ขอแสดงความยินดีกับพ่อใหญ่โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 47 สมัยที่ 2 แบบถูกคั่นกลาง
เรื่องนี้แอดมินค่อนข้างที่จะให้ความสนใจ เหตุผลคือ
1. ทรัมป์เป็นขั้วการเมืองฝ่ายขวา
2. นโยบายของทรัมป์ค่อนข้างไปทางฝั่งขวา คือชาตินิยม อเมริกันมาก่อน ยุ่งชาติอื่นแต่น้อย ต่างกับไบเดนที่เป็นฝ่ายซ้ายซึ่งมักจะมีความยุ่งเรื่องชาวบ้านด้วยข้ออ้างเพื่อสิทธิเสรีภาพอะไรๆ
3. จากเหตุผลข้อสอง การมาถึงของทรัมป์จะทำให้กิจการอะไรๆก็ตามที่อเมริกา "ยื่นมือเข้าไปยุ่ง" หรือ "ใช้เงินทุนสนับสนุน" ในยุคของฝ่ายซ้ายอย่างไบเดน มีแนวโน้มที่จะซบเซาหรือล่มสลาย
4. ข้อสังเกตคือในช่วงที่ไบเดนครองตำแหน่ง ขบวนการซ้ายทั้งโลกผงาดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดมาก ทั้งพวก Woke, DEI, องค์กรสิทธิมนุษยชน ฯลฯ หรือในบ้านเราขบวนการฝ่ายซ้ายก็แข็งขึ้นมากในช่วงนี้ ถึงขั้นก้าวร้าว
5. ซึ่งถ้าเรื่องของการแทรกแซงจากอเมริกาโดยการใช้ขบวนการซ้ายเป็นเครื่องมือ เราน่าจะได้เห็นความซบเซาของขบวนการซ้ายในประเทศไทย หรือของทั้งโลกในเร็วๆนี้
แอดมินเองไม่ทำอะไร รอดูอย่างสนใ
ถ้าอ่านดีๆ หนูว่าไอ้ที่แกแยกออกมาเป็นสี่ห้าข้อนี่มันคือข้อเดียวกันทั้งนั้นนะคะ และก็สิ่งดีๆ ที่แกพูดถึงนี้น่าจะมาจากมุมมองของอนุรักษ์นิยมขวาจัดไทยมากกว่าจะเป็นสิ่งดีๆ สำหรับคนอเมริกันด้วย
จะขออนุญาตแย้งเรื่องที่แกอ้างว่าเกิดขึ้นในสมัยไบเดนเรื่องเดียวเท่านั้นค่ะ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ สิ่งที่เจ้าของเพจเรียกว่า “เงินสนับสนุนฝ่ายซ้าย” (ซึ่งเข้าใจว่าแกคงหมายถึงเงินทุนจากองค์กรไม่แสวงหากำไรในสหรัฐฯ ที่ช่วยสนับสนุนกิจการของ NGOs ด้านสิทธิมนุษยชนในบ้านเรา) จริงๆ แล้วมันหายไปเยอะเลยนะคะ เพราะเขาเอาไปทุ่มให้ยูเครนกับกาซ่ากันหมด
สำหรับหนู สิ่งดีๆ สิ่งเดียวที่พยายามโฟกัสตอนนี้ก็คือการที่พรรคการเมืองใหญ่ของอเมริกาทั้งสองพรรคได้ตระหนักอย่างไม่มีข้อสงสัยว่า ชนชั้นแรงงานที่ไม่มีวุฒิการศึกษานั้นเป็นฐานเสียงที่ทอดทิ้งไม่ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะย้ายค่ายกันอย่างมโหฬารแบบที่เราเห็นในการเลือกตั้งครั้งนี้ จะได้ช่วยกันสรรหานโยบายที่จะมาทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้น ได้ค่าแรงที่สมเหตุสมผลมากขึ้น สามารถเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขได้ง่ายขึ้นและในราคาที่ถูกลง และช่วยให้ลูกหลานของเขามีโอกาสได้รับการศึกษาสูงๆ จะได้ไม่ต้องไปทำงานหาเช้ากินค่ำอย่างคนรุ่นพ่อแม่ เพราะประชากรกลุ่มนี้มักจะได้รับผลกระทบจากนโยบายเศรษฐกิจและสังคมของรัฐอย่างหนักหน่วงกว่ากลุ่มอื่นๆ เนื่องจากพวกเขาไม่มีสิทธิพิเศษเหมือนคนที่มีฐานะสูงส่ง ไม่มีทุนทรัพย์มากพอที่จะช่วยปกป้องเขาจากวิกฤติใหญ่ๆ (เช่น โควิด) ไม่มีการศึกษาที่จะช่วยให้เขาย้ายงานหรือ upskill ได้ง่ายเหมือนคนจบปริญญา
นโยบายของทรัมป์นั้นถึงจะขวาจัด การหาเสียงก็มุ่งหวังแต่จะสร้างความหวาดกลัวและความแตกแยก แต่สิ่งหนึ่งซึ่งรีพับลิกันในยุคทรัมป์เป็นซึ่งออกจะแตกต่างไปจากรีพับลิกันในสมัยก่อนก็คือการยอมรับว่ารัฐมีบทบาทสูงในการอุ้มคนจนๆ ที่ไม่มีกำลังทรัพย์และสิทธิพิเศษ เห็นได้จากการที่ทรัมป์สัญญาว่าจะยกเลิกภาษีสำหรับรายได้จากทิป (ซึ่งถึงจะเป็นนโยบายที่แย่และไม่ควรทำ แต่ก็มาจากพื้นฐานที่ดี แสดงออกซึ่งความเห็นอกเห็นใจคนทำงานในร้านอาหารที่มักจะได้ค่าแรงต่ำกว่าอัตราค่าแรงขั้นต่ำและพึ่งพาทิปเป็นส่วนใหญ่ ) ก็หวังว่ามันจะเป็นทิศทางที่พรรคเดินไปอย่างแน่วแน่ ไม่ใช่แค่เป็นลมปากทรัมป์ในช่วงหาเสียง
ส่วนพรรคเดโมแครตเองนอกจากต้องกลับบ้านไปเลียแผลแล้ว ยังต้องเริ่มกระบวนการ soul-searching และตอบคำถามให้ได้ด้วยว่า เพราะอะไรคนจนในเมืองและชนชั้นแรงงานที่ไม่มีวุฒิการศึกษาซึ่งเคยเป็นฐานเสียงอันมั่นคงในอดีตถึงได้หันไปเทใจให้ฝ่ายตรงข้ามกันอย่างล้นหลาม เราเริ่มเห็นได้ชัดจากการหาเสียงของแฮร์ริสแล้วว่าพรรคต้องใช้นโยบายประชานิยมมาเป็นเครื่องมือในการสู้กับทรัมป์ (เช่น เงินช่วยเหลือสำหรับดาวน์บ้าน 25,000 เหรียญ) เพราะฝ่ายตรงข้ามกำลังกลายเป็นขวัญใจคนจนและแย่งชิงความเป็นกระบอกเสียงของผู้ใช้แรงงานไปจากพรรค ทั้งๆ ที่ปกติแล้วพรรคจะสนับสนุนการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างมากกว่า ตรงนี้น่าจะทำให้นโยบายของพรรคในอนาคตมุ่งเน้นช่วยเหลือคนกลุ่มนี้มากขึ้น ถ้าความตระหนักรู้ในเรื่องนี้เป็นอะไรที่ยืนนานกว่าการนับคะแนนเลือกตั้ง หนูว่าก็จะช่วยให้คนอเมริกันจำนวนมากสามารถ achieve the American dream ได้ง่ายขึ้น
ขอจบด้วยข้อมูลที่อาจจะทำให้เราเห็นภาพมากขึ้นนะคะ
1. ในปี 2021 อายุขัยเฉลี่ยของคนอเมริกันที่ไม่มีปริญญาอยู่ที่ 75 เมื่อเทียบกับ 83 ของคนที่มีปริญญา 2. หนึ่งทศวรรษก่อนหน้านั้น อายุขัยเฉลี่ยของคนอเมริกันที่ไม่มีปริญญาอยู่ที่ 78 เมื่อเทียบกับ 84 ของคนที่มีปริญญา (ข้อมูลจาก Axios)
3. ผลการวิจัยในปี 2016 โดยนักวิชาการจากม.สแตนฟอร์ดชี้ว่า แค่ 50% ของคนอเมริกันที่เกิดในทศวรรษ 1980s เท่านั้นที่สามารถสร้างฐานะของตัวเองให้ดีกว่าคนรุ่นพ่อแม่ได้ เทียบกับ 92% ของคนที่เกิดในช่วง 1940s (ข้อมูลจาก Washington Post)