เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 12
  พิมพ์  
อ่าน: 23061 ทหารอาสาแห่งกรุงสยาม
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 45  เมื่อ 09 ส.ค. 24, 10:24

สมัยก่อนกองทัพอากาศหลายชาติเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพบก กองทัพอากาศไทยเพิ่งสถาปนาในปี 2480 ก่อนกองทัพอากาศสหรัฐอเมริกาถึง 10 ปีแต่เขาใหญ่กว่าเราเยอะเลย

วันหยุดสุดสัปดาห์ผมขอหนีเที่ยวสัก 2 วันนะครับ วันนี้จะลงตอนที่ 5 ให้หมดขอเรียบเรียงต้นฉบับก่อน
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 46  เมื่อ 09 ส.ค. 24, 17:08

“ใช่” พระเฉลิมอากาศพยักหน้าแผ่วเบา “เราทำสัญญากับอังกฤษและชาติมหาอำนาจในยุโรป ชาวต่างชาติทำผิดกฎหมายไม่ต้องขึ้นศาลไทย กับจัดเก็บภาษีขาเข้าไม่เกินร้อยละ 3 ตอนทำสัญญาไม่ถือว่าเราเสียเปรียบ ถ้าเราตัดสินแขวนคอคนฝรั่งเศส ฝรั่งเศสอาจหาเรื่องบุกไทย เรื่องเก็บภาษีร้อยละ 3 ตอนนั้นก็ดูเหมาะสม ตอนนี้ชาติไทยเจริญก้าวหน้ามีไฟฟ้ามีรถไฟ โชคร้ายสนธิสัญญาเบาริงยังมีผลตามเดิมไม่มีวันหมดอายุ”

ให้ทุกคนใช้ความคิดครู่หนึ่งพระเฉลิมอากาศจึงเล่าเรื่องราวต่อ

“เมื่อเกิดสงครามที่ยุโรปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงติดตามข่าว และทรงตระหนักพระหฤทัยภายภาคหน้าอาจเกิดอะไร ถ้าพระองค์ถือความเคียดแค้นฝรั่งเศสกับอังกฤษเป็นใหญ่ แล้วคล้อยตามความเห็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเข้าร่วมกับฝ่ายเยอรมัน เมื่อสงครามสิ้นสุดลงเยอรมันเป็นฝ่ายแพ้พ่าย พวกเราคงไม่มีแผ่นดินเหลือเป็นสมบัติให้ลูกหลาน แต่ถ้าเราเข้าร่วมฝ่ายสัมพันธมิตรและได้รับชัยชนะ สัญญาที่เคยทำกับเยอรมันเป็นอันสิ้นสุด และเราอาจได้แก้ไขสนธิสัญญาเบาริงกับชาติมหาอำนาจในยุโรป”

สิ่งที่ได้ยินอาจเป็นเหตุผลสำคัญในการเข้าร่วมสงครามโลก เพิ่มเคยทำงานกองทัพเรือจึงเข้าใจอย่างง่ายดาย ทหารหนุ่มวัยสิบแปดแอบมีคำถามค้างคาใจ ในหลวงทรงทราบได้อย่างไรเยอรมันจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

ดูเหมือนพระเฉลิมอากาศสามารถอ่านใจคนได้ เขาเริ่มต้นอธิบายสิ่งที่เพิ่มสงสัยโดยไม่มีใครสักคนเปิดปากสอบถาม

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคบหาพระสหายมากมาย ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนร่วมชั้นรุ่นเดียวกัน หลายคนตำแหน่งใหญ่โตเป็นผู้มีอำนาจในประเทศตัวเอง ทรงมีลายพระราชหัตถเลขาสอบถามตามประสามิตรสหาย เมื่อได้รับพระราชหัตถเลขาพระสหายรีบเขียนตอบพระองค์ทันที ส่วนมากเป็นข่าวคราวครอบครัวตัวเอง รวมทั้งเรื่องสงครามซึ่งกำลังเป็นที่สนใจของคนทั่วโลก พระองค์ได้รับข้อมูลจากหลายฝ่ายนำมาพิจารณา หลังไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนพระองค์ตัดสินใจประกาศสงครามกับฝ่ายเยอรมัน”

   พระเฉลิมอากาศเล่าเรื่องราวในรั้ววังต่อสักพักหนึ่ง ก่อนสลับให้พันตรีหลวงรามฤทธิรงค์ขึ้นมาทำหน้าที่แทน โชคร้ายเพิ่มไม่ตั้งใจฟังตัวเองมัวแต่ใช้ความคิด พิจารณาการตัดสินพระหฤทัยของในหลวงด้วยความยกย่อง

   เพิ่มเคยได้ยินเจ้านายเก่าพูดถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชกรณียกิจทุกกรณีในรัชสมัยของพระองค์ ทรงยึดถือเสียงข้างมากเหล่าเสนาบดีเป็นบรรทัดฐาน แม้ในบางครั้งพระองค์ทรงมีพระราชดำริเป็นอย่างอื่น เมื่อเสียงข้างมากเห็นดีอีกอย่างพระองค์ทรงยินยอมปฏิบัติตาม ยกเว้นแค่เพียงการประกาศทำสงครามกับทหารฝ่ายเยอรมัน

   พระองค์ทรงยึดถือพระบรมราชวินิจฉัยของพระองค์ ทั้งที่เป็นการฝืนเสียงข้างมากของเหล่าเสนาบดี พระองค์ทรงเชื่อมั่นฝ่ายสัมพันธมิตรจะเอาชนะฝ่ายเยอรมัน ประเทศไทยสมควรเข้าร่วมเป็นหนึ่งในผู้ชนะสงคราม

สิ้นสุดสงครามเราจะมีโอกาสแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม

จบตอนที่ 5

บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 47  เมื่อ 09 ส.ค. 24, 17:18

ขออธิบายเล็กน้อย

ยุครัชกาลที่ 6 ยศนายทหารจะเรียก นายร้อยตรี นายร้อยโท หรือนายพันเอก แต่หนังสือที่ผมอ้างอิงทั้งสองเล่มเขียนขึ้นในภายหลังและเรียกยศแบบทหารยุคหลังคือ ร้อยตรี ร้อยโท หรือพันเอก ผมจึงเขียนตามกันเพื่อให้คนอ่านและตัวเองเข้าใจง่าย เคยใส่นายร้อยตรีเหมือนกันแต่อ่านแล้วรู้สึกไม่ชอบใจเลยเอาออก


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 48  เมื่อ 12 ส.ค. 24, 08:08

ตอนที่ 6 คณะทูตทหารพิเศษ

วันที่ 9 มกราคม 2461 ล้นเกล้าล้นกระหม่อมรัชกาลที่ 6 ได้ทรงพระกรุณาพระราชทานเลี้ยงส่งนายทหารกองทูตทหารในพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท นพเข้าร่วมงานพร้อมพันเอกพระเฉลิมอากาศ เขาได้พบร้อยตรีวัน ชูถิ่น นายทหารติดต่อประจำสถานทูตไทยในยุโรป ซึ่งเข้ามาแทนที่ตำแหน่งตัวเองตามคำแนะนำพันโทพระทรงสุรเดช

“ท่านเสนาธิการชอบทำงาน” นพพูดถึงเจ้านายเก่า “วันไหนมีเรื่องด่วนท่านแทบไม่ยอมหลับนอน ผมไหว้วานคุณช่วยดูแลท่านแทนผม”

“ผมไม่ลืมแน่นอน” ร้อยตรีวันพูดไปยิ้มไปตามนิสัยส่วนตัว

“คุณติดขัดปัญหาตรงไหนรีบบอก ช่วงนี้ผมยังฝึกไม่หนัก”

“ผมไม่มีปัญหาดอก…คุณต่างหากที่มี ช่วงนี้คุณดังมาก”

“ผมอย่างนั้นรึ?” ทหารหนุ่มฝีมือดีสีหน้าประหลาดใจ

“เรื่องเศรษฐีล้วนหวงลูกสาวนั่นปะไร ไปที่ไหนมีแต่คนพูดถึง สองวันก่อนพระยาพิไชยชาญฤทธิ์ยังถามเรื่องคุณกับท่านเสนาธิการ”

พลตรีพระยาพิไชยชาญฤทธิ์ ผู้บังคับการกองพลทหารบกที่ 4 คือหัวหน้าทูตทหารพิเศษ นพเคยรับใช้ดูแลหลายครั้งจนผู้บังคับการจำหน้าได้ การถอนตัวเพื่อเข้าร่วมกองทหารอาสาจึงเป็นไปอย่างราบรื่น คืนนี้พระยาพิไชยชาญฤทธิ์เข้าร่วมงานได้นั่งแถวหน้าตามตำแหน่ง เจ้าตัวไม่มีโอกาสพบเจอนายทหารหนุ่มผู้มีข่าวลือดังกระฉ่อนทั่วทั้งพระนคร

นพสนทนาพูดคุยกับร้อยตรีวันแค่เพียงไม่นาน ถึงเวลาอันเป็นมงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานพระบรมราโชวาท

บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 49  เมื่อ 12 ส.ค. 24, 08:11

ร้อยตรีวัน ชูถิ่นในอนาคตได้รับตำแหน่งพลตรี พระประศาสน์พิทยายุทธ เป็นหนึ่งในสี่ทหารเสือที่ร่วมก่อการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475

พลตรี พระประศาสน์พิทยายุทธ เข้ารับการศึกษาในโรงเรียนนายร้อยทหารบก เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2451 ขณะที่มีอายุได้ 14 ปี กระทั่งถึง พ.ศ. 2454 ได้สำเร็จการศึกษาเป็นนักเรียนทำการนายร้อย โรงเรียนนายร้อยมัธยม โดยสอบไล่ได้เป็นที่ 5 จากนักเรียนทั้งหมด 185 คน และได้ไปศึกษาต่อ ณ ประเทศเยอรมนี ทำให้ได้รู้จักกับพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) และพระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) จนกระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้นมา ส่งผลให้ พลตรี พระประศาสน์พิทยายุทธต้องย้ายมาเรียนที่มหาวิทยาลัยโปลิเทคนิคุม (Politeknikum) นครซูริกประเทศสวิสเซอร์แลนด์

ต่อมาประเทศสยามขณะนั้น ได้ประกาศสงครามกับประเทศเยอรมนี และเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ พลตรี พระประศาสน์พิทยายุทธ สำเร็จการศึกษา จึงได้สมัครเข้าเป็นทหารอาสาในสงครามโลกครั้งที่ 1 และได้รับติดยศร้อยตรี ในวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2460 ให้เป็นผู้ช่วยทูตในราชการทหารบกยุโรป และปฏิบัติภารกิจจนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1


ปล.ตัวละครสมทบของผมแต่ละคนดังๆ นั้น




บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 50  เมื่อ 12 ส.ค. 24, 08:18

 “การที่ข้าพเจ้าเชิญมาในวันนี้ ก็เพื่อจะเลี้ยงส่งนายพลตรีพระยาพิไชยชาญฤทธิ์และนายทหารกองทูตที่จะไปยุโรปคราวนี้ ข้าพเจ้าเสียใจอยู่นิดเดียวที่ไม่ทันได้ตระเตรียมให้ยิ่งใหญ่กว่านี้ แต่รำลึกได้อีกทีหนึ่งว่า พระยาพิไชยชาญฤทธิ์ก็ดี นายทหารที่จะไปก็ดี เป็นนายทหาร คงไม่ต้องการที่จะให้มีงานอะไรมากมาย คงต้องการแลเห็นน้ำใจของข้าพเจ้ามากกว่า

ข้อนี้ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องกล่าว ข้าพเจ้ารับรองได้แน่ว่าพระยาพิไชยชาญฤทธิ์ก็ดี และนายทหารที่จะไปพร้อมกันก็ดี เหมือนยังกับได้รับส่วนแบ่งแห่งใจข้าพเจ้าไปคนละชิ้น ที่ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ไม่ใช่แกล้งพูดเลย พูดโดยความจริง เพราะตั้งแต่เล็กมาจนกาลบัดนี้ ข้าพเจ้าเองเป็นทหารแท้ๆ ได้เคยนึกอยู่เสมอว่า เวลาที่จะเป็นเยี่ยมยอดในชีวิตทหารก็คือ เวลาที่ไปทำการตามหน้าที่โดยตรงของตัว
 
เพราะฉะนั้นในการที่พระยาพิไชยชาญฤทธิ์และนายทหารที่จะออกไปในครั้งนี้ ข้าพเจ้าขอสารภาพโดยตรงว่าข้าพเจ้ามีความอิจฉาที่ข้าพเจ้ามาตกอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถจะเป็นเช่นนั้นได้บ้าง แต่เมื่อมานึกดูอีกทีก็พอวายความอิจฉาลงได้บ้าง คือนึกว่าเป็นของธรรมดา ทหารไม่ว่าผู้ใด เมื่อรับมอบหน้าที่ไว้แล้วให้รักษาอยู่หรือไปที่ใด ย่อมจะต้องอยู่หรือไปณ ที่นั้น ทหารจะเลือกเอาเองไม่ได้ว่าจะไปอยู่ที่นั่นที่นี่ ข้าพเจ้าหรือจะเป็นผู้เถียงได้ เมื่อหน้าที่อยู่ที่นี่แล้ว ถ้าข้าพเจ้าจะละทิ้งไปก็เท่ากับข้าพเจ้าเป็นผู้เสียวินัยเหมือนกัน เมื่อมานึกเช่นนี้แล้วจึงได้ค่อยคลายความอิจฉาผู้ไป


เมื่อวายความอิจฉาได้เช่นนี้แล้ว จึงมารู้สึกปลาบปลื้มแทนผู้ที่จะไป ปลื้มว่าในคราวนี้เป็นโอกาสสำคัญอย่างยิ่งของทหารไทยเราที่จะแสดงแก่ชาติ ที่อย่างไรๆเราก็ต้องยอมรับว่าเคยคร้ามข้อเขามา แต่เวลานี้เราได้เดินขึ้นแล้ว เราได้พยายามอย่างที่สุดที่จะทำการตามหน้าที่ของเรา และแม้ว่าเราจะเป็นชาติเล็กก็ไม่ย่อท้อที่จะทำหน้าที่โดยสมบูรณ์สำหรับชาติที่ทรงอิสรภาพ

บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 51  เมื่อ 12 ส.ค. 24, 16:56

พระยาพิไชยชาญฤทธิ์และนายทหารที่จะไปพร้อมกันในครั้งนี้ เป็นคนแรกที่จะได้นำเกียรติคุณและชื่อเสียงของกองทัพบกของข้าพเจ้าไปประกาศแก่ตาโลก จะเป็นคนแรกที่นำธงไทยไปคลี่ที่กลางยุโรป ซึ่งในเวลานี้ต้องนับว่าเป็นเหมือนกลางโลก ข้าพเจ้าไม่จำเป็นจะต้องเตือนนายทหารที่จะไปนี้ว่าให้ตั้งใจประพฤติให้สมที่จะเป็นคนแรกที่จะนำเกียรติยศไปเผยแพร่

ที่ว่าข้าพเจ้าเห็นว่าไม่จำเป็นต้องตักเตือนนั้น เพราะข้าพเจ้าเชื่อว่าพวกเขาทั้งหลายรู้สึกอยู่พอแล้วรู้สึกเกียรติยศ เป็นโชดดีของเขาทั้งหลายในครั้งนี้ที่จะได้เป็นผู้ถือเอาเกียรติคุณ เอาศักดาเดชานุภาพของพระเจ้าแผ่นดินและชาติสยามไปสำแดงในท่ามกลางยุโรป ว่าในครั้งนี้และในเวลาต่อไปประเทศสยามจะขึ้นเทียมเสมอหน้ากับชาติอื่นๆ ก็ที่ชาติใดจะมีอำนาจหรือมีเกียรติคุณได้นั้นมิใช่คนมากหรือน้อย ข้อสำคัญอยู่ที่ความประพฤติ ความปฏิบัติ นิสัยใจคอซึ่งมีอยู่ในสันดานของคนที่จงรักภักดีต่อชาตินั้น ก็นายทหารที่จะไปในคราวนี้ เป็นผู้ที่ข้าพเจ้าเชื่อแน่แล้วว่า เป็นบุคคลที่มีลักษณะเช่นนั้น จึงได้เลือกให้ไปเหมือนไปเป็นผู้แทนของข้าพเจ้า เท่ากับข้าพเจ้าแบ่งภาคของข้าพเจ้าไปภาคหนึ่ง

ที่ข้าพเจ้าได้ตักเตือนตัวข้าพเจ้าเองไว้อย่างไรก็เชื่อมั่นว่า ภาคของข้าพเจ้าที่แบ่งไป คือพระยาพิไชยชาญฤทธิ์คงจะตักเตือนตัวเองและนายทหารที่จะออกไปด้วยเช่นกัน และต่อไปเมื่อทหารอื่นๆ จะออกไปอีกคงจะพอช่วยตักเตือนอยู่เสมอไม่ให้ลืมเลย คราวนี้เป็นคราวสำคัญไม่เฉพาะแต่ในชีวิตของตัวเอง เป็นขณะสำคัญในตำนานของชาติสยาม ซึ่งต่อไปชั่วบุตรหลานของเราทั้งหลายเราจะได้ไม่อายแก่บุตรหลาน
เมื่อบุตรหลานพลิกตำนานของชาติไทยมาถึงหน้านี้ซึ่งเป็นหน้าที่เป็นตำนานของเราทั้งหลาย เป็นประวัติการณ์ของเราทั้งหลาย พวกบุตรหลานจะได้เห็นและร้องว่า อ้อ! เขาไม่ขี้ขลาดดอก เขาได้ทำการเผยแพร่เกียรติยศแห่งชาติ ทำการสมชื่อไทยคือรักความเป็นไทย เขาจึงได้ยอมเสียสละเช่นที่เราทำเดี๋ยวนี้

เพราะฉะนั้นในเวลาสำคัญเช่นนี้ เราทั้งหลายต้องช่วยกันโดยอาการที่อาจทำได้ในตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ กัน ส่วนผู้ที่ออกไปในหน้าที่เพื่อนำธงไทยของกองทัพไทยไปยังทวีปยุโรป ก็ต้องพยายามแสดงให้แลเห็นชัดแก่สายตาโลกว่าชาติไทยยังไม่สิ้นเชื้อนักรบ ยังมีเชื้อชาติติดต่อมาจนถึงเดี๋ยวนี้ ฝ่ายเราทั้งหลายที่จำเป็นจะต้องอยู่ข้างนี้ก็ต้องตั้งใจทุกคน ที่จะทำอย่างไรเพื่อช่วยให้การสำเร็จไปให้สมแก่ชื่อว่าเป็นเชื้อชาตินักรบของไทยผู้ตั้งใจรักษาคณะไทย เมื่อมีความตั้งใจพร้อมกันอยู่เช่นนี้แล้ว ก็พอจะหวังได้ว่าจะได้เห็นความสำเร็จดังปรารถนา ในที่สุดเราตั้งใจอยู่เสมอเช่นนี้แล้ว เชื่อว่าจะได้เห็นความมีชัยอันงดงามแก่ฝ่ายเราเป็นแน่แท้

ด้วยความเชื่ออันนี้ ข้าพเจ้าขอชักชวนท่านทั้งหลายซึ่งอยู่ในที่นี้ตั้งใจให้พรแก่ นายพลตรีพระยาพิไชยชาญฤทธิ์ และนายทหารกองทูตที่จะออกไปพร้อมกันให้มีความสุขสำราญ และขอให้อำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งซึ่งเป็นประธานใหญ่ในโลกอภิบาลรักษาให้ปราศจากสรรพอุปัทวันตราย ได้กลับมาบ้านเมืองโดยนำธงชัยของกองทัพบกกลับมาในเมื่อมีชัยชนะ”

บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 52  เมื่อ 12 ส.ค. 24, 16:58

คณะทูตทหารพิเศษขึ้นตรงต่อสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ ซึ่งมีตำแหน่งเสนาธิการทหารบก ทำหน้าที่เป็นผู้แทนชาติไทยติดต่อกับบรรดาประเทศต่างๆ ฝ่ายสัมพันธมิตร และคอยดูแลอำนวยความสะดวกให้กับกองทหารอาสา ที่จะเดินทางไปร่วมรบกับฝ่ายสัมพันธมิตรในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

วันที่ 11 มกราคม 2461 คณะทูตทหารพิเศษเดินทางจากกรุงเทพโดยรถไฟไปลงสิงคโปร์ แล้วต่อเรือกลไฟขนาดใหญ่จุดหมายคือเมืองมาร์เซย์ ประเทศฝรั่งเศส วันนั้นนพขออนุญาตลางานมาส่งเจ้านายเก่าที่สถานีรถไฟ

“เดินทางปลอดภัยครับท่าน” ทหารหนุ่มมีคำพูดเพียงเท่านี้

“ตั้งใจฝึกอย่าให้ใครติฉินนินทา…เจอกันที่ฝรั่งเศส” พันโทพระทรงสุรเดชตบไหล่อดีตนายทหารคนสนิทก่อนขอตัวก้าวเท้าขึ้นขบวนรถไฟ

นพแสดงความเคารพครั้งสุดท้ายระหว่างรถไฟเคลื่อนขบวน

จบตอนที่ 6

บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 53  เมื่อ 13 ส.ค. 24, 12:42

ตอนที่ 7 ชีวิตทหารอาสา

ทหารอาสาต้องฝึกฝนเพิ่มเติมความรู้ความชำนาญให้กับตัวเอง รอเดินทางเข้าร่วมสงครามประกาศชื่อเสียงทหารไทยให้เลื่องชื่อระบือนาม เพิ่มไม่คิดอะไรสนใจแค่เพียงได้ไปฝรั่งเศสวันไหน ตรงข้ามกับจรูญภรรยาตั้งท้องช่วงเวลาที่สามีไปราชการสงคราม ตัวเองมีหน้าที่ส่งเงินเดือนให้กับคนในครอบครัว โชคร้ายเงินเดือนมักคลาดเคลื่อนบางเดือนไม่ออกยกยอดไปสมทบเดือนหน้า เป็นแบบนี้หลายครั้งเข้าจรูญต้องบากหน้ามาขอยืมเงินจากญาติพี่น้องรวมทั้งคนใกล้ตัว

“ขอบใจเอ็งมาก” จรูญใช้หนี้สินกับลูกน้องในกองร้อยย่อย

“ฉันไม่ได้ใช้อะไรอยู่แล้ว” เพิ่มส่งยิ้มอ่อนให้กับหัวหน้าโดยตรง

“เอ็งไม่มีลูกเมียก็ดีเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นคงลำบากเหมือนข้า”

“ถ้าเมียพี่หมู่ท้องโตไม่วุ่นวายแย่เหรอ”

“ข้าให้แม่ยายมาอยู่เป็นเพื่อน”

“พี่หมู่อยากได้ลูกสาวหรือลูกชาย”

“ข้าสนใจเรื่องเมียปลอดภัยมากกว่า ลูกสาวหรือลูกชายไม่เกี่ยง”

สองทหารอาสากองร้อยย่อยที่ 4 พูดคุยกันใต้ร่มเงา วันนี้มีการตรวจพลเพิ่มกับจรูญสวมเสื้อนอกสีเทากางเกงขาสั้นสีกรมท่า เครื่องแบบทหารไทยค่อนข้างล้าสมัยไม่เหมาะสมกับการรบยุคใหม่ จึงมีคำสั่งให้เปลี่ยนมาใช้งานเสื้อกางเกงสีกากีแกมเขียว บังเอิญเรือสินค้าจากประเทศญี่ปุ่นถูกเรือข้าศึกยิงจมกลางทะเล ทางการไทยต้องจัดหาอีกครั้งโดยเปลี่ยนมาใช้เสื้อกางเกงสีน้ำตาล สำหรับนายทหารต้องนำกระบี่มารมควันดำให้เรียบร้อย

ช่วงเวลาที่เพิ่มกับจรูญกำลังสนทนาพูดคุย พลทหารเชิดกับสิบโทเฉลิมจากกองร้อยย่อยที่ 8 ตั้งใจเดินเข้ามาหาเรื่องโจทก์เก่า

“ไอ้เพิ่ม…ไอ้ขี้ประจบ!” เชิดใช้น้ำเสียงแข็งกระด้าง

“เอ็งพูดถึงอะไร” เพิ่มพลอยเสียงแข็งตามกัน

“เอ็งประจบผู้บังคับบัญชาจนกองร้อยย่อยที่ 4 ได้อันดับหนึ่ง”

“ไอ้เชิด…เอ็งจำไม่ได้รึ ผู้บังคับบัญชาเรียกเอ็งใช้งานก่อนข้า เอ็งทำไม่ได้ท่านเลยให้ข้าช่วย ถ้าข้าประจบสอพลอเอ็งก็ประจบเช่นกัน”

“ถ้าเอ็งไม่ประจบ” เฉลิมเห็นลูกน้องพลาดท่าเสียทีรีบพูดสอดอีกคน “ทำไมกองร้อยย่อยที่ 8 ซ่อมเครื่องยนต์เสร็จก่อนกลับได้อันดับสี่”

“เอ็งซ่อมเสร็จก่อนแต่รถยนต์แล่นไม่ได้ ข้าซ่อมเสร็จอันดับสองย่อมได้อันดับหนึ่ง” จรูญอธิบายข้อเท็จจริงด้วยสีหน้าเรียบเฉย

กองทหารบกรถยนต์มีหน้าที่ดูแลยานพาหนะทุกชนิด การฝึกซ้อมส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับกลไกต่างๆ ของรถยนต์ มีการให้คะแนนจากครูผู้ฝึกสอนทุกหัวข้อ และกองร้อยย่อยที่ 4 มักครอบครองอันดับหนึ่งหรือสอง ถ้าสมาชิกกองร้อยย่อยที่ 8 จะอิจฉาตาร้อนย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก

เพิ่มไม่โกรธและเข้าใจเหตุใดพวกเขาสองคนอารมณ์ไม่ดี

ย้อนเวลากลับคืนสู่กลางดึกคืนวันจันทร์ที่เพิ่งผ่านพ้น ช่วงเวลาที่ทุกคนพักผ่อนนอนหลับบนเตียงตัวเอง พลันได้ยินเสียงแตรเป่าปลุกเตรียมตัวเข้าประชุม เพิ่มรีบแต่งตัววิ่งออกมาเข้าแถวพร้อมทุกคนหน้าโรงนอน เขาเห็นพันเอกพระเฉลิมอากาศสั่งลงโทษโบยหลังเชิดกับหมู่เฉลิม โทษฐานดื่มเหล้าเมามายสร้างความเดือดร้อนต่อชาวบ้านในช่วงวันหยุด

อาจเป็นเพราะเหตุนี้เชิดจึงโมโหแค้นเคืองแล้วพาลมาลงกับตัวเอง

บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 54  เมื่อ 13 ส.ค. 24, 20:41

เนื่องจากกองบินทหารบกกับกองทหารบกรถยนต์แยกกันฝึกซ้อม ทหารอาสาทั้งสองกองรู้จักกันแค่เพียงผิวเผิน บังเอิญวันนี้พันตรีหลวงทยานพิฆาตมาประชุม ณ ที่ตั้งกองทหารบกรถยนต์ เขาพาลูกน้องมาด้วยหลายนายหนึ่งในนั้นบังเอิญเป็นเพื่อนผู้ช่วยผู้บังคับกองร้อยย่อยที่ 4

“ไอ้นพ!” ร้อยตรีนิจตบไหล่เพื่อนเก่าสีหน้าดีอกดีใจ

“สบายดีไหม” นพมีรอยยิ้มครั้งแรกในรอบสัปดาห์

“สบายดีแต่ค่อนข้างเบื่อ โชคดีวันนี้ได้ออกมาเปิดหูเปิดตา”

“ขึ้นบินหรือยัง”

“ฉันรอนายอยู่ว่ะเพื่อน”

“เคยบอกแล้วนี่นาฉันไม่บิน”

นิจใส่ไฟเพื่อนต่อหน้าเพิ่มกับจรูญ “หมอนี่มันกลัวเมีย”

บทสนทนาระหว่างสองเพื่อนเก่าเต็มไปด้วยไมตรีจิต นิจเล่าเรื่องราวในค่ายฝึกกองบินทหารบกให้ทุกคนฟัง เขาสังกัดทหารราบทำงานอยู่ที่กรมแผนที่ทหารบก ผู้ใหญ่ในกองทัพกำหนดรายละเอียดอย่างชัดเจน ทหารม้าสมควรเป็นนักบินเครื่องบินขับไล่ ทหารปืนใหญ่สมควรเป็นนักบินเครื่องบินทิ้งระเบิด ส่วนทหารราบสมควรเป็นนักบินเครื่องบินลาดตระเวน

“การฝึกเบื้องต้นส่วนใหญ่หนักมาทางการช่าง ต้องทดสอบเลื่อยไม้ไสกบ ตีเหล็กเป็นรูปต่างๆ การบัดกรีเหล็ก การถอดประกอบเครื่องยนต์ ทุกคนต้องจำให้ได้ชิ้นส่วนเครื่องยนต์ทุกชิ้นชื่ออะไร ต้องประกอบเครื่องบินด้วยตัวเองก่อนนำเครื่องขึ้นบิน ต้องจำวิธีใช้งานคันบังคับทั้งหมดให้ได้”

“ยากแบบนี้ผมคงสอบไม่ผ่าน” จรูญรับรู้ทันทีถึงความเหน็ดเหนื่อย โชคดีตัวเองกลัวความสูงไม่กล้าเลือกประจำการกองบินทหารบก

“ยากก็จริง…แต่ถ้าตั้งใจฝึกซ้อมย่อมทำได้” นิจตอบแบบกลางๆ

“หมวดขึ้นบินหรือยังครับ” เพิ่มตั้งคำถามเป็นรายถัดไป

“เพิ่งได้บินกลุ่มสุดท้าย เขาให้ทหารม้าขึ้นบินก่อน”

“หมวดต้องบินเก่งมากๆ” เด็กหนุ่มวัยสิบเก้าชื่นชมจากใจจริง

นิจได้ยินพาลถอนหายใจ “การขึ้นบินอันตรายพอสมควร ทหารม้าชุดแรกที่ขึ้นบินเกิดอุบัติเหตุ เครื่องบินร้อยตรีสงวนตกระหว่างการฝึก”

เรื่องราวที่ได้ยินทำเพิ่มกับจรูญหายใจไม่ทั่วท้อง

นพซึ่งถูกคนรักสั่งห้ามขึ้นบินเข้าใจความคิดฝ่ายสาวทันที

ร้อยตรีสงวน ทันด่วนคือผู้เสียสละรายแรกของกองทหารอาสา

กองบินทหารบกเพิ่งจัดตั้งได้เพียงไม่นาน นักบินและช่างเครื่องฝีมือเก่งกล้ามีเพียงน้อยนิด ก่อนหน้านี้ในปี 2458 เคยมีการประลองยุทธทางอากาศที่บ้านโคกหม้อ จังหวัดราชบุรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาทอดพระเนตรในที่ประทับ ฝ่ายแดงมีเครื่องบินนิเออปอร์ตจำนวน 4 ลำ พันตรีหลวงทยานพิฆาตคือผู้บังคับการ ส่วนฝ่ายขาวมีเครื่องบินเบรเกต์กับนิเออปอร์ตจำนวน 4 ลำ พันเอกพระเฉลิมอากาศคือผู้บังคับการ

 ทหารทั้ง 8 นายคือนักบินฝีมือฉกาจแห่งกองทัพบก

เมื่อประเทศไทยเข้าร่วมสงครามโลกฝ่ายสัมพันธมิตร สองนักบินที่เก่งที่สุดถูกส่งมาดูแลกำลังทหารอาสา เพื่อฝึกฝนนักบินฝีมือดีจากกำลังพลที่ไม่เคยขึ้นบินมาก่อน จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงระหว่างการฝึก


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 55  เมื่อ 14 ส.ค. 24, 08:13

มีประเด็นให้พูดถึงค่อนข้างสำคัญ

ร้อยตรีสงวน ทันด่วนคือผู้เสียสละรายแรกของกองทหารอาสา เขาเสียชีวิตจากการขึ้นบินชุดแรกของกองบินทหารบกขณะฝึกซ้อมอยู่ที่ดอนเมือง ข้อมูลจากจารึกอนุสาวรีย์ทหารอาสาระบุว่า อุบัติเหตุเกิดขึ้นในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2460 ปัญหาก็คือ

1.วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2460 ประเทศไทยยังไม่ประกาศสงครามกับฝ่ายเยอรมัน

2.วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2460 ประเทศไทยยังไม่จัดตั้งกองทหารอาสา

3.รายชื่อผู้เสียสละจำนวนมากเกิดขึ้นก่อนกองทหารอาสาเดินทางไปยุโรป อาทิเช่นนายดาบเยื้อน สังขอยุทธ เสียชีวิตวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2461 ณ โรงพยาบาลอเมริกันที่ 57 กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งในความเป็นจริงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2461 ทหารอาสาทุกนายยังอยู่ประเทศไทย



จึงเป็นไปได้ว่าข้อมูลจากจารึกอนุสาวรีย์ทหารอาสาขยับเลื่อนมาข้างหน้า 1 ปี แต่ทำไมถึงขยับเลื่อนผมหาเหตุผลไม่เจอ อาจเกี่ยวข้องกับการนับปีของคนไทยในอดีตหรือเปล่า? แต่ข้อมูลดันตีกับเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่หนึ่งแบบเละกันไปข้าง

ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งปวง...เรื่องราวของผมจึงกำหนดให้อุบัติเหตุเกิดขึ้นในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2461 หลังคณะทูตทหารพิเศษเดินทางไปยุโรป 1 เดือนกับอีก 2 วัน


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 56  เมื่อ 14 ส.ค. 24, 08:22

สังเกต 2 บรรทัดสุดท้ายกันสักนิด


ผู้เสียสละคือ จ่าสิบเอก (ชั่วคราว) หม่อมหลวง อุ่น อิศรเสนา ณ กรุงเทพ เป็นนักเรียนชาวไทยในต่างแดนอาสาสมัครทำหน้าที่ไกด์ให้กับกองทหารอาสา ผมเพิ่งเคยเห็นนามสกุล ณ กรุงเทพ เป็นครั้งแรก หลังการสืบหาข้อมูลได้ความว่า


พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า บรรดานามสกุลซึ่งได้ทรงขนานพระราชทานแก่ผู้สืบสายราชตระกูลนั้น ให้มีคำว่า “ณ กรุงเทพ” เพิ่มท้ายนามสกุลนั้น ต่อมาทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ “ประกาศแก้เครื่องหมายนามสกุลสำหรับราชสกุล” ความว่า ตามที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผู้สืบสายแต่ราชสกุลใช้คำว่า “ณ กรุงเทพ” ต่อท้ายนามสกุลนั้น เป็น “ณ อยุธยา” ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2468


สรุปความก็คือ ณ กรุงเทพ เปลี่ยนมาใช้ ณ อยุธยา
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 57  เมื่อ 14 ส.ค. 24, 18:22

เดือนเมษายนสภาพอากาศค่อนข้างร้อนอบอ้าว อุบัติเครื่องบินตกสร้างความตื่นตระหนกตกใจเพียงไม่กี่วัน ความเบื่อจากการรอคอยเข้ามาแทนที่อีกครั้ง โดยเฉพาะชายหนุ่มผู้สมัครทหารอาสาเพราะเหตุจำเป็น
นพเคยเป็นนายทหารคนสนิทเสนาธิการกองพลทหารบกที่ 4 ตั้งแต่เช้ายันเย็นต้องวุ่นวายกับงานกองใหญ่เท่าภูเขา เขาย้ายมาสังกัดทหารอาสาเพราะถูกว่าที่พ่อตาบังคับทางอ้อม รู้ดีเต็มอกกว่าจะได้ไปยุโรปต้องรอคอยค่อนข้างนาน เพียงแต่ไม่คาดฝันการรอคอยช่างแสนน่าเบื่อถึงเพียงนี้

คืนวันอันสุดแสนเบื่อหน่ายสูญสลายหายไปในบ่ายวันหนึ่ง นพได้รับจดหมายจากพันโทพระทรงสุรเดชซึ่งอยู่ที่กรุงปารีส จดหมายฉบับนี้เปิดเผยเรื่องราวยังไม่เคยบันทึกในประวัติศาสตร์ชาติไทย นพอ่านจดหมายเสร็จจึงเล่าเรื่องราวจากอีกฟากหนึ่งของโลกให้ลูกน้องคนสนิทรับฟัง

“นักเรียนไทยในเยอรมันถูกจับขังคุก!” เพิ่มกับจรูญอุทานพร้อมกัน

“คนไทยที่เป็นล่ามเล่าให้ฟัง” นพขยายความ “เขาถูกตำรวจจับกุมในกรุงเบอร์ลินพร้อมคนไทยอีก 4 คน ในที่คุมขังมีชาวอังกฤษ เบลเยียม และโปแลนด์ ทำเรื่องเสร็จเขาถูกส่งตัวไปอยู่ที่คุมขังสำหรับพลเรือน สบายกว่าเดิมไม่ต้องทำงานหนักและติดต่อกับคนจากสถานทูตได้”

“อยู่ที่นั่นอาหารการกินดีหรือไม่” เพิ่มสอบถามด้วยอยากรู้

“ไม่ถึงกับดีไม่ถึงกับแย่ มื้อเช้ามีกาแฟเทียมกับขนมปังดำ มื้ออื่นเป็นซุปปรุงด้วยน้ำมันกับเปลือกผัก แต่ลำบากเรื่องไม่มีไฟอุ่นทำให้มือกับเท้าบวม นักโทษสามในสี่เป็นหวัดเรื้อรังต้องรักษาตัวค่อนข้างนาน”

เพราะเป็นเรื่องน่าสนใจนพจึงพูดเก่งมากกว่าทุกวัน

“ต่อมาทหารเยอรมันย้ายนักเรียนไทยรายนี้มาอยู่วังเก่าของไกเซอร์ อาหารกับที่พักอาศัยดีกว่าเดิมแต่ต้องเสียเงินเดือนละ 30 มาร์ค เจ้าหน้าที่ประจำสถานทูตช่วยดูแลอยู่หลายเดือน เมื่อเยอรมันกับฝรั่งเศสเซ็นสัญญาสงบศึกชั่วคราว เชลยชาวไทยจึงถูกปล่อยตัวนั่งรถไฟกลับกรุงปารีส”

“ถ้าพวกเราถูกจับจะได้อยู่วังเก่าไกเซอร์หรือเปล่า”

จรูญพูดขึ้นมาลอยๆ ตามประสาคนพูดเก่งประจำกองร้อย

คำพูดนี้ทำพลทหารเพิ่มกับร้อยตรีนพใช้ความคิดอย่างหนัก

ทหารเยอรมันคงไม่ใจดีต่อฝ่ายตรงข้ามไม่ว่ามาจากชาติไหน

จบตอนที่ 7

บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 58  เมื่อ 14 ส.ค. 24, 18:24

เรื่องราวในเมืองไทยน่าจะเพียงพอแล้ว อีกตอนสองตอนเพิ่มกับจรูญได้เดินทางไปยุโรปเสียที  ยิ้มกว้างๆ

บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 59  เมื่อ 15 ส.ค. 24, 11:03

ตอนที่ 8 ค่ำคืนแห่งความประทับใจ

เมื่อคณะทูตทหารพิเศษเดินทางจากไปกองทหารอาสาต้องฝึกฝนอย่างหนักอีกหลายเดือน ล่วงเลยเข้าสู่ต้นเดือนพฤษภาคม 2461 ถึงได้รับคำสั่งเตรียมพร้อมไปยุโรป ทหารอาสาทุกนายเกิดความฮึกเหิมขยันฝึกซ้อมมากขึ้น อีกไม่นานตัวเองและเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายจะได้ช่วยเหลือประเทศ นำชัยชนะกลับบ้านปลดแอกสัญญาที่ไม่เป็นธรรมทั้งหลายทั้งปวง

พันเอกพระเฉลิมอากาศมาตรวจสอบการฝึกซ้อมทุกวัน เย็นวันหนึ่งเมื่อพันตรีหลวงรามฤทธิรงค์สั่งสิ้นสุดการฝึกซ้อม เขาเดินเข้าใกล้กองร้อยย่อยที่ 4 เพื่อกวักมือเรียกร้อยตรีนพออกมาพูดคุยเป็นการส่วนตัว

“ผมต้องการให้คุณติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่บนเรือ”

นพแสดงทีท่าไม่เห็นด้วย “ผมต้องดูแลลูกน้องครับท่าน”

“แค่ระหว่างเดินทาง ถึงยุโรปคุณไม่ต้องช่วยผมมีคณะทูต”

“ผมกลัวคนอื่นคิดว่าประจบสอพลอ”

“คุณประจบผมหรือเปล่าล่ะ”

“เปล่าครับ”

“ในเมื่อคุณไม่ได้ทำคุณไม่ต้องสนใจ”

“ครับ” ร้อยตรีหนุ่มทำความเคารพก่อนขอตัวเดินจากไป

พระเฉลิมอากาศมองตามหลังนายทหารอนาคตไกล พันโทพระทรงสุรเดชแจ้งว่าอดีตนายทหารคนสนิทฝีมือดีมาก เขาจึงไหว้วานให้ดูแลเรื่องการติดต่อกับชาวต่างชาติ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะแสดงทีท่าว่าไม่สนใจ
ต้องมีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นกับชายหนุ่มคนนี้

“มานี่หน่อย” พระเฉลิมอากาศกวักมือเรียกเพิ่มกับจรูญซึ่งบังเอิญเดินผ่านมา “เราสองคนเป็นลูกน้องร้อยตรีนพใช่ไหม”

“ใช่ครับ” จรูญตอบคำถามเสียงดังฟังชัด

“ปรกติเขาเป็นคนเงียบๆ เช่นนั้นรึ”

เพิ่มใช้ความคิดครู่หนึ่ง “ตอนฝึกเวลาผมไม่เข้าใจตรงไหน หมวดนพช่วยอธิบายอย่างละเอียด แต่เวลาปรกติหมวดนพพูดค่อนข้างน้อย”

“หมวดนพมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

คำถามผู้บังคับบัญชากองทหารบกรถยนต์ทำจรูญถอนหายใจ

“ปัญหาหัวใจครับท่าน วันหยุดผมกับพลทหารเพิ่มกลับบ้านไปพบครอบครัว แต่หมวดนพนอนเฝ้าค่ายทหารเพราะไม่รู้จะไปไหน พ่อแม่หมวดอยู่ต่างจังหวัดส่วนคนรักถูกเศรษฐีสั่งห้ามไม่ให้เจอกัน”

“ขอบใจมาก” พระเฉลิมอากาศไล่สองทหารอาสากลับที่พัก

นายทหารมากประสบการณ์ทบทวนเรื่องราวในใจ ร้อยตรีนพคิดถึงลูกสาวเศรษฐีล้วนจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ว่าที่พ่อตาก็พยายามกีดกันไม่ให้คนรักเจอหน้ากัน เพื่อให้เรื่องนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อการทำราชการสงคราม เขาต้องหางานให้ร้อยตรีนพทำทุกวันจนไม่เหลือเวลาคิดถึงเรื่องอื่น


บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 12
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.075 วินาที กับ 16 คำสั่ง