เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1] 2 3 ... 9
  พิมพ์  
อ่าน: 19231 ทรัมป์กลับมาแล้ว!
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
 เมื่อ 06 พ.ย. 24, 21:01

ตั้งกระทู้ไว้รอคุณปัญจมา  ระหว่างนี้ก็เที่ยวหาข่าวไปพลางๆก่อนว่าคนไทยเราพูดถึงทรัมป์ว่ายังไงบา้ง

หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์  อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ (2017-2020) กลับมาได้รับการเลือกตั้งให้นั่งตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้ง คำถามก็คือ การบริหารประเทศของนักธุรกิจชาวอเมริกันวัย 78 ปีที่มาพร้อมกับนโยบาย America First จะส่งผลกระทบอะไรกับไทยบ้าง และนี่คือสรุปสิ่งที่จะเกิดขึ้นรวบรวมมาจากผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์หลากหลายด้านของประเทศไทย

1. สงครามการค้าสหรัฐ-จีนแรงขึ้น
ทรัมป์มีนโยบาย “America First” ที่เน้นการปกป้องธุรกิจภายในประเทศ และใช้มาตรการกีดกันทางการค้าแบบ Protectionism ซึ่งจะยิ่งทำให้สงครามการค้ากับจีนทวีความรุนแรงขึ้น โดยทรัมป์อาจขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนสูงถึง 60%

สำหรับผลกระทบกับไทยนั้น ไทยอาจได้รับประโยชน์จากการส่งออกสินค้าไปทดแทนสินค้าจีนในสหรัฐฯ แม้ไทยจะเผชิญภาษีนำเข้า 10% แต่สินค้าไทยยังถูกกว่าสินค้าที่ผลิตในสหรัฐ นอกจากนี้ไทยอาจได้บริษัทจีนอาจย้ายฐานการผลิตมาไทยมากขึ้น เพื่อเลี่ยงภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV), อิเล็กทรอนิกส์, สิ่งทอ และเครื่องจักร

อย่างไรก็ตามไทยอาจต้องรับมือกับสินค้าจีนที่ไหลทะลักเข้ามาในประเทศมากขึ้น เนื่องจากจีนมีความจำเป็นต้องระบายสินค้าออกต่างประเทศ

2. ต้นทุนลดเพราะสงครามเบาลง
ทรัมป์เน้นการฟื้นฟูและพึ่งพาตนเองตามนโยบาย America First และเป็นนักธุรกิจที่รู้ดีว่าสงครามส่งผลเสียต่อธุรกิจ จึงไม่สนับสนุนการให้เงินหรือความช่วยเหลือประเทศที่ทำสงคราม ยกตัวอย่างเช่น สงครามในยูเครน-รัสเซีย ที่อาจมีการเจรจาสงบศึกเกิดขึ้น ในขณะที่สหรัฐจะโยกเงินสนับสนุนยูเครนนับแสนล้านบาทกลับมาใช้จ่ายในประเทศแทนเป็นต้น

ไทยจะได้รับประโยชน์จาก ต้นทุนพลังงานและการขนส่งที่ถูกลง แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ไทยแต่เป็นเศรษฐกิจโลกที่จะได้ประโยชน์จากสงครามที่บรรเทาความรุนแรงลง

3. ดอกเบี้ยลดแต่เงินเฟ้อสูงขึ้น
ทรัมป์ มีแนวโน้มว่าจะกดดันให้ ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ลดอัตราดอกเบี้ยลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ เพื่อพยุงเศรษฐกิจในประเทศไม่ให้ถดถอย ผลจากสงครามการค้า

สำหรับไทยไทยอาจดอกเบี้ยลดตามได้ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจลดดอกเบี้ยนโยบายตาม Fed เพื่อลดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ทำให้ภาพรวบการเติบโตของเศรษฐกิจดีขึ้น ในขณะที่ธุรกิจที่เน้นการส่งออกได้ประโยชน์เพราะเงินบาทที่อ่อนค่าลง ดอลลาร์ แลกเป็นเงินบาทได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตามดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทำให้ธุรกิจที่ต้องนำเข้าต้นทุนสูงขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องนำเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบจากต่างประเทศ เมื่อเงินบาทอ่อนค่าทำให้สินค้านำเข้าต่างๆราคาแพงขึ้น

4. เศรษฐกิจโลกผันผวน
นโยบายของทรัมป์อาจทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตในระยะสั้น แต่มีความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกจะผันผวนในระยะกลางถึงระยะยาว ทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2025 อาจขยายตัวได้ไม่มากนักหรือเพียง 2.5% การส่งออกของไทยอาจชะลอตัว การลงทุนภาคเอกชนเติบโตช้าลง ความต้องการในประเทศอาจอ่อนแอลง กระทบกับครัวเรือนที่มีรายได้น้อย

5. ราคาน้ำมันลดลง
ทรัมป์จะสนับสนุนการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ และทำข้อตกลงที่เป็นประโยชน์กับประเทศตะวันออกกลางและรัสเซีย แนวนโยบายแบบนี้จะทำให้ต้นทุนพลังงานโดยเฉพาะน้ำมันจะลดลงตามราคาน้ำมันดิบโลก

6. การลงทุนจากสหรัฐฯ ในไทยอาจลดลง
นโยบาย “America First” นโยบายการค้าแบบปกป้อง (Protectionism) และการใช้มาตรการจูงใจทางภาษี เพื่อดึงการลงทุนกลับสู่สหรัฐฯ ทรัมป์อาจใช้มาตรการจูงใจทางภาษีเพื่อดึงการลงทุนให้กลับไปลงทุนในสหรัฐมากขึ้นเช่นการประกาศนโยบายลดภาษีนิติบุคคลลงจาก 21% เป็น 15% เป็นต้น

ด้วยนโยบายนี้ทำให้การลงทุนจากสหรัฐฯ ในไทยอาจลดลง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนยานยนต์

7. ไทยอาจถูกจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูง
และจากการลงทุนจากสหรัฐฯในไทยลดลง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนยานยนต์ อาจทำให้เกิดการจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงบางประเภท เช่น เซมิคอนดักเตอร์ หรือเทคโนโลยี 5G ซึ่งอาจส่งผลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของไทย

สิ่งนี้ส่งผลให้การพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของไทยอาจได้รับผลกระทบได้ เพราะทรัมป์อาจจำกัดการเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงบางประเภท เช่น เซมิคอนดักเตอร์ หรือเทคโนโลยี 5G

โดยสรุปแล้วหากทรัมป์ชนะเลือกตั้งฯ ประเทศไทยอาจได้รับประโยชน์ในด้านการส่งออกและการลงทุนจากจีน แต่ต้องเตรียมรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ, เงินเฟ้อที่สูงขึ้น, และผลกระทบด้านลบอื่นๆด้วยเช่นกัน

https://www.marketingoops.com/news/trump-win-us-election-thailand/


บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 247


ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 07 พ.ย. 24, 06:54

สุนทรพจน์ยอมรับความพ่ายแพ้ของคามาลา แฮร์ริสค่ะ https://youtu.be/6Z5UdXupfOA?si=8GiUP9GGpdUTWp_a
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16057



ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 07 พ.ย. 24, 07:35

หากต้องการให้แสดงตัวคลิป ขอแนะนำให้ตัด อักษรตั้งแต่ ?si= ออกทั้งหมด ผลที่ได้จะเป็นคลิปที่ต้องการ

…youtu.be/6Z5UdXupfOA?si=8GiUP9GGpdUTWp_a ❌
…youtu.be/6Z5UdXupfOA ✅

บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 247


ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 07 พ.ย. 24, 08:09

ตั้งกระทู้ไว้รอคุณปัญจมา  ระหว่างนี้ก็เที่ยวหาข่าวไปพลางๆก่อนว่าคนไทยเราพูดถึงทรัมป์ว่ายังไงบา้ง

เชิญท่านอื่นก่อนเลยนะค้า  ตอนนี้อยู่ในระหว่างทำใจ  ร้องไห้  ร้องไห้

ที่พูดได้สั้นๆ ตอนนี้ก็มีสองเรื่องค่ะ   เรื่องแรกคือ  สิ่งที่ทรัมป์พูดกับสิ่งที่ทรัมป์ทำนั้นอาจจะไม่ใช่เรื่องเดียวกันก็เป็นได้  คิดว่าเรื่องภาษีสินค้านำเข้าจากจีนนั้นคงทำแน่เพราะเคยทำแล้วเมื่อตอนเข้ามาครั้งแรก  แต่จะเป็นเท่าไหร่คงต้องรอดูกัน  ส่วนการคิดภาษีสินค้าเข้าทุกประเภท 10%-20% นี่คงต้องรอดูหลังวันที่ 20 มกราว่าจะทำจริงไหม  เพราะทรัมป์เป็นคนชอบใช้คำขู่เป็น negotiation tactic เพื่อกระตุ้นให้ฝ่ายตรงข้ามหรือคนที่จะเสียผลประโยชน์เข้ามาเจรจาต่อรอง  เลยมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะไม่ใช้นโยบายภาษีสินค้าเข้าแบบ blanket ทุกประเทศเจอเหมือนกันหมด  แต่ใช้เป็นเครื่องมือต่อรองแบบ case by case เพื่อให้ประเทศคู่ค้าบางรายมานั่งโต๊ะเจรจา   ซึ่งสุดท้ายก็จะเป็นการ playing favorite ไม่ได้แข็งกร่งกับทุกประเทศแต่เลือกปฏิบติเฉพาะแต่กับประเทศที่ไม่มีอำนาจต่อรองสูง  และเชือว่าปัจจัยที่จะกำหนดว่าทรัมป์จะเลือกที่รักมักที่ชังกับประเทศไหนนั้นจะเป็นผลประโยชน์ส่วนตนและครอบครัวมากกว่าของประเทศ  (เหมือนตอนที่ตัดสินใจแทรกแซงตะวันออกกลางเพราะลูกเขยได้ประโยชน์)

ส่วนเรื่องที่สองคือ  ทรัมป์เป็นคนที่ไม่มีอุดมการณ์อะไรที่มั่นคง  อะไรทำให้ตัวเองได้แสง ดูดี ก็จะทำ  นโยบายต่างประเทศนั้นก็เหมือนที่เคยเขียนไว้ที่นี่  
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid0ohYEDy8eQyvw2JvqyHAJtzQxJ4ZbXCk7Qv29hxtPLWQzJLdA9pPsnGSLs7fepxafl&id=61564539505812  
คือไม่มีอะไรเป็นแก่นสาร ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนสุดท้ายที่แกพูดด้วย (หรือข่าวอะไรที่ Fox News นำเสนอ) ก่อนที่จะต้องตัดสินใจในเรื่องนั้นๆ    ดังนั้นอะไรที่ประกาศไว้วันนี้ก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ทำจริงก็ได้  ขึ้นอยู่กับว่าใครรอบตัวจะเป่าหูแกได้เก่งกว่ากัน  (วันหลังจะมาเขียนเรื่องคนรอบตัวทรัมป์สามกลุ่มที่มีผลต่อนโยบายต่างประเทศค่ะ)  

เรื่องยูเครนนั้น  หนูไม่คิดว่ามันจะง่ายแบบพอสงครามจบ  ยูเครนต้องยอมกลืนเลือดและยกดินแดนบางส่วนให้รัสเซีย  everyone will go home to live peacefully ever after ค่ะ  เพราะมันยังมีปัญหาเรื่อง NATO alliance ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ภาคพื้นยุโรปมีความสงบสุขมานานแปดทศวรรษอีกด้วย  ไม่มีใครในอียูเชื่อว่าปูตินจะจบแค่ยูเครน  เพราะทั้งเอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนีย ซึ่งเป็นสมาชิก NATO นั้นก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตมาก่อน  ถ้าวันหนึ่งปูตินยกกองกำลังไปบุกประเทศเหล่านี้ขึ้นมาเหมือนที่ทำกับยูเครน NATO ก็ต้องเข้ามาปกป้อง และถ้าทรัมป์ถอนตัวออกจาก alliance ไม่เข้าไปช่วย  ก็เท่ากับอเมริกากำลังส่งสัญญาณว่าระเบียบโลกไม่มีความหมาย  ใครมีกำลังมากกว่าก็สามารถไปรุกรานชาติอื่นได้โดยไม่มี consequence    ในเอเชียนั้นก็มีทั้งเกาหลีใต้และไต้หวันที่จะได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้  เพราะนอกจากสีจิ้นผิงจะออกคำสั่งให้กองทัพจีนเตรียมพร้อมสำหรับการบุกยึดไต้หวันในปี 2027แล้ว  กองทัพเรือจีนยังก้าวร้าวมากขึ้นทุกวันในทะเลจีนใต้  ถึงขนาดส่งเรือไปลาดตระเวนในน่านน้ำของฟิลิปปินส์ มาเลย์เซีย และบรูไน (แถมยังบุลลี่เรือเจ้าของพื้นที่ด้วย) อย่างไม่เกรงใจใครมาแล้ว  
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07 พ.ย. 24, 09:31 โดย เทาชมพู » บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 07 พ.ย. 24, 10:02

จาก Blockdit


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 07 พ.ย. 24, 10:06

สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานความเคลื่อนไหวของดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นในวันพุธ (6 พ.ย.) โดยดัชนีดาวโจนส์, S&P500 และ Nasdaq ต่างก็ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจาก “โดนัลด์ ทรัมป์” ตัวแทนจากพรรครีพับลิกันคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 43,729.93 จุด เพิ่มขึ้น 1,508.05 จุด หรือ +3.57%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,929.04 จุด เพิ่มขึ้น 146.28 จุด หรือ +2.53% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 18,983.47 จุด เพิ่มขึ้น 544.29 จุด หรือ +2.95%

ตลาดการเงินทั่วโลกเคลื่อนไหวตอบรับชัยชนะของพรรครีพับลิกัน จาก “ทรัมป์เทรด”  ตลาดหุ้นได้แสดงการตอบสนองอย่างมีนัยสำคัญต่อแนวโน้มการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป โดยบริษัทที่มีความเชื่อมโยงกับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากนักลงทุน

หุ้นกลุ่มการเงิน โดดเด่นที่สุดในบรรดา 11 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักของดัชนี S&P 500 โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 6.16% การเพิ่มขึ้นนี้มีปัจจัยหนุนสำคัญจากกลุ่มธนาคาร ซึ่งนักลงทุนคาดการณ์ว่าจะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการผ่อนคลายกฎระเบียบหากมีการเปลี่ยนแปลงในการบริหารประเทศ

ขณะเดียวกันหุ้น Trump Media & Technology Group เพิ่มขึ้น 5.94% ในขณะที่ Tesla พุ่งขึ้นถึง 14.75% ซึ่งอาจได้รับแรงหนุนจากการที่ “อีลอน มัสก์” ได้แสดงการสนับสนุนการรณรงค์หาเสียงของทรัมป์

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 07 พ.ย. 24, 10:23

      มองอย่างผู้ไม่เชี่ยวชาญ   คิดว่านโยบายของทรัมป์ผู้เป็นพ่อค้ามาก่อน  ก็คือคิดแบบคนค้าคนขาย   ในเมื่อบริษัทอเมริกาที่ตัวเองบัดนี้เป็นผู้อำนวยการใหญ่กำลังตกอยู่ในภาวะย่ำแย่  หนี้สินรุงรัง  พนักงานตกงานกันระนาว    ท่านผอ.ก็ต้องหาวิธีเพิ่มกำไรลดหนี้สิน   คือสินค้าตัวไหนไม่ได้กำไรก็เลิกมันซะ 
      ค้าสงครามถ้าหากว่ามีแต่ทุ่มทุนลงไป ไม่ได้ผลตอบแทน  ก็ต้องหยุดลงทุนด้านนี้    ใครจะเป็นใครจะตายก็เรื่องของคนนั้น  บริษัทไม่เกี่ยวอีกต่อไป   ยูเครนก็คงต้องถูกปล่อยเกาะลอยแพตามยถากรรม
      ค้าสิทธิมนุษยชนก็เหมือนกัน  ลงทุนในประเทศอื่นไปเยอะแต่ไม่ได้ผลกำไรกลับมา   ก็ต้องเลิก ตัดงบสนับสนุน NGO และหน่วยงานอื่นๆไปให้หมด
      ผู้อพยพทั้งหลาย ถ้าหากเข้ามาแล้วมาเป็นแรงงานที่อเมริกาขาดแคลนก็อยู่ได้    แต่ถ้าเข้ามาแล้ว มาเบียดพื้นที่อยู่อาศัย มาเบียดแรงงานของเจ้าของบ้าน   มาใช้สิทธิ์รับสวัสดิการต่างๆให้เจ้าของบ้านต้องจ่ายภาษีเพิ่ม  ก็โน่น...ผลักออกประตูไปเลย   ได้เบาแรงด้านรายจ่ายของบริษัทไปอีกหน่อย
       กำจัดคู่แข่งทางการค้า   คือจีนเป็นเจ้าใหญ่   สินค้าจีนจะมาขายในอเมริกาอย่างสบายๆเหมือนก่อนไม่ได้แล้ว  ตั้งกำแพงภาษีสูงลิบเป็นการสะกัด   เพื่อลดเงินไหลออก   พร้อมกันนั้นก็ลดภาษีเพื่อชักจูงนายทุนอเมริกันให้กลับมาตั้งโรงงานในบ้านเรา  อย่าไปตั้งโรงงานที่บ้านคนอื่น  คนบ้านเราจะได้มีงานทำ ฟื้นฟูฐานะอีกครั้ง    เพราะตอนนี้จากมนุษย์เงินเดือนกลายเป็นคนไร้บ้านกันไปหมดแล้ว
         การเร่งฟื้นฟูให้อเมริกากลับมาใหญ่อีกครั้ง ก็ไม่ต่างจากระดมรายได้เข้าบริษัท   ทำทางไหนได้ก็ทำ   ส่วนมันจะไปดูดเงินให้มากองที่บริษัท  ร้านค้าอื่นๆทั้งใหญ่และน้อยอาจล้มระเนนระนาด  ก็เป็นเรื่องของร้านแต่ละร้านจะหาทางรอดกันเอง  บริษัทไม่เกี่ยว
บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 247


ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 07 พ.ย. 24, 10:59

อย่างหนึ่งที่เราต้องตระหนักคือทรัมป์ในรอบนี้ extreme กว่ารอบที่แล้วมากค่ะ  แถมคนที่พอจะเป็น guardrails หรือเกราะป้องกันไม่ให้ปธน.ทำอะไรแย่ๆ ที่ไม่ควรทำก็หนีไปกันหมดแล้ว   และในช่วงหลังๆ นี่ ทรัมป์ก็แสดง signs of cognitive decline ให้เห็นอย่างชัดเจน    ส่วนการที่พรรครีพับลิกันมีแนวโน้มว่าจะได้ครองเสียงข้างมากทั้งสองสภา  บวกกับคำวินิจฉัยของศาลสูงที่ให้ปธน.มีเอกสิทธิคุ้มครองในช่วงที่รับตำแหน่งนี่ก็จะทำให้ทรัมป์มีอำนาจมากกว่าคราวที่แล้วเยอะ  ดังนั้น ถ้าใครคิดว่าเราผ่าน Trump 1.0 มาได้เราก็น่าจะผ่าน Trump 2.0 ไปได้นี่อาจจะมองโลกในแง่ดีมากไปนี้ด   
บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 247


ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 07 พ.ย. 24, 11:01

สิ่งหนึ่งซึ่งจะมีผลกระทบต่อนโยบายการต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญคือ นโยบายแต่งตั้งจนท.ในรัฐบาลกลางที่เรียกว่า  Schedule F  ซึ่งเน้นความจงรักภักดีต่อทรัมป์เป็นสำคัญ ไม่เน้นเรื่องคุณสมบัติหรือประโยชน์ของประเทศชาติ   

ก่อนหน้านี้ ต่อให้ปธน.จะแย่ยังไง  แต่ข้าราชการระดับสูงในกระทรงการต่างประเทศก็ยังมาจากสายอาชีพนี้โดยตรง ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีประสบการณ์ยาวนานในภูมิภาคและมีความรู้ความสามารถ  ทำให้เรายังพอจะมีความหวังได้ว่าถ้าเป็นเรื่องอะไรที่สำคัญต่อประเทศเรา  คนใน US Department of State อาจจะหาทาง argue on our behalf ได้บ้าง  เพราะเขาตระหนักถึงคุณค่าที่เรามีมายาวนานต่อเป้าหมายของสหรัฐฯ ในภูมิภาค   ไม่ก็คงหาทางช่วยเรา cushion ความเสียหายที่จะเกิดจากนโยบายแย่ๆ บางเรื่องได้   แต่ในยุคทรัมป์ 2.0 นี่คนดีๆ คงจะโดนไล่ออกหมด  และคนที่เข้ามาแทนก็อาจจะเป็นคนที่ไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญอะไรเลย     
บันทึกการเข้า
ประกอบ
สุครีพ
******
ตอบ: 1409


ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 07 พ.ย. 24, 11:18

เห็นทรัมป์แล้วนึกถึงฮิตเลอร์หรือมุตโสลินีครับ เข้าสู่อำนาจได้ด้วยความพูดเก่ง แต่การมาของทรัมป์ทำให้เห็นว่ามนุษย์เราเห็นแก่ตัวได้ขนาดไหน เพราะทั้ง ๆ ที่รู้ว่าทรัมป์ชั่วช้าแบบนี้ แต่ก็ยังเลือกมาเพราะคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อตัวเองในสถานการณ์เฉพาะหน้ามากกว่า
บันทึกการเข้า

วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 247


ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 07 พ.ย. 24, 11:40

เห็นทรัมป์แล้วนึกถึงฮิตเลอร์หรือมุตโสลินีครับ เข้าสู่อำนาจได้ด้วยความพูดเก่ง แต่การมาของทรัมป์ทำให้เห็นว่ามนุษย์เราเห็นแก่ตัวได้ขนาดไหน เพราะทั้ง ๆ ที่รู้ว่าทรัมป์ชั่วช้าแบบนี้ แต่ก็ยังเลือกมาเพราะคิดว่าเป็นประโยชน์ต่อตัวเองในสถานการณ์เฉพาะหน้ามากกว่า

อเมริกาในยุค2024 นี่แทบจะเหมือนเยอรมนีในปี 1933 เลยนะคะ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 07 พ.ย. 24, 17:46

เพื่อแฟร์ๆ  ก็ลองมองจากมุมของคนที่เห็นว่ามีประธานาธิบดีคนนี้ก็ดีหลายอย่าง
จาก FB คุณ " ทหารไอโอ"
 
ขอแสดงความยินดีกับพ่อใหญ่โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 47 สมัยที่ 2 แบบถูกคั่นกลาง
เรื่องนี้แอดมินค่อนข้างที่จะให้ความสนใจ เหตุผลคือ
1. ทรัมป์เป็นขั้วการเมืองฝ่ายขวา
2. นโยบายของทรัมป์ค่อนข้างไปทางฝั่งขวา คือชาตินิยม อเมริกันมาก่อน ยุ่งชาติอื่นแต่น้อย ต่างกับไบเดนที่เป็นฝ่ายซ้ายซึ่งมักจะมีความยุ่งเรื่องชาวบ้านด้วยข้ออ้างเพื่อสิทธิเสรีภาพอะไรๆ
3. จากเหตุผลข้อสอง การมาถึงของทรัมป์จะทำให้กิจการอะไรๆก็ตามที่อเมริกา "ยื่นมือเข้าไปยุ่ง" หรือ "ใช้เงินทุนสนับสนุน" ในยุคของฝ่ายซ้ายอย่างไบเดน มีแนวโน้มที่จะซบเซาหรือล่มสลาย
4. ข้อสังเกตคือในช่วงที่ไบเดนครองตำแหน่ง ขบวนการซ้ายทั้งโลกผงาดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดมาก ทั้งพวก Woke, DEI, องค์กรสิทธิมนุษยชน ฯลฯ หรือในบ้านเราขบวนการฝ่ายซ้ายก็แข็งขึ้นมากในช่วงนี้ ถึงขั้นก้าวร้าว
5. ซึ่งถ้าเรื่องของการแทรกแซงจากอเมริกาโดยการใช้ขบวนการซ้ายเป็นเครื่องมือ เราน่าจะได้เห็นความซบเซาของขบวนการซ้ายในประเทศไทย หรือของทั้งโลกในเร็วๆนี้
แอดมินเองไม่ทำอะไร รอดูอย่างสนใจ

บันทึกการเข้า
พี่วรภัทรของพี่ชายใหญ่
มัจฉานุ
**
ตอบ: 74


ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 07 พ.ย. 24, 23:29

มีเรื่องให้ลุ้นอยู่เหมือนกันครับ
บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 247


ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 08 พ.ย. 24, 05:20

แผนที่แสดงผลการเลือกตั้งล่าสุดค่ะ  ยังเหลือรัฐ battleground อีกสองรัฐที่ยังนับคะแนนไม่เสร็จคือแอริโซน่ากับเนวาด้า  ในแอริโซน่านั้นทรัมป์นำแฮร์ริสอยู่เกือบ 6 จุดหลังจากที่นับคะแนนไปได้ประมาณ 70%  ส่วนเนวาด้านั้นทรัมป์นำอยู่ 4 จุดแแต่นับคะแนนไปแล้ว 91%   ทีรอลุ้นกันอยู่นี่คือผลการเลือกตั้งสส.มากกว่า   เพราะถ้ารีพับลิกันครองทั้งสองสภา ศาลสูงเต็มไปด้วยผู้พิพากษาฝั่งอนุรักษ์นิยม และมีประมุขฝ่ายบริหารที่ใช้แขนขาในกระทรวงยุติธรรมเป็นเครื่องมือปราบปรามผู้เห็นต่างรวมทั้งป้องกันตัวเองจากการสอบสวนโดยรัฐ  ทรัมป์จะเป็นปธน.ที่มีอำนาจล้นเหลือแบบไม่มีใครตรวจสอบหรือถอดถอนได้  รัฐที่เป็นจุดสนใจตอนนี้ก็มีแคลิฟอร์เนีย  เมน โอไฮโอ แอริโซน่า และนิวยอร์ค  ถ้าใครสนใจจะตามผลแบบ real-time ก็ไปส่องได้ที่หน้านี้ค่ะ https://apnews.com/projects/election-results-2024/


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 247


ความคิดเห็นที่ 14  เมื่อ 08 พ.ย. 24, 06:29

ขอแสดงความยินดีกับพ่อใหญ่โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 47 สมัยที่ 2 แบบถูกคั่นกลาง
เรื่องนี้แอดมินค่อนข้างที่จะให้ความสนใจ เหตุผลคือ
1. ทรัมป์เป็นขั้วการเมืองฝ่ายขวา
2. นโยบายของทรัมป์ค่อนข้างไปทางฝั่งขวา คือชาตินิยม อเมริกันมาก่อน ยุ่งชาติอื่นแต่น้อย ต่างกับไบเดนที่เป็นฝ่ายซ้ายซึ่งมักจะมีความยุ่งเรื่องชาวบ้านด้วยข้ออ้างเพื่อสิทธิเสรีภาพอะไรๆ
3. จากเหตุผลข้อสอง การมาถึงของทรัมป์จะทำให้กิจการอะไรๆก็ตามที่อเมริกา "ยื่นมือเข้าไปยุ่ง" หรือ "ใช้เงินทุนสนับสนุน" ในยุคของฝ่ายซ้ายอย่างไบเดน มีแนวโน้มที่จะซบเซาหรือล่มสลาย
4. ข้อสังเกตคือในช่วงที่ไบเดนครองตำแหน่ง ขบวนการซ้ายทั้งโลกผงาดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดมาก ทั้งพวก Woke, DEI, องค์กรสิทธิมนุษยชน ฯลฯ หรือในบ้านเราขบวนการฝ่ายซ้ายก็แข็งขึ้นมากในช่วงนี้ ถึงขั้นก้าวร้าว
5. ซึ่งถ้าเรื่องของการแทรกแซงจากอเมริกาโดยการใช้ขบวนการซ้ายเป็นเครื่องมือ เราน่าจะได้เห็นความซบเซาของขบวนการซ้ายในประเทศไทย หรือของทั้งโลกในเร็วๆนี้
แอดมินเองไม่ทำอะไร รอดูอย่างสนใ

ถ้าอ่านดีๆ หนูว่าไอ้ที่แกแยกออกมาเป็นสี่ห้าข้อนี่มันคือข้อเดียวกันทั้งนั้นนะคะ   และก็สิ่งดีๆ ที่แกพูดถึงนี้น่าจะมาจากมุมมองของอนุรักษ์นิยมขวาจัดไทยมากกว่าจะเป็นสิ่งดีๆ สำหรับคนอเมริกันด้วย 

จะขออนุญาตแย้งเรื่องที่แกอ้างว่าเกิดขึ้นในสมัยไบเดนเรื่องเดียวเท่านั้นค่ะ   ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ สิ่งที่เจ้าของเพจเรียกว่า “เงินสนับสนุนฝ่ายซ้าย” (ซึ่งเข้าใจว่าแกคงหมายถึงเงินทุนจากองค์กรไม่แสวงหากำไรในสหรัฐฯ ที่ช่วยสนับสนุนกิจการของ NGOs ด้านสิทธิมนุษยชนในบ้านเรา) จริงๆ แล้วมันหายไปเยอะเลยนะคะ  เพราะเขาเอาไปทุ่มให้ยูเครนกับกาซ่ากันหมด   

สำหรับหนู  สิ่งดีๆ สิ่งเดียวที่พยายามโฟกัสตอนนี้ก็คือการที่พรรคการเมืองใหญ่ของอเมริกาทั้งสองพรรคได้ตระหนักอย่างไม่มีข้อสงสัยว่า ชนชั้นแรงงานที่ไม่มีวุฒิการศึกษานั้นเป็นฐานเสียงที่ทอดทิ้งไม่ได้   ไม่อย่างนั้นก็จะย้ายค่ายกันอย่างมโหฬารแบบที่เราเห็นในการเลือกตั้งครั้งนี้     จะได้ช่วยกันสรรหานโยบายที่จะมาทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้น  ได้ค่าแรงที่สมเหตุสมผลมากขึ้น  สามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขได้ง่ายขึ้นและในราคาที่ถูกลง  และช่วยให้ลูกหลานของเขามีโอกาสได้รับการศึกษาสูงๆ จะได้ไม่ต้องไปทำงานหาเช้ากินค่ำอย่างคนรุ่นพ่อแม่  เพราะประชากรกลุ่มนี้มักจะได้รับผลกระทบจากนโยบายเศรษฐกิจและสังคมของรัฐอย่างหนักหน่วงกว่ากลุ่มอื่นๆ  เนื่องจากพวกเขาไม่มีสิทธิพิเศษเหมือนคนที่มีฐานะสูงส่ง ไม่มีทุนทรัพย์มากพอที่จะช่วยปกป้องเขาจากวิกฤติใหญ่ๆ (เช่น โควิด) ไม่มีการศึกษาที่จะช่วยให้เขาย้ายงานหรือ upskill ได้ง่ายเหมือนคนจบปริญญา

นโยบายของทรัมป์นั้นถึงจะขวาจัด  การหาเสียงก็มุ่งหวังแต่จะสร้างความหวาดกลัวและความแตกแยก  แต่สิ่งหนึ่งซึ่งรีพับลิกันในยุคทรัมป์เป็นซึ่งออกจะแตกต่างไปจากรีพับลิกันในสมัยก่อนก็คือการยอมรับว่ารัฐมีบทบาทสูงในการอุ้มคนจนๆ ที่ไม่มีกำลังทรัพย์และสิทธิพิเศษ  เห็นได้จากการที่ทรัมป์สัญญาว่าจะยกเลิกภาษีสำหรับรายได้จากทิป  (ซึ่งถึงจะเป็นนโยบายที่แย่และไม่ควรทำ  แต่ก็มาจากพื้นฐานที่ดี แสดงออกซึ่งความเห็นอกเห็นใจคนทำงานในร้านอาหารที่มักจะได้ค่าแรงต่ำกว่าอัตราค่าแรงขั้นต่ำและพึ่งพาทิปเป็นส่วนใหญ่ )   ก็หวังว่ามันจะเป็นทิศทางที่พรรคเดินไปอย่างแน่วแน่  ไม่ใช่แค่เป็นลมปากทรัมป์ในช่วงหาเสียง

ส่วนพรรคเดโมแครตเองนอกจากต้องกลับบ้านไปเลียแผลแล้ว ยังต้องเริ่มกระบวนการ soul-searching และตอบคำถามให้ได้ด้วยว่า    เพราะอะไรคนจนในเมืองและชนชั้นแรงงานที่ไม่มีวุฒิการศึกษาซึ่งเคยเป็นฐานเสียงอันมั่นคงในอดีตถึงได้หันไปเทใจให้ฝ่ายตรงข้ามกันอย่างล้นหลาม   เราเริ่มเห็นได้ชัดจากการหาเสียงของแฮร์ริสแล้วว่าพรรคต้องใช้นโยบายประชานิยมมาเป็นเครื่องมือในการสู้กับทรัมป์ (เช่น เงินช่วยเหลือสำหรับดาวน์บ้าน 25,000 เหรียญ)  เพราะฝ่ายตรงข้ามกำลังกลายเป็นขวัญใจคนจนและแย่งชิงความเป็นกระบอกเสียงของผู้ใช้แรงงานไปจากพรรค  ทั้งๆ ที่ปกติแล้วพรรคจะสนับสนุนการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างมากกว่า  ตรงนี้น่าจะทำให้นโยบายของพรรคในอนาคตมุ่งเน้นช่วยเหลือคนกลุ่มนี้มากขึ้น    ถ้าความตระหนักรู้ในเรื่องนี้เป็นอะไรที่ยืนนานกว่าการนับคะแนนเลือกตั้ง  หนูว่าก็จะช่วยให้คนอเมริกันจำนวนมากสามารถ achieve the American dream ได้ง่ายขึ้น 

ขอจบด้วยข้อมูลที่อาจจะทำให้เราเห็นภาพมากขึ้นนะคะ
 
1. ในปี 2021 อายุขัยเฉลี่ยของคนอเมริกันที่ไม่มีปริญญาอยู่ที่ 75 เมื่อเทียบกับ 83 ของคนที่มีปริญญา 2. หนึ่งทศวรรษก่อนหน้านั้น   อายุขัยเฉลี่ยของคนอเมริกันที่ไม่มีปริญญาอยู่ที่ 78 เมื่อเทียบกับ 84 ของคนที่มีปริญญา  (ข้อมูลจาก Axios)

3. ผลการวิจัยในปี 2016 โดยนักวิชาการจากม.สแตนฟอร์ดชี้ว่า แค่ 50% ของคนอเมริกันที่เกิดในทศวรรษ 1980s เท่านั้นที่สามารถสร้างฐานะของตัวเองให้ดีกว่าคนรุ่นพ่อแม่ได้   เทียบกับ 92% ของคนที่เกิดในช่วง 1940s   (ข้อมูลจาก Washington Post)
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3 ... 9
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.085 วินาที กับ 20 คำสั่ง