เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 7
  พิมพ์  
อ่าน: 8986 ทะแกล้วทหารสามเกลอกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 45  เมื่อ 07 ก.พ. 25, 09:03

        การปะทะกันระหว่างทหารทั้งสองฝ่ายเริ่มตั้งแต่วันที่ 12 ถึง 16 ตุลาคม 2476 กำลังพลฝ่ายคณะกู้บ้านกู้เมืองซึ่งถูกรุกไล่อย่างหนัก ตัดสินใจถอยร่นกลับคืนสู่นครราชสีมาโดยทิ้งหน่วยระวังหลังไว้ที่สถานีมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เหตุผลที่คณะกู้บ้านกู้เมืองและพระยาศรีสิทธิสงครามพ่ายแพ้ยับเยิน ผมพยายามตั้งสมมุติฐานตามความเหมาะสมได้ดังนี้

       1.การยึดอำนาจทุกครั้งมักมีการเลื่อนกำหนดการ พลอยทำให้กำลังพลบางส่วนคิดเปลี่ยนใจ พระยาศรีสิทธิสงครามไม่เคยยึดอำนาจจึงไม่ทันคิดถึงเรื่องนี้ ส่วนหัวหน้าคณะกู้บ้านกู้เมืองก็บ้าดีเดือดสั่งเคลื่อนทัพตามแผนการ เพราะคิดว่ากำลังพลเพียงเท่านี้ก็มากเพียงพอที่จะทำให้ฝ่ายรัฐบาลตัดสินใจยอมแพ้

       2.พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช ที่คณะกู้บ้านกู้เมืองตั้งใจใช้เป็นไอเทมลับ กลับทำให้ทหารจำนวนมากที่ไม่ศรัทธาถอนตัวโดยไม่ลังเลใจ รวมทั้งทหารในพระนครสังกัดนายพันตรีหลวงวีระโยธา ที่พระยาศรีสิทธิสงครามตั้งใจใช้ตลบหลังเพื่อชัยชนะขั้นเด็ดขาด

       3.เดือนตุลาคมอยู่ในช่วงฤดูน้ำหลาก นอกจากทางรถไฟพื้นที่ส่วนใหญ่ถูกน้ำท่วมขังตั้งแต่ระดับเอวจนถึงระดับอก กำลังพลคณะกู้บ้านกู้เมืองซึ่งไม่ชำนาญพื้นที่ใช้ชีวิตค่อนข้างลำบาก นานวันเข้าพลอยทำให้กำลังกายและกำลังใจเหือดหายตามกัน

       4.การบัญชาการทหารหลายหน่วยเป็นไปอย่างตะกุกตะกัก บ่อยครั้งที่คำสั่งพระยาศรีสิทธิสงครามถูกแปลงสารจนกลายเป็นเรื่องอื่น

       5.ทหารระดับนายพันขึ้นไปแบ่งได้เป็น 2 ประเภท หนึ่งมีใจอยากรบแต่ไม่มีความรู้ความสามารถ และสองมีความรู้ความสามารถแต่ไม่มีใจอยากรบ

       6.ทหารระดับนายร้อยส่วนใหญ่คิดถึงแต่ตัวเอง ครั้นเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ค่อยสู้ดี ก็แอบหนีทัพเดินทางกลับบ้านโดยไม่บอกใคร ทิ้งผู้ใต้บังคับบัญชาไว้ในสนามรบตามลำพัง

      7.พระยาศรีสิทธิสงครามลืมนึกถึงเรื่องปากท้องกำลังพล

     


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 46  เมื่อ 07 ก.พ. 25, 09:04



       เรื่องปากท้องเป็นปัญหาสำคัญอันดับหนึ่งของคณะกู้บ้านกู้เมือง จำสงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่ผมเคยตั้งกระทู้ได้ไหมครับ ทุกครั้งที่ทหารไทยต้องเคลื่อนพลนอกจากรถบรรทุกกับจักรยานยนต์พ่วงข้าง ยังมีรถครัวสำหรับหุงหาอาหารติดสอยห้อยตามไปด้วยทุกครั้ง รถครัวคือสิ่งสำคัญขาดไม่ได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นการทำภารกิจจะประสบปัญหาและอาจล้มเหลว

       ทหารที่ท้องร้องต้องจับอาวุธออกไปสู้รบกับฝ่ายตรงข้าม รังแต่จะพ่ายแพ้หมดสภาพเพราะร่างกายไม่เอื้ออำนวย กำลังคณะกู้บ้านกู้เมืองประกอบไปด้วยทหารจากหลายจังหวัด ทหารแต่ละนายมีเสบียงอาหารติดตัวจำนวนไม่กี่มื้อ อยู่ในสมรภูมิเพียงสองวันเสบียงอาหารที่เตรียมมาก็หมด พระยาศรีสิทธิสงครามทราบปัญหาเรื่องนี้จากหลวงโหม รอนราญ แต่เขาไม่อาจแก้ไขปัญหาปล่อยให้กำลังพลดิ้นรนเอาตัวรอดด้วยตัวเอง
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 47  เมื่อ 07 ก.พ. 25, 09:07

     

       เมื่อคณะกู้บ้านกู้เมืองถอยร่นกลับมาตั้งมั่นที่นครราชสีมา ทหารฝ่ายรัฐบาลนั่งรถไฟตามหลังมาหวังเผด็จศึกตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี กระทั่งวันที่ 23 ตุลาคม 2476 ช่วงพลบค่ำตะวันใกล้ตกดิน ทหารฝ่ายรัฐบาลปะทะกับทหารฝ่ายตรงข้ามสถานีหินลับ สิ้นสุดเสียงปืนพบกำลังพลฝ่ายตรงข้ามสองนายบนพื้น คนแรกนายร้อยตรีบุญรอด เกษสมัยถูกยิงบาดเจ็บสาหัส คนที่สองพระยาศรีสิทธิสงครามถูกยิงเสียชีวิตตามร่างกายมีบาดแผลหลายแห่ง

                  

       เสนาธิการคณะกู้บ้านกู้เมืองพลีชีพในสนามรบอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย จากนั้นไม่กี่วันคณะกู้บ้านกู้เมืองได้พลันล่มสลาย นายทหารระดับสูงจำนวนหนึ่งรวมทั้งพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช พากันหลบหนีออกจากชายแดนไทยเพื่อลี้ภัยไปอยู่อินโดจีน

       วันที่ 23 ตุลาคม 2476 พระยาศรีสิทธิสงครามเสียชีวิตในสนามรบ ทะแกล้วทหารสามเกลอลดเหลือเพียงสองเกลอ ได้แก่พระยาพหลพลพยุหเสนากับพระยาทรงสุรเดช
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16060



ความคิดเห็นที่ 48  เมื่อ 07 ก.พ. 25, 14:35



บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 49  เมื่อ 08 ก.พ. 25, 08:36

       เหตุการณ์การเสียชีวิตของพระยาศรีสิทธิสงครามมีหลายเวอร์ชัน ผมขอนำเสนอจากฝ่ายคณะกู้บ้านกู้เมืองซึ่งไม่ค่อยมีคนพูดถึง เย็นวันนั้นพระยาศรีสิทธิสงครามอยู่ที่แนวตั้งรับบริเวณสถานีหินลับ พร้อมทหาร ม.พัน 3 ซึ่งวางกำลังข้างทางรถไฟกับไหล่เขาประมาณ 60 นาย โดยมีปืนเล็กยาวกับปืนกลหนักจำนวนหนึ่งไว้คอยรับมือทหารฝ่ายรัฐบาล

       ช่วงพลบค่ำท้องฟ้าอำเภอมวกเหล็กมืดสนิทเพราะเป็นคืนเดือนดับ ทหารฝ่ายรัฐบาลทยอยบุกเข้ามาพร้อมได้ยินเสียงปืนดังระรัว พระยาศรีสิทธิสงครามรีบเดินทางจากที่พักไปบัญชาการการรบที่แนวหน้า เมื่อทหารฝ่ายรัฐบาลระดมโจมตีรุนแรงหนักหน่วงมากขึ้น บรรดานายทหารจึงสั่งให้กำลังพลถอยมาตั้งรับที่แนวที่สองห่างจากแนวหน้าประมาณ 300 เมตร ตอนนั้นแหละครับที่พระยาศรีสิทธิสงครามหายตัวไปไร้ร่องรอย

       สักพักหนึ่งมีทหาร 2 นายวิ่งกลับมารายงานว่า พระยาศรีสิทธิสงครามถูกกระสุนปืนเสียชีวิตในสนามรบ มีการส่งคนไปแจ้งข่าวร้ายต่อนายพันโทหลวงจรูญ ไกรฤทธิ์ (จรูญ โชติกเสถียร) จากนั้นไม่นานหลวงจรูญ ไกรฤทธิ์ ก็มีคำสั่งให้หน่วยระวังหลังทุกนายเดินทางกลับนครราชสีมา ทั้งที่กำลังพลส่วนใหญ่ยังปรกติสุขและอยู่ในแนวรับที่มั่นคงปลอดภัย

       ส่วนข้อมูลจากนายร้อยโทสุตรจิตร จารุเศรนี นายทหารเสนาธิการฝ่ายรัฐบาลมีดังนี้

       นายร้อยโทหงส์ (กฤษณะสมิต) นำทหารฝ่ายรัฐบาลเดินฝ่าความมืดมาตามทางรถไฟ ทันใดนั้นเขาเห็นทหาร 5-6 นายเดินสวนทางมา จึงสอบถามว่าใครก่อนได้รับคำตอบว่าพวกเรา นายร้อยโทหงส์เกิดความสงสัยทำไมพวกเราถึงเดินสวนทางมา เขาใช้ไฟฉายตรวจสอบก่อนได้พบว่าเป็นกำลังพลฝ่ายตรงข้าม จึงสั่งให้ทหารระดมยิงใส่จากทุกทิศทาง สิ้นเสียงปืนเห็นฝ่ายตรงข้าม 2-3 คนพากันหลบหนี ทหารฝ่ายรัฐบาลรีบวิ่งตามหลังและได้พบนายร้อยตรีบุญรอด เกษสมัยถูกยิงบาดเจ็บ กับพระยาศรีสิทธิสงครามถูกยิงเสียชีวิตในจุดปะทะ

       ภาพประกอบคือนายพันโทหลวงจรูญ ไกรฤทธิ์ (จรูญ โชติกเสถียร) รองผู้บัญชาการหน่วยระวังหลังคณะกู้บ้านกู้เมือง อดีตทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่หนึ่งดันใจไม่สู้ยอมแพ้ต่อทหารฝ่ายรัฐบาลแบบง่ายๆ แผนการให้นครราชสีมาแยกตัวออกมาเป็นเอกเทศจึงพังยับเยินไม่เหลือชิ้นดี  

                  

       ปล.เขียนกระทู้เจอแต่นามสกุลคุ้นๆ ทั้งนั้นเลย  ตกใจ
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 50  เมื่อ 08 ก.พ. 25, 08:38


       กระสุนนัดที่ทำให้พระยาศรีสิทธิสงครามเสียชีวิต ถูกยิงจากข้างหลังทะลุใต้ราวนมฝั่งซ้าย จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นกระสุนปืนของใคร แม้มีการเคลมว่าเป็นฝีมือว่าที่ร้อยตรีตุ๊หรือจอมพลประภาส จารุเสถียร ทว่าเจ้าตัวไม่เคยเขียนถึงและอธิบายการบุกยึดสถานีหินลับแบบคร่าวๆ บุคคลผู้เคลมผลงานกลับกลายเป็นผู้สื่อข่าวเจ้าของนามปากกานายหนหวย

       ข้อมูลการเสียชีวิตของพระยาศรีสิทธิสงครามอาจไม่ชัดเจน แต่ที่ชัดเจนและดูเหมือนจะเป็นตลกร้ายนั่นก็คือ ทหารฝ่ายรัฐบาลที่บุกเข้ามาลั่นกระสุนปืนใส่เขา เป็นทหารกองพัน  ร.6 ภายใต้การบังคับบัญชาหลวงวีระโยธา และเป็นกำลังพลที่พระยาศรีสิทธิสงครามตั้งใจใช้เป็นไม้เด็ดไพ่ตาย ในการบีบให้พระยาพหลพลพยุหเสนาหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 51  เมื่อ 08 ก.พ. 25, 08:41


       ผมขอพูดถึงชีวิตส่วนตัวพระยาศรีสิทธิสงครามกันสักเล็กน้อย

       เขาแต่งงานกับคุณหญิงตลับ นามสกุลเดิมอ่ำสำราญ ลูกสาวนายเหมือนแพทย์แผนโบราณและเจ้าของสวนทุเรียนย่านบางซื่อ มีลูกด้วยกันจำนวน 4 คนชื่อ อัมโภช โชติศรี อารีพันธ์ และชัยสิทธิ์ กิจกรรมยามว่างที่ชอบทำร่วมกับครอบครัวคือทำความสะอาดบ้าน เช็ดถูกเครื่องลายครามและอื่นๆ แสดงให้เห็นถึงอุปนิสัยเจ้าระเบียบสไตล์ทหารเยอรมัน

       งานอดิเรกอีกหนึ่งอย่างของพระยาศรีสิทธิสงคราม คือการปลูกต้นไม้ทั้งไม้ผลและไม้ดอก เขาเป็นกันเองกับทุกคนและชอบเล่นสนุกกับลูก ไม่ว่าจะเป็นกระโดดเชือก เล่นน้ำในคลอง แบดมินตัน หรือกรรเชียงเรือ เมื่อเสาหลักของครอบครัวต้องอำลาจากไปโดยไม่มีการจัดงานศพอย่างสมเกียรติ ภรรยากับลูกดำรงชีพอยู่ได้จากการขายผลหมากรากไม้ที่ปลูกทิ้งไว้ โดยเฉพาะทุเรียน กล้วย ละมุด มะม่วง มะไฟ และมังคุดสร้างรายได้ค่อนข้างดี

       พระยาศรีสิทธิสงครามทำตัวเรียบง่าย ไม่เป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่างแม้เป็นถึงพระยา เขามีต้นแบบที่ดีจากสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ซึ่งเป็นนักเรียนเยอรมันรุ่นเดียวกัน ลูกทุกคนได้รับการอบรมไม่ให้รังแกคนอื่นโดยเฉพาะคนที่ด้อยกว่า และมีบทลงคนทำผิดด้วยการขังเดี่ยวในห้องรับแขกเพื่อให้สำนึกตัว

       พระยาทรงสุรเดชชอบอ่านหนังสือตำราเรียนจากทั่วโลก และแต่งตำราทางทหารด้วยตัวเองจนมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย บุคคลผู้เป็นหนอนหนังสือใกล้เคียงกันก็คือพระยาศรีสิทธิสงคราม ในบ้านมีหนังสือภาษาไทยและเยอรมันจำนวน 2 ตู้ใหญ่ นอกจากหนังสือด้านการทหารเขายังสนใจเรื่องกวีและปรัชญา และเคยบอกลูกสาวตอนที่อาชีพการงานตกต่ำว่า ภายภาคหน้าหากตัวเองต้องออกจากราชการจริงๆ เขาอยากทำงานหนังสือพิมพ์แผนกข่าวต่างประเทศ เพราะมีความรู้ถึง 3 ภาษาได้แก่อังกฤษ เยอรมัน และฝรั่งเศส

       สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจโชติศรีลูกสาวคนโตก็คือ ก่อนเดินทางออกจากบ้านพระยาศรีสิทธิสงครามตัดผมสั้นเกรียนเหมือนตำรวจทหารในปัจจุบัน แต่ภาพศพพระยาศรีสิทธิสงครามในหนังสือพิมพ์ผมกลับยาวประมาณรองทรง ในใจจึงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งคิดว่าฝ่ายรัฐบาลอาจนำศพคนอื่นมาสวมรอย กระทั่งมาแน่ใจเมื่อได้รับคำยืนยันจากนายร้อยโทจรูญ ปัทมินทร หลังจากเจ้าตัวได้รับพระราชทานอภัยโทษจากการคุมขังที่เกาะตะรุเตา

       เรื่องราวพระยาศรีสิทธิสงครามเป็นอันสิ้นสุดแค่เพียงเท่านี้

                 


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 52  เมื่อ 09 ก.พ. 25, 08:39

         เมื่อสยามประเทศกลับมาสงบสุขไร้สิ้นเสียงปืนเสียงระเบิด วันที่ 27 ตุลาคม 2476 สมาชิกคณะกู้บ้านกู้เมืองและผู้เกี่ยวข้องที่โดนจับกุม ถูกพาตัวมาขึ้นศาลพิเศษในกระทรวงกลาโหมเพื่อฟังข้อกล่าวหา ซึ่งจะมีการพิจารณาคดีครั้งเดียวไม่มีอุทธรณ์หรือฎีกา จากนั้นในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2476 จึงมีนัดหมายให้มาฟังคำพิพากษา คดีนี้ถูกตัดสินโดยผู้พิพากษาศาลพิเศษจำนวนสิบกว่านาย ภายใต้การกำกับดูแลโดยกรรมการศาลพิเศษส่งตรงจากรัฐบาล หนึ่งในนั้นก็คือพระยาฤทธิอัคเนย์อดีตสี่ทหารเสือแห่งคณะราษฎร

   เพื่อนๆ สมาชิกจำพระยาฤทธิอัคเนย์ได้ใช่ไหมครับ คืนวันที่ 19 มิถุนายน 2476 พระยาพหลพลพยุหเสนาชวนพระยาฤทธิอัคเนย์ยึดอำนาจจากรัฐบาล ทว่าเจ้าตัวบอกปัดแล้วยังแนะนำว่าเพื่อนควรวางมือจากการเมืองเสียที แต่แล้วหลังเกิดเหตุความวุ่นวายเขากลับรับตำแหน่งกรรมการศาลพิเศษ แล้วอย่างที่รู้กันดีศาลพิเศษถูกตั้งขึ้นมาเพื่อเล่นละครจำอวด ผลการตัดสินจะถูกส่งตรงมาจากผู้มีอำนาจทางการทหารและการเมือง

   เหตุผลที่พระยาฤทธิอัคเนย์ได้เข้าร่วมศาลพิเศษ อาจเป็นเพราะตัวเองเคยเป็นประธานตุลาการกลาง กระทรวงกลาโหมตั้งแต่เดือนมกราคม 2476 พระยาพหลพลพยุหเสนาจึงดึงกลับมาทำงานที่เดิมโดยมีของแถมเป็นงานพาร์ทไทม์ระดับชาติ

   ผลการตัดสินคดีในวันนั้นพระยาสุรพันธเสนี (อิ้น บุญนาค) ต้องโทษประหารชีวิตโดยใช้ดาบฟันคอ หลวงสรสิทธิยานุการจำคุก 20 ปี ส่วนคนอื่นจำคุกตลอดชีวิต ในเมื่อผลงานดีทำงานดีเป็นไปตามใบสั่ง เดือนกุมภาพันธ์ 2478 พระยาฤทธิอัคเนย์ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตราธิการ เอาทหารมาดูแลชาวไร่ชาวนาก็นับว่าแปลกดี

   เรื่องราวพระยาฤทธิอัคเนย์มีความพลิกผันไม่แพ้เพื่อนๆ บังเอิญกระทู้นี้เป็นเรื่องราวสามทหารเสือไม่ใช่สี่ทหารเสือ ผมจึงขอตัดจบแบบห้วนๆ ไม่เขียนต่อนะครับ

        หมายเหตุ : โทษประหารชีวิตไม่มีผลบังคับใช้นะครับ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้ลงนามในคำสั่ง พระยาสุรพันธเสนีจึงต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต ถูกส่งตัวไปอยู่เกาะตะรุเตาและหลบหนีจากเกาะไปขึ้นฝั่งที่มลายู เป็นตำนานขานกล่าวมาจนถึงปัจจุบัน

        ภาพประกอบคือพระยาสุรพันธเสนี (อิ้น บุญนาค) สมุหเทศาภิบาลมณฑลราชบุรีซึ่งถูกตัดสินประหารชีวิต

     


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 53  เมื่อ 09 ก.พ. 25, 08:45

        มาพูดถึงเรื่องราวพระยาพหลพลพยุหเสนากันบ้าง

   ว่ากันตามจริงเขาเป็นนายทหารใจซื่อมือสะอาด คิดถึงประเทศชาติก่อนผลประโยชน์ตัวเอง ที่สำคัญไม่อยากมีอำนาจวาสนาหรืออยากเป็นใหญ่เป็นโต หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ทหารสังกัดคณะราษฎรทุกนายได้รับเงินเดือนเพิ่มหรือปรับยศ ยกเว้นแค่เพียงพระยาพหลพลพยุหเสนา พระยาทรงสุรเดช และพระประศาสน์พิทยายุทธ สามคีย์แมนคนสำคัญในการยึดอำนาจ เป็นการบ่งชี้ทางอ้อมถึงอุปนิสัยใจคอผู้ก่อการแต่ละคน

   ต่อมาเมื่อพระยาพหลพลพยุหเสนาจับพลัดจับผลูได้เป็นนายกรัฐมนตรี ผลงานอดีตจเรทหารปืนใหญ่ในตำแหน่งผู้นำเป็นอย่างไรบ้าง ผมสามารถเรียบเรียงข้อมูลได้ตามนี้

   1.พาหลวงประดิษฐ์มนูธรรมกลับบ้าน ผู้นำคณะราษฎรสายพลเรือนกลับมาอยู่รวงรังดังเดิม ได้เป็นใหญ่เป็นโตไม่ต้องลำบากลำบนที่ฝรั่งเศสอีกต่อไป

   2.สร้างอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญหรืออนุสาวรีย์ปราบกบฏ (เพื่อ??)

        3.เลื่อนยศหลวงพิบูลสงครามเป็นนายพันเอก จากนั้นจึงแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ตอบแทนความดีเรื่องการปราบคณะกู้บ้านกู้เมืองจนอยู่หมัด

        4. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติในวันที่ 2 มีนาคม 2477 เนื่องจากรัฐบาลในขณะนั้นใช้วิธีการปกครองไม่ตรงกับหลักการของพระองค์

        ผลงานทั้งหมดเป็นเพียงน้ำจิ้มหรือวงดนตรีคั่นเวลา ผลงานที่เป็นเมกะโพรเจกต์ชิ้นโบแดงของพระยาพหลพลพยุหเสนา ไม่ใช่เรื่องปากท้องประชาชน ไม่ใช่เรื่องการสร้างถนนหรือขุดคลอง รวมทั้งไม่ใช่เรื่องการปรับปรุงระบบราชการแบบไทยๆ แต่เป็นเรื่องการจัดหาอาวุธจำนวนมากสร้างความน่าเกรงขามให้กับทุกเหล่าทัพ

        ปี 2477 กองทัพบกซื้อรถถังเบาแบบ 77 หรือ Carden Loyd Mk6 จากบริษัทวิกเกอร์ อาร์มสตรอง ประเทศอังกฤษจำนวน 30 คัน ต่อด้วยปืนกลหนักแบบ 77 หรือปืนกลขนาด 8 มม.จากบริษัทวิกเกอร์ อาร์มสตรอง ประเทศอังกฤษเช่นกัน รวมทั้งปืนใหญ่ทหารราบแบบ 77 จากบริษัทโบฟอร์ส ประเทศสวีเดน ซึ่งเป็นปืนใหญ่เบาชนิด 2 ลำกล้องขนาด 75 มม.กับ 37 มม.สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างสะดวกโดยวิธีลากเทียมหรือบรรทุก ถัดมาเพียงปีเดียวยังจัดหาปืนใหญ่หนักกระสุนวิถีราบ แบบ 78 ขนาด 105 มม.จากบริษัทโบฟอร์ส ประเทศสวีเดนมาประจำการเพิ่มเติมจำนวนหนึ่ง

        ภาพประกอบคือปืนใหญ่ทหารราบแบบ 77 กระบอกบนยาวๆ เป็นปืนใหญ่ขนาด 37 มม.สำหรับยิงรถถังยานเกราะ ส่วนกระบอกล่างสั้นๆ เป็นปืนใหญ่ขนาด 75 มม.สำหรับยิงสิ่งปลูกสร้างหรือทหารฝ่ายตรงข้าม

               

บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 54  เมื่อ 09 ก.พ. 25, 08:53

       ช่วงเวลาใกล้เคียงกันกองทัพเรือได้รับการเสริมเขี้ยวเล็บ หลวงสินธุสงครามชัยซึ่งได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเสนาธิการทหารเรือ เป็นผู้เสนอโครงการจัดหาอาวุธครั้งใหญ่ภายใต้ชื่อ ‘พระราชบัญญัติบำรุงกำลังทางเรือ พ.ศ.2478’ ให้กับคณะรัฐบาล ท้ายที่สุดจึงได้ประกาศเป็นกฎหมายในวันที่ 1 เมษายน 2478 สมัยรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา 3

       โครงการนี้ใช้งบประมาณจำนวน 18 ล้านบาท ใช้วิธีแบ่งจ่ายปีละ 3 ล้านบาทเป็นเวลา 6 ปี เพื่อให้กองทัพเรือจัดหาอาวุธและเรือรบทันสมัยประกอบไปด้วย

       1.เรือปืนหนักหุ้มเกราะจำนวน 2 ลำ

       2.เรือสลุปและฝึกหัดนักเรียนทหารจำนวน 2 ลำ

       3.เรือตอร์ปิโดใหญ่จำนวน 7 ลำ

       4.เรือตอร์ปิโดเล็กจำนวน 3 ลำ

       5.เรือวางทุ่นระเบิดจำนวน 2 ลำ

       6.เรือลำเลียงจำนวน 2 ลำ

       7.เรือดำน้ำจำนวน 4 ลำ

       8.เครื่องบินทะเลจำนวน 6 เครื่อง

      9.อาวุธยุทโธปกรณ์ชนิดอื่นๆ อาทิเช่นปืนใหญ่หรือทุ่นระเบิด

      งบประมาณ 18 ล้านบาทในปี 2478 เทียบกับค่าเงินในปัจจุบันคงเป็นเงินก้อนมหึมา

     ภาพประกอบคือเรือหลวงมัจฉานุ เรือดำน้ำลำแรกแห่งราชนาวีไทย

     


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 55  เมื่อ 10 ก.พ. 25, 08:52

        ต่อมาในการจัดหาอาวุธเฟสสองหรือที่ตอนนั้นเรียกว่าสกรีมสอง กองทัพเรือต้องการปืนใหญ่รักษาชายฝั่งขนาด 203/45 มม.จากสวีเดนจำนวน 6 กระบอก ปืนใหญ่ขนาด 150/50 มม.จากสวีเดนจำนวน 10 กระบอก ปืนต่อสู้อากาศยานขนาด 40 มม.จากอังกฤษจำนวน 20 กระบอก รวมทั้งทุ่นระเบิดจากเดนมาร์กมากถึง 400 ลูก เป็นการเสริมทัพให้มีความน่าเกรงขามมากกว่าเดิม โดยใช้อาวุธปืนรุ่นที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าของกองทัพบก

        การจัดหาอาวุธทันสมัยราคาแพงยังไม่หมดนะครับ กองทัพเรือมีความต้องการเรือลาดตระเวนเบาจำนวน 2 ลำ เรือพิฆาตขนาด 1,200 ถึง 1,400 ตันจำนวน 6 ลำ เรือดำน้ำขนาด 700 ตันจำนวน 6 ลำ และเรือช่วยรบอาทิเช่นเรือน้ำมัน เรือพักสำหรับเรือขนาดเล็ก รวมทั้งเรือซ่อมบำรุงจำนวนหนึ่ง ถ้าเป็นไปตามแผนการกองทัพเรือสยามจะยิ่งใหญ่อันดับสองของเอเชีย เป็นรองกองทัพเรือญี่ปุ่นมหาอำนาจที่แท้จริงเพียงชาติเดียว

        โครงการจัดหาอาวุธสกรีมสองเริ่มต้นจากสั่งซื้อเรือลาดตระเวนเบาจำนวน 2 ลำจากอิตาลี มีการทำพิธีปล่อยเรือลงน้ำและถูกตั้งชื่อว่าเรือหลวงนเรศวรกับเรือหลวงตากสิน โชคร้ายเกิดสงครามโลกครั้งที่สองขึ้นมาเสียก่อน รัฐบาลอิตาลีมีความจำเป็นต้องยึดเรือนำไปใช้ป้องกันประเทศ และชดเชยกลับคืนเป็นอะไหล่เรือตอร์ปิโดใหญ่หลังสงครามโลกสิ้นสุดลง

        เหตุผลที่รัฐบาลเน้นจัดหาอาวุธทันสมัยให้กับกองทัพเรือ เนื่องจากยุคนั้นการเดินทางไปยังประเทศทั่วโลกส่วนใหญ่มักใช้เรือ ถ้าสยามถูกเรือรบไม่ทราบฝ่ายปิดล้อมอ่าวไทยทุกอย่างวอดวายทันที กองทัพเรือหลังปี 2478 จึงได้รับงบประมาณมากกว่ากองทัพบกถึงสองเท่า ต่างจากปัจจุบันงบประมาณกระทรวงกลาโหมแบ่งออกเป็น 5 ส่วน กองทัพบกใหญ่โตที่สุดได้ไป 3 ส่วน กองทัพเรือกับกองทัพอากาศใหญ่เท่ากันได้ไปทัพละ 1 ส่วน

        ถ้าพิจารณาจากอุปนิสัยใจคอและผลงานในอดีต พระยาพหลพลพยุหเสนาไม่มีนิสัยชอบใช้เงินซื้ออาวุธแบบพร่ำเพรื่อ บุคคลผู้อยากสร้างความเกรียงไกรให้กับกองทัพก็คือหลวงพิบูลสงคราม เมื่อเขาเสนอโครงการเข้ามาเพื่อนๆ ในคณะรัฐบาลก็รีบยกมือสนับสนุน พระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบทำอะไรไม่ได้ นอกจากยอมเซ็นอนุมัติจ่ายเงินซื้ออาวุธราคาแพงจากญี่ปุ่น อิตาลี และอีกหลายชาติในยุโรป

        ภาพประกอบคือการสร้างเรือหลวงนเรศวรกับเรือหลวงตากสิน เรือลาดตระเวนเบาจากอิตาลีซึ่งเดินทางมาไม่ถึงเมืองไทย

      


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 56  เมื่อ 10 ก.พ. 25, 08:57

       นายทหารกล้าผู้มีคติพจน์ส่วนตัวว่า ‘ชาติเสือต้องไว้ลาย ชาติชายต้องไว้ชื่อ’ เข้าๆ ออกๆ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งสยามประเทศมากถึง 5 ครั้ง เขาเคยขอลาออกในวันที่ 5 กรกฎาคม 2476 หลังรับตำแหน่ง 15 วันตามคำมั่นสัญญา แต่แล้วในวันเดียวกันสภาผู้แทนราษฎรลงมติเป็นเอกฉันท์ให้เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป ได้เป็นผู้นำเพียงไม่กี่เดือนตำแหน่งก็หลุดลอยอีกครั้ง เนื่องจากรัฐบาลจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2476

       การเลือกตั้งครั้งแรกใช้วิธีเลือกตั้งทางอ้อมแบบรวมเขต ประชาชนจะลงคะแนนเลือกผู้แทนตำบล จากนั้นผู้แทนตำบลจะเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กำหนดจำนวนราษฎร 100,000 คนต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 1 คน การเลือกตั้งครั้งแรกจึงมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 78 คน จากนั้นรัฐบาลจะได้พิจารณาบุคคลเข้าเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภท 2 กำหนดให้มีจำนวนเท่ากับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภท 1

       สรุปสั้นก็คือ…เลือกตั้งทางอ้อม 78 คนกับแต่งตั้ง 78 คน

     

       หลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชูรักแร้ให้พระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 รัฐบาลชุดนี้แหละครับที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ หนึ่งในเหตุผลสำคัญก็คือทรงไม่เห็นด้วยกับที่มาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภท 2 รัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนาได้อัญเชิญพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดลขึ้นครองราชสมบัติ  และแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ประกอบไปด้วย

      1.กรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์ ประธาน

       2.พระบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา

       3.เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม)


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 57  เมื่อ 10 ก.พ. 25, 09:02

       วันที่ 13 กันยายน 2477 พระยาพหลพลพยุหเสนาตัดสินใจยื่นใบลาออก เพราะแพ้โหวตการทำข้อตกลงระหว่างประเทศเรื่องควบคุมการจำกัดยาง ต่อมาในวันที่ 24 กันยายน 2477 รัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา 3 ได้ถือกำเนิดขึ้นมาอีกครั้งจากกองไฟ (ประหนึ่งนกฟีนิกซ์ในตำนาน) โดยมีหลวงพิบูลสงครามเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

       ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2480 รัฐบาลประสบปัญหาเรื่องการซื้อขายที่ดินสำนักงานพระคลังข้างที่ มีการเสนอเปิดอภิปรายในรัฐสภาเพื่อไต่สวนข้อเท็จจริง บังเอิญพระยาพหลพลพยุหเสนาชิงลาออกเสียก่อนในวันที่ 9 สิงหาคม 2480 ถัดมาเพียงสองวันรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา 4 ได้โกงความตายกลับมาเฉิดฉายในรัฐสภาอีกครั้ง

       วันที่ 7 พฤศจิกายน 2480 รัฐบาลจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่สอง ครั้งนี้เป็นการเลือกโดยตรงแบบแบ่งเขต แต่ละจังหวัดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 1 คน ยกเว้นจังหวัดที่มีจำนวนราษฎรมากกว่า 200,000 คนจะมีเขตเลือกตั้งเพิ่มอีก 1 เขต รวมทั้งมีการอนุญาตให้ข้าราชการประจำสมัครรับเลือกตั้งได้ การเลือกตั้งโดยตรงแบบแบ่งเขตครั้งแรกจึงมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 91 คน

       วันที่ 23 ธันวาคม 2480 รัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา 5 ถูกจัดตั้งโดยเสียงข้างมากของรัฐสภา คณะรัฐมนตรีเกือบทั้งหมดมาจากคณะราษฎรทั้ง 4 กลุ่ม เป็นการกระจายอำนาจอย่างทั่วถึงพูดแบบนี้ก็คงไม่ผิด กระทั่งวันที่ 11 กันยายน 2481 มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากรัฐบาลโหวตแพ้เรื่องการแสดงรายละเอียดพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี พระยาพหลพลพยุหเสนาประกาศล้างมือในอ่างทองคำทันที สิ้นสุดเส้นทางการเป็นนายกรัฐมนตรีไว้ที่ 5 สมัยหรือ 5 ปี 182 วัน

       ข้อดีประการหนึ่งของพระยาพหลพลพยุหเสนาก็คือ ตลอดระยะเวลาที่ตัวเองดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ บรรดาเพื่อนๆ ทั้งแก๊งสามทหารเสือและสี่ทหารเสือซึ่งไม่ค่อยสนิทกันแล้ว ล้วนมีงานประจำทำและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามอัตภาพ ไม่มีสักคนถูกพิษการเมืองเล่นงานจมงอมพระราม ยกเว้นพระยาศรีสิทธิสงครามซึ่งเสียชีวิตในสนามรบเยี่ยงชายชาตรี

       หมายเหตุ : สมัยนั้นงบลับคงมีพอสมควร ที่สำคัญลับเสียจนบอกใครไม่ได้จริงๆ

      ภาพประกอบพระยาพหลพลพยุหเสนาสมัยเป็นนายกรัฐมนตรี เดินทางมาเยี่ยมราษฎรที่บ้านดอนจังหวัดสุราษธานี

       

   
บันทึกการเข้า
kui045
ชมพูพาน
***
ตอบ: 118


ความคิดเห็นที่ 58  เมื่อ 10 ก.พ. 25, 12:19


       ผมขอพูดถึงชีวิตส่วนตัวพระยาศรีสิทธิสงครามกันสักเล็กน้อย

       เขาแต่งงานกับคุณหญิงตลับ นามสกุลเดิมอ่ำสำราญ ลูกสาวนายเหมือนแพทย์แผนโบราณและเจ้าของสวนทุเรียนย่านบางซื่อ มีลูกด้วยกันจำนวน 4 คนชื่อ อัมโภช โชติศรี อารีพันธ์ และชัยสิทธิ์ กิจกรรมยามว่างที่ชอบทำร่วมกับครอบครัวคือทำความสะอาดบ้าน เช็ดถูกเครื่องลายครามและอื่นๆ แสดงให้เห็นถึงอุปนิสัยเจ้าระเบียบสไตล์ทหารเยอรมัน

       งานอดิเรกอีกหนึ่งอย่างของพระยาศรีสิทธิสงคราม คือการปลูกต้นไม้ทั้งไม้ผลและไม้ดอก เขาเป็นกันเองกับทุกคนและชอบเล่นสนุกกับลูก ไม่ว่าจะเป็นกระโดดเชือก เล่นน้ำในคลอง แบดมินตัน หรือกรรเชียงเรือ เมื่อเสาหลักของครอบครัวต้องอำลาจากไปโดยไม่มีการจัดงานศพอย่างสมเกียรติ ภรรยากับลูกดำรงชีพอยู่ได้จากการขายผลหมากรากไม้ที่ปลูกทิ้งไว้ โดยเฉพาะทุเรียน กล้วย ละมุด มะม่วง มะไฟ และมังคุดสร้างรายได้ค่อนข้างดี

       พระยาศรีสิทธิสงครามทำตัวเรียบง่าย ไม่เป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่างแม้เป็นถึงพระยา เขามีต้นแบบที่ดีจากสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ซึ่งเป็นนักเรียนเยอรมันรุ่นเดียวกัน ลูกทุกคนได้รับการอบรมไม่ให้รังแกคนอื่นโดยเฉพาะคนที่ด้อยกว่า และมีบทลงคนทำผิดด้วยการขังเดี่ยวในห้องรับแขกเพื่อให้สำนึกตัว

       พระยาทรงสุรเดชชอบอ่านหนังสือตำราเรียนจากทั่วโลก และแต่งตำราทางทหารด้วยตัวเองจนมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย บุคคลผู้เป็นหนอนหนังสือใกล้เคียงกันก็คือพระยาศรีสิทธิสงคราม ในบ้านมีหนังสือภาษาไทยและเยอรมันจำนวน 2 ตู้ใหญ่ นอกจากหนังสือด้านการทหารเขายังสนใจเรื่องกวีและปรัชญา และเคยบอกลูกสาวตอนที่อาชีพการงานตกต่ำว่า ภายภาคหน้าหากตัวเองต้องออกจากราชการจริงๆ เขาอยากทำงานหนังสือพิมพ์แผนกข่าวต่างประเทศ เพราะมีความรู้ถึง 3 ภาษาได้แก่อังกฤษ เยอรมัน และฝรั่งเศส

       สิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจโชติศรีลูกสาวคนโตก็คือ ก่อนเดินทางออกจากบ้านพระยาศรีสิทธิสงครามตัดผมสั้นเกรียนเหมือนตำรวจทหารในปัจจุบัน แต่ภาพศพพระยาศรีสิทธิสงครามในหนังสือพิมพ์ผมกลับยาวประมาณรองทรง ในใจจึงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งคิดว่าฝ่ายรัฐบาลอาจนำศพคนอื่นมาสวมรอย กระทั่งมาแน่ใจเมื่อได้รับคำยืนยันจากนายร้อยโทจรูญ ปัทมินทร หลังจากเจ้าตัวได้รับพระราชทานอภัยโทษจากการคุมขังที่เกาะตะรุเตา

       เรื่องราวพระยาศรีสิทธิสงครามเป็นอันสิ้นสุดแค่เพียงเท่านี้

                 




งงว่า พระยาศรีหรือพระยาทรง
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 59  เมื่อ 10 ก.พ. 25, 12:53

หนอนหนังสือมี 2 คนครับ พระยาทรงสุรเดชกับพระยาศรีสิทธิสงคราม ผมนำพระยาทรงสุรเดชมาเปรียบเทียบเนื่องจากกระทู้นี้เป็นเรื่องราวทหาร 3 นาย ฉะนั้นจะมีชื่อทหาร 3 นายวนไปวนมาทั้งกระทู้

น่าจะอ่านเข้าใจไม่ยากนะครับ...หรือว่ายาก?  เศร้า
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 7
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.126 วินาที กับ 19 คำสั่ง