มาพูดถึงเรื่องราวพระยาพหลพลพยุหเสนากันบ้าง
ว่ากันตามจริงเขาเป็นนายทหารใจซื่อมือสะอาด คิดถึงประเทศชาติก่อนผลประโยชน์ตัวเอง ที่สำคัญไม่อยากมีอำนาจวาสนาหรืออยากเป็นใหญ่เป็นโต หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 ทหารสังกัดคณะราษฎรทุกนายได้รับเงินเดือนเพิ่มหรือปรับยศ ยกเว้นแค่เพียงพระยาพหลพลพยุหเสนา พระยาทรงสุรเดช และพระประศาสน์พิทยายุทธ สามคีย์แมนคนสำคัญในการยึดอำนาจ เป็นการบ่งชี้ทางอ้อมถึงอุปนิสัยใจคอผู้ก่อการแต่ละคน
ต่อมาเมื่อพระยาพหลพลพยุหเสนาจับพลัดจับผลูได้เป็นนายกรัฐมนตรี ผลงานอดีตจเรทหารปืนใหญ่ในตำแหน่งผู้นำเป็นอย่างไรบ้าง ผมสามารถเรียบเรียงข้อมูลได้ตามนี้
1.พาหลวงประดิษฐ์มนูธรรมกลับบ้าน ผู้นำคณะราษฎรสายพลเรือนกลับมาอยู่รวงรังดังเดิม ได้เป็นใหญ่เป็นโตไม่ต้องลำบากลำบนที่ฝรั่งเศสอีกต่อไป
2.สร้างอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญหรืออนุสาวรีย์ปราบกบฏ (เพื่อ??)
3.เลื่อนยศหลวงพิบูลสงครามเป็นนายพันเอก จากนั้นจึงแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ตอบแทนความดีเรื่องการปราบคณะกู้บ้านกู้เมืองจนอยู่หมัด
4. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติในวันที่ 2 มีนาคม 2477 เนื่องจากรัฐบาลในขณะนั้นใช้วิธีการปกครองไม่ตรงกับหลักการของพระองค์
ผลงานทั้งหมดเป็นเพียงน้ำจิ้มหรือวงดนตรีคั่นเวลา ผลงานที่เป็นเมกะโพรเจกต์ชิ้นโบแดงของพระยาพหลพลพยุหเสนา ไม่ใช่เรื่องปากท้องประชาชน ไม่ใช่เรื่องการสร้างถนนหรือขุดคลอง รวมทั้งไม่ใช่เรื่องการปรับปรุงระบบราชการแบบไทยๆ แต่เป็นเรื่องการจัดหาอาวุธจำนวนมากสร้างความน่าเกรงขามให้กับทุกเหล่าทัพ
ปี 2477 กองทัพบกซื้อรถถังเบาแบบ 77 หรือ Carden Loyd Mk6 จากบริษัทวิกเกอร์ อาร์มสตรอง ประเทศอังกฤษจำนวน 30 คัน ต่อด้วยปืนกลหนักแบบ 77 หรือปืนกลขนาด 8 มม.จากบริษัทวิกเกอร์ อาร์มสตรอง ประเทศอังกฤษเช่นกัน รวมทั้งปืนใหญ่ทหารราบแบบ 77 จากบริษัทโบฟอร์ส ประเทศสวีเดน ซึ่งเป็นปืนใหญ่เบาชนิด 2 ลำกล้องขนาด 75 มม.กับ 37 มม.สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างสะดวกโดยวิธีลากเทียมหรือบรรทุก ถัดมาเพียงปีเดียวยังจัดหาปืนใหญ่หนักกระสุนวิถีราบ แบบ 78 ขนาด 105 มม.จากบริษัทโบฟอร์ส ประเทศสวีเดนมาประจำการเพิ่มเติมจำนวนหนึ่ง
ภาพประกอบคือปืนใหญ่ทหารราบแบบ 77 กระบอกบนยาวๆ เป็นปืนใหญ่ขนาด 37 มม.สำหรับยิงรถถังยานเกราะ ส่วนกระบอกล่างสั้นๆ เป็นปืนใหญ่ขนาด 75 มม.สำหรับยิงสิ่งปลูกสร้างหรือทหารฝ่ายตรงข้าม
