เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8 9 ... 12
  พิมพ์  
อ่าน: 23072 ทหารอาสาแห่งกรุงสยาม
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 90  เมื่อ 26 ส.ค. 24, 10:15

การเรียนการสอนที่โรงเรียนการรถยนต์ลียองแตกต่างออกไป วันหนึ่งพลตรีพระยาพิไชยชาญฤทธิ์หัวหน้าทูตทหารพิเศษพร้อมคณะ เดินทางมาเยี่ยมทหารอาสาถึงโรงเรียนการรถยนต์ดูร์ดอง เพิ่มกับจรูญจึงมีโอกาสทำความรู้จักนายทหารคนสนิทพลตรีพระยาพิไชยชาญฤทธิ์

“ร้อยโทเมี้ยนเคยอยู่กองพลทหารบกที่ 4 เหมือนผม ทำงานเก่งจนได้รับแต่งตั้งเป็นนายทหารคนสนิทผู้บัญชาการ” นพช่วยแนะนำตัว

“ไม่จริง…หมวดนพเก่งกว่าผม” ผู้มาเยือนเปิดเผยข้อเท็จจริง “มาปีแรกได้เป็นนายทหารคนสนิทเสนาธิการถือว่าไม่ธรรมดา”

“ผมแค่จบจากนอกทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง”

“หน้าตาก็ดี…สาวๆ ราชบุรีแวะมาส่งอาหารทุกวัน”

ถูกแฉเรื่องจริงนพมีอาการเขินอายลูกน้องคนสนิท เฉลิมเกิดความอยากรู้อยากเห็นเรื่องสาวราชบุรี ส่วนเพิ่มเกิดความอยากรู้อยากเห็นเรื่องการศึกษา บังเอิญผู้ล่วงรู้ความลับสำคัญกลับพูดถึงเรื่องการทหาร

“อาทิตย์ที่แล้วผมเพิ่งไปลียอง” ร้อยโทเมี้ยนเล่าเรื่องราว “ที่นั่นเล็กกว่าดูร์ดองอยู่ในป้อมวางเซียกับป้อมแซร์เมอร์นาซ ฝรั่งเศสดัดแปลงป้อมเก่าบนเนินเขาเป็นโรงเรียนการรถยนต์ ที่นั่นสอนเฉพาะทฤษฎีไม่มีการขับรถเป็นขบวน มีการสอบมีการแจกประกาศนียบัตรเหมือนที่ดูร์ดอง”

“พวกเขาก็ขับรถไม่คล่องสิครับ” นพให้ความเห็น

“เมื่อกองทหารบกรถยนต์ได้รับรถยนต์จากฝรั่งเศส จะมีการฝึกซ้อมด้วยตัวเองให้ทหารกองร้อยย่อยที่ 5 และ 6 เกิดความชำนาญ”

อุปสรรคที่เกิดขึ้นจากโรงเรียนเป็นเรื่องเล็กน้อย ทหารอาสาทุกนายผ่านการฝึกขับรถที่เมืองไทยนานหลายเดือน ประกอบกับเราไม่ส่งทหารทุกกองร้อยย่อยเข้าสนามรบพร้อมกัน ทหารที่อยู่แนวหลังมีโอกาสทบทวนความรู้ความสามารถ และสั่งสมประสบการณ์การจากการขับรถบนเส้นทางทั่วไป เป็นการเตรียมพร้อมก่อนสลับหน้าที่กับเพื่อนทหารที่อยู่แนวหน้า


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 91  เมื่อ 26 ส.ค. 24, 10:34

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย

ร้อยโทเมี้ยน โรหิตเศรณีต่อมาได้รับตำแหน่งพันเอกหลวงยุทธสารประสิทธิ์  ระหว่างปี 2476 เป็นนายทหารคนสนิทผู้บังคับการจังหวัดทหารบกพระนครศรีอยุธยา เมื่อเกิดเหตุการณ์กบฏบวรเดชส่งกำลังทหารบุกเข้ายึดดอนเมือง รัฐบาลส่งทหารจำนวนหนึ่งมาเจรจาแต่ถูกจับกุมตัวส่งมาอยู่พระนครศรีอยุธยา พันตรีหลวงยุทธสารประสิทธิ์ให้ความช่วยเหลือโดยนำจดหมายจากทหารเหล่านั้น แล้วปลอมตัวเป็นพลเรือนขึ้นเรือเมล์เข้าสู่พระนครเพื่อแจ้งข่าวต่อหลวงพิบูลสงคราม



กรณีพิพาทอินโดจีนพันตรีหลวงยุทธสารประสิทธิ์รับตำแหน่งข้าหลวงประจำจังหวัดหนองคาย นำกำลังทหารไทยต่อสู้ขับไล่ทหารญวนกับฝรั่งเศสซึ่งอยู่ฝั่งลาว ท่านมีวีรกรรมมากมายคนหนองคายให้ความเคารพนับถือทุกคน

จากที่เคยร่วมรบกับทหารฝรั่งเศสกลายเป็นต่อสู้กับทหารฝรั่งเศส ชีวิตช่างเต็มไปด้วยเรื่องราวไม่คาดฝัน

พันเอกหลวงยุทธสารประสิทธิ์เป็นนายกสมาคมสหายสงครามในพระบรมราชูปถัมภ์ยาวนานถึง 32 ปี เคยต้อนรับรองประธานาธิบดีนิกสันกับภรรยาซึ่งมาวางพุ่มมาลา ณ อนุสาวรีย์ทหารอาสาในปี 2496


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 92  เมื่อ 26 ส.ค. 24, 13:09

พลตรีพระยาพิไชยชาญฤทธิ์(6 กุมภาพันธ์ 2420 – 7 กรกฎาคม 2494) ชื่อเดิมว่า ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นบุตรชายคนโตในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 8 คน ของพันเอก หลวงฤทธิ์นายเวร (พุด เทพหัสดิน ณ อยุธยา ซึ่งเป็นมหาดเล็กข้าหลวงเดิมของรัชกาลที่ 5) กับคุณหญิงเลื่อนฤทธิ์
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 พระยาพิไชยชาญฤทธิ์ ได้รับพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้เป็น “หัวหน้าคณะทูตทหาร” ในงานพระราชสงครามที่ทวีปยุโรป หากเมื่อเสร็จจสิ้นภารกิจกลับมาเมือไทยได้ไม่นาน พระยาพิไชยชาญฤทธิ์กลับขอลาออกจากราชการ เนื่องจากเจอแรงกดดันภายในกองทัพ เหตุการณ์ดังกล่าวนั้น เทพ บุญตานนท์ อธิบายไว้ในหนังสือ “การเมืองในการทหารไทย สมัยรัชกาลที่ 6” (มติชน, 2559) ดังนี้

พระยาพิไชยชาญฤทธิ์ มีความสนิทสนมกับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่เมื่อครั้ง ศึกษาวิชาทหารอยู่ที่ประเทศเบลเยียม และยังดำรงตำแหน่งมหาดเล็กในพระองค์ ตั้งแต่เมื่อครั้งทรงดำรงตำแหน่งมหามกุฎราชกุมาร เมื่อสยามเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งพระยาพิไชยชาญฤทธิ์ ผู้บัญชาการกองพลทหารบกที่ 4 เป็นหัวหน้าคณะทูตทหารในงานพระราชสงครามที่ทวีปยุโรป

พระบรมราชโองการแต่งตั้งพระยาพิไชยชาญฤทธิ์เป็นหัวหน้าคณะทูตในครั้งนี้ ถูกมองว่าทรงแต่งตั้งคนที่มีความสนิทสนมกับพระองค์ โดยที่มิได้ทรงพิจารณาจากความสามารถและระดับชั้นอาวุโสในราชการ ซึ่งในหนังสือประวัติพระยาพิไชยชาญฤทธิ์ ได้แก้ข้อกล่าวหาในเรื่องดังกล่าวไว้ว่า พระยาพิไชยชาญฤทธิ์ได้ขออาสาเป็นหัวหน้าคณะทูต หลังจากที่ได้รอให้นายทหารชั้นผู้ใหญ่และพระบรมวงศานุวงศ์อาสาไปราชการสงครามในคราวนี้ แต่ก็ไม่มีนายทหารชั้นผู้ใหญ่นายใดอาสาเข้าร่วมสงครามในคราวนี้

แต่ข้อมูลอีกด้านปรากฏว่า สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถได้ทรงอาสาสมัครเข้าร่วมในสงครามคราวนี้เช่นกัน แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิเสธด้วยทรงให้เหตุผลว่า สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ หลวงพิษณุโลกประชานาถทรงมีหน้าที่อื่นที่จะต้องรับผิดชอบ

ในระหว่างที่พระยาพิไชยชาญฤทธิ์ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าทูตทหารอยู่ที่ทวีปยุโรป พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชหัตถเลขาเป็นการส่วนพระองค์ถึงพระยาพิไชยชาญฤทธิ์ให้มีจดหมายเล่าเรื่องต่างๆ ที่ได้พบเห็นรวมทั้งเหตุการณ์ข่าวสงครามโดยไม่ต้องผ่านสมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ หรือทางกระทรวงกลาโหม ซึ่งพระราชดำริดังกล่าวนี้ขัดกับ “ข้อบังคับพิเศษแสดงหลักการปกครองทหารไปราชการสงครามนอกพระราชอาเขตร์” ที่กระทรวงกลาโหมได้ตราขึ้นสำหรับกองทหารอาสาอย่างสิ้นเชิง

เพราะในมาตรา 2 เรื่อง “การติดต่อ” ในข้อ 6 ซึ่งมีข้อบังคับให้หัวหน้าทูตทหารหรือตัวพระยาพิไชยชาญฤทธิ์ติดต่อราชการทหารกับผู้อื่นผู้ใด ยกเว้นแต่สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถแต่เพียงผู้เดียว อย่างไรก็ตาม ตลอดเวลาที่พระยาพิไชยชาญฤทธิ์ประจำการอยู่ในทวีปยุโรปได้มีจดหมายถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นการส่วนพระองค์อยู่เสมอ โดยเนื้อหาในจดหมายมักกล่าวถึงสถานการณ์ รวมทั้งนโยบายของบรรดาผู้นำทหารของฝ่ายสัมพันธมิตร…

หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ยุติลงด้วยชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร กองทหารอาสาของสยามที่เดินไปร่วมรบในคราวนี้ได้เดินทางกลับมาถึงสยามในวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2462 ทางรัฐบาลจัดพิธีต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดรถม้าพระที่นั่งเทียม 4 สารถีไปรับพระยาพิไชยชาญฤทธิ์ที่ท่าราชวรดิษฐ์เพื่อไปส่งที่กระทรวงกลาโหม

นอกจากนี้ ในระหว่างที่เสด็จพระราชดำเนินตรวจแถวทหารที่เข้าร่วมพระราชสงครามในคราวนี้ ทรงสวมกอดพระยาพิไชยชาญฤทธิ์ต่อหน้าบรรดาทหาร เสนาบดี และพระบรมวงศานุวงศ์เพื่อเป็นการชมเชยที่พระยาพิไชยชาญฤทธิ์ได้เดินทางไปร่วมสงครามในคราวนี้

แต่หลังจากพิธีต้อนรับนายทหารที่เดินทางไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 พระยาพิไชยชาญฤทธิ์ได้กราบบังคมทูลของลาออกจากราชการ เนื่องจากรับรู้ถึงปฏิกิริยาที่นายทหารภายในกองทัพบกด้วยกันต่อต้านตัวพระยาพิไชยชาญฤทธิ์ เช่น ในงานพระราชพิธีต้อนรับนายทหารที่กลับจากพระราชสงคราม บรรดานายทหารระดับสูงต่างลุกหนีพระยาพิไชยชาญฤทธิ์ในทันที เมื่อพระยาพิไชยชาญฤทธิ์ได้เดินมานั่งใกล้นายทหารเหล่านั้น

หรือในช่วงที่พระยาพิไชยชาญฤทธิ์ประจำการอยู่ในยุโรประหว่างสงครามโลก ตัวพระยาพิไชยชาญฤทธิ์มีความรู้สึกว่านายทหารบางนายที่เดินทางไปร่วมสงครามในคราวนี้ มีความกระด้างกระเดื่องต่อพระยาพิไชยชาญฤทธิ์ โดยมองว่าความประพฤติของนายทหารเหล่านี้ที่มีต่อตน ได้รับการหนุนหลังมาจากนายทหารชั้นผู้ใหญ่ซึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ

…ในที่สุดแล้วพระยาพิไชยชาญฤทธิต้องกราบบังคมทูลลาออกจากราชการ อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงระงับการลาออกของพระยาพิไชยชาญฤทธิ์ โดยทรงให้โอนย้ายพระยาพิไชยชาญฤทธิ์จากกระทรวงกลาโหมไปเป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลนครสวรรค์แทน
https://www.silpa-mag.com/history/article_64515
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 93  เมื่อ 26 ส.ค. 24, 13:11

รัชกาลที่ 6 ทรงสวมกอดต้อนรับนายพลตรี พระยาพิชัยชาญฤทธิ์ นำนายทหารกองบินทหารบกที่เดินทางกลับจากฝรั่งเศสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ พระลานหน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 94  เมื่อ 27 ส.ค. 24, 09:49

เมื่อทหารอาสากองทหารบกรถยนต์สำเร็จการศึกษา พันเอกพระเฉลิมอากาศ พันตรีหลวงรามฤทธิรงค์ และร้อยตรีเภา เพียรเลิศนายทหารติดต่อ เดินทางกลับจากการตรวจสอบวิธีส่งกำลังบำรุงในยุทธบริเวณ มีการเรียกประชุมทหารอาสาทุกนายเพื่อแจ้งข่าวคราวความเคลื่อนไหว

ผลการเจรจากับพันตรีดูแมงค์ ผู้บังคับการทหารรถยนต์ และพันตรีเสตนบอก์ แฟร์มอร์ ผู้บังคับการกรมรถยนต์ที่ 1 ได้ข้อตกลงร่วมกันว่า กองทหารบกรถยนต์จะจัดกำลังใหม่แบ่งเป็นสามกองร้อยย่อย ผู้บังคับบัญชาคือนายทหารชาวไทย โดยมีนายทหารชาวฝรั่งเศสเข้าร่วมกองร้อยย่อยละหนึ่งนายทำหน้าที่อำนวยความสะดวก

เครื่องแบบทหารไทยได้รับแจกจากพระนครเป็นผ้าธรรมดา ป้องกันความหนาวไม่ได้ต้องเปลี่ยนเป็นเครื่องแบบผ้าสักหลาด มีการฝึกหัดใช้งานหน้ากากป้องกันไอพิษให้คล่องแคล่วว่องไว อยู่ในสมรภูมิอาจได้เผชิญหน้าสารพิษฝ่ายเยอรมันตอนไหนก็ได้ การระบาดของโรคติดต่อร้ายแรงก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญมาก ทหารอาสาทุกนายต้องฉีดวัคซีนป้องกันไข้รากสาด

ผู้ได้รับการฉีดวัคซีนงดรับประทานอาหารและน้ำดื่ม ตื่นนอนตอนเช้ารีบเปลี่ยนชุดวิ่งมาเข้าแถวบนสนามหญ้า รอเรียกชื่อเข้าเต็นท์สนามซึ่งมีคุณหมอกับนางพยาบาลรออยู่ด้านใน การฉีดวัคซีนเริ่มต้นจากพลทหารไล่ไปเรื่อยๆ จนถึงนายทหารชั้นสัญญาบัตร

เพิ่มกับชั้วและทหารอาสากองร้อยย่อยที่ 4 นั่งเรียงรายฝั่งขวา เชิดกับเพื่อนๆ ทหารอาสากองร้อยย่อยที่ 8 นั่งเรียงรายฝั่งซ้าย ทุกคนพากันกุมหลังสายตาแพ่งมองจรูญผู้เคราะห์ร้ายรายใหม่ ซึ่งแสดงอาการตื่นตระหนกตกใจเมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวนของเฉลิมแว่วลอยตามลม

“คนต่อไป…สิบโทจรูญ” นพทำหน้าที่ขานชื่อเป็นภาษาไทย

จรูญหยิบพระทั้งพวงขึ้นมาพนมมือเหนือหัวพร้อมท่องคาถา

ทหารใจเสาะเดินขาสั่นผ่านเข้าสู่ห้องพยาบาลชั่วคราว เห็นใบหน้าดุดันนายแพทย์ตาน้ำข้าวแล้วพาลใจหาย อยากวิ่งหนีไปที่อื่นบังเอิญไม่ได้กินข้าวไม่มีแรง ทำได้เพียงนอนคว่ำหน้าบนเตียงเหล็กพร้อมกับถอดเสื้อ

ใบหน้าไม่รับแขกของคุณหมอรูปร่างสูงใหญ่ว่าน่ากลัวแล้ว กระบอกฉีดยาทำจากโลหะทรงกระบอกน่ากลัวกว่า เข็มฉีดยาไฮโปเดอร์มิกใหญ่เสียจนรู้สึกใจหาย เห็นนิ้วใหญ่ๆ ของคุณหมอเสียบเข้าสู่ช่องกลมสามช่องท้ายกระบอกฉีด จรูญรีบหลับตาท่องบทสวดมนต์ในใจผิดบ้างถูกบ้าง ทหารใจเสาะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างกำลังทิ่มทะลุแผ่นหลังตัวเอง

การฉีดวัคซีนป้องกันไข้รากสาดมีความสำคัญอันดับหนึ่ง ทหารอาสาได้รับผลกระทบเป็นไข้บ้างไม่มีแรงบ้างพากันนอนซมบนเตียง

วันที่ 16 กันยายน 2461 ทหารอาสาทั้งที่ดูร์ดองและลียอง เก็บข้าวของเตรียมพร้อมออกเดินทางจากโรงเรียนการรถยนต์ มารวมตัวกันที่ฐานทัพในเมืองแวร์ซายโดยรถไฟเที่ยวพิเศษ เพื่อรายงานตัวต่อกองรถยนต์ฝรั่งเศสก่อนเข้าสู่สนามรบเคียงข้างทหารฝ่ายสัมพันธมิตร

ก่อนพันตรีหลวงรามฤทธิรงค์จะสั่งเคลื่อนพล มอเตอร์ไซค์พ่วงข้างคันหนึ่งแล่นเข้ามาในโรงเรียนการรถยนต์ดูร์ดอง

จบตอนที่ 13

ปล.ภาพนี้น่าจะถ่ายที่โรงเรียนการรถยนต์เป็นที่ระลึกก่อนเข้าสนามรบ แต่โรงเรียนไหนผมไม่แน่ใจ






บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 95  เมื่อ 27 ส.ค. 24, 10:01

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเสริมอาจารย์เทาชมพูเรื่องพลตรีพระยาพิไชยชาญฤทธิ์

พลเอก พระยาเทพหัสดินฯ เมื่อสมัยเป็น พลตรี พระยาพิไชยชาญฤทธิ์ แม่ทัพใหญ่แห่งกองทหารอาสา ได้ปฏิเสธการรับพระราชทานทรัพย์และบ้าน จากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เพราะถือว่าเป็นหน้าที่ของทหารที่จะรับราชการสนองพระเดชพระคุณโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

หลังกลับจากสงครามโลกครั้งที่1 พระยาเทพหัสดินฯ ได้ร่วมกับสหายศึก พันตรี หลวงรามฤทธิรงค์ ก่อตั้ง "บริษัทแท็กซี่สยาม" ขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2466 เพื่อให้ทหารอาสาที่ผ่านศึกมีงานทำ มีรายได้ โดยใช้รถเก๋งออสตินขนาดเล็กออกวิ่งรับจ้าง 14 คัน คิดค่าโดยสารเป็นไมล์ๆละ 15 สตางค์ สมัยนั้นจึงนิยมเรียกกันว่า "รถไมล์" เป็นต้นกำเนิดของรถแท็กซี่ของไทยในปัจจุบัน


รถแท็กซี่ออสตินในช่วงนั้นหน้าตาประมาณนี้ มีใครทันเห็นบ้างไหมครับ  ยิ้ม




บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 96  เมื่อ 28 ส.ค. 24, 09:24

ตอนที่ 14 จดหมายจากเมืองอิสต์

เมื่อกองทหารบกรถยนต์ออกเดินทางโดยรถไฟขบวนพิเศษ นพอ่านจดหมายร้อยตรีนิจให้ทหารอาสากองร้อยย่อยที่ 4 รับฟัง เป็นเรื่องราวกองบินทหารบกซึ่งแยกตัวออกไปฝึกซ้อมห่างไกลจากกัน บุรุษไปรษณีย์ส่งจดหมายฉบับนี้ก่อนการเคลื่อนพลออกจากโรงเรียนการรถยนต์ไม่กี่นาที

“นพเพื่อนรัก…ได้ข่าวว่ากองทหารบกรถยนต์จะเดินทางไปแนวหน้า ฉันขออวยพรให้นายกับลูกน้องแคล้วคลาดปลอดภัยจากกระสุนปืน

เส้นทางการเป็นนักบินของฉันกับเพื่อนๆ ค่อนข้างลำบาก พวกเราเดินทางออกจากมาร์แซย์โดยขึ้นรถไฟสถานีอาร์รองค์ มาลงเมืองอิสต์ห่างจากกันประมาณ 40 กิโลเมตร แล้วเดินเท้าต่อประมาณ 7 กิโลเมตรกระทั่งถึงโรงเรียนการบินชั้นต้น สองข้างทางคนฝรั่งเศสออกมายืนดูค่อนข้างมาก พันตรีหลวงทยานพิฆาตสั่งให้ทุกคนเดินตบเท้าสูงได้รับคำชมมากมาย

พันตรีเดอร์มาแลร์บผู้บังคับการโรงเรียนดูแลพวกเราดีมาก เขาจัดที่พักให้ทหารไทยแบบเป็นส่วนตัวไม่ปะปนชาติอื่น โรงนอนหลังใหญ่ทำจากไม้วางเตียงนอนสองแถวตามยาว ที่นอนกับหมอนยัดฟางแทนนุ่น ผ้าห่มทำจากผ้าบลังเก็ต หัวเตียงมีผ้าโปร่งคลุมหน้าป้องกันยุงกับแมลงตอม กลางคืนอากาศหนาวแมลงมักเข้ามาเกาะตามเชือกตอนเช้าถึงบินไปที่อื่น

เรื่องโรงนอนฉันยอมรับว่าแพ้นายแบบสู้กันไม่ได้ ส่วนเรื่องอาหารการกินคิดว่าใกล้เคียงกันมาก ได้นอนพักวันเดียวพวกเราถูกพาไปถ่ายรูปทำทะเบียนประวัติ ตรวจร่างกายเสร็จก็แจกเครื่องแต่งกายสำหรับฝึกบิน”
นพหยุดอ่านจดหมายชั่วคราวเพื่อมองภาพถ่ายเพื่อนสนิท

ร้อยตรีนิจสวมเสื้อผ้าป่านผ้าค่อนข้างหนาคอสูง เสื้อตัวนอกเป็นเสื้อหนังสีดำติดกับกางเกง รองเท้าหนังสีดำหุ้มข้อเลยตาตุ่มเล็กน้อย นักบินชาวไทยสวมหมวกนักบินหนังกะโล่สีน้ำตาล แว่นตานักบิน ถุงมือหนัง รวมทั้งหน้ากากป้องกันไอพิษวางรวมกันบนปีกเครื่องบินจอดอยู่ด้านหลัง

“หนวดนิจหล่อเหมือนพระเอกยี่เก” จรูญชะโงกหน้ามองภาพถ่ายพร้อมกับเอ่ยชม คำพูดนี้ส่งผลให้ทหารอาสาหลายนายขยับตัวเข้ามามุงดู

“พระเอกยี่เกคณะไหนเป็นนักบิน” นพสอบถามน้ำเสียงสดใส

“ผมแค่เปรียบเทียบครับหมวด”

“เสียใจหรือเปล่าที่ไม่เลือกกองบินทหารบก”

“โธ่หมวด…ผมกลัวความสูง แค่ขึ้นหลังคาไปจับแมวยังขาสั่น”

“เก่งแต่ปากนี่หมู่” นพเหลียวมองลูกน้องคนอีกคน “เพิ่มล่ะ…อยากเป็นนักบินหรือเปล่า ผมคิดว่าคุณทำได้แน่นอน”

“ผมชอบรถมากกว่าเครื่องบินครับหมวด” ทหารหนุ่มวัยสิบเก้าตอบกลับโดยไม่รีรอ เรียกเสียงเฮจากเพื่อนๆ ซึ่งกินอยู่หลับนอนด้วยกันมานาน

เพิ่มทำงานกรมยุทธโยธาทหารเรือผูกพันกับเรือมากกว่าทุกสรรพสิ่ง ใจจริงอยากเป็นลูกเรือโดยเฉพาะเรือสับมารีนดำน้ำได้ โชคร้ายทหารอาสามีแค่กองบินทหารบกกับกองทหารบกรถยนต์ จึงเลือกเป็นพลขับรถยนต์ทว่าได้รับตำแหน่งช่างเครื่องยนต์เพราะความรู้ความสามารถ


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 97  เมื่อ 28 ส.ค. 24, 12:15

“การฝึกบินมีทั้งตอนเช้าและตอนเย็น” นพอ่านจดหมายจากเมืองอิสต์ต่อ “แต่ฉันต้องฝึกภาคพื้นดินให้เกิดความชำนาญเสียก่อน ผลการคัดเลือกทหารอาสา 106 นายได้เป็นศิษย์การบิน แบ่งเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร 47 นาย นายสิบ 44 นาย และพลทหารอีก 15 นาย ทหารที่เหลือเข้ารับการฝึกเป็นช่างวิทยุ ช่างเครื่องยนต์ หรืออากาศโยธิน

ฉันต้องเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเครื่องบินและเครื่องยนต์ ทำความรู้จักอาวุธปืนประจำเครื่อง ถอดประกอบชิ้นส่วนต่างๆ ของปืน ฝึกยิงด้วยกระสุนซ้อม ภาคปฏิบัติโรงเรียนใช้เครื่องบินปีกตัดรุ่นแบล์ริโยต์ ร้อยโทเลอโอเอ หัวหน้าหน่วยบินจางกิรางเป็นผู้ควบคุมการฝึกสอน เมื่อวานนี้ฉันเพิ่งขับเครื่องบินบนพื้นคนเดียวครั้งแรก ทั้งตื่นเต้นทั้งหวาดเสียวแต่ไม่นานก็คุ้นชิน เครื่องบินแบล์ริโยต์ลำเล็กนิดเดียวใช้เครื่องยนต์สามสูบควบคุมง่าย

ครูฝึกบอกว่าการฝึกภาคพื้นดินกินเวลาหนึ่งเดือน จากนั้นจะให้พวกเราทดลองบินเดี่ยวด้วยเครื่องบินโกดร็องจีสาม เมื่อสำเร็จการฝึกชั้นต้นต้องแยกย้ายไปเรียนชั้นสูงที่อื่นโดยเลือกจากคะแนน ฉันยังไม่รู้เลยตัวเองจะได้เป็นนักบินเครื่องบินขับไล่หรือเครื่องบินทิ้งระเบิด”

“นั่นไง!” จรูญพูดเสียงดังเรียกความสนใจ “ถ้าไอ้เพิ่มเลือกกองบินทหารบกมันคงได้เป็นช่างวิทยุ วันๆ อยู่ในห้องทำงานไม่เห็นแสงเห็นตะวัน จะเป็นนักบินได้ต้องระดับนายทหารชั้นสัญญาบัตรโน่น”

“นายสิบก็เยอะนะหมวด” นพพูดขัดตามข้อเท็จจริง

“ความรู้เท่าหางอึ่งจะผ่านสักกี่คน”

ความหมายของคำพูดจรูญทหารอาสาทุกนายรับรู้ชัดเจน การเรียนการสอนทุกหลักสูตรเป็นภาษาฝรั่งเศส พลทหารกับนายสิบทั้งอ่านไม่ออกทั้งเขียนไม่ได้ ไฉนเลยจะสอบผ่านได้เป็นนักบินสมดั่งความตั้งใจ

“ทหารยศเท่าผมเก่งภาษาฝรั่งเศสไม่กี่นาย” นพอธิบาย “ส่วนใหญ่ถนัดแต่ภาษาอังกฤษ มีแต้มต่อมากกว่าพลทหารกับนายสิบแค่เพียงน้อยนิด ถ้าหมู่จรูญมุมานะจริงๆ ผมคิดว่าหมู่เป็นนักบินเครื่องบินขับไล่ได้”

“หมวดอย่าชมผมเลยผมรู้ตัวดี ถ้าไอ้เพิ่มก็ว่าไปอย่าง”

“โธ่…พี่หมู่ โยนให้ผมอีกแล้ว” เพิ่มสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจ “หมวดต่างหากเป็นนักบินได้ หมวดพูดภาษาฝรั่งเศสชัดยิ่งเจ้าของภาษา”

“ข้าว่าหมวดเก่งกว่านี้…หมวดคือเสือซ่อนเล็บแห่งกองทหารอาสา ไม่เหมือนหมวดชื่นวันๆ เอาแต่ประจบครูฝึก” จรูญเห็นด้วยกับลูกน้องคนสนิท ผู้บังคับบัญชานายนี้ไม่พูดถึงเรื่องส่วนตัวแม้แต่ครั้งเดียว บังเอิญตัวเองรู้ดีหมวดนพมีความรู้ความสามารถด้านอื่นซึ่งทุกคนยังไม่เคยเห็น

“หมู่จรูญ…จดหมายยังไม่จบ” ร้อยโทศรีผู้บังคับกองร้อยย่อยที่ 4 รีบพูดสอด เพราะรู้ดีว่าลูกน้องนายนี้เป็นคนช่างเจรจามากเกินงาม


ภาพประกอบทหารอาสากองบินทหารบกที่มาฝึกในเมืองอิสต์





บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 98  เมื่อ 28 ส.ค. 24, 12:20

เมื่อสิบโทช่างเจรจามากเกินงามยอมเงียบเสียงตัวเอง นพกลับมาให้ความสำคัญต่อการถ่ายทอดเรื่องราวในโรงเรียนการบินชั้นต้น

“ฉันขอพูดถึงเรื่องทั่วไปบ้าง โรงเรียนการบินเมืองอิสต์มีทหารญวนเป็นทหารรับใช้ เชลยศึกชาวเยอรมันกับออสเตรียเป็นคนทำความสะอาด คนฮังการีทำงานทั่วไปทั้งทำถนน เลื่อยไม้ ผ่าฟืน เชลยพวกนี้ทำงานหนักทั้งวันได้กินอาหารเพียงนิดหน่อย ฉันกับเพื่อนสงสารแอบนำขนมปัง แตงไทย หรือบุหรี่มาวางใกล้โรงเลี้ยงอาหาร ครั้นปลอดคนบรรดาเชลยก็แอบมาเก็บกลับไป ทุกครั้งที่ทหารไทยเดินผ่านพวกเขาจะลุกขึ้นยืนทำความเคารพ

เชลยพวกนี้มีค่ายพักแยกออกมาไม่ไกลจากโรงเรียน มีทหารฝรั่งเศสดูแลความสงบไม่กี่นาย ถึงเวลาทำงานก็ออกมาข้างนอกโดยไม่ใช้คนคุม คนฝรั่งเศสคุ้นเคยเชลยศึกเหล่านี้เป็นอย่างดี ไม่มีรังเกียจรังงอนใช้ชีวิตตัวเองตามปรกติ ถ้ามีเครื่องบินลงข้างทางเชลยชาวเยอรมันจะถูกสั่งให้ออกไปยืนเฝ้า ถือเป็นเรื่องแปลกแต่จริงฉันเพิ่งเคยเห็นที่นี่ครั้งแรก

การฝึกบินจนได้รับประกาศนียบัตรรองรับคุณวุฒิความสามารถ ใช้เวลาประมาณสามเดือนมากกว่าฝึกขับรถยนต์สามเท่า เมื่อฉันได้เป็นนักบินได้ร่วมรบกับฝรั่งเศสและชาติฝ่ายสัมพันธมิตร วันนั้นเราจะดื่มกาแฟใต้แสงดาว สนทนาพูดคุยเรื่องราวใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ เข้าสนามรบเพื่อชาติไทยเพื่อทุกคนที่อยู่ข้างหลัง ระหว่างนี้โปรดรักษาตัวเองให้ดีไอ้เพื่อนเกลอ”

จดหมายร้อยตรีนิจสิ้นสุดลงพร้อมคำสั่งเสียถึงเพื่อนสนิท

เรื่องราวช่วงท้ายของจดหมายทำทหารอาสาทุกนายน้ำตาซึม

ทุกครั้งที่เกิดสงครามย่อมมีเชลยศึกระหว่างสองฝ่าย

ฝรั่งเศสให้เชลยทำงานหนักแลกอาหารถือเป็นเรื่องปรกติ ว่ากันตามจริงพวกเขาถือว่าโชคดีกว่าอยู่ในค่ายกักกัน ซึ่งมีแต่ความเหน็บหนาว ความโหยหิว ความแออัด และโรคระบาดรักษาเท่าไรไม่เคยหายขาด คนไหนได้ทำงานโรงเรียนการบินถือเป็นเชลยศึกชั้นดี มีความรู้ความชำนาญ สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง และไม่มีทีท่ากระด้างกระเดื่องหรืออยากหลบหนี จนได้รับความไว้วางใจให้ออกมาทำงานกลางแจ้งโดยไม่มีการตีตรวน

ทหารอาสากองร้อยย่อยที่ 4 เผลอคิดในใจคล้ายกันว่า วันใดวันหนึ่งถ้าตัวเองถูกทหารเยอรมันจับเป็นเชลย จะโชคดีเหมือนเชลยศึกในโรงเรียนการบิน หรือโชคร้ายเหมือนเชลยศึกในค่ายกักกันบริเวณตะเข็บชายแดน

ยืนเฝ้าเครื่องบินทั้งคืนย่อมดีกว่ายืนเฝ้าหลุมศพ!

จบตอนที่ 14 ภายในวันเดียวเก่งมาก....ชมตัวเองเสียเลย  ขยิบตา



บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 99  เมื่อ 29 ส.ค. 24, 09:53

ตอนที่ 15 สู่สมรภูมิ

รถไฟขบวนพิเศษเดินทางถึงเมืองแวร์ซายโดยสวัสดิภาพ ทหารชั้นผู้ใหญ่ทั้งไทยและฝรั่งเศสมารอต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เช้าวันรุ่งขึ้นทหารอาสารับแจกเครื่องแต่งกายกับอาวุธประจำกาย ต่อจากนั้นเป็นการฝึกขับรถยนต์ต่อด้วยฝึกใช้อาวุธป้องกันตัวเหมือนทหารราบ

อาหารการกินที่เมืองแวร์ซายไม่ดีเท่าที่ควร ทหารแต่ละนายได้ขนมปังวันละครึ่งปอนด์กับเนื้อหนึ่งก้อน ฝรั่งเศสไม่ยอมแจกเพิ่มแม้พลตรีพระยาพิไชยชาญฤทธิ์พยายามทวงถาม ผู้บังคับกองร้อยย่อยต้องควานหาตั๋วซื้ออาหารจากนายทหารชั้นผู้ใหญ่ เพื่อหาขนมปังมอบให้ลูกน้องใช้ประทังชีวิต เป็นความลำบากเรื่องแรกทันทีที่ทหารอาสาก้าวเท้าเข้าใกล้สมรภูมิ

ฝรั่งเศสอาจหวงอาหารแต่เครื่องแต่งกายกลับตรงกันข้าม นายทหารระดับสัญญาบัตรได้รับปืนพก ซองปืน หมวกเหล็ก หน้ากากป้องกันไอพิษ และแว่นตาสำหรับสวมเวลาขับรถยนต์ สิบโทถึงจ่าสิบเอกได้รับหมวกเหล็ก หน้ากากป้องกันไอพิษ ผ้าพันคอสักหลาด เสื้อกันหนาวขนสัตว์ ถุงเท้า รองเท้า ปืนพก และแว่นตาสำหรับสวมเวลาขับรถยนต์ สิบตรีและพลทหารได้รับเหมือนทหารชั้นประทวน แต่ปรับเปลี่ยนจากปืนพกเป็นปืนเล็กยาว

เช้าตรู่วันที่ 18 กันยายน 2461 ทหารอาสากองทหารบกรถยนต์จำนวนหนึ่ง เดินทางโดยรถไฟมาลงสถานีซังต์ ปาร์ส เลส โวดส์ไม่ไกลจากเมืองตรัวส์ แล้วเดินทางต่อด้วยรถยนต์มาค่ายทหารในเมืองวิลล์ มัว แยนน์ สถานที่แห่งนี้เป็นที่ชุมนุมทหารใหม่เตรียมพร้อมเข้าทำสงคราม กับทหารเก่าได้รับบาดเจ็บถูกส่งตัวมาเข้ารับการรักษาและพักผ่อน

ค่ายทหารวิลล์ มัว แยนน์อยู่ห่างสนามรบ 50 กิโลเมตร

“เราใกล้ถึงแล้ว” เพิ่มนั่งหลบฝนเคียงข้างเพื่อนร่วมกองร้อย สายตาเพ่งมองมายังทิศทางที่คาดว่าอาจเป็นสมรภูมิรบ

“เอ็งกลัวเหรอ” จรูญสอบถาม

“ไม่นะ…ผมแค่ตื่นเต้นนิดหน่อย”

“เอ็งไม่กลัวแต่ข้ากลัว ยังสงสัยอยู่เลยทำไมส่งพวกเรามาที่นี่เที่ยวแรก กองร้อยย่อยไอ้เฉลิมกับไอ้เชิดมาวันที่ยี่สิบสี่โน่น”

“มาก่อนได้รบก่อนไม่ดีเหรอ”

“เอ็งก็พูดไป” ความวิตกกังวลของจรูญเกิดจากหน้ากากป้องกันไอพิษ เขาไม่อยากตายอย่างทรมานเหมือนที่เห็นในหนังสือพิมพ์ แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มอายุสิบเก้าปีไม่สนใจเรื่องนี้สักเท่าไร เพิ่มอยากรู้อยากเห็นเรื่องโน้นเรื่องนี้ตลอดเวลา คนแบบมันถ้าไม่ตายเร็วก็คงเจริญก้าวหน้ายิ่งกว่าใคร

ระหว่างพูดคุยสองทหารกล้าเห็นพันตรีหลวงรามฤทธิรงค์ เดินคู่กับร้อยตรีนพและร้อยเอกปิโรต์ทหารฝรั่งเศส นายทหารผมทองถูกส่งมาดูแลทหารไทยต้องกินอยู่หลับนอนด้วยกันทุกวัน

“ผู้พันใช้งานหมวดนพค่อนข้างเยอะ” เพิ่มวิตกกังวลแทน

“หมวดพูดฝรั่งเศสเก่งนี่นา” จรูญอธิบายตามข้อเท็จจริง “ข้าเป็นห่วงตัวเองมากกว่า กว่าจะได้กินอาหารสักมื้อคงเมื่อยมือแย่”

“ทำไมล่ะครับ”

“โน่นไง…เอ็งเห็นเพื่อนใหม่ของเราหรือยัง”

เพื่อนใหม่จรูญนอกจากร้อยเอกปิโรต์รูปร่างสูงใหญ่ ยังมีนายทหารชาวฝรั่งเศสสองนาย สิบโทกับพลทหารชาวฝรั่งเศสเจ็ดนาย รถยนต์สองคัน รถบรรทุกหกคัน มีอุปกรณ์เกี่ยวข้องกับการพักแรมวางอยู่ที่ท้ายรถ ทหารเหล่านี้ได้รับคำสั่งให้มาประจำการร่วมกับกองพันทหารอาสาชาวไทย

บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 100  เมื่อ 29 ส.ค. 24, 10:28

ทหารอาสาเดินทางถึงวิลล์ มัว แยนน์พร้อมกับพายุฝน นอกจากเปียกน้ำทั้งตัวทุกคนไม่ได้รับประทานอาหารตั้งแต่เช้า ร้อยเอกปิโรต์ก็พาลคิดว่าทหารไทยได้รับแจกเสบียงล่วงหน้าถึงสามวัน เมื่อเข้าใจตรงกันเขารีบส่งลูกน้องไปเบิกอาหารจากคลังแสงในเมืองตรัวส์

เย็นวันนั้นทหารอาสาได้รถครัวสำหรับหุงต้มอาหารกองร้อยย่อยละสองคัน กับเสบียงสำหรับทหารทุกนายจำนวนสองวัน อยู่ที่นี่ทหารไทยต้องหุงต้มทำอาหารทั้งหมดด้วยตัวเอง กว่าจะได้รับประทานมื้อแรกของวันปาเข้าไปบ่ายสี่โมง เสร็จเรียบร้อยจึงแยกย้ายไปพักผ่อนในบ้านพักแถวนั้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นบ้านชาวนาเพราะมีพื้นที่ค่อนข้างกว้างขวาง

เป็นครั้งแรกที่ทหารไทยต้องพักอาศัยร่วมกับคนฝรั่งเศส เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องยุ่งยากจนอาจส่งผลกระทบต่อภารกิจ พันตรีหลวงรามฤทธิรงค์ได้ออกข้อบังคับสำหรับกองทหารบกรถยนต์ในประเทศฝรั่งเศส ว่าด้วยการพักอาศัยตามหมู่บ้านราษฎรจำนวน 16 ข้อให้ทุกคนปฏิบัติตาม

“เยอะขนาดนี้ข้าลืมแน่” จรูญพร่ำบ่นกับลูกน้อง “จะทำอะไรต้องขอเจ้าของบ้านทุกครั้ง ทำอย่างกับข้าพูดภาษาฝรั่งเศสได้”

เพิ่มส่งยิ้มขณะอธิบาย “เรานอนโรงนาคงไม่มีอะไร หมวดนพนอนร้านขายของชำน่ากลัวกว่า ลูกสาวบ้านนั้นมองหมวดตาเป็นมัน”

“ทหารไทยได้แหม่มเป็นเมียก็คราวนี้แหละ”

“หมู่จรูญครับ” ชั้วซึ่งนอนโรงนาเดียวกันมีคำถาม “พวเราขนของเสร็จแล้ว วันนี้ต้องทำอะไรต่อเพื่อนๆ ให้ผมมาถาม”

“เตรียมตัวขุดส้วม…กฎข้อที่ 9 ห้ามใช้ส้วมร่วมกับเจ้าของบ้าน”

ทหารอาสาชาวไทยจำนวนหนึ่งภายในการนำสิบโทจรูญ ช่วยกันทำความสะอาดลานบ้าน คราดสวน ดายหญ้า และเก็บขยะทั้งหมดไปทิ้ง สร้างความประทับใจต่อสองสามีภรรยาเจ้าของบ้าน รวมทั้งบุตรชายสองคนอายุสิบสี่ปีกับสิบสองปีซึ่งให้ความสนิทสนมทหารไทยอย่างรวดเร็ว


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 101  เมื่อ 29 ส.ค. 24, 12:40

ร้อยเอกปิโรต์เบิกรถยนต์จากคลังแสงเมืองตรัวส์จำนวนสามสิบคัน ให้ทหารไทยฝึกฝนจนเกิดความชำนาญรูปแบบเดียวกัน นอกจากขับรถในยุทธบริเวณกับบำรุงรักษารถ ยังต้องเรียนรู้การเดินขบวนรถเวลากลางวันและกลางคืน ทหารอาสาทุกนายต้องทำตามข้อบังคับสิบข้ออย่างเคร่งครัด

รถบรรทุกยี่ห้อเรอะโนลต์ใช้ระบบขับเคลื่อนสี่เกียร์ ห้องโดยสารเปิดโล่งมีเพียงหลังคากับเสาต้นเล็กช่วยคุ้มหัว กางผ้าใบผืนใหญ่คลุมกระบะท้ายป้องกันแดดลมฝนรวมทั้งหิมะ บรรทุกสิ่งของไปส่งแนวหน้าได้ถึงสองตันครึ่ง หรือบรรทุกทหารพร้อมอาวุธประจำกายจำนวนยี่สิบนาย รถทุกคันมีน้ำมันเชื้อเพลิงกับน้ำมันเครื่องบรรจุกระป๋องติดท้ายรถ พลขับผู้ช่วยจะถือโอกาสเติมเชื้อเพลิงทุกครั้งที่รถจอดตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา

การจัดกำลังพลแบ่งได้ดังนี้ หนึ่งกองร้อยย่อยมีสี่หมวด หนึ่งหมวดมีสามหมู่ หนึ่งหมู่มีรถยนต์หกคัน แต่ละคันมีพลขับกับพลขับผู้ช่วยสองนาย ทุกหมวดยังมีรถยนต์ช่างเครื่องยนต์สองคัน มอเตอร์ไซค์พ่วงข้างสำหรับผู้บังคับหมวดหนึ่งคัน และรถครัวพ่วงมากับรถลากอีกหนึ่งคัน

เช้าวันหนึ่งกองร้อยย่อยที่ 4 หมวด 2 หมู่ 3 อยู่ระหว่างการฝึกซ้อม พลทหารชึ้นขับมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างร้อยตรีนพผู้บังคับหมวดเป็นผู้โดยสาร พลทหารชื่นขับรถบรรทุกคันแรกประดับธงไตรรงค์ สิบโทจรูญผู้บังคับหมู่เป็นผู้โดยสาร พลทหารชั้วขับรถยนต์ช่างเครื่องยนต์อยู่ท้ายขบวน พลทหารเพิ่มช่างเครื่องยนต์ประจำหมู่เป็นผู้โดยสารนั่งข้างกัน

วันนี้หัวข้อการฝึกคือลำเลียงทหารขึ้นรถเริ่มต้นจากคันหน้า ร้อยตรีนพสั่งหยุดรถให้ท้ายขบวนจอดห่างที่รวมพลยี่สิบเมตร นายทหารหนุ่มวิ่งมารายงานตัวต่อพันตรีหลวงรามฤทธิรงค์ เพื่อสอบถามกำลังทหารต้องลำเลียงไปส่งสถานีรถไฟตามหลักสูตรการฝึกประจำวัน

ทหารอาสากองร้อยย่อยที่ 8 ยืนต่อแถวทำหน้าที่ทหารราบจำลอง เมื่อร้อยตรีนพเรียกหมายเลขประจำรถพลขับผู้ช่วยทำหน้าที่ตอบรับ ทหารราบจำลองจะทยอยขึ้นรถตั้งแต่คันหน้าไล่ไปเรื่อยๆ จนครบทุกคน จรูญต้องเผชิญหน้ากับเฉลิมซึ่งแสดงท่าทางเหินห่างมากกว่าเดิม เนื่องจากผลการฝึกกองร้อยย่อยที่ 8 คะแนนตามหลังกองร้อยย่อยที่ 4

“เหม็นขี้หน้าพวกช่างประจบ” เฉลิมพูดลอยๆ ถึงใครบางคน

“โธ่…ไอ้พวกขี้แพ้ชวนตี” จรูญตอกกลับโดยไม่หันมาสบตา

“ข้าพูดเรื่องจริง” สิบโทผิวคล้ำใบหน้าดุเสียงดังกว่าเดิม “ถ้าหมวดนพไม่เก่งภาษาฝรั่งเศส กองร้อยย่อยที่ 4 ต้องได้ที่โหล่ใครๆ ก็รู้”

“เอ็งนับเลขไม่เป็นเหรอ” จรูญมองคู่สนทนาด้วยสายตากึ่งหมั่นไส้กึ่งเยาะเย้ย “แค่คะแนนไอ้เพิ่มซ่อมเครื่องยนต์เอ็งก็ตามไม่ทันแล้ว”

“ไอ้เพิ่มมันโกง…มันไม่ใช้วิธีตามที่เล่าเรียน”

“ที่เอ็งโมโหเพราะหมวดชื่นทำอะไรไม่เป็นสักอย่างหรือเปล่า”

“ไอ้จรูญ! ปากดีแบบนี้กล้าตัวตัวกับข้าหรือเปล่า”

“ที่ไหนเมื่อไรก็ได้ข้าไม่เกี่ยง”

ก่อนสองคู่ปรับกรมตำราทหารบกจะสร้างเรื่องให้ได้อับอาย ร้อยตรีนพมีคำสั่งให้ขบวนรถกองร้อยย่อยที่ 4 หมวด 2 หมู่ 3 ออกเดินทาง รถลำเลียงเจ็ดคันกับมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างหนึ่งคันแล่นมาตามถนนบริเวณไหล่เขา พลขับต้องใช้ความระมัดระวังมากกว่าเดิมป้องกันอุบัติเหตุ และทำได้ดีมากจนพันตรีหลวงรามฤทธิรงค์กับร้อยเอกปิโรต์พร้อมใจกันเอ่ยปากชม

จบตอนที่ 15

ภาพประกอบคือรถบรรทุกเรอะโนลต์ขนาดสองตันครึ่ง ทหารอาสาใช้รถรุ่นนี้ในภารกิจลำเลียงจนกระทั่งสิ้นสุดสงคราม






บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 102  เมื่อ 30 ส.ค. 24, 09:39

ตอนที่ 16 จัดกำลังรบ
   
วันที่ 25 กันยายน 2461 สัมพันธมิตรเปิดฉากการรบครั้งสำคัญ ทหารหลายแสนนายเดินทัพเข้าสู่จุดยุทธศาสตร์ในประเทศเยอรมัน ทหารอาสาชาวไทยที่เมืองวิลล์ มัว แยนน์ ผึกฝนการเดินรถอย่างหนัก มีเวลาว่างพากันช่วยชาวบ้านที่ตัวเองเข้ามาพักพิงทำไร่ทำสวน

เข้าสู่เดือนตุลาคมฝรั่งเศสส่งมอบรถยนต์ให้กับทหารไทยสองร้อยคัน ส่วนใหญ่เป็นรถสภาพเก่าเข้าร่วมราชการสงครามตั้งแต่ช่วงแรก รถบรรทุกเรอะโนลต์ขนาดสองตันครึ่งถูกแจกจ่ายให้กับทุกกองร้อยย่อย สิ่งแรกที่ต้องจัดการคือซ่อมรถทาสีใหม่ให้กลับมามีสภาพพร้อมใช้งาน โดยมีทหารฝรั่งซึ่งเดินทางมาพร้อมขบวนรถจำนวนหนึ่งช่วยให้คำแนะนำ

ทหารฝรั่งเศสเข้าร่วมกองทหารบกรถยนต์ทุกลำดับชั้น ทุกกองร้อยย่อยทุกหมวดมีนายทหารตาน้ำข้าวหนึ่งนาย ทุกหมู่มีนายสิบกับพลทหารฝรั่งเศสสองถึงสามนาย ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบอกทุกคนอย่างชัดเจนว่า การเข้าร่วมราชการสงครามอาจเกิดขึ้นวินาทีไหนก็ได้

เมื่อข่าวการจากไปของทหารไทยถูกเผยแพร่ในวงกว้าง ชาวบ้านในเมืองวิลล์ มัว แยนน์รู้สึกเสียใจราวกับสูญเสียสิ่งสำคัญ ตลอดเวลาที่ทหารไทยพักอาศัยร่วมกันพวกเขาทำตัวเรียบร้อย ช่วยอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ อาทิเช่น ทำความสะอาดที่พักอาศัย ทำไร่ทำสวน ซ่อมถนน ซ่อมแซมบ้านเรือน มีคนเจ็บคนไม่สบายทหารแพทย์ชาวไทยรีบมาดูแล เมื่อต้องแยกจากไม่ว่าชั่วคราวหรือตลอดกาลใครกันจะไม่เศร้าโศกเสียใจ

วันที่ 14 ตุลาคม 2461 เวลาประมาณ 11.30 น. มีคำสั่งจากพันตรีหลวงรามฤทธิรงค์ให้ทหารทุกนายมาประชุมร่วมกัน เพื่อจัดกำลังใหม่และเตรียมพร้อมเข้าสู่สนามรบ แบ่งเป็นสามกองร้อยย่อยกำลังพลมากกว่าเดิม ระหว่างการรบจะมีการหมุนเวียนกำลังพลเข้าสู่สมรภูมิ

พันตรีหลวงรามฤทธิรงค์ประกาศเสียงดังต่อหน้าทหารทุกนาย

“กองร้อยย่อยที่ 1 ร้อยโทศรี ศุขะวาที เป็นผู้บังคับกองร้อย”

สิ้นเสียงประกาศนพกับเพิ่มฉีกยิ้มกว้างพร้อมกัน ส่วนจรูญหันมายักคิ้วหลิ่วตาให้กับเฉลิมคู่ปรับเก่า คะแนนกองร้อยย่อยที่ 4 นำโด่งทุกหัวข้อการฝึก ผู้บังคับบัญชาไม่รีรอในการมอบหน้าที่สำคัญให้กับร้อยโทศรี

“กองร้อยย่อยที่ 2 ร้อยโทเพิ่ม อุณหสูต เป็นผู้บังคับกองร้อย”

สิ้นเสียงประกาศเชิดกับเพื่อนๆ ฉีกยิ้มกว้างพร้อมกัน ส่วนเฉลิมหันมองจรูญคู่ปรับเก่าด้วยสีหน้าหยามเหยียด คะแนนกองร้อยย่อยที่ 8 ไล่หลังกองร้อยย่อยที่ 4 มาไม่ไกล บังเอิญคะแนนหมวด 2 ของร้อยตรีชื่นค่อนข้างย่ำแย่ ส่งผลให้คะแนนรวมตกเป็นรองได้ครอบครองอันดับสอง

“กองร้อยย่อยที่ 3 ร้อยโทแม้น เหมะจุฑา เป็นผู้บังคับกองร้อย”

อันดับสามเป็นไปตามความคาดหมายของทุกคน กองร้อยย่อยที่ 5 มีผลงานโดดเด่นไม่แพ้กองร้อยย่อยอื่น ร้อยโทแม้นมีความเหมาะสมกับการเป็นผู้นำ หลังจากนั้นเป็นการจัดกำลังพลกองร้อยย่อยที่เหลือ ตามติดด้วยคำสั่งเคลื่อนทัพเข้าสู่สมรภูมิแห่งเกียรติยศครั้งแรกในประวัติศาสตร์


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 103  เมื่อ 30 ส.ค. 24, 09:39

เวลา 15.30 น.รถยนต์กองร้อยย่อยที่ 1 จำนวนสามสิบคันในความบังคับบัญชาร้อยโทศรี ศุขะวาที ออกเดินทางจากวิลล์ มัว แยนน์มุ่งตรงมาที่เมืองชาลองส์ พร้อมกับลำเลียงอาวุธยุทธปัจจัยจากคลังแสงเมืองตรัวส์มาส่งแนวหน้า คำสั่งถูกปกปิดเป็นความลับไม่มีทหารนายไหนล่วงรู้มาก่อน

ระหว่างเดินทางเพิ่มถูกส่งมาอยู่รถคันเดียวกับจรูญ สองทหารกล้านั่งกระบะท้ายโบกมือทักทายคนฝรั่งเศสริมถนน ข้างกายมีขนมปัง อาหาร และผลไม้จำนวนมาก เห็นหยดน้ำตาลูกชายกับเจ้าของโรงนาที่ตัวเองเคยพักอาศัย ทั้งคู่ทำได้เพียงถอนหายใจกับส่งยิ้มสยามมอบแด่ผู้มีพระคุณ

“เด็กสองคนนั้นทำให้ผมคิดถึงน้อง” เพิ่มพูดเสียงเศร้า

จรูญรู้สึกใจหายไม่แตกต่างกัน “เห็นเจ้าของบ้านข้าคิดถึงลุงผิน อยู่เมืองไทยคงได้เมากันทุกเย็น แหม่…พูดแล้วเปรี้ยวปากอยากซดยาดอง”

“ไหนพี่หมู่บอกเลิกเหล้าแล้ว”

“ข้าแค่พูดถึงเฉยๆ แต่จะว่ากันตามจริง…พวกเราควรไปได้เสียที”

“ทำไมล่ะ”

“ก็หมวดชื่นน่ะซี” จรูญกระซิบแผ่วเบา “มาก้อร่อก้อติกลูกสาวร้านขายของชำ วันก่อนยังพาหล่อนซ้อนมอเตอร์ไซค์ขึ้นภูเขา ไอ้เฉลิมกับไอ้เชิดช่วยดูต้นทาง ถ้าอยู่นานกว่านี้คงได้ขายขี้หน้าทั้งประเทศ”


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 104  เมื่อ 30 ส.ค. 24, 10:37

วันที่ 15 ตุลาคม 2461 เวลา 04.00 น.รถยนต์กองร้อยย่อยที่ 2 จำนวนสามสิบเอ็ดคันในความบังคับบัญชาร้อยโทเพิ่ม อุณหสูต เดินทางจากวิลล์ มัว แยนน์มาที่เมืองชาลองส์เป็นชุดที่สอง เวลา 06.00 น.รถยนต์กองร้อยย่อยที่ 3 จำนวนสามสิบคันในความบังคับบัญชาร้อยโทแม้น เหมะจุฑา เดินทางจากวิลล์ มัว แยนน์มาที่เมืองชาลองส์เป็นชุดที่สาม ทหารส่วนที่เหลือไม่ต้องลำเลียงอาวุธยุทธปัจจัยจากคลังแสงเมืองตรัวส์ จึงมีคำสั่งให้เคลื่อนพลมาที่เมืองชาลองส์พร้อมสายฝนโปรยปรายตลอดเส้นทาง

เย็นวันนั้นทหารอาสาทุกนายต้องนอนค้างในรถตัวเอง เช้าวันรุ่งขึ้นมีคำสั่งย้ายมาอยู่เมืองคูร์ติโซลส์ห่างออกไปสิบกิโลเมตร กองบังคับการกับกองร้อยย่อยที่ 3 อยู่ตำบลคูร์ติโซลส์ กองร้อยย่อยที่ 2 อยู่สูงขึ้นไปเล็กน้อย ส่วนกองร้อยย่อยที่ 1 อยู่ตำบลซอมม์ เวลล์ เหตุผลที่แยกจากกันเพื่อไม่ให้กีดขวางการจราจร และลดความเสี่ยงจากการถูกโจมตีทางอากาศ

เช้าวันรุ่งขึ้นเพิ่มขับมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างมารับร้อยตรีชุ่มตามคำสั่งร้อยตรีนพ เพื่อตามตัวผู้บังคับการหมวดพยาบาลมาดูแลคนป่วย พลทหารชั้วเพื่อนสนิทเพิ่มไอเสียงดังทั้งคืนอาการโดยรวมไม่ค่อยสู้ดี

 “ก่อนหน้านี้เขาทำอะไรบ้าง” ร้อยตรีชุ่มสอบถาม

“พี่ชั้วทำอาหารให้พวกเรา เสร็จแล้วยังวิ่งตากฝนมาช่วยเข็นรถตกหลุม ช่วงหัวค่ำเริ่มมีอาการหนาวสั่น กลางดึกตื่นมาไอตัวร้อนเหมือนไฟ”

 เพิ่มอธิบายข้อเท็จจริงน้ำเสียงเศร้าหมอง ไม่คิดมาก่อนคนแข็งแรงจะป่วยหนักภายในข้ามคืน เมืองคูร์ติโซลส์กลางวันฝนตกกลางคืนหนาวจัด ร่างกายปรับตัวไม่ทันหนำซ้ำพี่ชั้วเอาแต่พูดว่าไม่เป็นอะไร ตัวเองก็ดันเซ่อซ่าคิดว่าเพื่อนร่วมรบแค่ไม่สบายเล็กน้อยเหมือนดั่งทุกครั้ง

หลังการตรวจสอบคนป่วยอย่างละเอียด ผู้บังคับการหมวดพยาบาลมีคำสั่งชัดเจน “พลทหารชั้วต้องไปอยู่กองบังคับการ”

“ได้ครับ” นพหันมาสบตาลูกน้องคนสนิท

“ชื่นขับรถ…เพิ่มช่วยผมประคองชั้ว” จรูญออกคำสั่งโดยไม่รีรอ

รถบรรทุกเรอะโนลต์ประดับธงไตรรงค์แล่นอยู่บนถนนดินอัดบด นพมองตามหลังสีหน้าไม่สบายใจอย่างถึงที่สุด พลทหารชั้วฝีมือดีเป็นกำลังพลสำคัญลำดับต้นๆ ถูกมอบหมายให้เป็นพลขับรถช่างเครื่องยนต์ประจำหมวด ชั้วเข้าโรงพยาบาลเขาต้องปรับปรุงกำลังพลโดยเร่งด่วน

ปล.มอเตอร์ไซค์พ่วงข้างหน้าตาแบบนี้เลยครับ



บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8 9 ... 12
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.072 วินาที กับ 17 คำสั่ง