เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7
  พิมพ์  
อ่าน: 8987 ทะแกล้วทหารสามเกลอกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 60  เมื่อ 11 ก.พ. 25, 08:43

       ผมขอย้อนเวลากลับคืนสู่ปี 2476 อีกครั้ง เมื่อพระยาทรงสุรเดชกับพระประศาสน์พิทยายุทธเดินทางกลับจากอินโดนีเซีย ความชุลมุนวุ่นวายภายในประเทศได้พลอยจบสิ้นลง รัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา 1 ทำหน้าที่ตัวเองตามปรกติ ระหว่างนี้มีบุคคลมากหน้าหลายตาแวะเวียนมาเยี่ยมพระยาทรงสุรเดชที่บ้านพักบางซื่อ เพื่อชวนเข้าร่วมรัฐบาลจะด้วยตั้งใจมาเองหรือพระยาพหลพลพยุหเสนาสั่งมาก็ตาม บังเอิญเจ้าของบ้านไม่มีความรู้สึกอยากเป็นรัฐมนตรี เขาหนีไปอยู่บ้านเล็กที่นนทบุรีและใช้เวลาว่างหมดไปกับการตกปลา

   ต้องเข้าใจนะครับว่าพระยาทรงสุรเดชได้เบี้ยหวัดเดือนละ 250 บาท ขณะที่รัฐมนตรีในตอนนั้นได้เงินเดือนหนึ่งพันกว่าบาท พระยาทรงสุรเดชจึงมีรายได้มากเพียงพอในการดำรงชีพ ประกอบกับเจ้าตัวไม่ใช่คนมือเติบไม่นิยมของฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย การใช้ชีวิตเรียบง่ายไม่ต้องรับผิดชอบงานใหญ่งานช้าง คือสิ่งที่อดีตนักเรียนเยอรมันรู้สึกโหยหาอยากมีอยากได้

   พระยาทรงสุรเดชมีประวัติที่น่าประทับใจมากคนหนึ่ง เขาเป็นนายทหารฝีมือรอบจัดหมั่นศึกษาหาความรู้ใส่ตัว เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตทรงมีพระประสงค์อยากขอตัวไปเป็นนายทหารประจำพระองค์ บังเอิญเจ้าตัวบอกปัดพร้อมเลือกตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิชาทหาร กรมยุทธศึกษาทหารบก ก่อนลงมือแต่งตำราทางทหารด้วยตัวเองอาทิเช่น แนวสอนวิชายุทธวิธีเล่ม 2 และเล่ม 3 แนวสอนวิชาทหารช่าง แนวสอนวิชาศาสตราวุธวิทยา แนวสอนวิชาแผนที่ รวมทั้งตำราสำคัญๆ ทั้งหมดในกรมยุทธศึกษา โดยมีพระประศาสน์พิทยายุทธทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเพียงรายเดียว

   ผลจากการทำงานวันละ 12 ชั่วโมง (แต่งตำราวันละ 6 ชั่วโมง) พระยาทรงสุรเดชเริ่มมีอาการเส้นประสาทเสีย นัยน์ตาเริ่มพร่ามัว หูเริ่มตึง จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาเลือกใช้ชีวิตกับเบี้ยหวัดเดือนละ 250 บาท และใช้เวลาว่างในการศึกษาหาความรู้เรื่องวิชาโหราศาสตร์

   หนอนหนังสือสองคนมีความคิดแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว พระยาศรีสิทธิสงครามไม่เคยเขียนหนังสืออย่างจริงๆ จังๆ ถ้าต้องออกจากราชการเขาอยากเขียนหนังสืออยากทำงานหนังสือพิมพ์ ส่วนพระยาทรงสุรเดชแต่งตำรามานักต่อนักจนสายตาเริ่มเสีย เมื่อออกจากราชการจึงทำแค่สองเรื่องคือตกปลากับเรียนวิชาโหราศาสตร์ ก็เป็นอะไรที่แปลกดีครับ

           


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 61  เมื่อ 11 ก.พ. 25, 08:46

      แม้ตัวเองอยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปอีกสักพักใหญ่ๆ ทว่ากลับมีบุคคลแวะเวียนมาเยี่ยมเพื่อชักชวนให้ทำโน่นทำนี่ เพราะความเบื่อพระยาทรงสุรเดชจึงออกเดินทางไปเที่ยวพม่า 7 เดือนต่อด้วยฮ่องกง 4 เดือน โดยมีนายพันเอกพระสิทธิเรืองเดชพล (แสง พันธุประภาส) เป็นเพื่อนร่วมทาง เมื่อกลับมาถึงพระนครเขาเริ่มคิดถึงอาชีพการงานอีกครั้ง จึงตัดสินใจกลับเข้ารับราชการในเดือนมีนาคม 2478 ในตำแหน่งที่แตกต่างไปจากเดิม

   พระยาทรงสุรเดชต้องการดูแลโรงเรียนรบที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นโรงเรียนที่เปิดขึ้นมาใหม่เพื่อพระยาทรงสุรเดชโดยเฉพาะ หลวงพิบูลสงครามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอนุมัติให้จัดตั้งโรงเรียน นักเรียนรุ่นแรกที่ผ่านการคัดเลือกมีจำนวน 29 นายถือว่าค่อนข้างเหมาะสม เนื่องจากพระยาทรงสุรเดชเป็นทั้งผู้อำนวยการและผู้ฝึกสอนเพียงคนเดียว ต่อมาในภายหลังจึงรับผู้ฝึกสอนเพิ่มจำนวนหนึ่งเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระ

   หลักสูตรการเรียนการสอนที่โรงเรียนรบประกอบไปด้วย ฝึกหัดนายทหารให้เกิดความรู้ความชำนาญ ในการนำทหารทำการรบในภูมิประเทศต่างๆ อย่างเป็นแบบแผน ตั้งแต่ระดับหน่วยหมู่ไล่ไปจนถึงหน่วยกองพัน จากนั้นจึงส่งไปดูงานตามกองพันทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังศึกษาหลักการกว้างๆ ของทหารเรือ ทหารอากาศ และหน่วยช่วยรบอื่นๆ

   นอกจากรับตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนรบ พระยาทรงสุรเดชยังถูกแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาการป้องกันพระราชอาณาจักร ร่วมกับนายพันเอกพระอภัยสงคราม พระประศาสน์พิทยายุทธ และนายพันเอกหม่อมสนิทวงศ์เสนี (หม่อมราชวงศ์ ตัน สนิทวงศ์) มีการประชุมเรื่องการป้องกันประเทศที่กระทรวงกลาโหม โดยมีเจ้าหน้าที่และนายทหารชั้นผู้ใหญ่เข้าร่วมการประชุม

       ภาพประกอบคือนายพันเอกพระสิทธิเรืองเดชพล (แสง พันธุประภาส) ผู้เดินทางไปเที่ยวเดินทางไปเที่ยวพม่ากับฮ่องกงเป็นเพื่อนพระยาทรงสุรเดช

          


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 62  เมื่อ 11 ก.พ. 25, 08:54

      ปี 2481 พระยาทรงสุรเดชกลับมาเนื้อหอมอีกครั้ง ทั้งทหารและนักการเมืองล้วนให้ความเคารพนับถือ ส่วนพระยาพหลพลพยุหเสนาอยู่ในช่วงโรยราใกล้หมดอำนาจวาสนา เมื่อเขาลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมีการคัดเลือกผู้นำคนใหม่ แคนดิเดตอันดับหนึ่งในตอนนั้นก็คือหลวงพิบูลสงคราม บังเอิญนักการเมืองฝ่ายค้านคนหนึ่งเสนอชื่อพระยาทรงสุรเดชเข้ามาอีกราย มีการทดสอบลงคะแนนลับปรากฏว่าพระยาทรงสุรเดชเป็นผู้ชนะด้วยคะแนนขาดลอย สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมชมชอบจากนักการเมืองมากหน้าหลายตา

   ถัดมาไม่กี่วันเมื่อรัฐสภาถึงเวลาต้องลงคะแนนจริง กลับกลายเป็นว่ามีการเสนอชื่อหลวงพิบูลสงครามเพียงรายเดียว ท้ายที่สุดจึงได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 3 สมความตั้งใจ

   เหตุผลที่ไม่มีใครเสนอชื่อพระยาทรงสุรเดชผมมีความเห็นดังนี้

   1.มีคนเข้ามาทาบทามแต่พระยาทรงสุรเดชบอกปัด ส่งผลให้วันลงคะแนนจึงไม่มีการเสนอชื่อ

   2.มีคนเข้ามาทาบทามและพระยาทรงสุรเดชบอกปัดจริง แต่เป็นการบอกปัดเพื่อเล่นตัวไปแบบนั้นเอง ถ้าเข้ามาทาบทามอีกครั้งเขายินดีตอบรับอย่างแน่นอน

   3.ไม่มีใครเข้ามาทาบทามแม้แต่รายเดียว จะด้วยหาตัวพระยาทรงสุรเดชไม่เจอ หรือหวาดเกรงภัยร้ายจากบุคคลผู้มีอำนาจวาสนาก็ว่ากันไป

   4.แท้จริงแล้วเป็นแผนการกับแยบยลของหลวงพิบูลสงคราม โดยให้ลูกน้องออกมาโยนก้อนหินถามทาง ถ้าคะแนนตัวเองสู้ได้จะเสนอชื่อพระยาทรงสุรเดชในการโหวต ครั้นเห็นว่าคะแนนตัวเองสู้ไม่ได้จึงเปลี่ยนมาใช้แผนสองโดยการไม่เสนอชื่อ

   ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลข้อไหนก็ตาม ทว่าหลวงพิบูลสงครามซึ่งได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ออกอาการไม่ชอบใจรวมทั้งหวาดวิตกพระยาทรงสุรเดชมากกว่าเดิม

        ภาพประกอบคือนายพันเอกหลวงพิบูลสงคราม ในพิธีสวนสนามที่เกียกกายระหว่างปี 1981 ก่อนที่ตัวเองจะได้เป็นผู้นำประเทศสมัยแรก

       

     
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 63  เมื่อ 12 ก.พ. 25, 08:46

       ตีเหล็กต้องตีตอนร้อนฉันใด หลวงพิบูลสงครามต้องรีบตัดไฟแต่ต้นลมฉันนั้น

        เมื่อได้ดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศเหมือนดั่งใจหวัง แผนการโค่นล้มพระยาทรงสุรเดชเริ่มต้นเดินหน้าทันที และสำเร็จลุล่วงแบบเฉียบขาดโดยที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ทันรู้ตัว เช้าตรู่วันที่ 29 มกราคม 2482 มีการระดมกำลังตำรวจเข้าจับกุมผู้ต้องสงสัยจำนวน 24 คน ต่อมายังมีการจับกุมผู้ต้องสงสัยเพิ่มอีก 20 กว่าคน รวมทั้งมีการจับตายนายพันตรีหลวงราญรณกาจ นายพันตำรวจตรีหลวงรณสฤษฏ์ และพันตรีหลวงสงครามวิจารณ์ตามใบสั่ง เหตุการณ์นี้ถูกสื่อมวลชนเรียกขานในภายหลังว่า ‘กบฏพระยาทรงสุรเดช’

   ผู้ต้องสงสัยชุดแรกเป็นทหารทั้งหมดยกเว้นนายลี บุญตา คนรับใช้ประจำบ้านหลวงพิบูลสงคราม ซึ่งเคยใช้ปืนไล่ยิงหลวงพิบูลสงครามเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2481 ผู้ต้องสงสัยชุดชุดหลังเริ่มมีพลเรือนมากขึ้นอาทิเช่น นายเลียง ไชยกาล หรือนายมังกร สามเสน เหตุผลที่ถูกจับกุมเพราะร่วมมือกับพระยาทรงสุรเดชวางแผนการยึดอำนาจจากรัฐบาล    

       ไม่ว่าจะสมัยไหนก็ยัดคดีกันง่ายๆ แบบนี้แหละครับ

   คณะผู้ก่อการส่วนใหญ่ถูกจับกุมในพระนคร ส่วนหัวหน้าคณะผู้ก่อการดันพานักเรียนโรงเรียนรบมาฝึกอบรมและดูงานที่ราชบุรี หลวงพิบูลสงครามจึงส่งมือดีไปเชือดแบบนิ่มๆ

       เหตุการณ์เผด็จศึกพระยาทรงสุรเดชมีด้วยกันหลายเวอร์ชัน เวอร์ชันที่หนึ่งมีทหารกลุ่มหนึ่งเดินทางมายื่นคำสั่งออกจากราชการต่อพระยาทรงสุรเดช ก่อนควบคุมตัวกลับสู่พระนครเพื่อเนรเทศไปอยู่อินโดจีนในระยะเวลาอันสั้น คล้ายเหตุการณ์ที่เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตถูกกระทำในวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 64  เมื่อ 12 ก.พ. 25, 08:50

       เวอร์ชันต่อไปค่อนข้างละเอียดมาจากหนังสือ ‘บันทึกพระยาทรงสุรเดช’ เขียนโดย ‘ปั่น แก้วมาตย์’ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครพนม

   วันที่ 29 มกราคม 2482 เวลาประมาณเที่ยงวัน พระยาทรงสุรเดชให้พลทหารรับใช้หาบเนื้อสะเต๊ะมาให้นักเรียนรับประทานบนเรือนแพ ตอนนั้นเองบนท้องฟ้ามีเครื่องบิน 2-3 ลำบินวนไปวนมา ระหว่างรับประทานอาหารมีทหารจำนวน 9 นายนำโดยนายพันเอกหลวงวิจักษ์กลยุทธ เดินทางโดยรถไฟมาถึงเรือนแพอันเป็นจุดพักผ่อนนักเรียนโรงเรียนรบ เพื่อยื่นจดหมายจากพรหมโยธี รัฐมนตรีสั่งราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้กับพระยาทรงสุรเดช เนื้อหาจดหมายฉบับนั้นค่อนข้างสั้นกระชับประกอบไปด้วย

   ‘ให้นายทหารต่อไปนี้ออกจากราชการ

   1.พ.อ.พระยาทรงสุรเดช ผู้อำนวยการโรงเรียนรบ

   2.ร.อ.ขุนคลี่พลพฤนท์ นายทหารประจำบก.โรงเรียนรบ   

   3.ร.อ.สำรวจ กาญจนสิทธิ์ นายทหารคนสนิทของผู้อำนวยการโรงเรียนรบ

   ทั้ง 3 นายนี้เป็นนายทหารพ้นราชการ ไม่มีเบี้ยหวัด สังกัดมณฑลทหารบกที่ 1

   4.พ.ต.หลวงธุระไวทยวิเศษ แพทย์ประจำบก.โรงเรียนรบ มีเบี้ยหวัด

   ทั้งนี้ตั้งวันที่ 29 มกราคม 2482’

   บ่ายวันนั้นพระยาทรงสุรเดชมอบนักเรียนทั้งหมดให้หลวงชำนิยุทธสารพากลับเชียงใหม่ ส่วนตัวเองกันนายทหารคนสนิทเดินทางเข้าพระนครโดยรถไฟ ภายใต้การควบคุมดูแลจากหลวงวิจักษ์กลยุทธและทหารจำนวนหนึ่ง เป็นไปตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีซึ่งต้องการให้หัวหน้าคณะผู้ก่อการอยู่ในสายตาโดยไม่มีการจับกุม

   ภาพประกอบคือนายพันเอกหลวงวิจักษ์กลยุทธผู้รับเผือกร้อนใส่มือตัวเอง เขาเป็นหนึ่งในคณะราษฎรสายทหารรุ่นเด็กของหลวงพิบูลสงคราม จึงไม่น่าแปลกใจที่ได้รับผิดชอบงานใหญ่งานช้างระดับคอขาดบาดตาย

       
     
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 65  เมื่อ 12 ก.พ. 25, 08:59

       ถึงบ้านพักที่บางซื่อซึ่งมีคนใช้คอยดูแลบ้านเพียง 2 คน เนื่องจากสมาชิกในครอบครัวทั้งหมดย้ายไปอยู่เชียงใหม่ พระยาทรงสุรเดชตัดสินใจอำลาเมืองไทยไปอยู่ที่อื่น เขาวานให้หลวงธุระไวทยวิเศษซึ่งมาด้วยกันช่วยส่งจดหมายถึงหลวงพรหมโยธี เพื่อขออนุญาตย้ายไปทำมาหากินที่อินโดจีนพร้อมนายทหารคนสนิท และได้รับคำตอบกลับคืนว่า

       ‘เรียนใต้เท้าที่เคารพ จดหมายผมได้รับแล้ว เรื่องการไปเขมรนั้นไม่ขัดข้อง แต่ให้ปฏิบัติตามระเบียบการออกนอกประเทศ และหน้าที่นายทหารนอกประจำการ การรายงานตนเอง ตามระเบียบนั้นจะรายงานทางหนังสือได้ ด้วยความนับถือ พรหมโยธี’

       วันรุ่งขึ้นนายร้อยเอกสำรวจ กาญจนสิทธิ์ต้องไปขอหนังสือเดินทางที่กระทรวงต่างประเทศตามลำพัง ส่วนพระยาทรงสุรเดชอยู่บ้านเพียงคนเดียวโดยไม่มีผู้ใดแวะมาเยี่ยม เพราะตกเป็นข่าวฉาวโฉ่ทุกคนไม่อยากติดต่อกลัวตัวเองจะติดร่างแห เช้าตรู่ของอีกวันพระยาทรงสุรเดชพร้อมนายทหารคนสนิท เดินทางออกจากสถานีหัวลำโพงด้วยขบวนรถไฟเที่ยว 07.00 น. จุดหมายปลายทางคือสถานีอรัญประเทศสุดเขตชายแดน มีผู้ตามมาส่งเพียงรายเดียวได้แก่จ่าสิบตรีบุตร รุ่งป้อม ตำรวจชั้นประทวนนอกราชการและไม่มีเบี้ยหวัด

   พระยาทรงสุรเดชกับนายทหารคนสนิทนั่งอยู่ในตู้โดยสารชั้นที่ 1 ถัดไปเป็นตู้โดยสารชั้นที่ 3 มีชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งเอาแต่จ้องมองแทบไม่ละสายตา เข้าใจว่าเป็นกลุ่มตำรวจที่หลวงอดุลยเดชจรัสอธิบดีกรมตำรวจส่งมาดูแล ทั้งคู่เดินทางมาถึงสถานีอรัญประเทศในช่วงบ่ายแก่จัด ปรากฏว่าเจอนายอำเภอกับตำรวจท้องที่ยืนรอต้อนรับด้านหน้าสถานี

   มีการสอบถามถึงเหตุผลในการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง เมื่อสาแก่ใจนายอำเภอกับตำรวจท้องที่จึงยอมปล่อยตัว บังเอิญเย็นเกินไปจนหารถแท็กซี่ข้ามไปพระตะบองไม่ได้ พระยาทรงสุรเดชต้องนอนค้างที่อรัญประเทศเป็นเวลาหนึ่งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นจึงเดินทางข้ามชายแดนพร้อมกระเป๋าเดินทาง 2 ใบกับเงินสด 700 บาท อันเป็นเงินที่นักเรียนโรงเรียนรบ 2 นายฝากไว้ตอนมาฝึกอบรมและดูงานที่ราชบุรี

   ขาไปมีสองคนเจ้านายกับลูกน้อง…รอดูนะครับว่าขากลับจะเหลือกี่คน

   ภาพประกอบคือนายร้อยเอก สำรวจ กาญจนสิทธิ์ นายทหารคนสนิทพระยาทรงสุรเดช

       


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 66  เมื่อ 13 ก.พ. 25, 08:51

       หลังข้ามชายแดนมาพักอาศัยที่พระตะบองหนึ่งคืน พระยาทรงสุรเดชขึ้นรถไฟมาที่พนมเปญเมืองหลวงกัมพูชา คนแรกที่เขาแวะไปเยี่ยมก็คือนายพันโทหลวงรณสิทธิ์พิชัย (เจือ กาญจนินทุ) ลูกศิษย์ก้นสำนักเคยเปลี่ยนแปลงการปกครองร่วมกันในปี 2475 แต่แล้วตัวเองกลับถูกพิษการเมืองแบบไทยๆ เล่นงานอย่างหนัก ต้องซมเซซมซานย้ายมาอยู่กัมพูชาตั้งแต่ปี 2478 หลังพูดคุยจนสาแก่ใจจึงขอตัวไปพักผ่อนที่โรงแรม Annex ใกล้ตลาดค้าขนาดใหญ่ของพนมเปญ ไม่ยอมนอนค้างบ้านพักลูกศิษย์ก้นสำนักเพราะความเกรงใจ

   จากความช่วยเหลือจากหลวงรณสิทธิ์พิชัยซึ่งอยู่พนมเปญมานาน พระยาทรงสุรเดชได้บ้านเช่าชั้นเดียวขนาด 3 ห้องนอนในราคาเดือนละ 30 เหรียญหรือ 23 บาท เขาใช้เวลาว่างหมดไปกับการศึกษาวิถีชีวิตคนเขมร และเริ่มเรียนรู้ภาษาเขมรโดยจ้างครูพิเศษมาสอนที่บ้านวันละสองชั่วโมง พร้อมส่งจดหมายบอกภรรยาให้ขายทุกอย่างที่เชียงใหม่แล้วย้ายมาอยู่ที่นี่ (เหลือแค่บ้านพักบ้านซื่อ) ต่อด้วยปรึกษาเรื่องการทำมาหากินกับนายทหารคนสนิท

   เนื่องจากพระยาทรงสุรเดชเป็นทหารอาชีพมาโดยตลอด เรื่องการรบเขาอาจเก่งกล้าไม่มีใครหน้าไหนใกล้เคียง แต่เรื่องการค้าเขาเปรียบเสมือนมือใหม่หัดขับ ไม่ว่าจะทำอะไรล้วนติดขัดไม่เป็นดั่งใจหวัง ต่างจากพระยาศรีสิทธิสงครามซึ่งปลุกต้นไม้เก่งมาก ที่บ้านจึงมีทุเรียน กล้วย ละมุด มะม่วง มะไฟ และมังคุดสร้างรายได้ให้กับครอบครัว การทำมาหากินในต่างแดนคือเรื่องน่าหนักใจมากที่สุดของพระยาทรงสุรเดช

   ว่ากันตามจริงมีคนไทยอยู่ที่กัมพูชาและอินโดจีนพอสมควร อาทิเช่นคณะกู้บ้านกู้เมืองซึ่งพากันหลบหนีข้ามชายแดนมากถึงยี่สิบกว่าชีวิต กลุ่มคนเหล่านี้ยังคงติดต่อกัน อยู่เมืองเดียวกัน หรือใช้ชีวิตร่วมกัน โดยมีพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดชเป็นที่พึ่งในทุกเรื่อง จึงสามารถปรับตัวและใช้ชีวิตในต่างแดนได้อย่างราบรื่นในระดับหนึ่ง ต่างจากพระยาทรงสุรเดชที่ออกจากประเทศพร้อมนายทหารคนสนิทเพียงสองคน ทุกสิ่งที่เขาทำแทบไม่มีใครให้คำปรึกษา และถูกตัดขาดทุกด้านไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น

   นี่คือช่วงเวลาที่เคว้งคว้างมากที่สุดของอดีตสามทหารเสือแห่งสยามประเทศ

   ภาพประกอบคือนายพันโทหลวงรณสิทธิ์พิชัย (เจือ กาญจนินทุ) สมัยครองยศนายร้อยเอก

       
     
     
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 67  เมื่อ 13 ก.พ. 25, 08:52

       สองเดือนถัดคนในครอบครัวจะย้ายจากเชียงใหม่มาอยู่ด้วยกัน พระยาทรงสุรเดชเช่าบ้านหลังใหม่ใหญ่กว่าเดิมในราคาเดือนละ 24 บาท อยู่ห่างตลาดค้าวัวประมาณ 300 เมตรพอประกอบอาชีพเลี้ยงตัวได้ เขาใช้ใต้ถุนบ้านเป็นที่พักผ่อนและทำขนมขาย เริ่มต้นชีวิตใหม่เป็นพ่อค้าขนมหารายได้เลี้ยงลูกเมีย ลงหลักปักฐานใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จนกว่าจะได้กลับเมืองไทย แต่แล้วโชคชะตากลับพลิกไปพลิกมาประหนึ่งนิยายขึ้นหิ้งของคุณ ว.วินิจฉัยกุล

        ก่อนครอบครัวเดินทางมาถึงพนมเปญเพียงวันเดียว บ่ายวันนั้นมีนายทหารฝรั่งเศสเดินทางมาที่บ้านพัก เพื่อยื่นหนังสือฉบับหนึ่งจากกรมตำรวจให้กับพ่อค้าขนมป้ายแดง ในนั้นเป็นคำสั่งให้พระยาทรงสุรเดชย้ายจากพนมเปญมาอยู่ไซ่ง่อนเมืองหลวงอินโดจีน กรมตำรวจจะนำรถมารับทั้งคู่ในเวลา 20.00 น.เป็นการเดินทางแบบปุบปับใกล้เคียงคำสั่งย้ายด่วน 24 ชั่วโมงของประเทศไทย

   พระยาทรงสุรเดชพยายามติดต่อคนรู้จักให้ช่วยเหลือสักครั้ง เขาอยากอยู่พนมเปญอีกสักหนึ่งวันเพื่อเจอลูกเมียจากเมืองไทย โชคดีได้รับอนุญาตให้อยู่ต่อสองวันมากกว่าความตั้งใจ และในคืนนั้นเวลาตีสี่กว่าๆ พ่อแม่ลูกจึงได้เจอหน้ากันครั้งแรกในรอบสองเดือน เป็นการเจอเพื่อจากและหวังว่าอนาคตจะกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 68  เมื่อ 13 ก.พ. 25, 09:00

       วันที่ 5 พฤษภาคม 2482 พระยาทรงสุรเดชพร้อมนายร้อยเอกสำรวจ กาญจนสิทธิ์ เดินทางไปอยู่ไซ่ง่อนตามคำสั่งผู้สำเร็จราชการอินโดจีน โดยมีมิสเตอร์เซมเปรเพื่อนผู้แสนดีขอตามมาด้วยอีกหนึ่งคน สามชีวิตถึงที่หมายโดยปลอดภัยและนอนพักในโรงแรมชื่อแม่โขง วันรุ่งขึ้นจึงไปพบหัวหน้าตำรวจแคว้นโคชังชีน (Cochinchina) เพื่อรายงานตัว จากนั้นจึงหาบ้านเช่าเพื่อพักอาศัยในราคาเดือนละ 35 เหรียญ เป็นห้องแถวชั้นเดียวขนาดเล็ก ห้องเลขที่ 36 ตรอกที่ 1 ตำบลดาเกา ซึ่งค่อนข้างเหมาะสมกับฐานะตัวเองในปัจจุบัน

   เมื่อถึงเวลาที่มิสเตอร์เซมเปรต้องทางกลับพนมเปญ พระยาทรงสุรเดชจึงใช้ชีวิตอย่างเงียบเหงาร่วมกับนายทหารคนสนิท ก่อนหน้านี้เขามีหลวงรณสิทธิ์พิชัยเป็นเพื่อนคุยแก้เหงา และมีเพื่อนใหม่อย่างมิสเตอร์เซมเปรคอยให้ความช่วยเหลือ ทว่าอยู่ที่ไซ่ง่อนเขาไม่รู้จักใครสักคนรวมทั้งพูดภาษาญวนไม่ได้ ชีวิตแต่ละชั่วโมงผ่านไปอย่างเชื่องช้าน่าเบื่อหน่าย รอคอยวันที่ตัวเองจะได้รับอิสรภาพกลับไปอยู่กับครอบครัวดังเดิม

   เหตุผลที่พระยาทรงสุรเดชต้องระเห็จออกจากพนมเปญ อาจเป็นเพราะฝรั่งเศสรู้จักอดีตนักเรียนเยอรมันคนนี้เป็นอย่างดี และกลัวว่าเขากำลังคิดการใหญ่รวบรวมกำลังพลเพื่อล้มล้างรัฐบาลไทย จึงรีบส่งตัวมาอยู่ไซ่ง่อนขจัดปัญหาระหว่างสองชาติที่อาจเกิดขึ้น อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนรบและอดีตนายทหารเสนาธิการคณะราษฎรจึงซวยซ้ำซวยซ้อน

       นี่คือช่วงเวลาที่เคว้งคว้างมากยิ่งกว่าของอดีตสามทหารเสือแห่งสยามประเทศ

       ภาพประกอบคือแผนที่เมืองพนมเปญกับเมืองไซ่ง่อน สถานที่ที่พระยาทรงสุรเดชต้องเดินทางมาพำนักอาศัยตามคำสั่งผู้สำเร็จราชการอินโดจีน

       

   
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 69  เมื่อ 14 ก.พ. 25, 08:36

       ขอพาเพื่อนๆ สมาชิกทุกคนกลับคืนสู่สยามประเทศ หลังล้างมือในอ่างทองคำไม่ขอเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 6 ความเครียดในสมองพระยาพหลพลพยุหเสนาได้พลันรางเลือนหายไป กลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามอัตภาพตัวเองได้อีกครั้ง

   ว่ากันตามจริงพระยาพหลพลพยุหเสนาอยากลงหลังเสือนานแล้ว เริ่มตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2481 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก เนื่องจากสุขภาพพระยาพหลพลพยุหเสนาไม่ค่อยแข็งแรง คงรับราชการตำแหน่งจเรทหารทั่วไปตำแหน่งเดียว สิ่งนี้อาจถือเป็นการถอยทัพก้าวแรกอย่างเป็นทางการ บรรดานายทหารน้อยใหญ่จะได้ปรับตัวหรือหาสังกัดใหม่อย่างทันท่วงที

   ต่อมาในวันที่ 11 กันยายน 2481 มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พระยาพหลพลพยุหเสนาถือโอกาสถอนตัวจากการเมืองตลอดไป ตั้งใจใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเข้าวัดฟังธรรมไปตามท้องเรื่อง แต่ถึงกระนั้นทั้งหน้าที่การงานรวมทั้งยศถาบรรดาศักดิ์ กลับวิ่งเข้าหาตลอดเวลาราวกับเจ้าตัวยังดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ

       มาดูกันนะครับว่าพี่ใหญ่แก๊งทะแกล้วทหารสามเกลอได้รับอะไรบ้าง

       พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนายกย่องในฐานะเชษฐบุรุษ และทรงพระราชทานวังปารุสกวันให้เป็นที่พำนักพักพิงจนกว่าชีวิตจะหาไม่

       เชษฐบุรุษตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 หมายถึง ‘พี่ผู้เป็นใหญ่’ พูดแบบภาษาชาวบ้านก็คือพี่ใหญ่ผู้แสนดีของน้องๆ ทุกสถาบัน เป็นตำแหน่งลอยไม่มีเงินเดือนไม่มีอำนาจไม่สามารถชี้นิ้วสั่งการใครได้  

   วันที่ 3 เมษายน 2482 ได้รับพระราชทานยศเป็นพลตรี พลเรือตรี และพลอากาศตรี

       พระยาทรงสุรเดชกำลังลำบากลำบนอยู่ที่พนมเปญ ส่วนพระยาพหลพลพยุหเสนาได้ขึ้นเป็นนายพลติดดาว เหตุผลที่ได้รับโชคสามชั้นน่าจะมาจากหลวงพิบูลสงคราม เขาอยากเลื่อนยศให้ตัวเองเป็นพลตรีแต่กลัวชาวบ้านครหานินทา จึงตัดสินใจเลื่อนยศให้กับอดีตนายกรัฐมนตรีในอีกสองวันถัดมา มีอะไรเกิดขึ้นจะได้แบ่งๆ กันโดนไม่ใช่เละอยู่ฝ่ายเดียว

       วันที่ 24 มิถุนายน 2482 เป็นศาสตราจารย์วิสามัญแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ตำแหน่งนี้บอกตามตรงผมอึ้งมาก…เพราะนึกไม่ออกว่าพระยาพหลพลพยุหเสนาจะสอนนักศึกษาอีท่าไหน พยายามค้นหาหลักฐานกลับไม่พบตามความตั้งใจ

       วันที่ 24 มิถุนายน 2482 เช่นกัน ประเทศสยามถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ‘ประเทศไทย’

       แม้ประกาศล้างมือในอ่างทองคำไม่วุ่นวายกับเรื่องการเมือง แต่อดีตผู้นำคณะราษฎรยังมีชื่อเสียงในวงกว้าง เขาได้เข้าร่วมงานสำคัญๆ ตลอดเวลาอาทิเช่น วันที่ 10 สิงหาคม 2482 ได้รับเชิญให้เข้าชมการก่อสร้างท่าเรือกรุงเทพ (หรือท่าเรือคลองเตย) เป็นท่าเรือทันสมัยให้เรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ขนถ่ายสินค้าได้อย่างสะดวกปลอดภัย วันที่ 23 มิถุนายน 2483 เป็นประธานตัดริบบิ้นพิธีเปิดตึกที่ทำการกรมไปรษณีย์โทรเลข ซึ่งเป็นงานประจำที่เชษฐบุรุษท่านนี้ได้รับเชิญทุกเมื่อเชื่อวัน รวมทั้งเป็นประธานในรัฐพิธีวางรากศิลาอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2484

    


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 70  เมื่อ 14 ก.พ. 25, 08:38


       วันที่ 1 กันยายน 2482 เกิดสงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรป ระหว่างเยอรมันกับฝ่ายสัมพันธมิตรนำโดยอังกฤษและฝรั่งเศส เหตุการณ์นี้อาจไม่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยโดยตรง ทว่าทหารทุกนายรวมทั้งพระยาพหลพลพยุหเสนาให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ

       วันที่ 17 กรกฎาคม 2483 เป็นนายกสันนิบาตช่วยป้องกันและบรรเทาภัยทางอากาศ

       วันที่ 19 พฤศจิกายน 2483 เป็นที่ปรึกษาการทหารสูงสุด

       วันที่ 10 เมษายน 2484 ได้รับพระราชทานยศเป็นพลโท

       การเลื่อนยศครั้งนี้อาจดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับหลวงพิบูลสงคราม เนื่องจากพระยาพหลพลพยุหเสนาได้เป็นพลโทเพียงคนเดียว แต่แล้วในวันที่ 28 กรกฎาคม 2484 หรือสามเดือนถัดมา หลวงพิบูลสงครามได้เลื่อนยศเป็นจอมพล จอมพลเรือ และจอมพลอากาศ คนไทยทั้งชาติเปลี่ยนมาเรียกชื่อเขาว่าจอมพลแปลก พิบูลสงคราม เป็นรางวัลตอบแทนความดีเรื่องชัยชนะในกรณีพิพาทอินโดจีนที่เพิ่งสิ้นสุดในเดือนพฤษภาคม 2484

       ชัยชนะที่ได้มาต้องแลกเปลี่ยนกับอาวุธทันสมัยจำนวนหนึ่ง รวมทั้งสูญเสียเรือหลวงธนบุรี เรือปืนหนักหุ้มเกราะราคาลำละ 2.9 ล้านบาท กับเรือหลวงสงขลาและเรือหลวงชลบุรี เรือตอร์ปิโดใหญ่ราคาลำละ 6 แสนบาทอีก 2 ลำ ส่งผลให้กองเรือไทยมีขนาดเล็กลงโดยความไม่ตั้งใจ รวมทั้งทำให้กำลังทหารฝรั่งเศสในอินโดจีนลดความน่ากลัวตามกัน

       เหตุการณ์นี้ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์โดยที่ตัวเองไม่ต้องเสียเลือดสักหยดก็คือญี่ปุ่น

     


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 71  เมื่อ 14 ก.พ. 25, 08:41

       วันที่ 9 พฤษภาคม 2484 พระยาพหลพลพยุหเสนาพ้นจากตำแหน่งที่ปรึกษาการทหารสูงสุด

       วันที่ 3 กรกฎาคม 2484 พ้นจากตำแหน่งนายกสันนิบาตช่วยป้องกันและบรรเทาภัยทางอากาศ

       เหตุผลที่ลาออกเพราะต้องการนุ่งห่มผ้าเหลืองเพื่อเดินทางสายธรรม

       วันที่ 6 กรกฎาคม 2484 ลาอุปสมบท ณ วัดพระศรีมหาธาตุ จึงขาดจากสมาชิกภาพแห่งสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญมาตรา 2 (5)

       วันที่ 30 ตุลาคม 2484 ผู้มีฉายาในสมณเพศว่า ‘พหลโยธี’ ได้ลาสิกขา หลังถือครองกาสาวพัสตร์ ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามเป็นเวลา 3 เดือน 24 วัน
   
   วันที่ 8 ธันวาคม 2484 เวลาประมาณ 2.00 น.กองทัพญี่ปุ่นบุกเข้าสู่ประเทศไทย มลายู ฮ่องกง และฟิลิปปินส์ช่วงเวลาใกล้เคียงกัน มีการปะทะกับทหารไทยระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่รัฐบาลจะมีคำสั่งให้ทหารทุกนายวางอาวุธ ยอมให้ญี่ปุ่นใช้เป็นทางผ่านเพื่อป้องกันการเสียเลือดเนื้อทั้งสองฝ่าย

   สงครามโลกครั้งที่สองหรือสงครามมหาเอเชียบูรพาเดินทางมาถึงเมืองไทยแล้ว

             

   
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 72  เมื่อ 15 ก.พ. 25, 08:28


         ช่วงเวลาที่พระยาพหลพลพยุหเสนาทำหน้าที่เชษฐบุรุษ พระยาทรงสุรเดชกำลังตกระกำลำบากอยู่ที่ไซ่ง่อน เขาผลาญเวลาแต่ละวันหมดไปกับการสำรวจทั่วเมือง ในใจคิดถึงครอบครัวอยากกลับพนมเปญให้เร็วที่สุด เพราะการทำมาค้าขายกับคนญวนซึ่งมีความขยันขันแข็ง ต้องเป็นงานที่ลงทุนค่อนข้างมากใช้เวลาค่อนข้างนานถึงจะคุ้มทุน ครั้นจะเปิดร้านขนมไทยคนญวนก็ไม่นิยมชมชอบสักเท่าไร หนำซ้ำตัวเองยังยากจนไม่มีเงินถุงเงินถังในการลงทุนระยะยาว

   แต่ละวันผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้าราวกับเข็มนาฬิกาหยุดเคลื่อนไหว

   ที่ไซ่ง่อนพระยาทรงสุรเดชได้เจอนายทหารคณะกู้บ้านกู้เมืองหลายคน ทว่ามีเพียงนายพันโทหลวงจรูญไกรฤทธิ์ที่เขาให้ความสนิทสนม เพราะเคยทำงานร่วมกันทั้งที่เมืองไทยและญี่ปุ่น จึงพลอยรับรู้ว่านายทหารคณะกู้บ้านกู้เมืองจำนวนมากต้องทำงานหนัก บางคนเป็นหัวหน้ากรรมกรคลุกคลีตีโมงอยู่กับคนญวนชั้นต่ำ บางคนทำงานกลางป่าเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายหรือโรคภัยไข้เจ็บ แต่ถึงกระนั้นนายทหารหลายคนกลับอยู่ดีกินดีมีความสุข จะด้วยมีทุนทรัพย์จากเมืองไทยหรือปรับตัวเข้ากับงานใหม่ชีวิตใหม่ได้ย่อมถือเป็นเรื่องดี

   พระยาทรงสุรเดชเพียรสอบถามรัฐบาลอินโดจีนว่า จะอนุญาตให้ตัวเองเดินทางกลับพนมเปญวันไหน ได้รับคำตอบต้องรอคำสั่งกระทรวงอาณานิคมฝรั่งเศสที่กรุงปารีสประมาณสามเดือน เขาพลันเปลี่ยนใจคิดหาหนทางช่วยให้ตัวเองไม่เบื่อ เริ่มต้นจากการเขียนหนังสือ ‘การปฏิวัติ ๒๔ มิย. ๗๕’ ในเวลาว่าง พร้อมส่งนายร้อยเอกสำรวจ กาญจนสิทธิ์ นายทหารคนสนิท กลับไปช่วยครอบครัวทำมาค้าขายที่พนมเปญ (เพราะไม่ได้ถูกสั่งห้ามออกนอกไซ่ง่อน) สลับกับภรรยาและลูกสาวจะเดินทางมาช่วยดูแลการบ้านการเรือนที่ไซ่ง่อน

     

บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 73  เมื่อ 15 ก.พ. 25, 08:34

         เพราะประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองและครอบครัวไม่ได้ คุณหญิงทรงสุรเดชต้องนำของมีค่าจากเมืองไทยไปขายแลกข้าวสารกับค่าเช่าห้องแถว ไม่ว่าจะเป็นแหวนเพชร สร้อยเพชร หรือสร้อยทอง รวมทั้งแหวนเพชรเรือนทองคำขาวขนาด 5 กระรัตของเก่าแก่ประจำตระกูล ซึ่งมีมูลค่า 350 เหรียญมากเพียงพอในการใช้ชีวิตในไซ่ง่อนไปอีกหลายเดือน

   ความสุขเพียงหนึ่งเดียวของพระยาทรงสุรเดชในตอนนี้ก็คือ จดหมายจากลูกชายคนโตซึ่งได้ทุนไปเรียนต่อที่ยุโรปตั้งแต่ปี 2480 เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองลุกลามบานปลายทั่วโลก ‘ทศ พันธุมเสน’ ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกขบวนการเสรีไทยสายอังกฤษ จดหมายจากแดนไกลเปรียบได้กับน้ำทิพย์ชโลมใจบิดาผู้ติดอยู่ในบ่วงกรรมของตัวเอง

       

   พระยาทรงสุรเดชพยายามทำมาค้าขายเช่นกัน เขาส่งผ้าจากไซ่ง่อนมาที่พนมเปญให้นายทหารคนสนิทช่วยขาย ปรากฏว่าขายไม่ออกจำเป็นต้องส่งกลับเสียเงินโดยใช่เหตุ จึงเปลี่ยนมาปล่อยเงินกู้ให้กับผู้มีฐานะดีน่าเชื่อถือคนหนึ่ง หวังกินดอกเบี้ยร้อยละสิบต่อเดือนตามคำมั่นสัญญา ท้ายที่สุดทั้งเงินต้นทั้งดอกเบี้ยร้อยละสิบหายวับไปกับตา บุคคลผู้กินดีอยู่ดีฐานะร่ำรวยดันเป็นคนหน้าซื่อใจคด การขออนุญาตเดินทางกลับพนมเปญก็เป็นอันคว้าน้ำเหลว กระทรวงอาณานิคมฝรั่งเศสที่กรุงปารีสตอบกลับสั้นๆ ว่าไม่อนุญาต

   จากบุคคลผู้ลุยงานหนักวันละ 12 ชั่วโมงแทบไม่ได้พักผ่อน ชีวิตพลิกผันมีเวลาว่างนั่งมองแผนที่ในห้องแถวเล็กๆ วันละ 4-5 ชั่วโมง หัวสมองครุ่นคิดถึงการรบในยุโรปสลับกับช่องทางทำมาหากิน เบื่อก็ทบทวนเรื่องราวในอดีตไม่สนใจอนาคตอันแสนว่างเปล่า ชีวิตที่ว่าแย่ต้องย่ำแย่หนักกว่าเดิมมากขึ้นได้อีก เมื่อไฟสงครามลุกลามมาถึงดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 74  เมื่อ 15 ก.พ. 25, 08:39

        วันที่ 28 พฤศจิกายน 2483 เกิดกรณีพิพาทอินโดจีนหรือความขัดแย้งระหว่างไทยกับฝรั่งเศส หลวงรณสิทธิ์พิชัยกับนายร้อยเอกสำรวจ กาญจนสิทธิ์ถูกส่งตัวจากพนมเปญมาอยู่ไซ่ง่อนโดยให้เวลาเตรียมตัวสามชั่วโมง พระยาทรงสุรเดชให้พักอาศัยร่วมกันในห้องแถวแคบๆ ของตัวเอง เป็นการแสดงน้ำใจต่อลูกศิษย์คนโปรดผู้ตกทุกข์ได้ยากร่วมกันในต่างแดน

   เมื่อเกิดสงครามรัฐบาลอินโดจีนหันมาสนใจพระยาทรงสุรเดชเป็นครั้งแรก มีการส่งคำเชิญไปรับประทานอาหารร่วมกันนานๆ ครั้ง หวังล้วงลึกข้อมูลการวางกลยุทธ์ของทหารไทยในการรบ โชคร้ายพระยาทรงสุรเดชไม่แสดงความเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อฝรั่งเศส แม้ตัวเองมีความเห็นตรงข้ามรัฐบาลไทยเรื่องการเรียกร้องดินแดน เขาคิดว่าไทยควรใช้สันติวิธีในการทวงถามสิ่งที่สูญเสียให้กับชาติมหาอำนาจ ไม่เช่นนั้นอาจตกเป็นเบี้ยล่างประเทศที่สามหรือญี่ปุ่น ซึ่งหวังใช้ประเทศไทยเป็นเครื่องมือในการบั่นทอนอำนาจฝรั่งเศส

   เพราะต้องการหารายได้พระยาทรงสุรเดชตัดสินใจทำขนมกล้วยขาย เขาได้รับความช่วยเหลือจากนายร้อยโทผลทหารม้าคณะกู้บ้านกู้เมือง ในการติดต่อแม่ค้าชาวญวนเพื่อส่งขนมกล้วยวันละ 3-400 ห่อไปขาย เมื่อเริ่มคล่องมือก็ขยับตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 700 ห่อ จากนั้นจึงเริ่มทำขนมชนิดอื่นอาทิเช่นถั่วกวน ข้าวเหนียวตัดหวังทดลองตลาด อาจได้กำไรไม่มากแต่ช่วยให้พระยาทรงสุรเดชยุ่งกับงานทั้งวัน บุคคลผู้เคยควบคุมกำลังทหารฝีมือเก่งกล้าระดับกองพัน ปัจจุบันเปลี่ยนมาควบคุมดูแลแรงงานชายหญิงวันละห้าคนในการทำขนมไทย

     หมายเหตุ ขนมกล้วยที่พระยาทรงสุรเดชทำขายน่าจะคล้ายภาพประกอบ คือห่อด้วยใบตองก่อนอบในหม้อตามปรกติ แต่จะเป็นใบตองพับหรือใบตองสามเหลี่ยมผมนึกไม่ออก ต้องไหว้วานอาจารย์ผู้ใจดีให้ความรู้เรื่องขนมกล้วยโบราณ

    



บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.047 วินาที กับ 19 คำสั่ง