เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 9
  พิมพ์  
อ่าน: 19265 ทรัมป์กลับมาแล้ว!
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 60  เมื่อ 31 ม.ค. 25, 13:38

จาก FB ฐานเศรษฐกิจ 
ทรัมป์ระงับเงินสนับสนุน USAID ช่วยเหลือต่างประเทศ 1.5 ล้านล้าน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สั่งระงับการจัดสรรเงินช่วยเหลือต่างประเทศมูลค่ากว่า 1.5 ล้านล้านบาท ผ่าน USAID โดยระบุว่าเป็นการประเมินและปรับทิศทางการให้ความช่วยเหลือต่างประเทศใหม่ พร้อมขอให้ทุกโครงการหยุดดำเนินการจนกว่าจะได้รับคำสั่งใหม่


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 61  เมื่อ 04 ก.พ. 25, 10:40

จาก FB Thailand Vision
เจ้าหน้าที่องค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ​ หรือ USAID (U.S. Agency for International Development) ถูกสั่งว่าไม่ต้องเข้าตึกทำงานในวันจันทร์ ที่สำนักงานใหญ่กรุงวอชิงตัน

สำนักข่าวเอพีรายงานข่าวนี้โดยอ้างเอกสารเเจ้งต่อเจ้าหน้าที่ USAID หลังจากที่มหาเศรษฐีอิลอน มัสก์ ที่ทำงานให้กับรัฐบาลในโครงการประหยัดงบประมาณกล่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ตกลงกับเขาว่าสามารถปิดองค์กรดังกล่าวได้

USAID พบว่า พนักงานกว่า 600 คนระบุว่าไม่สามารถเข้าระบบคอมพิวเตอร์ขององค์กรได้ตั้งแต่ช่วงข้ามคืน

ส่วนผู้ที่สามารถเข้าระบบได้ กล่าวว่ามีอีเมลที่ส่งถึงพวกตนที่ระบุว่า "ตามเเนวทางของผู้นำองค์กร" ตึกสำนักงานใหญ่จะถูกปิดลงในวันที่ 3 กุมภาพันธ์

ข่าวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่มัสก์ กล่าวเช้าวันจันทร์ว่า เขาได้คุยกับประธานาธิบดีทรัมป์แล้ว และว่าผู้นำสหรัฐฯ "ตกลงว่าเราสามารถปิดมันลงได้" โดย USAID เป็นองค์กรอายุ 60 ปีที่ทำงานด้านความช่วยเหลือและการพัฒนา

มัสก์กล่าวผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า “เป็นที่เห็นได้ว่า มันไม่ใช้แอปเปิลที่มีหนอนหนึ่งตัวอยู่ข้างใน…ที่เรามีอยู่ตอนนี้มันคือหนอนทั้งลูกเลย คุณจึงต้องกำจัดทั้งหมดไป มันเกินกว่าที่จะแก้ไขได้”

“เรากำลังปิดมันลง” มัสก์กล่าว

USAID เป็นที่หมายตาของผู้ที่ต้องการตัดลดงบประมาณมาระยะหนึ่งเเล้ว องค์กรนี้ดูเเลเรื่องโครงการพัฒนา งานด้านความมั่นคง และความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ในประเทศต่าง ๆ รวมแล้ว 120 ประเทศ

ประธานาธิบดีทรัมป์ อิลอน มัสก์ ตลอดจนนักการเมืองจากพรรครีพับลิกันในสภา ยังได้เคยวิจารณ์ USAID ว่าส่งเสริมงานที่มีเเนวคิดเสรีนิยม

สำนักข่าวเอพีอ้างแหล่งข่าวที่เป็นอดีตเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ รายหนึ่งและเจ้าหน้าที่ปัจจุบันอีกรายหนึ่ง ซึ่งบอกว่าในช่วงสุดสัปดาห์ รัฐบาลทรัมป์สั่งพักงานเจ้าหน้าที่สูงสุดด้านความปลอดภัยของ USAID สองราย หลังจากที่พวกเขาไม่ส่งมอบข้อมูลชั้นความลับในพื้นที่หวงห้าม ให้กับคณะทำงานตรวจสอบรัฐบาลของมัสก์

ทั้งนี้ เว็บไซต์ของ USAID หายไปจากอินเทอร์เน็ตในวันเสาร์โดยไม่มีคำอธิบาย

ทรัมป์บอกกับผู้สื่อข่าวคืนวันอาทิตย์ว่าองค์กรดังกล่าวบริหารงานโดย “คนบ้าหัวรุนเเรง” และว่า “เราจะเอาพวกเขาออกไป”

รัฐบาลอเมริกันภายใต้ทรัมป์ ได้ใช้มาตรการระงับความช่วยเหลือต่างชาติครั้งใหญ่ และปิดโครงการจำนวนมากของ USAID ส่งผลให้หน่วยงานที่ทำงานรูปแบบเดียวกันต้องปลดคนออกจากงาน หรือพักงานจำนวนมาก

ในวันอาทิตย์ สว. เอลิซาเบธ​ วอร์เรน จากพรรคเดโมเเครตโพสต์ข้อความ ที่กล่าวว่า ทรัมป์ได้อนุญาตให้มัสก์เข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นและให้หยุดส่งเงินงบประมาณรัฐ

เธอกล่าวว่า “เราต้องทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อต่อต้าน และปกป้องคนจากอันตราย"

ขณะเดียวกัน มาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ บอกกับผู้สื่อข่าวในวันจันทร์ ว่า ในเวลานี้ ตนดำรงตำแหน่งรักษาการผู้อำนวยการ USAID แล้วและได้จ่ายหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานนี้ให้กับเจ้าหน้าที่บางรายด้วย พร้อมย้ำว่า เป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือการดำเนินแผนงานการส่งความช่วยเหลือไปยังต่างประเทศของสหรัฐฯ ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับผลประโยชน์ของประเทศ
-------------------------------
แหล่งข่าว
https://www.voathai.com/.../usaid-staffers.../7960932.html
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 817


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 62  เมื่อ 09 ก.พ. 25, 13:20

เมื่อญี่ปุ่นปรับตัวให้เข้ากับทรัมป์

https://x.com/GiftchanN/status/1888248920079544818


+++++++++++

ดูเหมือนผมจะลงเนื้อหาไม่ได้แฮะ ของลองอีกที

 ตอนนี้เปิดทีวีทุกช่องของญี่ปุ่นข่าวนี้หมดเลยนะคะ  สำหรับคนญี่ปุ่น สื่อหลักพูดว่า งานนี้ถือว่าประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ คนรักลุงอิชิบะมากขึ้นหลายเท่า
อิชิบะพลิกบท -ใช้ “วิถีอาเบะ” เข้าหาทรัมป์

- ปรกติอิชิบะเป็นสาย “ต้องอย่างงั้นสิ อย่างนี้สิ” แต่หลังจากทรัมป์ไม่ยอมพบสักที ครั้งนี้เจ้าตัวเตรียมตัวนานมาก และปรับตัวหนักมาก
- เรียกล่ามทำงานให้กับอาเบะครั้งที่แล้วและเจ้าหน้าที่ต่างประเทศมาคุยกันอย่างจริงจังระดมสมอง ชนิดที่ข่าวจากคนรอบข้างออกมาก็ค่อนข้างไปในทางบวกว่าเจ้าตัวเปลี่ยนไปเยอะ
- จริง ๆ อิชิบะเป็นสายปลาไหลอยู่แล้ว อย่างที่เราเห็นกัน พลิกไปมา แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าเค้าจะถึงขั้นพลิกบทบาทมาใช้วิถีของอาเบะที่เจ้าตัวเคยวิจารณ์ไว้หนักในการเข้าหาทรัมป์

วิถีของอาเบะ = จะทำอย่างไรให้ บริษัท ทรัมป์ คอร์ปอเรชั่น เห็นว่าญี่ปุ่นเป็นลูกค้าที่ดี


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 817


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 63  เมื่อ 09 ก.พ. 25, 13:27

ญี่ปุ่นจะลงทุนในอเมริกาเพิ่มเป็น 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

- แผนพร้อมเพย์ก็มาจากทีมทำงานฝั่งญี่ปุ่น

- 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 150 ล้านล้านเยน หรือ 34 ล้านล้านบาทโดยประมาณ

- โดยญี่ปุ่นตกลงจะลงทุนในอเมริกา 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ (เพิ่มจากของเดิมที่ 780 ล้านล้าน เพิ่มประมาณ 220 ล้านล้าน) มากที่สุดในประวัติศาสตร์

แค่นี้ทรัมป์ก็ยิ้มแป้นแล้วค่า มหามิตรจริง ๆ แจแปน ไม่เท่านั้นคุณลูกค้าเรายังมี แพกเกจ เพื่อมั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับความพอใจจากเราประเทศญี่ปุ่นอย่างแน่แท้

ข้อตกลงอื่น ๆ

ต่างฝ่ายต่างขึ้นภาษีศุลกากร ญี่ปุ่นขึ้นอันไหนอเมริกาก็ขึ้น อเมริกาขึ้นอันไหนญี่ปุ่นก็ขึ้นเหมือนกัน

ภายในปี 2027 ญี่ปุ่นจะเพิ่มงบประมาณทางด้านการป้องกันประเทศเป็นเท่าตัว

- อันนี้สัญญามาตั้งแต่สมัยอาเบะแล้ว คิชิดะ (คิชชี่) อดีตนายกญี่ปุ่นก็ยังดำเนินการต่อ แม้ทรัมป์จะไม่ได้เป็นประธานาธิบดี ทำให้ทรัมป์ประทับใจมาก
- อันนี้ต้องยกความดีให้คิชชี่ด้วย
-แน่นอนจะซื้ออาวุธจากใครล่ะ

ทรัมป์สัญญาอเมริกาจะปกป้องประเทศพันธมิตร 100%
- ประเด็นปลดอาวุธนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ
- ปัญหากับจีน
- หนุนญี่ปุ่นลงทุนเอไอกับอเมริกา

อเมริกาจะขายก๊าซธรรมชาติแอลพีจีให้กับญี่ปุ่น
- ค่าใช้จ่ายพลังงานจะลดลง

สรุป อิชิบะ-ทรัมป์ชื่นมื่นทั้งคู่
- คนเปรียบเทียบว่าดูประเทศอื่นอย่าง แคนาดา เม็กซิโก ปาเลสไตน์สิ โดนรังแกใส่เป็นชุดเป็นชุด  มาญี่ปุ่นยิ้มแป้นยิ้มหวานพูดจากันดี ซ้ำยังจะปกป้องญี่ปุ่นต่อด้วย
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 64  เมื่อ 17 ก.พ. 25, 09:54

     ข่าวนี้อาจลงช้าไปหน่อย แต่ก็ขอลงเอาไว้ในกระทู้สำหรับคนที่มาอ่านในภายหลังจะได้เข้าใจนโยบายของทรัมป์ ว่าเขาลงมือทำอะไรลงไปบ้าง
     ผลสำรวจความคิดเห็นแสดงมานานแล้วว่า คนอเมริกันจำนวนมากรู้สึกว่าสหรัฐอเมริกาเสียเงินไปมากมายในการช่วยเหลือประเทศอื่น  ผ่านองค์กรต่างๆ ที่ทำงานแบบมีรายจ่ายสถานเดียว  ไม่มีกำไรกลับมาเป็นตัวเงินเข้ากระเป๋าประชาชน     ดังนั้น ทรัมป์ผู้เป็นพ่อค้าเต็มตัว ก็ตัดสินใจว่า ในเมื่ออเมริกากำลังจนกรอบ  อะไรที่เป็นรายจ่ายไม่มีกำไร ก็หั่นมันออกไปเลย
    ด้วยเหตุนี้ อีลอน มัสก์ มือขวาของทรัมป์ ก็ฟันองค์การ USAID ทิ้งไปเลย ไม่รีรอ
     USAID คืออะไร
      ตามหลักการ  คือสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) ก่อตั้งขึ้นในช่วงต้นทศวรรษปี 1960 เพื่อบริหารโครงการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในนามของรัฐบาลสหรัฐฯ ให้กับองค์กรที่ไม่ใช่ภาครัฐ กลุ่มช่วยเหลือ และองค์กรไม่แสวงหากำไรทั่วโลก
     องค์กรแห่งนี้มีเจ้าหน้าที่ประมาณ 10,000 คน  2 ใน 3 ของคนเหล่านี้ทำงานในต่างประเทศ  มีฐานปฏิบัติงานในกว่า 60 ประเทศและดำเนินการในอีกกว่า 10 ประเทศ
     ทรัมป์ไม่ชอบองค์กรนี้มานานแล้ว   เขาเห็นว่าใช้งบประมาณสิ้นเปลือง และบริหารโดยพวกบ้าฝ่ายซ้ายสุดโต่ง
บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 247


ความคิดเห็นที่ 65  เมื่อ 18 ก.พ. 25, 20:52

USAID มีสถานะเหมือนลูกเมียน้อยค่ะ เพราะเป็นองค์กรที่ให้ประโยชน์แก่คนที่ไม่มีปากมีเสียงในการเมืองสหรัฐฯ นั่นก็คือคนยากไร้ในประเทศยากจนที่ต้องคอยรับความช่วยเหลือจากประเทศที่ร่ำรวยกว่า   ไม่ใช่ constituencies ที่ใครในคองเกรสจะให้ความสำคัญมากเหมือน voters หรือ interest groups ภายในประเทศ  ถ้าทรัมป์จะใช้องค์กรใดองค์กรหนึ่งเป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า  นั่นก็คือการแผ่ขยายอำนาจของฝ่ายบริหารให้อยู่เหนือฝ่ายนิติบัญญัติ  สถาปนาตัวเองให้เป็นเสมือนพระราชา   ทำอะไรก็ได้ไม่มีใครมีอำนาจมาตรวจสอบหรือคัดคาน  USAID ก็เป็นเป้าหมายที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จได้ง่ายและรวดเร็ว   ขนาดพรรคฝ่ายค้านยังไม่ค่อยกล้าออกมาชนกับทรัมป์ในเรื่อง usaid เลย  เพราะกลัวจะโดนกล่าวหาว่าปกป้องชาวต่างชาติมากกว่าคนอเมริกันด้วยกันเอง

ความน่ารังเกียจของอีลอนนั้นอยู่ตรงที่ตัวเองเป็นคนที่จัดว่ารวยที่สุดในโลก มีสินทรัพย์เป็นแสนล้าน  แต่มาตัดเงินช่วยเหลือที่จะต่อชีวิตและพัฒนาความเป็นอยู่ของคนยากจนทั่วโลก  เป็นอะไรที่ย้อนแย้งและน่าละอายมาก  ส่วนที่หาญกล้ามารับใช้ทรัมป์ในเรื่องที่เกี่ยวกับประสิทธิภาพของภาครัฐนั้นก็ไม่ใช่เพราะมีจิตสำนึกใน public service แต่อย่างใด  แต่จะมายึดครองอำนาจในหน่วยงานรัฐ ทั้งที่ตัวเองรับสัมปทานอยู่และที่เคยสอบสวนหรือสั่งปรับบ.ตัวเองในเรื่องที่เกี่ยวกับการละเมิดกฎระเบียบสำหรับการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของสาธารณะเท่านั้น   สุดท้ายคนที่จะได้ประโยชน์สูงสุดจากการ shake up the federal agencies ในสองสัปดาห์ที่ผ่านมาก็คือทรัมป์กับอีลอนเท่านั้น  ประเทศชาติจะล่มจมหรือโลกจะปั่นป่วนอย่างไรสองคนนี้ไม่แคร์
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 66  เมื่อ 19 ก.พ. 25, 10:26

  เรื่องนี้ก็สงสัยอยู่เหมือนกัน  เพราะเคยอ่านพบว่าองค์กร USAID นั้นนอกจากทำงานกุศลช่วยเหลือประเทศต่างๆโดยไม่เอากำรี้กำไรแล้ว  ยังมีอีกบทบาทหนึ่งคือเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในประเทศต่างๆ อย่างลับๆ   สนับสนุนบางกลุ่มบางฝ่ายที่ไม่ใช่ฝ่ายรัฐบาลของประเทศนั้นๆ    เพื่อเพิ่มอำนาจให้สหรัฐอเมริกาในฐานะพี่ใหญ่ ควบคุมประเทศที่เห็นว่าทำท่าจะหันเหออกไปเป็นอิสระ หรือไปพึ่งมหาอำนาจอื่น
  ทรัมป์เห็นว่าองค์กรเหล่านี้ใช้เงินเพลิดเพลินไปหน่อยในการดำเนินนโยบายที่ว่า   ไม่ได้ผลตอบแทนกลับมาสมประสงค์  ก็เลยฟันซะไม่เหลือ   ตอนนี้มีเสียงโวยวายจากผู้สนับสนุนองค์กรว่าทรัมป์ทำแบบนี้เข้าทางพญามังกร  คือปล่อยมือจากหลายประเทศ ก็เป็นโอกาสให้มหาอำนาจอื่นเข้าแทรกแซงได้สะดวก    พอได้ยินเสียงโวยแบบนี้ ดิฉันก็เลยสงสัยว่าจะจริง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 67  เมื่อ 19 ก.พ. 25, 10:42

จาก FB คุณปราชญ์ สามสี

หากจะพูดถึงกระแสการเมืองโลกที่กำลังสั่นสะเทือน โดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาอีกครั้งพร้อมกับแนวคิด America First ที่ไม่ใช่แค่คำขวัญหาเสียง แต่เป็นทิศทางใหม่ที่อาจพลิกโฉมระเบียบโลกไปโดยสิ้นเชิง การประกาศสงครามทางการเมืองของทรัมป์ต่อ " God Soros " และเครือข่ายฝ่ายซ้ายของสหรัฐฯ ไม่ใช่แค่เรื่องของอุดมการณ์ แต่เป็นการเปิดฉากยุทธศาสตร์ใหม่ที่เน้นความเป็น "ชาตินิยมเชิงรุก" (Aggressive Nationalism) และการทวงคืนอำนาจของสหรัฐฯ ในซีกโลกตะวันตก
ทรัมป์ไม่ได้เพียงแค่ชูแนวคิด Nationalism แต่กำลังผลักดันเวอร์ชันที่รุนแรงกว่านั้น และอาจกล่าวได้ว่าเป็น ลัทธิล่าอาณานิคมสมัยใหม่ (Neo-Colonialism) การเคลื่อนไหวของทรัมป์ใน 3 แฟ้มใหญ่—แคนาดา อ่าวเม็กซิโก และคลองปานามา—เป็นสัญญาณชัดเจนว่าสหรัฐฯ กำลังหวนคืนสู่แนวคิด Monroe Doctrine ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงการขยายอำนาจเชิงภูมิรัฐศาสตร์แทนที่จะเข้าไป "จัดระเบียบโลก" แบบยุคหลังสงครามเย็น
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 68  เมื่อ 19 ก.พ. 25, 10:43

ทรัมป์-ปูติน: ศัตรูที่กลายเป็นคู่เจรจา?
แนวทางของทรัมป์ยังส่งผลกระทบโดยตรงต่อสงครามยูเครน หากพิจารณาให้ลึกลงไป ทรัมป์ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือยูเครนเท่ากับรัฐบาลไบเดน และมีแนวโน้มที่จะลดบทบาทของสหรัฐฯ ในสงครามนี้ แนวคิดเช่นนี้ทำให้ยูเครนต้องหันไปพึ่งพันธมิตรยุโรปมากขึ้น โดยเฉพาะ เยอรมนี และกลุ่ม European Defense Initiative เพื่อถ่วงดุลอำนาจกับรัสเซีย แนวโน้มนี้หมายความว่าหากทรัมป์มีอิทธิพลในรัฐบาลสหรัฐอย่างเบ็ดเสร็จเมื่อใด สงครามยูเครนจะไม่ใช่เรื่องของ "นาโต้ vs. รัสเซีย" อีกต่อไป แต่จะกลายเป็น "ยุโรป vs. รัสเซีย" แทน
ยุโรป: จาก Woke ไปสู่ Neo-Fascism?
ในช่วงที่ George Soros และฝ่ายซ้ายเรืองอำนาจ ยุโรปถูกกดดันให้เปิดพรมแดนต้อนรับผู้ลี้ภัยและยอมรับลัทธิ DEI (Diversity, Equity, Inclusion) แต่ขณะนี้กระแสกำลังพลิกกลับ ฝ่ายขวาในยุโรปเริ่มแข็งแกร่งขึ้นหลังจากประชาชนเห็นว่าผู้ลี้ภัยจำนวนมากไม่ได้เข้ามาเป็นกำลังแรงงานที่มีคุณภาพ แต่กลับสร้างภาระทางเศรษฐกิจและสังคม ในบางประเทศ แนวคิดชาตินิยมกลับมาแรงจนถึงขั้นเปลี่ยนผ่านไปสู่ Neo-Fascism ซึ่งเริ่มเห็นได้จากการที่พลเมืองยุโรปออกมาต่อต้านนโยบายผู้อพยพอย่างเปิดเผยและเรียกร้องให้มีการจัดระเบียบสังคมใหม่
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 69  เมื่อ 19 ก.พ. 25, 10:43

ที่น่าสนใจคือ กระแสนี้ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ชาวมุสลิมเพียงกลุ่มเดียว แต่ยังรวมถึง ชาวยิว ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นผู้สนับสนุนแนวคิดเสรีนิยมและเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังระบบการเงินของโลก
 ด้วยเหตุนี้ ชาวยิวจำนวนมากจึงเริ่มอพยพออกจากยุโรป และหนึ่งในจุดหมายปลายทางก็คือ ประเทศไทย—ดินแดนที่ถูกมองว่าเป็น "โอเอซิส" แห่งใหม่สำหรับผู้ที่ต้องการหลีกหนีความวุ่นวาย
ประเทศไทย: กลายเป็นศูนย์รวมผู้อพยพโดยไม่รู้ตัว?
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จำนวนผู้อพยพที่ตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น ชาวพม่า ชาวเขมร คนจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ชาวจีน ญี่ปุ่น อินเดีย รัสเซีย เยอรมัน และชาวยิว การหลั่งไหลของคนเหล่านี้กำลังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของไทยโดยที่เรายังไม่ทันได้ตั้งตัว
ลองจินตนาการว่า อีก 30-40 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับสถานการณ์แบบเดียวกับที่สวีเดนประสบ ผู้ลี้ภัยที่ตั้งรกรากจนมีจำนวนมากขึ้นจะเริ่มเข้ามามีบทบาทในการเมืองและสังคม เราพร้อมหรือยังที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้?
ปัจจุบัน ประชากรไทยอยู่ที่ประมาณ 65 ล้านคน และมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากอัตราการเกิดต่ำ แต่ในขณะเดียวกัน จำนวนนักลงทุนต่างชาติ ผู้ลี้ภัย และแรงงานข้ามชาติกลับเพิ่มขึ้น หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป ใครจะเป็นผู้ควบคุมอนาคตของประเทศ? ไทยจะกลายเป็นประเทศที่คนไทยกลายเป็นชนกลุ่มน้อยในแผ่นดินตัวเองหรือไม่?
บทเรียนจากอาร์เจนตินา: เมื่อประชากรดั้งเดิมถูกกลืน
กรณีของ อาร์เจนตินา เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของประเทศที่สูญเสียอัตลักษณ์ไปเพราะกระแสผู้อพยพ ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 อาร์เจนตินามีประชากรอิตาลีอพยพเข้ามามากกว่าคนพื้นเมืองเสียอีก ผลลัพธ์คืออะไร? ปัจจุบัน ผู้นำประเทศอาร์เจนตินาเป็นลูกหลานของผู้อพยพ ไม่ใช่ประชากรพื้นเมืองดั้งเดิม สถานการณ์นี้อาจเกิดขึ้นกับไทยในอนาคต หากไม่มีมาตรการควบคุมที่รัดกุม

อ่านรายละเอียดได้ที่
https://www.facebook.com/siamgreatwarriors
บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 247


ความคิดเห็นที่ 70  เมื่อ 20 ก.พ. 25, 21:51

  เรื่องนี้ก็สงสัยอยู่เหมือนกัน  เพราะเคยอ่านพบว่าองค์กร USAID นั้นนอกจากทำงานกุศลช่วยเหลือประเทศต่างๆโดยไม่เอากำรี้กำไรแล้ว  ยังมีอีกบทบาทหนึ่งคือเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในประเทศต่างๆ อย่างลับๆ   สนับสนุนบางกลุ่มบางฝ่ายที่ไม่ใช่ฝ่ายรัฐบาลของประเทศนั้นๆ    เพื่อเพิ่มอำนาจให้สหรัฐอเมริกาในฐานะพี่ใหญ่ ควบคุมประเทศที่เห็นว่าทำท่าจะหันเหออกไปเป็นอิสระ หรือไปพึ่งมหาอำนาจอื่น
  ทรัมป์เห็นว่าองค์กรเหล่านี้ใช้เงินเพลิดเพลินไปหน่อยในการดำเนินนโยบายที่ว่า   ไม่ได้ผลตอบแทนกลับมาสมประสงค์  ก็เลยฟันซะไม่เหลือ   ตอนนี้มีเสียงโวยวายจากผู้สนับสนุนองค์กรว่าทรัมป์ทำแบบนี้เข้าทางพญามังกร  คือปล่อยมือจากหลายประเทศ ก็เป็นโอกาสให้มหาอำนาจอื่นเข้าแทรกแซงได้สะดวก    พอได้ยินเสียงโวยแบบนี้ ดิฉันก็เลยสงสัยว่าจะจริง

จริงๆ ภารกิจของ USAID นี่ไม่ได้ลี้ลับอะไรเลยนะคะอาจารย์  เพราะเขาต้องรายงานต่อรัฐสภาและสาธารณชนสหรัฐฯ เป็นประจำทุกปี  ในเว็บไซท์เก่าของเขาก็มีระบุไว้อย่างชัดเจนว่าใช้เงินปีละเท่าไหร่ไปกับเรื่องอะไรบ้าง   ส่วนเรื่องข้อกล่าวหาว่าเขาไปแทรกแซงกิจการภายในนั่นก็คงมาจากสาเหตุที่ว่าพันธกิจของหน่วยงานมันมีสองด้าน  ด้านแรกคือการพัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่ของประชากรในประเทศยากจนผ่านความช่วยเหลือด้านการพัฒนา   ส่วนอีกด้านคือการส่งเสริมการปกครองตามแนวทางประชาธิปไตย   เพราะเขาเชื่อว่าทั้งสองสิ่งนี้มีความสำคัญต่อความมั่นคงของเขาเอง  ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายต่างประเทศของอเมริกามีความเชื่อว่า  นอกจาก USAID จะเปรียบเสมือนเครื่องมือที่เราเรียกว่า soft power ประเภทหนึ่งแล้ว  ความช่วยเหลือที่ USAID  ให้แก่ประเทศที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งก็อาจช่วยขจัดต้นตอของการก่อการร้ายด้วย   เพราะมีการศึกษามากมายที่ชี้ให้เราเห็นว่าความยากจนข้นแค้นและการถูกปิดโอกาสในการมีส่วนร่วมทางการเมืองนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันคนจำนวนมากให้หันเข้าหาความรุนแรง    พอทรัมป์มาปิดหน่วยงานแบบไม่ให้ตั้งตัวได้แบบนี้จึงมีเสียงครหาว่าทรัมป์กำลังบ่มเพาะสถานการณ์ที่จะอาจนำไปสู่ 9/11 ครั้งที่ 2 ได้   
บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 247


ความคิดเห็นที่ 71  เมื่อ 20 ก.พ. 25, 21:52

จะว่าไปแล้ว  ภารกิจของ USAID  ก็แทบจะไม่ต่างอะไรจากภารกิจของหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือด้านการพัฒนาของประเทศอื่นๆ เช่น  NZAID ของนิวซีแลนด์  DFID ของอังกฤษ และ AUSAID ของออสเตรเลียเลย (สองเจ้าหลังนี่เขาโยกให้ไปรวมกับกระทรวงการต่างประเทศมานานแล้ว  ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า NZAID ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกต.นิวซีแลนด์ไปแล้วหรือยังเป็นหน่วยงานที่เป็นเอกเทศอยู่)   ส่วนมหาอำนาจในเอเชียอย่างจีนหรือญี่ปุ่นเองก็มีโครงการคล้ายๆ กัน  ญี่ปุ่นมี JICA จีนมีทั้ง Belt and Road Initiative และก็เงินช่วยเหลือให้แก่รัฐบาลที่เป็นมิตรกับจีนแบบไม่มี strings attached ในรูปแบบต่างๆ    ของไทยเราเองก็มีหน่วยงานคล้ายๆ กับ USAID นั่นก็คือ Thailand International Cooperation Agency (TICA – กรมความร่วมมือระหว่างประเทศ) และ Neighbouring Countries Economic Development Cooperation Agency (NEDA)  เพียงแต่ภารกิจและงบประมาณอาจไม่กว้างขวางเท่าเขา และวิธีการดำเนินงานก็อาจจะต่างกันไปตามวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ 
บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 247


ความคิดเห็นที่ 72  เมื่อ 20 ก.พ. 25, 21:54

ส่วนเรื่องที่มีคนให้ความเห็นว่ายุโรปถูกกดดันโดยจอร์จ โซรอสและฝ่ายซ้ายในอเมริกาให้ยอมรับแนวคิด DEI นั้น  หนูว่าคนเขียนคงเข้าใจผิดค่ะ  เพราะถ้าดูจากประวัติศาสตร์โลกเราก็จะเห็นว่าประเทศในยุโรปนั้นมีความก้าวหน้าในด้านสิทธิเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนมากกว่าสหรัฐฯ ในหลายเรื่อง  แถมยังเข้าสู่หลักชัยในด้านสิทธิบางประการก่อนสหรัฐฯ นานหลายปี   ทวีปยุโรปเป็นทวีปเดียวละมั้งคะที่มีศาลไว้ตัดสินคดีด้านสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะ (The European Court of Human Rights) ส่วนเรื่องสิทธิสตรี สิทธิ LGBTQ สิทธิแรงงาน ฯลฯ ของเขาก็จัดว่าก้าวหน้ากว่าอเมริกาหลายขุม  ดูแค่ผู้นำประเทศก็คงจะเห็นตัวอย่าง  ยุโรปนี่มีผู้นำหญิงมาปกครองประเทศตั้งแต่ปี 1979 แล้ว ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปคนปัจจุบันก็เป็นผู้หญิง แต่อเมริกานี่  นอกจากจะให้สิทธิสตรีได้ออกไปเลือกผู้แทนเป็นของตัวเองช้ากว่าประเทศตะวันตกอื่นๆ แล้ว  ตั้งประเทศมาจะ 250 ปีเข้านี่แล้วก็ยังไม่เคยได้มีปธน.ที่เป็นผู้หญิงเลยสักคนเดียว 
บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 247


ความคิดเห็นที่ 73  เมื่อ 20 ก.พ. 25, 22:05

แต่หนูว่าประเด็นที่เราไม่สามารถมองข้ามได้  ไม่ว่าเราจะมองภารกิจของ USAID ผ่านเลนส์อะไรก็ตาม  ก็คือการที่ทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตและละเมิดอำนาจของรัฐสภาในการสั่งปิดหน่วยงานนี้   (USAID เป็นหน่วยงานที่จัดตั้งโดยรัฐสภาสหรัฐฯ  ถ้าจะปิดรัฐสภาก็ต้องออกพรบ.มาปิด)   ข้ออ้างต่างๆ ที่ทรัมป์นำมาใช้ในการสั่งปิด USAID  นั้นก็เพื่อให้ตัวเองบรรลุแก่อำนาจล้นเหลือเกินขอบเขตที่ปธน.พึงจะมี  (ส่วนอีลอน มัสก์นั่นก็โยนข้อหาคอร์รัปชั่นมาให้หน่วยงานโดยที่ไม่มีหลักฐานใดใดทั้งสิ้นมารองรับ   ที่เอ่ยมาแต่ละอย่างก็เต็มไปด้วย lies and misinformation)   ถ้าทรัมป์ประสบความสำเร็จกับการนี้ก็เท่ากับเขาสามารถเปลี่ยนโครงสร้างการปกครองของประเทศและสถาปนาอำนาจให้แก่ปธน.ขึ้นมาใหม่ได้โดยไม่ต้องแก้รัฐธรรมนูญ  check and balance ก็จะสูญสิ้นไป  เป็นอันตรายมากๆ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 74  เมื่อ 21 ก.พ. 25, 09:22

  เห็นด้วยว่าเมื่อเทียบกับประธานาธิบดีคนก่อนๆ ทั้งหมด  ทรัมป์ดูเป็นคนโฉ่งฉ่าง  เอาแต่ใจ  และประกาศนโยบายออกมาแข็งกร้าวที่สุด แบบไม่แคร์หน้าอินทร์หน้าพรหม    ส่วนในภาคปฏิบัติจะทำได้แค่ไหนอย่างไรนั้นอีกเรื่อง   
  ชาวอเมริกันมีเวลา 4 ปีจะพิสูจน์ว่าทรัมป์ที่ดูเผด็จการกว่าใครๆนั้น สามารถฟื้นฟูประเทศที่กำลังถังแตกขึ้นมาได้จริงหรือไม่     ถ้าหากว่าทำได้จริง ก็ถือว่า  the end justifies the means  คือจะใช้วิธีการยังไงแบบไหนไม่ว่ากัน ถ้าบรรลุผลสำเร็จแล้วถือว่าโอเค    4 ปีข้างหน้ารีพับลิกันน่าจะนอนมาอีก  นับเป็นฝันร้ายของเดโมแครต
     มีเรื่องเล็กๆเรื่องหนึ่งที่ขอถามคุณปัญจมาว่าจริงหรือเปล่า   คือก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยประกาศกร้าวว่าจะจัดการเรื่องเจ้าชายแฮรี่เข้าประเทศได้ทั้งๆยอมรับว่าตัวเองเคยเสพยาเสพติดหลายกรรมหลายวาระ   อันเป็นการขัดต่อกฎระเบียบของอเมริกาที่ห้ามคนติดยาเข้าประเทศ   แต่พอขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีเข้าจริงๆ   ทรัมป์ก็พลิกคำพูด  ไม่ว่าไม่กล่าวซะเฉยๆงั้นแหละ  แถมให้สัมภาษณ์ว่า
    “I’ll leave him alone,” Trump said about Harry. “He’s got enough problems with his wife. She’s terrible.”
    แปลว่า
    " ผมจะไม่ยุ่งกับเขาละ    เขามีปัญหากับเมียมากพอแล้ว  หล่อนเป็นผู้หญิงที่แย่มาก"

    อ่านได้ที่นี่ค่ะ
    https://nypost.com/2025/02/08/us-news/trump-rules-out-deporting-prince-harry-takes-jab-at-meghan-markle/

     ถ้าพยายามมองในแง่ดีก็คือ  ทรัมป์น่าจะได้รับคำขอร้องจากทางอังกฤษว่า  อย่าส่งเจ้าชายกลับมาบ้านอีกเลย  เอาไว้ที่โน่นน่ะดีแล้ว   ขืนท่านไล่เขามา  พวกผมก็บรรลัยขึ้นอีกหลายเท่า
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 9
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.076 วินาที กับ 19 คำสั่ง