เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 12
  พิมพ์  
อ่าน: 23887 ทหารอาสาแห่งกรุงสยาม
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 60  เมื่อ 15 ส.ค. 24, 11:06

วันที่ 25 พฤษภาคม 2461 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พันตรีหลวงรามฤทธิรงค์ นำทหารกองทหารบกรถยนต์ทุกนายที่จะไปราชการสงคราม แต่งกายเต็มยศด้วยเครื่องแบบสีกากีตามแบบอย่างที่จะใช้แต่งในการรบ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ สนามด้านทิศตะวันออกของพระที่นั่งอนันตสมาคม

เมื่องานเลี้ยงดำเนินไปได้เป็นเวลาพอสมควร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสแด่ทหารอาสาทุกนาย

“ดูกรท่านทหารทั้งหลาย

ข้าพเจ้าเชิญท่านทั้งหลายมาสโมสรประชุมและเลี้ยงส่งทหาร ซึ่งจะออกไปนอกประเทศวันนี้ ก็เพื่อจะแสดงความยินดีของข้าพเจ้าผู้เป็นจอมทัพบก และซึ่งรู้สึกเกียรติยศว่านับตัวได้ว่าเป็นหัวหน้าของท่านทั้งหลาย
นานมาแล้วทหารไทยเรายังมิได้ทำการยุทธนอกประเทศ เพราะฉะนั้นก็ต้องนับว่าในการที่ได้มีโอกาสคราวนี้เป็นโอกาสสำคัญอันหนึ่งในหมู่พวกเราที่เป็นทหารไทย ควรจะรู้สึกว่าพวกเราทั้งหลายที่ไปในครั้งนี้เหมือนเป็นผู้ที่จะไปทำให้พงศาวดารไทยรุ่งเรืองงดงาม  เป็นผู้ประดิษฐ์หน้าอันหนึ่งในพงศาวดารชาติเราให้ลูกหลานที่สืบสายโลหิตได้รู้สึกภูมิใจเมื่อพลิกเห็นหน้านี้

ในการที่เราทั้งหลายจะออกครั้งนี้ ถึงจำนวนเราน้อยก็จริงอยู่แต่ขอให้รู้ว่าข้อนั้นไม่สำคัญ ข้อสำคัญอยู่ที่เกียรติยศ ขอให้นึกดูให้ดี เราทั้งหลายรู้สึกน้อยหน้าน้อยใจอย่างไรมานานแล้วเท่าใด ในการที่ใครๆเขาเห็นเราเป็นชาติเล็กน้อยไม่เสมอหน้าเขาได้ ในคราวนี้เป็นโอกาสอันดีที่เปิดให้แก่เราทั้งหลายที่จะได้แสดงให้เห็นชัดปรากฏแก่ตาชาวโลกว่า มหาประเทศเขารับเราเท่าประเทศทั้งหลายแล้ว และที่เราได้มีโอกาสขึ้นมาเสนอหน้ากับชาติอื่นๆในครั้งนี้ ขอให้เราทั้งหลายที่อยู่ในที่นี้ไตร่ตรองดูให้ดีว่าเป็นเพราะเหตุใด

มีผู้พูดอยู่เสมอว่ากรุงสยามเป็นเมืองเล็กประเทศน้อย ถึงจะมีทหารไว้ก็สู้เขาไม่ได้ เพราะฉะนั้นมีไว้ก็เป็นการเปลืองเงินเปล่า ข้อนี้ตัวข้าพเจ้าผู้เป็นหัวหน้าของทหารทั้งหลายได้รู้สึกเจ็บใจมานานแล้ว แต่ว่าไม่มีโอกาสจะเถียงให้ถนัด มาครั้งนี้เป็นโอกาสดีเห็นถนัดแล้ว คือ ถ้าต่างว่าผู้ที่พูดว่าทหารไม่มีประโยชน์กรุงสยามไม่ควรจะมีทหารนั้น สมมุติว่าได้บันดาลให้เป็นไปตามที่พูดแล้วเมืองเราเวลานี้จะอยู่ที่ไหนเล่าท่าน จะได้มีโอกาสได้ไปแสดงชื่อเสียงในท่ามกลางยุโรปอย่างนี้หรือ

นี่เพราะเรามีทหาร เพราะเราเตรียมพร้อมอยู่เสมอ เพราะเราอยู่ในความไม่ประมาท จึงได้มีโอกาสเผยแพร่เกียรติยศของชาติที่รักของเรา เมื่อเป็นดังนี้แล้ว เราทั้งหลายที่เป็นทหารควรจะรู้สึกว่าเรามีชัยขั้นต้นเสียหนึ่งขั้นทีเดียว เรามีชัยแก่พวกที่ดูถูกพวกเรา เรามีชัยแก่พวกที่ไม่รู้จักราคาของพวกเราที่เป็นทหารนี้ขั้นหนึ่ง ขั้นที่สอง เราได้มีชัยแล้วแก่ผู้ที่ดูถูกว่าเราเป็นชาติเล็ก แม้แต่เราเป็นชาติเล็กก็ดี เราก็ยังสามารถยื่นมือยื่นแขนอันยาวออกไปทำการถึงในสมรภูมิในงานมหาสงครามใหญ่ที่สุดที่โลกเรานี้ได้เคยเห็นมา

บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 61  เมื่อ 15 ส.ค. 24, 11:23

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย

กองบินทหารบกในยุคนั้นมีเครื่องบิน 2 รุ่นคือเบรเกต์กับนิเออปอร์ต ในภาพคือเครื่องบินนิเออปอร์ตซึ่งสั่งซื้อเข้ามาจำนวน 4 ลำในปี 2456 นักบินในภาพถ่ายคือนายร้อยโทชิต มัธยมจันทร์ ช่วงแรกฝูงบินประจำการสนามบินปทุมวันก่อนย้ายมาอยู่ดอนเมืองซึ่งสมัยนั้นค่อนข้างกันดาร


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 62  เมื่อ 16 ส.ค. 24, 08:26

อีกประการหนึ่งที่เราได้มีเกียรติยศเช่นนี้ ก็เพราะเหตุที่ชาติเราตั้งอยู่ในทางธรรม คือตั้งอยู่ในที่ถูก เราจะมีทหารไว้ก็ดี จะมีกำลังอย่างๆทั้งปวงไว้ก็ดี ไม่ได้มีไว้สำหรับข่มเหงผู้อื่น ไม่ได้มีไว้สำหรับที่จะเอากำหมัดเที่ยวยัดปากคนอื่น เรามีไว้สำหรับทำไม สำหรับรักษาชื่อเสียงของเราที่เป็นไทย รักษาความเป็นไทยให้สมชื่อของเราที่เป็นไทย ข้อนี้ควรเป็นข้อที่ทำให้เราทั้งหลายร่าเริง เพราะเหตุใด เพราะเรารู้สึกว่าพวกเราทั้งหลายอยู่ในที่ถูก ด้วยความตั้งใจดีมีฝังอยู่ในดวงจิตของทหารทุกคนที่จะตั้งใจออกไปรบในครั้งนี้ ข้าพเจ้าผู้หนึ่งเชื่อมั่นในใจว่าทหารไทยที่จะได้ออกทำการต่อหน้าโลกในครั้งนี้ จะไม่ทำให้เสื่อมเสียชื่อชาติเป็นอันขาด ตรงกันข้ามจะทำให้โลกนิยมนับถือ

พวกท่านทั้งหลายที่จะเป็นผู้ออกไป เพื่อนำธงไทยไปคลี่ที่ในกลางสมรภูมิ ขอให้หมั่นรำลึกถึงข้อความที่ข้าพเจ้าพูดอยู่กับท่านในวันนี้ และขอให้รำลึกถึงข้าพเจ้าเป็นเพื่อนทหารซึ่งตามหน้าที่จำเป็นต้องอยู่บ้าน หน้าที่ของข้าพเจ้าห้ามไม่ให้ตัวข้าพเจ้าทิ้งบ้านเมืองไป แต่ก็ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้จะห้ามหัวใจไม่ให้ไปกับท่านได้
เพราะฉะนั้นขอให้เพื่อนทหารทั้งหลายนึกเชื่อเสียเถิดว่า ถึงท่านจะอยู่ในกลางทะเลก็ดี จะอยู่ในกลางสมรภูมิก็ดี บินอยู่ในอากาศก็ดี ข้าพเจ้าเป็นเพื่อนอยู่กับท่านทุกแห่ง ขอให้เชื่อเถิดในข้อนี้ ถ้าท่านผู้ใดจะรับอันตรายในหน้าที่บ้างแล้ว ขออย่าได้นึกว่าต้องรับแต่เพียงผู้เดียว ข้าพเจ้าเป็นผู้รับด้วยเหมือนกัน เป็นผู้เจ็บด้วยเหมือนกัน ถ้าท่านได้รับความยินดีเบิกบานใจ ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะช่วยแบ่งความยินดีนั้นอุทิศให้ข้าพเจ้าผู้อยู่ทางบ้านบ้าง

ข้าพเจ้าเชื่อว่าจะได้เห็นท่านทั้งหลายกลับมาสู่บ้านเกิดเมืองนอน นำความมีชัยอันงดงามมาสู่บ้าน และนำสง่าราศีมาสู่ราชาธิปไตยซึ่งท่านทั้งหลายเป็นเหมือนเสาค้ำจุนอยู่ และเป็นสง่าแก่ชาติซึ่งท่านจะเป็นผู้ทำนุบำรุงให้ยั่งยืนสืบไป ให้มีชื่อว่าเป็นไทย ไทยสมชื่อชั่วกัลปาวสาน

ท่านทั้งหลายไปครั้งนี้ไปผิดกับราชการธรรมดามาก อย่ารู้สึกว่าเป็นของเล็กน้อย ต้องเห็นว่าสำคัญและประพฤติให้สมแก่ที่เป็นทหารไทยที่ส่งไปเป็นตัวอย่างของกองทัพไทย ความประพฤติของท่านทั้งหลายต่อผู้อื่นในยุทธภูมิและที่ใดๆในต่างประเทศต้องให้เขาชมทุกอย่าง ต้องระวังที่สุดอย่าให้มีที่ติได้ ถ้าแม้ว่าพวกเราที่จะไปนี้ทำให้เขาติเตียนได้ ต้องเข้าใจว่าทหารไทยทั้งหมดจะพลอยเสียชื่อด้วย ที่ชาติอื่นเขาไปทำสงครามเขาระวังรักษาตัวอย่างกวดขันก็เพราะเหตุใด ก็เพราะต่างคนต่างแข่งดีกัน เราไปเราก็ต้องแข่งขันกับเขาเช่นนั้นเหมือนกัน ไม่มีปัญหาอะไร

ที่ข้าพเจ้าพูดมานี้ขอให้เข้าใจว่าพูดเป็นส่วนตัว ตักเตือนกันฉันเพื่อน ไม่ใช่กลัวว่าจะไปทำเสียหายอะไร ตรงกันข้ามข้าพเจ้าเชื่อใจท่านทั้งหลายทุกคน เชื่อว่าคงตั้งใจที่จะไม่ให้มีข้อบกพร่องแม้แต่น้อย
ในที่สุดข้าพเจ้าขออวยพรแก่ทหารที่จะออกไปนอกประเทศครั้งนี้ ขอความสุขสวัสดิ์จงมีแด่ท่านทั้งหลาย ขอจงผ่านพ้นอุปสรรคอุปัทวันตรายให้ได้กลับเข้ามาเต็มไปด้วยชัยชนะ เพื่อจะได้มาเห็นหน้าข้าพเจ้าผู้เป็นเพื่อน และให้ได้มานั่งร่วมโต๊ะกันอีกครั้งหนึ่งเมื่อเสร็จงานสงครามแล้ว

ขอให้มีความเจริญ ขอให้มีชัยชนะ ไชโย....”

จบตอนที่ 8
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41307

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 63  เมื่อ 16 ส.ค. 24, 09:26

ไปเจอเกร็ดความรู้เรื่องเครื่องบินไทย  จาก FB  คุณรอน เทิดพงศ์ Official

24 พฤษภาคม 2458 ประเทศไทยได้สร้างเครื่องบินขึ้นเองเป็นลำแรกในประวัติศาสตร์ ด้วยฝีมือของกองโรงงาน "เครื่องบินลำแรกของไทย" สั่งเครื่องยนต์มาจากต่างประเทศ ส่วนปีก ลำตัว และใบพัดเอง สร้างด้วยวัสดุในประเทศของเราเอง เมื่อสร้างเสร็จได้ให้ชื่อว่า ขัติยะนารี 1


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 64  เมื่อ 17 ส.ค. 24, 08:02

เรื่องการสร้างเครื่องบินในประเทศไทยในอนาคตผมข้อตั้งกระทู้แยกดีกว่า จะได้ถือโอกาสรวบรวมข้อมูลตามวันเวลาอย่างถูกต้องและครบถ้วน (เท่าที่ทำได้) เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สนุกมากแม้ตอนจบพระเอกตายเหมือนโกโบริก็ตาม
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 65  เมื่อ 17 ส.ค. 24, 08:03

ตอนที่ 9 เคลื่อนพล


วันที่ 19 มิถุนายน 2461 ทหารอาสาเดินทางจากพระนครไปร่วมรบกับฝ่ายสัมพันธมิตรที่ยุโรป เพิ่มดีใจมากการคอยรอของตัวเองสิ้นสุดเสียที เขายื่นใบสมัครตั้งแต่วันแรกตัวเองอายุสิบแปดปีหนึ่งเดือน บัดนี้เพิ่มอายุสิบเก้าปีเต็มขบวนทัพกองทหารแห่งกรุงสยามถึงเริ่มเคลื่อนพล

ก่อนหน้านี้เคยมีกำหนดการเดินทางแต่ถูกยกเลิกหลายครั้ง เหตุผลที่การเคลื่อนพลเกิดความล่าช้ามีด้วยกันหลายส่วน ในเมื่อไม่มีการชี้แจงทุกคนคาดเดาเอาเองว่าเรือลำเลียงถูกเรือฝ่ายตรงข้ามสกัดกั้น กระทั่งวันที่ 16 มิถุนายน 2461 เรือกลไฟขนาดใหญ่ชื่อเอ็มไปร์ซึ่งรัฐบาลฝรั่งเศสเช่าจากรัฐบาลอังกฤษ เดินทางมาถึงเกาะสีชังและทอดสมอรอต้อนรับเหล่าผู้กล้า

และในค่ำคืนที่ผ่านมาเวลาประมาณตีสอง ทหารอาสากองทหารบกรถยนต์ถูกปลุกขึ้นมาสวมเครื่องแบบเก็บข้าวของส่วนตัว มีคำสั่งรวมพลเข้าร่วมการประชุมโดยพันตรีหลวงรามฤทธิ์รงค์ ผ่านไปไม่นานทหารอาสากองบินทหารบกทุกนาย เดินทางโดยรถไฟตามมาสมทบโดยพร้อมเพรียง

เวลา 4.00 น.สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ เสนาธิการทหารบก เสด็จเข้าสู่ที่ประชุมทหาร ทรงอ่านพระราชโทรเลขของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต่อด้วยประทานโอวาทแด่ทหารทุกนายมีใจความสำคัญบางตอนดังนี้

“ทหารทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า บัดนี้ถึงเวลาที่ท่านทั้งหลายต้องจากพระนครไปราชการสงครามนอกพระราชอาณาเขต ท่านทั้งหลายจงนึกถึงพระบรมราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราซึ่งพระราชทานไว้เมื่อวันทูลลา ท่านทั้งหลายจะเป็นผู้นำเกียรติคุณของชาติไทยไปแผ่ให้ประจักษ์แก่ตาโลก ในท่ามกลางสมรภูมิในประเทศฝรั่งเศส ขณะนี้มีทหารทุกชาติทุกภาษาประชุมอยู่พร้อมกัน
ท่านจะนึกถึงแต่ตัวท่านเองเป็นคนๆ ไม่ได้เป็นอันขาด จงอย่าได้ลืมเลยว่าเกียรติยศแห่งชาติไทยอยู่ในกำมือของท่าน ท่านประพฤติเลวทรามให้เขาเห็น เขาจะไม่ติดแต่ตัวท่านหามิได้ เขาจะติดชาติไทยเราทั้งชาติทีเดียว ความอันนี้สำคัญยิ่งกว่าอื่นทั้งหมด ท่านทั้งหลายจงอย่าได้ลืมเสียเลย จงนึกถึงทุกลมหายใจเข้าออก แล้วพยายามรักษาเกียรติของชาติไทยไว้ กระทำให้คนทั้งหลายสรรเสริญว่าไทยเรามีนิสัยดีงาม สมควรได้รับการยกย่องเสมอเมือนกับชาติใหญ่ทั้งปวง…”


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 66  เมื่อ 17 ส.ค. 24, 08:04

เมื่อเสด็จในกรมฯ เสนาธิการทหารบกทรงประทานพระโอวาทจบ ก็ตรัสชวนให้กองทหารอาสาเปล่งเสียงถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พันเอกพระเฉลิมอากาศสั่งให้ทหารทุกนายหันหน้าไปสู่วัดพระศรีรัตนาศาสดาราม พันตรีหลวงทยานพิฆาตนำทหารสวดมนต์เสร็จมีการขับขานบทเพลงสรรเสริญพระบารมีเป็นอันสิ้นสุดพิธีการ

เวลาประมาณ 5.00 น.ทหารอาสาเคลื่อนพลออกจากศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม มุ่งตรงมาตามถนนจุดหมายปลายทางคือท่าราชวรดิษฐ์ ตลอดสองข้างทางมีประชาชนยืนชื่นชมความเข้มแข็งกล้าหาญ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต กับพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ทรงประทับรอที่ท่าน้ำ พร้อมนายทหารชั้นผู้ใหญ่จำนวนมากทั้งจากกองทัพบกและราชนาวีไทย

กระทรวงทหารเรือนำเรือลำเลียงจำนวน 2 มาจอดเทียบท่า ทหารอาสากองบินทหารบกกองใหญ่ที่ 1 และ 3 ลงเรือกล้าทะเลซึ่งมีระวางขับน้ำ 421 ตัน ทหารอาสากองบินทหารบกกองใหญ่ที่ 2 กับกองทหารบกรถยนต์ทั้งหมดลงเรือศรีสมุทรซึ่งมีระวางขับน้ำ 2,043 ตัน พลเรือโท พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เสนาธิการทหารเรือทรงเสด็จไปพร้อมเรือลำหลัง พันตรีหลวงรามฤทธิ์รงค์ทำหน้าที่ต้อนรับด้วยใบหน้าปลาบปลื้ม

พันเอกพระเฉลิมอากาศยืนมองทหารอาสาเดินขึ้นเรือตามลำพัง เขารู้สึกกดดันมากกว่าเดิมเมื่อถึงเวลาเดินทางจริง ระหว่างเตรียมความพร้อมมีผู้สละชีพเพื่อชาติถึงสองนาย นอกจากร้อยตรีสงวนยังมีพลทหารตุ๊เสียชีวิตจากโรคส่วนตัวในวันที่ 1 มีนาคม 2561 ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

ทหารอาสาเกือบทั้งหมดไม่ใช่ทหารประจำการไม่เคยจับปืน ถึงเวลาเผชิญหน้าศัตรูไม่รู้จะเอาตัวรอดได้หรือไม่ เรื่องนี้เรื่องเดียวก็รบกวนจิตใจตัวเองค่อนข้างมาก ทหารอาสายังต้องแบกความหวังความรับผิดชอบคนทั้งประเทศ ต้องทำศึกกับศัตรูผู้แข็งแกร่งโดยไม่รู้ชะตากรรมของตัวเอง

ก่อนพันเอกพระเฉลิมอากาศลงเรือกล้าทะเลเป็นคนสุดท้าย เพื่อนนายทหารที่ตัวเองคุ้นเคยท่านหนึ่งถือโอกาสเข้ามากล่าวคำอำลา

“ยินดีด้วยที่ได้ไปราชการทหาร ถึงฝรั่งเศสผมอยากให้คุณระลึกถึงเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้าที่จะพูดหรือก่อนที่จะทำต้องคิดก่อนเสมอ”

คำเตือนเพื่อนนายทหารพันเอกพระเฉลิมอากาศไม่เคยลืมเลือน






บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 67  เมื่อ 17 ส.ค. 24, 08:26

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย

เรือกล้าทะเลและเรือศรีสมุทรคือเรือเชลยตามเนื้อเรื่องบทแรกๆ

เรือศรีสมุทรถูกสร้างขึ้นในปี 2437 เดิมเป็นเรือสินค้าของประเทศเยอรมัน ก่อนประกาศเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่งร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร ทหารเรือบุกยึดเรือลำนี้จากชาวเยอรมันก่อนเปลี่ยนชื่อเป็นเรือศรีสมุทร เราไม่ได้ยึดเรือเยอรมันแค่ลำเดียวนะครับ ยังมีเรือเยี่ยมสมุทร เรือเดินสมุทร เรือเด่นสมุทร เรือผ่านสมุทร เรือปิ่นสมุทร เรือท่องสมุทร เรือแก้วสมุทร เรือแล่นสมุทร เรือหลวงเจนทะเลหรือเรือหลวงครามลำที่หนึ่ง เรือหลวงทนทะเล เรือหลวงกล้าทะเล เรือหลวงลิ่วทะเลหรือเรือหลวงไผ่ลำที่หนึ่ง เรือหลวงหาญทะเลหรือเรือหลวงกูดลำที่หนึ่ง เรือหลวงผีเสื้อน้ำหรือเรือหลวงเสม็ดลำที่หนึ่ง และเรือหลวงพรายน้ำ

นับรวมกันได้ทั้งหมด 16 ลำพอดิบพอดี

จำนวนเรือ 16 ลำทำให้กองเรือใหญ่โตขึ้นหลายเท่าตัว แต่ต้องแลกเปลี่ยนกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เรือหลายลำถูกขายต่อให้กับบริษัทเอกชน รวมทั้งเรือศรีสมุทรนางเอกของเราที่รับใช้ชาติประมาณ 6 ปี จากนั้นขายต่อให้กับบริษัทเดินเรือจีนชื่อ SHEN SHU

กลับมาที่เหตุการณ์สำคัญในภาพถ่ายอีกครั้ง ก่อนพิธีเข้าประจำการจริงเพียง 28 วัน เรือศรีสมุทรถูกนำมาใช้ขนกองทหารอาสาไปรบที่ยุโรป สมัยก่อนไล่จนมาถึงยุคสงครามเกาหลี การเดินทางไกลจำเป็นต้องอาศัยทางเรือเป็นหลัก และเรามักมาส่งกำลังทหารที่เกาะสีชัง ต่อมาในยุคสงครามเวียดนามเครื่องบินลำเลียงเริ่มมีบทบาทมากขึ้น ปัจจุบันไม่มีภาพสวยๆ แบบนี้แล้วต้องหาดูจากภาพถ่ายในอดีต


หนึ่งในเหตุผลที่ผมเขียนเรื่องราวสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เนื่องจากตัวเองเคยเขียนบทความถึงแค่เพียงบางส่วนจำนวนพอสมควร (ส่วนใหญ่ไม่ได้ค่อยได้รับความนิยมคนอ่านน้อยมาก) ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วสู้เสียเวลารวมไว้ที่เดียวไม่ดีกว่าเหรอ ยกตัวอย่างเช่นเรือศรีสมุทรผมก็เคยเขียนถึงแค่นำข้อมูลเดิมมาขัดเกลาเล็กน้อย
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41307

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 68  เมื่อ 17 ส.ค. 24, 09:05

มาช่วยปั่นเรตติ้งค่ะ
กระทู้ของคุณ superboy เอ่ยถึงบุคคลสำคัญหลายท่าน    ขอถือโอกาสแทรกไว้เผื่อคนที่เข้ามาอ่าน สนใจอยากจะรู้ประวัติและรายละเอียดเกี่ยวกับท่านเหล่านี้

พลอากาศโท พระยาเฉลิมอากาศ นักบินไทยหมายเลข ๑
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 69  เมื่อ 18 ส.ค. 24, 08:10

ครั้นได้ฤกษ์งามยามดีเวลา 6.00 น.เรือกล้าทะเลกับเรือศรีสมุทรแล่นออกจากท่าราชวรดิษฐ์ ได้เรือสุครีพครองเมืองเป็นเรือนำขบวน ตลอดสองฝั่งแม่น้ำมีประชาชนมายืนส่งเหล่าทหารกล้า เพิ่มเห็นพ่อแม่และพี่น้องครบทุกคน จรูญเห็นภรรยายืนคู่แม่ยาย ส่วนนพไม่เห็นแม้เงาคนรักตัวเอง ทหารหนุ่มรู้สึกเศร้าหมองแต่พยายามเก็บซ่อนอารมณ์ไม่ให้คนอื่นรับรู้

เรือสามลำแล่นมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านสถานทูตประเทศสัมพันธมิตรเห็นเจ้าหน้าที่สถานทูตยืนต้อนรับ ผ่านโรงพยาบาลทหารเรือได้ยินเสียงแตรเพลงมหาชัย ผ่านพระสมุทรเจดีย์ทหารทุกนายก้มหัวนมัสการ ครั้นถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยาเรือทั้งสามลำพากันจอดทอดสมอ เรือศรีสมุทรค่อนข้างใหญ่แล่นผ่านสันดอนไม่ได้ต้องรอเวลาน้ำขึ้นอย่างเต็มที่

วันที่ 20 มิถุนายน 2461 เวลา 2.00 น.ขบวนเดินทางเคลื่อนพลอีกครั้ง กระทั่งมาถึงน่านน้ำเกาะศรีชังเวลา 9.00 น.เรือกลไฟเอ็มไปร์จอดรอในสภาพพร้อมเต็มที่ เรือกล้าทะเลแล่นเข้าเทียบกราบขวาเรือศรีสมุทรแล่นเข้าเทียบกราบซ้าย การขนถ่ายทหารและสัมภาระสำเร็จเสร็จภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง ทหารอาสาพร้อมเดินทางออกนอกอาณาเขตประเทศไทย

เมื่อสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานารถเสด็จกลับโดยเรือสุครีพครองเมือง เรือกลไฟเอ็มไปร์ซึ่งมีความยาวประมาณ 120 เมตร กว้าง 15 เมตรเริ่มออกเดินทางเช่นกัน




บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 70  เมื่อ 18 ส.ค. 24, 08:11

เรือลำนี้มีระวางขับน้ำมากถึง 4,000 ตัน มีวิทยุโทรเลขรับส่งประจำเรือรัศมีทำการ 350 ไมล์ ทางเรือกำหนดให้นายทหารระดับสัญญาบัตรอยู่ห้องพักชั้น 2 กับชั้น 3 นายสิบกับพลทหารพักในระวางจัดเก็บสินค้าและกราบเรือซึ่งค่อนข้างคับแคบและอบอ้าว พันเอกพระเฉลิมอากาศแต่งตั้งพันตรีหลวงรามฤทธิ์รงค์ทำหน้าที่ควบคุมดูแลและจัดเวรยามรักษาการณ์

ทหารอาสากองร้อยย่อยที่ 8 พักอาศัยในห้องพักกราบขวาเรือ เพิ่มกับจรูญรู้สึกตื่นตาตื่นใจในช่วงหนึ่งชั่วโมงแรก จากนั้นไม่นานทั้งคู่เริ่มอึดอัดมีอาการหายใจไม่ออก เหลียวมองทางไหนพบเจอเพื่อนทหารสีหน้าไม่สู้ดี ทั้งที่เรือเอ็มไปร์ยังไม่ออกจากอ่าวไทยยังไม่เผชิญคลื่นลมแรงกลางทะเลลึก

หน้าต่างทรงกลมเพียงบานเดียวคือสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ

หากไม่มีหน้าต่างบานนี้สองทหารกล้าอาจเสียสติไปแล้ว

“พี่หมู่…พวกเราจะรอดไหม” ในที่สุดเพิ่มก็ทนนิ่งเฉยต่อไปไม่ไหว เห็นเพื่อนทหารหลายนายวิ่งเข้าห้องน้ำตัวเองอยากทำตามกัน

“ต้องรอซี…ข้าไม่ได้ฝึกหนักหลายเดือนเพื่อมาตายในเรือ” ใบหน้าจรูญเปี่ยมล้นความมั่นใจ ทั้งที่ตัวเองรู้สึกคลื่นไส้คล้ายผู้หญิงท้องห้าเดือน

“เรากำลังจะไปที่ไหน”

“หมวดนพบอกว่าเรือแวะจอดสิงคโปร์”

“ถึงเร็วๆ ก็ดี…ผมไม่ไหวแล้ว”

“ข้าก็เหมือนเอ็งนั่นแหละ”

สองทหารอาสานั่งมองหน้าต่างทรงกลมบานเดียวกัน

เพิ่มคิดถึงอนาคตภายภาคหน้าเมื่อตัวเองกลับจากฝรั่งเศส เขาอยากเรียนหนังสือต่อแต่ไม่รู้ตัวเองมีวาสนาหนุนนำมากแค่ไหน

จรูญคิดถึงภรรยากับลูกคนแรกซึ่งมีกำหนดคลอดเดือนกันยายน เขาหวังว่าตัวเองจะได้กลับมาเจอหน้าลูกเมียภายในเวลาหนึ่งปี

พวกเขาทั้งสองลืมสงครามโลกที่ยุโรปไปอย่างสนิทใจ

จบตอนที่ 9
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 71  เมื่อ 18 ส.ค. 24, 08:21

มีอยู่หนึ่งเรื่องที่ผมค่อนข้างแปลกใจ

สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานารถเสด็จไปกลับเกาะสีชังโดยเรือสุครีพครองเมือง แต่เรือลำนี้เป็นเรือพายความยาวเพียง 27 เมตร สามารถเดินทางไกลได้อย่างไรเป็นสิ่งผมยังหาข้อมูลไม่เจอ


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41307

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 72  เมื่อ 18 ส.ค. 24, 09:22

น่าจะเป็นเรือสุครีพครองเมืองคนละลำค่ะ   ลำนี้เอาไว้เห่เรือ
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 73  เมื่อ 18 ส.ค. 24, 12:14

ผมเจอเรือสุครีพครองเมืองแล้วครับอาจารย์ หาด้วยโน้ตบุ๊กไม่เจอ แต่หาด้วยสมาร์ตโฟนเจอเฉยเลย ข้อมูลจากอาจารย์ NAVARAT.C ในพันทิป

https://pantip.com/topic/32770533

กองทัพเรือได้จัดจ้างอู่ Hongkong & Whampoa ของอังกฤษในฮ่องกง ต่อขึ้นในปลายรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ ลำแรกพระราชทานนามว่า เรือมูรธาวสิตสวัสดิ์ และได้รับมอบเรือต่อมาอีก ๒ลำ พระราชทานนามว่าเรือพาลีรั้งทวีป และเรือสุครีพครองเมือง ตามลำดับ

เรือทั้งสามลำจัดว่าเป็นเรือปืน แม้จะมีอาวุธ ปืนใหญ่ขนาด  ๑๒๐มิลลิเมตรเพียง  ๑กระบอก  แต่มีปืนกล  ๕๗ มิลลิเมตร ๕กระบอก และปืนกล ๓๗ มิลลิเมตรอีก  ๒กระบอก   ระวางขับน้ำ  ๔๖๒ตัน ความเร็ว  ๑๐.๕นอต ทหารประจำเรือ  ๗๓  นาย ใช้ในราชการอยู่หลายสิบปีกว่าจะปลดระวางประจำการเมื่อ ๒๐กรกฎาคม  ๒๔๗๘ เพื่อรับเรือรบรุ่นใหม่เตรียมตัวเข้าสู่ยุคสงครามอินโดจีนและสงครามโลกครั้งที่ ๒







ปล.หนังสือภาพวาดเรือทร.ไทยที่มาของภาพนี้ ปัจจุบันขายเล่มละ 2,000 บาท ผมเห็นแล้วบอกผ่านสู้ราคาไม่ไหว





บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 74  เมื่อ 19 ส.ค. 24, 10:18

ตอนที่ 10 ระหว่างเดินทาง

การเคลื่อนพลมาขึ้นเรือเป็นความลับบอกใครไม่ได้เด็ดขาด ทหารอาสาทุกนายได้รับแจกกาแฟ ขนมปัง และไข่เค็มตามอัตรา ลงเรือเสร็จเจอปัญหาใหม่เรือศรีสมุทรค่อนข้างใหญ่ไม่สามารถกลับลำ ต้องล่องเรือย้อนไปถึงสามเสนก่อนวกกลับเส้นทางเดิม ถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยาเกิดปัญหาใหญ่ครั้งใหม่ เรือศรีสมุทรติดสันดอนต้องรอน้ำขึ้นเต็มที่ถึงออกเดินทางอีกครั้ง

ทหารอาสามาได้กินอาหารเต็มอิ่มตอนขึ้นเรือเอ็มไปร์ เป็นบทเรียนแรกสอนให้ทุกคนพร้อมรับมือความยากลำบาก การเดินทางช่วงแรกใช้เวลาสามวันถึงสิงคโปร์ ร้อยเอกกอร์ดอน ไพร์นิเยอร์ นายทหารติดต่อกองทัพบกอังกฤษให้การต้อนรับขับสู้ พันเอกพระเฉลิมอากาศอนุญาตให้ทหารอาสาเยี่ยมชมเมืองจนถึงเวลา 18.00 น.ส่วนนายทหารอยู่ได้ถึง 24.00 น.

สิงคโปร์เป็นเกาะเล็กๆ เต็มไปด้วยพ่อค้าและสินค้ามากมาย เพิ่มกับจรูญมีอาการกล้าๆ กลัวๆ ขอเดินตามหลังร้อยตรีนพผู้บังคับบัญชาตัวเอง

“โอ้โฮ…ที่นี่มีทั้งรถเจ๊ก รถลาก รถราง รถไฟ” จรูญสีหน้าตื่นเต้นเหมือนเด็กน้อยได้ของเล่นชิ้นใหม่

“รถยนต์กับรถม้าก็มีนะครับหมู่” เพิ่มก็ตื่นเต้นแต่ไม่มากเท่าที่ควร

“มองไปทางไหนมีแต่แขก ไอ้เพิ่มเดินดีๆ ระวังรถชน”

“ร้านนั้นเหมือนคนจีน ใช่ไหมครับหมวด”

นพมองตามก่อนอธิบายต่อลูกน้อง “ร้านคนญี่ปุ่น”

สุภาพสตรีผิวขาวผมสีดำยาวสยายดึงดูดใจสองทหารอาสา ทั้งคู่ทำได้เพียงเพ่งมองเพราะตัวเองไม่มีเงินอุดหนุนสินค้า ระหว่างเยี่ยมชมสถานที่อดีตขี้เหล้าที่ตอนนี้เป็นสิบโทสุขภาพแข็งแรงมีคำถามค้างคาใจ

“หมวดครับ ผมได้ยินไอ้เฉลิมพูดว่า…สิงคโปร์เคยเป็นของไทย”

“เกาะหมากต่างหาก” นพเล่าเรื่องราวในอดีต “เกาะหมากเคยอยู่ใต้อำนาจปกครองของเรา ต่อมาอังกฤษเช่าเกาะจากไทรบุรีเพื่อเป็นสถานีค้าขาย ปัจจุบันทั้งเกาะหมากทั้งไทรบุรีตกเป็นเมืองขึ้นอังกฤษ”

เพิ่มกับจรูญเกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกพร้อมกัน

นอกจากฝรั่งเศสอังกฤษก็เป็นอีกหนึ่งชาติที่ชอบรุกรานประเทศไทย อีกไม่ช้าไม่นานพวกเขาต้องไปสู้รบเคียงข้างทหารฝรั่งเศสและทหารอังกฤษ ฝ่ายตรงข้ามคือเยอรมันซึ่งไม่เคยรังแกประเทศไทยแม้แต่ครั้งเดียว

คำสั่งช่างเป็นอะไรที่ขัดแย้งกับความรู้สึกลึกๆ ในใจ

“พวกคุณอย่าคิดมาก” นพเข้าใจความคิดลูกน้อง “เราเสียดินแดนหลายครั้งเพราะกำลังทหารไม่เข้มแข็ง ครั้งนี้นอกจากไปรบเรายังมีโอกาสเรียนรู้วิชาทหารสมัยใหม่ นำกลับมาปรับปรุงกองทัพให้เข้มแข็งเกรียงไกรมากขึ้น จำได้ไหมเหตุใดเราเลือกประกาศสงครามกับฝ่ายเยอรมัน”

“สนธิสัญญาเบาริง” เพิ่มคือคนตอบคำถาม

ชายหนุ่มวัยสิบเก้าเป็นคนหัวไวคิดเร็วเข้าใจเร็ว สิ่งสำคัญมากกว่าความรู้สึกลึกๆ ในใจตัวเอง คือผลประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับกลับคืน

ภาพประกอบคือสิงคโปร์ในปี 2461 มองเห็นรถยนต์ รถลากหรือรถเจ๊ก แขกโพกหัว และธงอังกฤษ





บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 12
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.062 วินาที กับ 16 คำสั่ง