นายร้อยเอกหลวงทัศนัยนิยมศึกทำหน้าที่รวบรวมทหารม้า นายนาวาตรีหลวงสินธุสงครามชัยทำหน้าที่รวบรวมทหารเรือ ส่วนหลวงประดิษฐ์ มนูธรรม นายตั้ว พลานุกรม และหลวงนฤเบศรมานิต ทำหน้าที่รวบรวมพลเรือนไว้อีก 3 กลุ่ม กำลังพลของเรามากเพียงพอในการดำเนินการ ขาดอยู่ก็แต่ความร่วมมือจากนายทหารชั้นผู้ใหญ่ จึงอยากเชิญพระยาพหลพลพยุหเสนากับสองเพื่อนสนิทให้เข้าร่วม คณะผู้ก่อการจะได้เป็นปึกแผ่นมั่นคงทำงานใหญ่ได้สมดั่งใจหวัง

       พระยาพหลพลพยุหเสนาตัดสินใจตอบตกลงให้ความร่วมมือ เท่ากับว่าคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองมีกำลังพลจาก 4 กลุ่มประกอบไปด้วย

       1.พลเรือนนำโดยหลวงประดิษฐ์ มนูธรรม

       2.ทหารบกรุ่นเล็กนำโดยนายพันตรีหลวงพิบูลสงคราม

       3.ทหารเรือนำโดยนายนาวาตรีหลวงสินธุสงครามชัย

       4.ทหารบกรุ่นใหญ่นำโดยพระยาพหลพลพยุหเสนา

        ภาพประกอบคือ นายประยูร ภมรมนตรี คีย์แมนคนสำคัญที่พวกเรารู้จักเป็นอย่างดี

       


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 14  เมื่อ 30 ม.ค. 25, 09:02



         คณะผู้ก่อการกลุ่มที่ 1 กับกลุ่มที่ 2 รู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือที่ฝรั่งเศส มีความสนิทสนมกลมเกลียวรู้จักนิสัยใจคออีกฝ่ายอย่างชัดเจน กลุ่มที่ 3 ถูกตามจีบอยู่ประมาณ 3 ปีถึงยอมตกปากรับคำ ส่วนกลุ่มที่ 4 เข้าร่วมทันทีทั้งที่ไม่รู้จักนิสัยใจคอเพื่อนร่วมอุดมการณ์ และสิ่งนี้เองได้ก่อให้เกิดปัญหาวุ่นวายขายปลาช่อนตามมาในภายหลัง

บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3 ... 7
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.061 วินาที กับ 19 คำสั่ง