เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 9
  พิมพ์  
อ่าน: 19254 ทรัมป์กลับมาแล้ว!
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 247


ความคิดเห็นที่ 75  เมื่อ 22 ก.พ. 25, 10:29

  เห็นด้วยว่าเมื่อเทียบกับประธานาธิบดีคนก่อนๆ ทั้งหมด  ทรัมป์ดูเป็นคนโฉ่งฉ่าง  เอาแต่ใจ  และประกาศนโยบายออกมาแข็งกร้าวที่สุด แบบไม่แคร์หน้าอินทร์หน้าพรหม    ส่วนในภาคปฏิบัติจะทำได้แค่ไหนอย่างไรนั้นอีกเรื่อง   
  ชาวอเมริกันมีเวลา 4 ปีจะพิสูจน์ว่าทรัมป์ที่ดูเผด็จการกว่าใครๆนั้น สามารถฟื้นฟูประเทศที่กำลังถังแตกขึ้นมาได้จริงหรือไม่     ถ้าหากว่าทำได้จริง ก็ถือว่า  the end justifies the means  คือจะใช้วิธีการยังไงแบบไหนไม่ว่ากัน ถ้าบรรลุผลสำเร็จแล้วถือว่าโอเค    4 ปีข้างหน้ารีพับลิกันน่าจะนอนมาอีก  นับเป็นฝันร้ายของเดโมแครต
     มีเรื่องเล็กๆเรื่องหนึ่งที่ขอถามคุณปัญจมาว่าจริงหรือเปล่า   คือก่อนหน้านี้ ทรัมป์เคยประกาศกร้าวว่าจะจัดการเรื่องเจ้าชายแฮรี่เข้าประเทศได้ทั้งๆยอมรับว่าตัวเองเคยเสพยาเสพติดหลายกรรมหลายวาระ   อันเป็นการขัดต่อกฎระเบียบของอเมริกาที่ห้ามคนติดยาเข้าประเทศ   แต่พอขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีเข้าจริงๆ   ทรัมป์ก็พลิกคำพูด  ไม่ว่าไม่กล่าวซะเฉยๆงั้นแหละ  แถมให้สัมภาษณ์ว่า
    “I’ll leave him alone,” Trump said about Harry. “He’s got enough problems with his wife. She’s terrible.”
    แปลว่า
    " ผมจะไม่ยุ่งกับเขาละ    เขามีปัญหากับเมียมากพอแล้ว  หล่อนเป็นผู้หญิงที่แย่มาก"

    อ่านได้ที่นี่ค่ะ
    https://nypost.com/2025/02/08/us-news/trump-rules-out-deporting-prince-harry-takes-jab-at-meghan-markle/

     ถ้าพยายามมองในแง่ดีก็คือ  ทรัมป์น่าจะได้รับคำขอร้องจากทางอังกฤษว่า  อย่าส่งเจ้าชายกลับมาบ้านอีกเลย  เอาไว้ที่โน่นน่ะดีแล้ว   ขืนท่านไล่เขามา  พวกผมก็บรรลัยขึ้นอีกหลายเท่า

ขออนุญาตออกความเห็นเพิ่มเติมตรง   "ชาวอเมริกันมีเวลา 4 ปีจะพิสูจน์ว่าทรัมป์ที่ดูเผด็จการกว่าใครๆนั้น สามารถฟื้นฟูประเทศที่กำลังถังแตกขึ้นมาได้จริงหรือไม่"   นะคะ 

หนูมองว่าปัญหาหลักาคือทรัมป์ไม่มีความตั้งใจที่จะฟื้นฟูประเทศมากกว่าค่ะ   เพราะถ้าตั้งใจจริงก็ควรจะมีแผนงานสำหรับเพิ่มรายได้ลดรายจ่ายที่เป็นรูปธรรมและรอบคอบกว่านี้    แทนที่จะลดภาษีคนรวยแล้วไปตัดรายจ่ายสำหรับโครงข่ายสังคมหรือประกันสุขภาพสำหรับคนยากคนจน  หรือขึ้นภาษีสินค้านำเข้าให้ชาวบ้านเดือดร้อนอย่างที่ทำอยู่ตอนนี้    การสั่งปิดหน่วยงานหรือ lay off ข้าราชการเป็นหมื่นๆ คนโดยอ้างว่าเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายรัฐของทรัมป์นั้นเป็นไปอย่างฉุกละหุกและสับสนวุ่นวาย   ทำให้ประเทศชาติเสียหายมากกว่าจะเป็นผลดี    ไม่มีใครเถียงเรื่องความจำเป็นที่จะต้องตัด wasteful spending in government  แต่วิธีการที่นำมาใช้นั้นต้องไม่ผิดกฎหมาย  ไม่ละเมิดอำนาจของฝ่ายอื่น  และให้เวลาคนที่ได้รับผลกระทบได้เตรียมตัวรวมทั้งชดเชยให้เขา   
บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 247


ความคิดเห็นที่ 76  เมื่อ 22 ก.พ. 25, 10:30

ส่วนเรื่องแฮร์รี่นั้นหนูคงไม่มีข้อมูล inside อะไรจะมาแบ่งปันหรอกค่ะ   ที่พอจะอธิบายได้ก็คือคนส่วนใหญ่มักจะโกหกกันทั้งนั้นเวลาตอบคำถามเรื่อง drug use ในแบบฟอร์มการขอวีซ่าเข้าสหรัฐฯ    Immgration ของที่โน่นเขาก็ไม่มีเวลาหรือทรัพยากรไปตามเช็คดูหรอกว่าใครโกหกบ้าง  ยกเว้นแต่ว่าจะมีประวัติในอดีตที่สืบค้นได้  หรือมีกรณีใหม่ๆ ขึ้นมาให้สอบสวน เช่น ไปทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดหลังจากที่เข้ามาพำนักอาศัยในอเมริกา   เมื่อนั้นแหละเขาถึงจะดำเนินคดีโทษฐานให้ข้อมูลเท็จกับทางการเพิ่มอีกคดีหนึ่ง

สำหรับกรณีแฮร์รี่นั้นยังไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น  สิ่งที่แฮร์รี่ยอมรับว่าทำนั้นก็เกิดในสมัยเขายังเป็นวัยรุ่นอยู่   (พฤติกรรมในตอนโตก็แสดงให้เห็นว่า he cleaned up pretty well)  ที่มันเป็นข่าวขึ้นมาในช่วงนี้ก็เพราะแฮร์รี่อธิบายในหนังสือของตัวเองว่าหลังพระมารดาสวรรคตนั้นตัวเองเคว้งคว้างขนาดไหน  แรงกดดันจากสื่อต่อเด็กวัยรุ่นกำพร้าแม่คนหนึ่งนั้นมันหนักหนาเพียงไร   ผู้สนับสนุนทรัมป์คนหนึ่งที่ Heritage Foundation เห็นเป็นโอกาสดีที่จะใช้เรื่องนี้ harass the couple และโจมตีไบเดน  ก็เลยไปยื่นฟ้องศาลให้เปิดเผยข้อมูลการขอวีซ่าของแฮร์รี่เพื่อให้คนมองว่าไบเดนให้อภิสิทธิ์กับแฮร์รี่มากเกินไป
บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 247


ความคิดเห็นที่ 77  เมื่อ 22 ก.พ. 25, 10:31

พื้นฐานหนึ่งของทรัมป์ที่เราต้องตระหนักก็คือการเป็นเซลส์อสังหาที่ปั้นน้ำเป็นตัวและพูดจากลับกลอกอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ขาย “สินค้า” ได้  (เพียงแต่เมื่อเข้ามาในแวดวงการเมืองแล้ว สินค้าที่ว่านั้นคือตัวเอง ไม่ใช้ตึกสูงระฟ้าในมหานครหรือสนามกอล์ฟ)    หนูเลยมองว่า  ถ้าเราจะคอยตั้งคำถามระหว่างสิ่งที่ทรัมป์พูดกับสิ่งที่ทรัมป์ทำตลอดเวลาที่เขาอยู่ในวงจรข่าวนั้นเราคงจะเหนื่อยเปล่า  เพราะเราไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยว่าทรัมป์จะทำตามที่พูดหรือเปล่าจนกว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ นั่นแหละ    แต่สิ่งหนึ่งที่ทรัมป์ชอบทำคือเก็บเรื่องบางเรื่องไว้เป็น leverage เอาไว้ใช้ประโยชน์เมื่อถึงเวลาที่จำเป็น   อาจเป็นไปได้ว่าตอนนี้ทรัมป์ยังไม่เห็นประโยชน์จากการทำเช่นนั้น  

อีกเหตุผลหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะว่าทรัมป์รับมรดกเรื่องความคลั่งไคล้ราชวงศ์มาจากแม่ของตัวเองค่อนข้างมาก   ในแวดวงสังคมชั้นสูงของนิวยอร์คนั้นมีความลับที่ปิดไม่มิดเรื่องหนึ่ง   นั่นคือเรื่องที่แม่ของทรัมป์เป็นผู้อพยพเข้าเมืองจากชนชั้นล่าง  เดินทางหนีความยากจนจากหมู่บ้านชาวประมงในสก็อตแลนด์มายังนิวยอร์คในยุค 1920s  เคยเป็นคนรับใช้ในคฤหาสน์ของอภิมหาเศรษฐีแอนดรูว์ คาร์เนกี้และภรรยาก่อนจะมาแต่งงานกับพ่อทรัมป์    สำหรับคนทั่วไปนั้นเรื่องนี้อาจไม่ใช่เรื่องที่น่าอายอะไร  แต่ดูเหมือนว่าทรัมป์จะพยายามขายเวอร์ชั่นของตัวเองให้คนอื่นหลงเชื่อว่าแม่มาท่องเที่ยวที่อเมริกาแล้วตัดสินใจปักหลักอยู่ที่นี่      

ด้วยความที่มิสซิสทรัมป์เป็นชาวสก็อตสมัยที่จักรวรรดิอังกฤษยังรุ่งเรือง  นางเลยหลงใหลคลั่งไคล้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับราชวงศ์อังกฤษ      ตอนที่สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบ็ธขึ้นครองราชย์ก็เฝ้าดูการถ่ายทอดพระราชพิธีทางทีวีอย่างใจจดใจจ่อ   ส่วนทรัมป์นั้น  ปมด้อยจากการที่เคยถูกดูแคลนโดยคนในสังคมชั้นสูงของนิวยอร์คทำให้ทรัมป์ชอบอะไรที่มันยิ่งใหญ่ เป็นพิธีรีตอง และแสดงให้เห็นถึงอำนาจหรือสถานะอันสูงส่ง  เช่น ปราสาทอังกฤษ พิธีสวนสนาม งานเลี้ยงพระราชทาน และอะไรก็ตามที่เคลือบทองฯลฯ   นอกจากนี้เราจะเห็นได้ว่า  ในอดีตนั้นทรัมป์มักจะพูดถึงกษัตริย์อังกฤษในแง่ดีเสมอและพยายามแอบอ้างด้วยว่าตัวเองมีความสัมพันธ์ที่ดีกับราชวงศ์      สมัยไดอาน่ายังมีชีวิตอยู่ก็เคยเต้าข่าวมาแล้วว่าไดอาน่่กับชาร์ลส์จะมาซื้ออสังหาจากเขา    พอคู่นี้เขาหย่ากันทำให้ไดอาน่ามาใช้เวลาในอเมริกามากขึ้น  ทรัมป์ก็เร่ขายขนมจีบแก่ไดอาน่าอย่างเปิดเผย  (แต่ไดอาน่าเคยบอกเพื่อนสนิทว่าหยะแหยงทรัมป์มาก)  
บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 247


ความคิดเห็นที่ 78  เมื่อ 22 ก.พ. 25, 10:32


นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าทรัมป์ไม่น่าจะทำอะไรที่เป็นการไม่ไว้หน้ากษัตริย์ชาร์ลส์   อย่าลืมว่าแฮร์รี่อาจจะแตกหักกับพี่ชาย  กับสื่ออังกฤษ  และกับข้าราชบริพารหัวเก่าในวังก็จริง   แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกนี่ยังไงก็ตัดกันไม่ขาด  ถึงแม้แฮร์รี่จะเคยให้สัมภาษณ์ว่าพ่อไม่ยอมรับโทรศัพท์จากเขาแล้ว  แต่นั่นคือหลังจากที่แฮร์รี่กับวิลเลี่ยมมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง  และหลังจากที่แฮร์รี่กับเมแกนอพยพไปอเมริกาใหม่ๆ แล้วไปพูดเรื่องภายในของครอบครัวในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับโอปร่าห์  โดยกล่าวหาว่ามีคนในราชวงศ์ดูหมิ่นเมแกนเพราะสีผิวของเธอ
 
แต่พระราชพิธีเฉลิมฉลองการครองราชย์ครบ 70 ปีของควีนเอลิซาเบ็ธในปี 2022 นั้นทำให้แฮร์รี่ได้โอกาสพาลูกชายคนโตและลูกสาวคนสุดท้องที่เกิดในอเมริกาไปพบพ่อ  ตอนนั้นมีรายงานข่าวว่าาชาร์ลส์ดีใจมากที่ได้ใช้เวลากับหลานๆ   ตอนที่สน.พระราชวังประกาศว่าชาร์ลส์เป็นโรคมะเร็งก็มีรายงานข่าวว่าแฮร์รี่บินไปหาพ่อที่อังกฤษ   ดังนั้น  การที่คอลัมนิสต์ข่าวซุบซิบทั้งหลายมองว่าแฮร์รี่ไม่เป็นที่ต้องการของราชวงศ์อีกต่อไปแล้วก็อาจจะเป็นแค่มุมมองของคนนอกครอบครัวก็เป็นได้      แล้วการเพิกถอนวีซ่าของบุคคลสำคัญทางการทูตนี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะคะ   ทรัมป์เองก็อาจจะคิดว่าถ้าตัดสินใจตะเพิดลูก (ซึ่งเป็นไปได้ว่ายังใช้พาสปอร์ตสำหรับราชวงศ์อยู่) ก็จะสะเทือนถึงความสัมพันธ์กับชาร์ลส์ได้    ถ้าทำแล้วไม่ได้อะไรก็อย่าทำดีกว่า     
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16057



ความคิดเห็นที่ 79  เมื่อ 25 ก.พ. 25, 11:35

นี่อาจเป็นการประท้วงที่งดงามที่สุดครั้งหนึ่ง ยิงฟันยิ้ม

เมื่อวาน (๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๐๒๕) คณะนักร้องประสานเสียงกองทัพสหรัฐฯ ได้ร้องเพลง Do You Hear the People Sing? จากละครเพลงชื่อดัง Les Misérables ในงาน White House Governors Ball ซึ่งจัดขึ้นโดยโดนัลด์และเมลาเนีย ทรัมป์

ข่าวจาก people.com



การประท้วงนี้เกิดขึ้นหลังจากเมื่อไม่นานมานี้ ทรัมป์ประกาศเป็นนัย ๆ ว่าเขาเป็น "กษัตริย์" ตกใจ


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 80  เมื่อ 26 ก.พ. 25, 11:12

ฤทธานุภาพของประธานาธิบดีคนใหม่ เริ่มแผ่กระจายไปหลายสาขาหน่วยงาน    เอากะพี่แกซี !!
ต้องขอคุณปัญจมา มาไขข้อข้องใจกรณีนี้แล้วซีคะ  ว่าเหตุใดประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ สั่งปลดประธานคณะผู้บัญชาการเหล่าทัพร่วม พลอากาศเอกซีคิว บราวน์ ซึ่งถือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางทหารสูงสุดของกองทัพสหรัฐฯ

คำสั่งดังกล่าวประกาศออกมาในช่วงค่ำวันศุกร์ตามเวลาในสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นการปลดอดีตนักบินของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ผู้เป็นที่ยอมรับนับถือของเจ้าหน้าที่ในกองทัพ และเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายถอดถอนผู้นำในกองทัพที่สนับสนุนความหลากหลายและความเท่าเทียมในลำดับชั้นการบัญชาการ ตามรายงานของเอพี

พลอากาศเอกบราวน์ คือนายทหารผิวดำคนที่สองในประวัติศาสตร์ที่ได้นั่งในตำแหน่งประธานคณะผู้บัญชาการเหล่าทัพร่วม โดยเขาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนี้เมื่อ 16 เดือนก่อนในสมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ขณะที่กำลังเกิดสงครามในยูเครนและตะวันออกกลาง

ทั้งนี้ ในสหรัฐฯ ประธานาธิบดีคือผู้ดำรงตำแหน่ง Commander-in-chief (จอมทัพ) โดยมีประธานคณะผู้บัญชาการเหล่าทัพร่วมเป็นผู้ให้คำปรึกษาสูงสุดด้านการทหาร

ปธน.ทรัมป์ โพสต์ทางสื่อสังคมออนไลน์ในวันศุกร์ว่า "ขอขอบคุณพลเอกชาลส์ 'ซีคิว' บราวน์ สำหรับการทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติมาตลอดกว่า 40 ปี รวมถึงตำแหน่งประธานคณะผู้บัญชาการเหล่าทัพร่วมในปัจจุบัน เขาเป็นสุภาพบุรุษและเป็นผู้นำที่โดดเด่น และขอให้เขาและครอบครัวมีอนาคตที่ดีเยี่ยม"

ข่าวนี้สร้างแรงสะเทือนไปทั่วกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ โดยทรัมป์ได้เสนอชื่อพลอากาศโท แดน เคน ให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะผู้บัญชาการเหล่าทัพร่วมคนต่อไป

https://www.voathai.com/a/trump-fires-chairman-of-joint-chiefs-of-staff-/7984243.html?fbclid=IwY2xjawIrcu1leHRuA2FlbQIxMAABHT_HnaX75f7DYGq46QnklwpArev-uiQjtoSxZVncLdD0CoC1Xa2tlj-ffQ_aem_4dOYbcD9Wzq18IPjzs899w


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 81  เมื่อ 26 ก.พ. 25, 11:16

 ข่าวนี้ "แนวหน้า" ก็ลงเหมือนกัน  แต่แปลยศและตำแหน่งทางทหารไม่ตรงกัน   ไม่ทราบอย่างไหนถูกต้องค่ะ

วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2568 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ออกคำสั่งใน ปลดพลอากาศเอก ซี. คิว. บราวน์ จูเนียร์ (Charles Quinton Brown Jr.) เป็นประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมของสหรัฐ ออกจากตำแหน่ง พร้อมทั้งปลดนายทหารยศพลเรือเอก และพลเอกอีก 5 ราย ในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของผู้นำกองทัพที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

นายทรัมป์ โพสต์ข้อความผ่านทางแพลตฟอร์ม “ทรูธ โซเชียล” สื่อสังคมออนไลน์ของเขาเอง ระบุว่าเขาจะเสนอชื่อ พลโทแดน “เรซิน” เคน อดีตนายทหาร ให้ดำรงตำแหน่งแทนพลอากาศเอกบราวน์ ซึ่งทำลายธรรมเนียมปฏิบัติด้วยการนำบุคคลที่เกษียณอายุไปแล้วกลับมาดำรงตำแหน่งนายทหารระดับสูงสุดของกองทัพอีกครั้งเป็นครั้งแรก

พลอากาศเอกบราวน์ เป็นนายทหารผิวดำคนที่ 2 ที่ได้ดำรงตำแหน่งประธานคณะเสนาธิการร่วม  ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีตำแหน่งสูงสุดในกองทัพ และเป็นที่ปรึกษาด้านการทหารหลักของประธานาธิบดีสหรัฐ เขาจะครบวาระการดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 4 ปี ในเดือนกันยายน 2027

กระทรวงกลาโหมกล่าวด้วยว่า นายทรัมป์ ยังจะโยกย้ายผู้บัญชาการทหารเรือ ที่ขณะนี้เป็นของพลเรือเอกหญิงลิซา ฟรานเช็ตติ สตรีคนแรกที่ได้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือ ออกจากตำแหน่ง รวมถึงเปลี่ยนตัวรองเสนาธิการทหารอากาศด้วย
https://www.naewna.com/inter/863632
บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 247


ความคิดเห็นที่ 82  เมื่อ 26 ก.พ. 25, 20:58

ข่าวนี้ "แนวหน้า" ก็ลงเหมือนกัน  แต่แปลยศและตำแหน่งทางทหารไม่ตรงกัน   ไม่ทราบอย่างไหนถูกต้องค่ะ

CQ Brown เป็น full General (4-star) ค่ะอาจารย์  ส่วนนายพล Dan Caine นั้นเป็นนายพลทอ.ที่เกษียณด้วยยศ Lt. Gen (3-star)  ภาษาไทยใช้พลอากาศโทน่าจะถูกต้องแล้ว   กองทัพอเมริกาเขาจะต่างจากเรานิดหน่อยเรื่องยศ ของเรามียศนายพลแค่ 3 ระดับ (แต่มีจำนวนนายพลน่าจะหลายพันอยู่)  ส่วนของเขามีนายพลน้อยกว่าเราเกือบสิบเท่า  แต่มียศนายพล 4 ระดับ คือ เอก โท  ตรี (2-star) และจัตวา (Brigadier General, 1-star)

ทรัมป์ไม่ได้อธิบายว่าไล่ CQ Brown ออกทำไม แต่ถ้าจะให้เดาก็คงเป็นเพราะบราวน์ไม่ได้แสดงออกว่าจะจงรักภักดีต่อทรัมป์มากกว่าประเทศชาติหรือรัฐธรรมนูญ  เพราะคนอื่นๆ ที่ทรัมป์เลือกก็ล้วนแล้วแต่เป็น Yes Man/Woman ทั้งสิ้น   (มีข่าวมาสักพักแล้วว่าตั้งแต่ทรัมป์เข้ามารับตำแหน่งนี่บราวน์ไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมฟังหรือร่วมรายงานสถานการณ์อะไรเลย)  ส่วนรมว.กลาโหมพีท เฮ็กเซ็ธนั้นก็หมายหัวบราวน์มานานแล้ว  เคยให้สัมภาษณ์สื่อก่อนเข้ามารับตำแหน่งว่าต้องไล่คนนี้ออก (โดยอ้างว่าเพราะบราวน์โฟกัสกับเรื่อง DEI มากเกินไปจนทำให้ประสิทธิภาพของกองทัพตกต่ำ) ในหนังสือที่เขาตีพิมพ์เมื่อปีกลาย เฮ้กเซ็ธก็ตั้งคำถามด้วยว่าบราวน์ได้ตำแหน่งนี้เพราะความสามารถหรือเพราะสีผิวกันแน่    ส่วนคนที่ทรัมป์ตั้งมาแทนบราวน์นั้นก็ผิดธรรมเนียมกองทัพตรงที่ไม่ได้มียศ 4-star General เหมือนคนก่อนๆ

ปล. ถ้าใครอยากทราบว่าอเมริกามีนายพลเท่าไหร่ก็ไปเปิดดูได้ที่นี่นะคะ เขาไม่ได้ถือว่าเป็นความลับทางทหารหรือมองว่าการเปิดเผยจำนวนนายพลในกองทัพจะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติแต่อย่างใด  https://www.armorial-register.com/how-many-generals-are-in-us-military/#google_vignette

บันทึกการเข้า
ประกอบ
สุครีพ
******
ตอบ: 1409


ความคิดเห็นที่ 83  เมื่อ 26 ก.พ. 25, 22:17

อยากถามคุณปัญจมาด้วยครับ ว่าตั้งแต่ทรัมป์เริ่มงานมาสองสามเดือนมานี้ พวกที่สนับสนุนทรัมป์ หรือเลือกทรัมป์มา ตอนนี้ยังเหนียวแน่นเหมือนเดิมไหม เพราะเห็นไล่คนออกเป็นว่าเล่น ค่ายาก็แพงขึ้น น่าจะมีส่วนที่กระทบชาวบ้านกันแล้ว แล้วพวกเค้าคิดยังไงกัน
บันทึกการเข้า

วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 247


ความคิดเห็นที่ 84  เมื่อ 27 ก.พ. 25, 09:27

อยากถามคุณปัญจมาด้วยครับ ว่าตั้งแต่ทรัมป์เริ่มงานมาสองสามเดือนมานี้ พวกที่สนับสนุนทรัมป์ หรือเลือกทรัมป์มา ตอนนี้ยังเหนียวแน่นเหมือนเดิมไหม เพราะเห็นไล่คนออกเป็นว่าเล่น ค่ายาก็แพงขึ้น น่าจะมีส่วนที่กระทบชาวบ้านกันแล้ว แล้วพวกเค้าคิดยังไงกัน

ปฏิกิริยาค่อนข้างผสมปนเปกันไปค่ะ 

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทรัมป์ได้รับเสียงโหวตจากมหาชนมากกว่าคู่แข่งในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาก็เป็นเพราะว่า  คนอเมริกันส่วนใหญ่รู้สึกผิดหวังกับภาครัฐที่ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาดีขึ้น    เพราะฉะนั้นก็มีคนจำนวนมากที่เชื่อว่าหน่วยงานรัฐบาลกลางเป็นอะไรที่สิ้นเปลือง  ใช้เงินภาษีไปกับเรื่องส่งเสริมสิทธิทรานส์  เรื่องการยุติการตั้งครรภ์โดยไม่ผิดกฎหมาย  เรื่องโอบรับคนอพยพเข้าเมือง  หรืออะไรอื่นที่ไม่ส่งผลต่อปากท้องของพวกเขา    ดังนั้นคนจำนวนหนึ่งจึงมองว่าทรัมป์ทำถูกที่ตัดงบประมาณส่วนนี้ออก   

นอกจากนั้น ยังมีผู้สนับสนุนทรัมป์จำนวนหนึ่งที่เชื่อทุกอย่างที่เขาพูดว่าเป็นความจริง  รวมทั้งเสพแต่ข่าวสารจากสื่อฝ่ายขวา เช่น Fox News และ OAN หรือ podcast และ youtube ที่มีคนดังฝั่ง MAGA เป็นผู้ดำเนินรายการ   พอได้ยินทรัมป์กับพรรคพวกย้ำออกสื่อบ่อยๆ ว่ามีการฉ้อโกง การใช้เงินภาษีอย่างฟุ่มเฟือย  และการใช้อำนาจเกินขอบเขตหรือเพื่อประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องในหน่วยงานของรัฐบาลกลาง (fraud, waste and abuse) ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้มารองรับ  ก็พากันรู้สึกว่าทรัมป์มาถูกทางแล้ว
บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 247


ความคิดเห็นที่ 85  เมื่อ 27 ก.พ. 25, 09:33

แต่ถ้าจะดูจากแผนภาพที่ CNN นำมาแสดงก็จะเห็นว่า   ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการปลดคนในหน่วยงานของรัฐบาลกลางจำนวนมากถึงเกือบหนึ่งล้านคนเป็นผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งในรัฐต่างๆ ที่ทรัมป์ได้รับชัยชนะ  ดังนั้น  สส.ในรัฐเหล่านี้จึงได้รับแรงกดดันจากฐานเสียงของตัวเองค่อนข้างมาก    เพราะปกติราคาข้าวของก็แพงอยู่แล้ว  ไม่เห็นจะถูกลงเหมือนที่ทรัมป์สัญญาไว้    พอมาถูกปลดออกจากงานอีกก็ยิ่งแย่หนัก   เวลาผู้แทนเหล่านี้จัดประชุมแบบ townhall กับฐานเสียงก็เลยเกิดการปะทะคารมกันอย่างดุเดือด   มีคนถามคำถามอย่างซื่อๆ ด้วยว่าทำไมพรรคที่ได้ชื่อว่าเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมถึงเห็นดีเห็นงามไปกับการกระทำแบบถอนรากถอนโคนของอีลอน มัสก์  เพราะมันช่าง radical  และ extreme  ไม่สอดคล้องกับแนวทางอนุรักษ์นิยมเลย


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 247


ความคิดเห็นที่ 86  เมื่อ 27 ก.พ. 25, 09:36

โพลของวอชิงตันโพสต์ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า  53% ของคนอเมริกันไม่เห็นด้วยกับแนวทางด้านเศรษฐกิจของทรัมป์  ส่วนโพลของ CNN นั้นชี้ว่า  62% ของคนอเมริกันรู้สึกว่าทรัมป์ยังไม่ได้ทำอะไรที่ช่วยให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคมันถูกลงเลย  และโพลของรอยเตอร์สระบุว่า  42% ของคนอเมริกันเท่านั้นที่สนับสนุนการปรับโครงสร้างภาครัฐด้วยการปลดคนออก ขณะที่คนที่ไม่เห็นด้วยมีมากถึง 53%

แต่ด้วยเหตุที่ทรัมป์ไม่ใช่คนที่ต้องมาคอยเป็นหนังหน้าไฟรับแรงปะทะในพื้นที่เหมือนสส.พรรคบางคน  และไม่เคยยอมรับว่าตัวเองผิด  เวลาใครถามก็ยังยืนกรานอยู่นั่นแหละว่ามีแต่คนสนับสนุนนโยบายของเขากันทั้งนั้น
   
บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 247


ความคิดเห็นที่ 87  เมื่อ 27 ก.พ. 25, 09:47

นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่า  ทรัมป์คงหวังว่าความสับสนวุ่นวายต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน  ทั้งด้วยฝีมือของเขาเองและโดยปธน.เงาอีลอน มัสก์นั้น  จะช่วยหันเหความสนใจของคนออกไปจากการที่ราคาสินค้าในช่วงนี้แพงขึ้นได้  (ตั้งแต่ทรัมป์เข้ามารับตำแหน่งนี่ไข่ขาดตลาดอย่างรุนแรงเพราะปัญหาเรื่อง bird flu แพร่ระบาด  แต่ทรัมป์ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรที่จะช่วยให้สินค้ามันถูกลงเลย  แถมยังเพิ่งภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าอีก)   แต่ดิฉันมองว่าถ้าคิดอย่างนั้นก็เท่ากับยอมรับว่าทรัมป์มี strategy หรือยุทธศาสตร์ในการเล่นเกมการเมือง  ซึ่งดิฉันไม่เชื่อว่าเขามี  เพราะทุกอย่างที่ได้อ่านและฟังเกี่ยวกับทรัมป์นั้นทำให้เห็นว่า  ทรัมป์เป็นแค่ a bully and a liar ที่ประเมินค่าของตัวเองสูงกว่าความเป็นจริงมาก  และไม่อยู่กับร่องกับรอย  ง่ายต่อการ manipulate           
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 88  เมื่อ 27 ก.พ. 25, 15:48

กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ออกบันทึกข้อความถึงศาลเมื่อวันพุธ (26 ก.พ.) โดยระบุให้มีการ “แยก” ทหารข้ามเพศออกจากกองทัพ เว้นเสียแต่จะมีข้อยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งเท่ากับเป็นการห้ามไม่ให้คนกลุ่มนี้เข้าร่วมหรือปฏิบัติภารกิจในกองทัพไปโดยปริยาย

ความเคลื่อนไหวนี้ถือว่าไปไกลกว่าคำสั่งบริหารของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ใช้กับกลุ่มคนข้ามเพศในช่วงรัฐบาลเทอมแรก และนักเคลื่อนไหวชี้ว่ารุนแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ทรัมป์ ได้ลงนามคำสั่งบริหารเมื่อเดือนที่แล้วโดยพุ่งเป้าโจมตีไปยังประเด็นส่วนบุคคลของคนข้ามเพศ กล่าวคือมีการระบุว่า ชายที่ประกาศตัวเป็นหญิงนั้น “ไม่สอดคล้องกับหลักความอ่อนน้อม (humility) และความไม่เห็นแก่ตัว (selflessness) ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ทหารต้องมี”

เพนตากอนประกาศในเดือนนี้ว่า กองทัพสหรัฐฯ จะไม่อนุญาตให้คนข้ามเพศเข้ารับราชการอีกต่อไป และจะหยุดให้บริการรักษาแปลงเพศแก่บุคลากรกองทัพด้วย

ล่าสุด บันทึกข้อความที่ออกเมื่อค่ำวันพุธ (26) ถือเป็นการขยายคำสั่งแบนให้ครอบคลุมถึงบุคลากรกองทัพสหรัฐฯ ในปัจจุบัน

เนื้อหาของบันทึกข้อความกำหนดให้กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ไปดำเนินการระบุตัวตนทหารที่เป็นคนข้ามเพศภายใน 30 วัน และให้ “ปลดประจำการ” ทหารกลุ่มนี้ภายใน 30 วันหลังจากนั้น

“รัฐบาลสหรัฐฯ มีนโยบายที่จะสร้างมาตรฐานที่สูงขึ้นในด้านความพร้อม (readiness) ความร้ายกาจในการทำลายล้าง (lethality) การทำงานร่วมกัน (cohesion) ความซื่อสัตย์ (honesty) ความอ่อนน้อม (humility) ความเป็นแบบเดียวกัน (uniformity) และบูรณภาพ (integrity) ของทหาร” บันทึกข้อความซึ่งลงวันที่ 26 ก.พ. ระบุ

“นโยบายดังกล่าวนี้ไม่อาจไปกันได้กับข้อจำกัดทางการแพทย์ การผ่าตัด และสุขภาพจิตของบุคคลที่มีความทุกข์ใจในเพศสภาพของตัวเอง (gender dysphoria) หรือได้รับการวินิจฉัย หรือมีประวัติแสดงอาการทุกข์ใจในเพศสภาพ”

ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ไม่ได้มีข้อกำหนดให้ทหารต้องระบุว่าตนเองเป็นคนข้ามเพศหรือไม่ และไม่มีข้อมูลสถิติที่แน่นอนว่าปัจจุบันมีทหารข้ามเพศอยู่มากน้อยเท่าไหร่

เพนตากอนระบุว่า คำสั่งนี้จะมีข้อยกเว้นให้เฉพาะกรณีที่รัฐบาล “มีเหตุอันสมควรที่จะต้องคงบุคลากรคนดังกล่าวเอาไว้ เพื่อสนับสนุนศักยภาพในการทำสงคราม”

เพื่อที่จะได้รับการยกเว้น ทหารทุกนายยังต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามเกณฑ์ที่กำหนด เช่น “แสดงออกถึงเพศที่เสถียรต่อเนื่องเป็นเวลา 36 เดือน โดยปราศจากความเครียดในทางคลินิก”

ระหว่างดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ เทอมแรกเมื่อช่วงปี 2017-2021 ทรัมป์ประกาศจะแบนไม่ให้คนข้ามเพศรับราชการในกองทัพเลย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำตามที่ขู่ เพียงแต่แช่แข็งการรับคนเพิ่ม และยังคงอนุญาตให้บุคลากรข้ามเพศปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้

“ขอบเขตและความรุนแรงของคำสั่งแบนครั้งนี้ไม่เคยมีมาก่อน และมันเท่ากับขับไล่คนข้ามเพศออกจากกองทัพ” แชนนอน มินเตอร์ จากศูนย์เพื่อสิทธิเลสเบียนแห่งชาติ (National Center for Lesbian Rights - NCLR) ระบุ

พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เคยออกมารับรองในเดือนนี้ว่า บุคลากรกองทัพที่มีความทุกข์ใจในเพศสภาพ “จะได้รับการปฏิบัติอย่างให้เกียรติและเคารพ”

ปัจจุบันกองทัพสหรัฐฯ มีทหารประจำการเต็มเวลาราว 1.3 ล้านนายตามข้อมูลจากกระทรวงกลาโหม และแม้นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิคนข้ามเพศจะระบุว่ามีทหารข้ามเพศอยู่มากถึง 15,000 นาย แต่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยืนยันว่า ตัวเลขที่แท้จริงน่าจะอยู่แค่หลัก “พันต้นๆ”

ผลสำรวจของแกลลัปที่เผยแพร่ในเดือนนี้ระบุว่า ชาวอเมริกัน 58% สนับสนุนให้คนข้ามเพศสามารถรับราชการในกองทัพได้ ทว่าลดลงจากสถิติ 71% เมื่อปี 2019

ที่มา : รอยเตอร์
https://mgronline.com/around/detail/9680000019395#google_vignette

ต้องถามคุณปัญจมาอีกแล้ว  ข่าวนี้จริงหรือคะ
บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 247


ความคิดเห็นที่ 89  เมื่อ 27 ก.พ. 25, 19:32

เห็นผู้จัดการระบุว่าต้นทางมาจากข่าวของรอยเตอร์สก็น่าจะเป็นข่าวนี้นะคะ อาจารย์

https://www.reuters.com/world/us/transgender-us-service-members-will-be-separated-military-unless-exempted-2025-02-27/

ปล. ใครที่ตามข่าวต่างประเทศอยู่  ถ้าอยากได้แหล่งข้อมูลที่เที่ยงตรงเชื่อถือได้  และมีกระบวนการตรวจสอบเนื้อหาอย่างเป็นระบบ ก็อยากแนะนำให้ตามข่าวของรอยเตอร์สค่ะ  เขาเป็นสำนักข่าวที่ทำงานอย่างโปร่งใสจริงๆ  มีการระบุทั้งผู้รายงานข่าวและผู้ที่ทำหน้าที่ตรวจทาน (edited) ก่อนพิมพ์เผยแพร่ให้ผู้อ่านทราบด้วย   
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 9
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.061 วินาที กับ 19 คำสั่ง