เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 20 21 [22] 23 24 ... 29
  พิมพ์  
อ่าน: 61861 Yesterday Once More...
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 315  เมื่อ 23 ก.พ. 25, 18:10

อยู่ดี ๆ ก็คิดถึงอดีตในช่วง ต้นปี 2000s  แผ่นเสียงสูญพันธุ์ไปแล้ว  มี CD เข้ามาแทน  อตน. มาเต็มรูปแบบแล้ว  ผมเลิกติดตามอันดับเพลงแล้ว  เหลือแค่หมุนคลื่นวิทยุหาเพลงฟังไปเรื่อย ๆ  ตอนนั้นผมรับทีวี I/UBC  พอมีสื่อแบบนี้ก็เลิกออกจากบ้านไปหาหนังดู
 
ในช่วงนั้น  ผมเดาเอาเองว่า  ฐานะการเงินของทีวีที่ว่าท่าจะคลอนแคลน  ไม่มีหนังดีหนังดังให้ดู  หนังบางเรื่องก็วนฉายนานเป็นปี  เริ่มน่าเบื่อ  ผมก็เปลี่ยนบรรยากาศมาหาเพลงฟังแทน  มีทั้งช่องที่ให้แต่เสียง  และช่อง MTV  ช่วงนั้นดูบ่อย  ก็เจอ MV เพลงเพราะติดใจมากพอสมควร

Lou Bega



Marc Anthony มา 2 เพลง





Outkast



Coolio



Daniel Powter



Sean Kingston



เอ... ทำไมมีแต่ผู้ชายหว่า  นึกเพลงผู้หญิงร้องไม่ออก  เค้นแป๊บ... ได้เพลงเดียว

Kylie Minogue



นึกได้เท่านี้  ลองกลับไปนึกใหม่
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 316  เมื่อ 24 ก.พ. 25, 18:11

เอ่ยถึง Kylie Minogue  ทำให้ผมนึกอะไรเรื่อยเปื่อยต่อ

ปลายยุค 80s ผีเพลงเริ่มเบื่อที่จะสิงผมแล้ว  เธอค่อย ๆ คลายตัว  ตอนนั้นวิทยุยังครองตลาดด้านสื่อการฟังเพลง  ผมก็ยังคงฟังไปเรื่อยๆ  ถ้ามีติดใจก็จำชื่อเพลง/คนร้องไว้  ไม่ได้ขวนขวายหารายละเอียดเท่าไร  นั่นเป็นเพราะยุคนั้นยังไม่มีรายละเอียดให้ค้นหา

ที่จำการเปลี่ยนแปลงได้แม่นเมื่อเพลงของ Mariah Carey และคู่แข่ง Paula Abdul เริ่มเข้ามาดังในบ้านเรา   2 เธอดังมากในอเมริกา  และแผ่ความดังมาถึงบ้านเรา  ทุกเพลงดังของพวกเธอแผดออกมาจากลำโพง  และผมรู้จักหมด  แต่แปลกที่รู้สึกเฉย ๆ กับเพลงของพวกเธอ 

ผมไม่นึกซื้อแผ่นเสียงของเธอ ๆ  แค่ทดสอบตัวเองด้วยการซื้อ cassette tape มาฟัง  ฟังไปได้เพลงเดียวก็เลิกฟังและไม่คิดจะเปิดโอกาสลองฟังใหม่  นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวผม  ผมว่ายุค ‘Yesterday once more’ ของผมถึงจุดสิ้นสุดแล้ว  ความดังของ MC และ PA มากและติดต่อกันขนาดนี้  ถ้าย้อนไปในยุคผม  ผมคงเกาะติดไม่ปล่อย

การตอกย้ำในความรู้สึกนี้เกิดขึ้นกับเพลงของนักร้องใหม่ ๆ ในช่วงนั้น  ขนาดเพลงที่ ‘เข้าหู’ ผมก็เฉย ๆ ไม่ได้ใจจดใจจ่อรอฟังอีกหรือออกไปหาซื้อ ‘โน่นนี่’  หรือนักร้องในยุคผมที่ยังคงออกผลงานอย่างต่อเนื่องเช่น Carly Simon, Linda Ronstadt, Stevie Wonder, Paul McCartney ฯลฯ  ผมก็เลิกติดตาม  ผมวิเคราะห์ว่าน่าจะเป็นแนวเพลงที่เปลี่ยนแปลงไปจากแนวที่ผมโปรด  ผมบอกไม่ได้ว่าโปรดแนวเพลงแบบไหน  ถ้าจะให้ใกล้เคียงกับความรู้สึกก็แนว 60s, 70s นั่นแหละ

ผมจะไม่เอ่ยถึงผลงานของ MC กับ PA  เพลงของพวกเธอเปิดกันเรียกได้ว่า ‘back to back’  บนหน้าปัดวิทยุ  แต่จะเอ่ยถึงเพลงของศิลปินสาวคนอื่น ๆ ที่ ไม่ใช่ว่าไม่ดัง  ดังนะ  แต่ดังน้อยกว่า

Kylie Minogue ... ดังจากการนำเพลงในยุค 60s มาร้องใหม่



เพลงนี้ดังในบ้านเรามากขนาดมีการนำไปทำ spot โฆษณา



Debbie Gibson ... อีกหนึ่งนักร้องหน้าใหม่ในปลาย 80 s เพลงนี้ดังในบ้านเรา  แต่ผมฟังแล้วเฉย ๆ 



แม้เพลงดังสุด 2 เพลงนี้ก็ยังเฉยๆ





Tiffany … ผมเพิ่งรู้ว่าเธอไม่ได้เป็นศิลปินยุคปลาย 80s  เธอเข้ามาในวงการก่อนหน้า  แต่เพิ่งมาดังในปลาย 80s  แนวเพลงก็เลยไม่ใช่แนวของผม  เพลงของเธอได้ยินบ่อยหลายเพลง





(เพลงนี้แม้ความเพราะถูกหูนำร่องมาก่อนเพราะต้นฉบับเป็นของ The Beatles แต่ก็เฉย ๆ)


รายสุดท้ายเป็นวงประสานเสียงหญิงล้วนชื่อ Expose   สองเพลงนี้ได้ยินเป็นประจำเช่นกัน





หลังจากมีข้อมูลมากมายให้ค้นแล้ว  ผมพบว่าเธอ ๆ เหล่านี้  มีเพลงดังบนอันดับเพลงมากมาย  วิทยุบ้านเราต้องนำมาเปิดให้ฟังมากกว่าที่ผมนำมาเสนอนี้  นี่แสดงว่าเพลงที่เอามาลงนี้สามารถเอาชนะหูผมได้
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 317  เมื่อ 24 ก.พ. 25, 18:38

ควันหลงนิดหน่อยเกี่ยวกับเพลง The Loco-Motion  เพลงนี้ทำสถิติไว้ว่ามีศิลปินสามารถนำมาร้องแล้วผ่าน top 3 ของตาราง billboard ไปได้ 3 ครั้ง  แต่ละครั้งอยู่ต่างทศวรรษกัน  คือทศวรรษละครั้ง (เอ๊ะ... เขียนถูกป่าวหว่า)  เอางี้

ครั้งแรกปี 1962 จากเสียงของ Little Eva (อันดับ 1)



ครั้งที่สองปี 1974 จากเสียงของวง Grand Funk Railroad (อันดับ 1)



และครั้งที่สามปี 1988 จากเสียงของ Kylie Minogue (อันดับ 3)

สถิติต่อมาคือเพลงนี้ขึ้นถึงอันดับ 1 สองครั้งโดยฝีมือของศิลปินต่างแขนงกัน  Little Eva อยู่แขนง soul ส่วน GFR อยู่แขนงร็อค
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 318  เมื่อ 25 ก.พ. 25, 14:28

ข่าวด่วนและข่าวใหญ่  สั่นสะเทือนวงการเพลงระดับโลก




ตั้งแต่คราวนี้ไปผมจะลงเรื่องราวอุทิศให้กับ Robert Flack  งานชุดนี้เป็นมหากาพย์ยำใหญ่จานมหึมาที่ผมทำรอคิวไว้นานแล้ว  ขณะเขียนเกิด องค์ลง จับเรื่องพันกันชุลมุนชุลเก  ไม่สามารถแกะได้  กรุณาติดตามไปเรื่อย ๆ

เย็นนี้เจอกันครับ
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 319  เมื่อ 25 ก.พ. 25, 18:42

เสาบ้าน Yesterday once more ของผมโค่นไปอีก 1 ต้น  เป็นหนึ่งในเสาหลักเสียด้วย

ผมเริ่มยำเละจานใหญ่ตรงนี้  ตั้งต้นที่เพลงในยุค golden oldies …

Barbara Lewis เป็นนักร้องเพลงแนว soul  ช่วงเวลาของเธออยู่ในต้น 60s  เทียบกับบ้านเราก็คือยุค golden oldies  เพลงนี้ได้ยินเป็นประจำในรายการ GO



พอมากลางยุค 70s  ผมก็ได้ยินเพลงนี้อีกครั้ง เป็นการนำมาร้องใหม่  เสียงของ Debby Boone



นี่ไม่ใช่เพลงดังของเธอ  ความจริงมันไม่ดัง (ที่อเมริกา) เสียด้วยซ้ำ  เอาเป็นว่าบ้านเราดังกว่า  เพลงบรรจุอยู่ใน album ที่ออกในปี 1977  ที่มีเพลงดังคือ You light up my life   เหล่าดีเจที่ซื้อแผ่นเสียงแผ่นนี้มา  ฟังไปเรื่อย ๆ แล้วพบว่าเพลงนี้เพราะก็เลยเอามาเปิดให้ฟัง  คนฟัง ๆ แล้วเพราะตาม  ดีเจก็รวมหัวเปิดกันยกใหญ่  เพลงจึงดังในบ้านเรา

พูดถึงเพลง YLUML เพลงนี้ดังมาก  ออกอาละวาดตามสถานีวิทยุในเมืองไทย  ที่บ้านเค้าก็ดังสุดขีด  ติดอยู่ที่อันดับ 1 ของ Billboard Hot 100 นานถึง 10 อาทิตย์  หมายความว่ามีคนขอดีเจให้เปิดเพลงนี้แล้วก็ฟังเพลงนี้กันนานถึง 70 วันโดยไม่มีเบื่อ  ในปีนั้น  เพลงนี้สร้างสถิติใหม่ในอันดับเพลงมากมาย



ตอนเพลงมาถึงเมืองไทยจึงไม่แปลกใจที่ความดังจะตามมาด้วย  ผมงี้ฟังจนเลี่ยน  แต่ก็ยังอุตส่าห์ออกไปหาซื้อแผผ่นเสียง  ประมาณว่าบ้าของดัง  เท่าที่คิดออก ณ ตอนนี้  ในช่วงเวลานั้น  มีอยู่ 3 เพลงที่สถานีวิทยุยัดเยียดให้ผมฟังจนเลี่ยนมากจนไม่คิดอยากฟังอีกเลยจนถึงบัดนี้  มีเพลงนี้  แล้วก็เพลง Feelings ของ Morris Albert  แล้วก็เพลง When I need you ของ Leo Sayer  อ้อ... Reunited ของ Peaches & Herb อีกเพลง

ว่าแล้วก็ย้อนรอยความเลี่ยนกันแป๊บ







ปรากฏว่ายังเลี่ยนอยู่  ขอไปหาอะไรกินแก้เลี่ยนก่อน...

กลับมาที่เพลง YLUML  คนไทยน้อยคนหรืออาจจะไม่มีเลยก็ได้ (ไม่นับคนที่ติดตามข่าวของวงการบันเทิงฝรั่งนะ)  ที่จะรู้ว่านี่เป็นเพลงจากหนังชื่อเดียวกันที่ออกฉายในปีเดียวกัน  แต่หนังไม่มาฉายในเมืองไทยจนกระทั่งอีกน้านนานต่อมา ผมว่านานเกินปีนะ

ตอนหนังเข้ามาฉาย  ผมไม่คิดอยากจะดูเพราะเลี่ยนเพลง  แต่ SP เอาข้อมูลมาบอกว่า DB ไม่ได้ร้องเพลงนี้ในหนัง เธอร้องอัดเป็นแผ่นเสียงออกขายเลย  คนที่ร้องเพลงนี้ในหนังเป็นนักร้องที่ผมไม่รู้จักชื่อ Kasey Cisyk  ซึ่งเธอก็ไม่มีบทเล่นในหนังเพียงแต่ให้นักแสดงนำ (Didi Conn) ยืมเสียงไปใช้

อย่างไรก็ตาม จากการติดตามข่าว  รู้ว่าหนังดัง (ที่บ้านเขา)  ผมก็จำต้องร่อนออกไปซื้อตั๋วดู  และอยากรู้ว่าเพลงเดียวกันนี้แต่ใช้นักร้องต่างกัน จะให้บรรยากาศต่างกันอย่างไร

ปรากฏว่าไม่ต่างกันเลย  2 นักร้องมีเสียงคล้ายกันอย่างแยกไม่ออก  คล้ายมากจนอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมไม่เอาฉบับของนักร้องต้นฉบับ KC มาอัดแผ่นขายเสียเลย



ลืมไปหนึ่งเพลินยาว ๆ จนกระทั่งถึงยุค อตน.  ผมก็ไล่เปิดหาความลับของเรื่องต่าง ๆ ที่ดำมืดและสงสัยมานานหลายสิบปี  แล้วก็มาถึงคิวของเรื่องนี้  อ่านต้นฉบับจาก Wikiฯ  ละกันนะ

"People magazine ran a substantial article about "The real voice behind 'You Light Up My Life" in as much the similarity between her and Debby Boone's voice led many to assume the latter had sung the songs in the movie. In a 2013 biographical essay about Cisyk, Cisyk's second husband, Ed Rakowicz wrote, that Joseph Brooks (ผอ. และ ผกก. หนังเรื่อง YLUML นี้) "withheld payment ... tried to evade payment by false promises and by asking her to be an incidental actor in his film, implying huge rewards yet to come..." Later, (according to Rakowicz's biographical essay), Brooks made improper advances toward Cisyk, and after being rebuffed, didn't speak directly to her again, and continued to evade payments to her. Rakowicz writes, "[Kasey] retained a lawyer and sued Brooks for the fees she earned for her work on the record and the film but accepted an award of a small sum just to relieve herself of the torment of a prolonged legal battle with Brooks."

ในที่สุดก็ ‘อ๋อ’ เสียที  อย่างไรก็ตาม เล่น 'สกปรก' จัง

ตัวหนังเรื่อง YLUML นี้ไม่ถูกใจนักวิจารณ์  ทุกคนให้ความเห็นว่าสิ่งที่ทำให้คุ้มเงินค่าตั๋วคือเข้ามาฟังดารานำ (ที่ไม่ได้) ร้องเพลงนี้ (เอง)  อย่างไรก็ตาม  ในงานประกาศผล Oscar เพลงนี้ได้รางวัล  รางวัลตกเป็นของคนผลิตเพลงนี้คือ Joseph Brooks ซึ่งเธอก็อำนวยการสร้าง+กำกับหนังเรื่องนี้ด้วยตัวเองเช่นกัน

ต่อยอดด้วยเพลงอื่น ๆ ในหนังที่ร้องโดย KC   เสนาะหูจนต้องออกไปสั่งซื้อแผ่นเสียงมานั่งฟังที่บ้าน







หมายเหตุ – ความจริงเพลง YLUML ฉบับของ KC ก็เอามาอัดเป็น single ขายเช่นกันแต่ไม่ได้ใช้ชื่อของเธอ  เพียงแต่ใช้ชื่อว่า Original cast  ผมว่าต้องมีเรื่องลิขสิทธิ์บางอย่างมาเกี่ยวข้อง  วงการธุรกิจนี่มีความซับซ้อนจัง

มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 320  เมื่อ 26 ก.พ. 25, 18:33

เพลง You light up my life ทำให้ Debby Boone ดังชั่วข้ามคืน  แต่เธอไม่สามารถต่อยอดความดังได้  เธอจึงเข้าเป็นนักร้องในค่าย one hit wonder คือ ศิลปินที่มีผลงานดังเพลงเดียวแล้วดับ (จะด้วยเหตุอะไรก็ตาม)  แผ่นเสียงดังของเธอก็คือ album แผ่นแรกที่ว่า  เหล่าดีเจบ้านเราที่ซื้อแผ่นเสียงแผ่นนี้มาฟังเห็นว่ายังมีเพลงอีกบางร่องที่น่าฟังก็เอามาเปิดให้ฟัง  เพลงเหล่านี้ ที่อเมริกาในยุคนั้น ถ้าไม่ได้ซื้อแผ่นเสียงจะไม่เคยได้ยิน  เนื่องจากติดลิขสิทธิ์จึงนำมาออกอากาศไม่ได้  บ้านเราเลยได้กำไร

เพลงแรกนี้ดังพอ ๆ กับ YLUML เลย 



นี่เป็นเพลงมีจังหวะเพียงเพลงเดียวของ album



เพลงต่อยอดที่ผมว่าเพราะควรแก่การแนะนำ









ความที่ตอนดังนี้ DB ดังมาก  ผู้คนคาดหวังในแผ่นเสียงผลงานแผ่นต่อมาของเธอ  ปรากฏว่าไม่มีอะไรใหม่  แถมแต่ละเพลงฟังแล้วน่าง่วงนอน  นี่ฟังมาจากดีเจวิทยุท่านหนึ่ง  เธอบอกไว้แต่ก็ยังมีเพลงที่น่าสนใจเช่น



 

มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 321  เมื่อ 27 ก.พ. 25, 18:42

วันนี้จะมีเรื่องพาดพิงถึง Roberta Flack ละนะ...

กลับมาที่หนัง You light up my life  หลังจากได้ Oscar ไปนอนกอดจากเรื่องนี้  Joseph Brooks ผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับ (ตัวแสบ) ก็เกิดความฮึกเหิมผลิตหนัง+เพลงอีกเรื่องออกมาฉายในปีถัดมา  หนังเรื่องนี้ชื่อ If ever I see you again  คราวนี้เธอลงมือแสดงเองเสียเลย  คาดว่า 'save' เงินค่าตัวแสดงเอก  เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักผลิตเพลงประกอบโฆษณาที่อยากมาเอาดีทางผลิตเพลงประกอบภาพยนตร์ในฮอลลีวู้ด  พอมาถึงฮอลลีวู้ดเธอก็พบกับแฟนเก่า  ถ่านไฟเก่าก็เลยคุ

สำหรับเพลงเอกของหนังก็มีชื่อเดียวกับเรื่อง  เพลง If ever ฯ ฉบับในหนังเป็นเสียงของนักร้องผู้ชายชื่อ Jamie Carr (แบ๊ะ ๆ ไม่เคยได้ยินชื่อ)



ฉบับชัด ๆ



ตามแผนที่จะเลียนแบบความสำเร็จครั้งก่อน  JB ให้ Debby Boone นำเพลงเด่นเพลงหนึ่งในหนังชื่อ California มาอัดแผ่นขายเป็นเพลงแรก  แต่คราวนี้เพลงนี้ไม่ถูกใจผู้บริโภค  เลยไปไม่รอด  DB เอาเพลงนี้ไปรวมอยู่ใน album แผ่นที่ 2 ซึ่งก็ขายไม่ออกอีก  ชื่อเสียงของเธอเลยดับ  ที่อเมริกาคนได้ยินเพลงนี้น้อยคนมาก  แต่เมืองไทยได้ยินพองาม

ฟังอีกที



พอการณ์ไม่เป็นไปตามแผน JB งัดแผนบีออกมาใช้  โดยไปตกลงกับนักร้องหญิงชั้นเซียน Roberta Flack ให้มาร้องเพลงเอก If everฯ  โดยหวังจะให้ความเป็นนักร้องชั้นนำของวงการมากู้ความล้มเหลวของเขาก่อนหน้า



ตอนหนังเรื่องนี้ออกฉาย  นักวิจารณ์ก็รวมหัวกันด่าเหมือนเดิม  แต่ในครั้งหนัง YLUML นั้น  นักวิจารณ์ยังมีเมตตาชื่นชมเพลงเอก  แต่กับหนังเรื่องนี้พวกรุมกันด่ารวบยอด  ผลก็คือหนังเจ๊งในทุกรูปแบบ  พอหนังที่ตั้งใจจะต่อยอดความสำเร็จไปไม่รอด  ยอดขายเพลงนี้ฉบับของ RF ก็ไปไม่รอดเช่นกัน  เพลงของ RF ไต่ขึ้นไปได้แค่อันดับที่ 24  ก็ร่วง

ในเมืองไทย  โรงหนังเอาหนังของ JB เรื่องนี้มาฉายก่อนเรื่องแรกคือ YLUML  ผมดูแล้วชอบมาก  ผมว่าเพลงในหนังเพราะพอ ๆ กับเพลงในหนัง YLUML



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 322  เมื่อ 28 ก.พ. 25, 18:58

(เปลี่ยน PC ใหม่เอี่ยม  เลยงง ๆ  ความจริงควรเสร็จไปตั้งแต่ ชม. ที่แล้ว)

Roberta Flack ยังให้เสียงร้องเพลงกับหนังอีกเรื่องหนึ่งที่ออกฉาย (ในบ้านเขา) ในอีกไม่กี่ปีต่อมา  มันเป็นหนังที่อื้อฉาวมากในตอนนั้น  ผมรู้ข่าวมาจากหนังสือ SP  ข่าวคร่าว ๆ น่ะ  เหมือนกับรู้มาว่าภาษาไทยมีแค่ กอไก่ ขอไข่ คอควาย กับอีก 3-4 ตัว พอมายุค อตน. ถึงรู้ว่ายังมีอีกถึง 44 ตัว  ทำนองนี้

นี่เป็นบทความที่ผมทำมาลงในกระทู้เกี่ยวกับหนังของคุณ SILA นานโพ้น  ยกเอามาลงใหม่อีกครั้ง

Making Love (1982) เป็นหนังมีเนื้อหาเกี่ยวกับชนชาวเกย์โดยตรง  เป็นเรื่องแรกที่ผลิตโดย Major Studio (คือ 20th Century Fox) ของฮอลลีวู้ด

เนื้อเรื่องเล่าถึงชายที่มีครอบครัวแล้ว  ได้ไปเจอหนุ่มเกย์แบบเปิดเผย  การพบกันนี้ไปปลดกลอนประตู ‘ตู้เสื้อผ้า’ ของเขาให้เปิดออกในที่สุด  กลายเป็นรัก 3 เส้า  หนังจบแบบให้บรรยากาศที่ ‘เศร้า’

ผมอยากคุยเรื่องเกร็ดการสร้างหนังเรื่องนี้

หนังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเพราะยุคนั้น  อย่าว่าแต่มีใครเอา plot มาทำหนังฉายให้ชาวบ้านดูเลย  เรื่องนี้ในชีวิตจริงยังเก็บซ่อนอยู่มิดชิด  เค้าตั้งนิยามไว้ว่า ‘in the closet’  แต่ Studio อยากลองของแปลกใหม่  ทุกอย่างมีอุปสรรคกันหมดโดยเฉพาะการหาตัวนักแสดงชาย 2 คนมาเล่นบทนำ  

Harry Hamlin ผู้รับบทเกย์หนุ่มแบบเปิดเผยเล่าไว้เนื่องในโอกาสที่หนัง ‘pioneer’ เรื่องนี้ครบรอบการออกฉายมานาน 40 ปีซึ่งเป็นการสร้างก่อนโรคเอดส์ระบาดใหญ่ ว่า  เพราะเป็นหนังจาก major studio  จึงต้องหานักแสดงมีระดับเพื่อให้สมกับสถานะภาพของ studio  แต่นักแสดงชั้นนำระดับหัวแถวในขณะนั้นเช่น William Hurt, Michael Douglas, Harrison Ford ฯลฯ  ต่างปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดซ้ำสอง  เพราะเป็นห่วงภาพพจน์ของตน

บทที่ว่ามาถึงเธอซึ่งก็เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงของยุคคนหนึ่ง  เธอกำลังดังสด ๆ กับบทนำให้หนังแฟนตาซีของ Ray Harryhausen ชื่อ Clash of the Titans  ที่ออกฉายในปีก่อนหน้า (หนังมาและดังในบ้านเราด้วย  คน (รวมทั้งผม) มาซื้อตัวดูกันล้นหลาม)
 
ตอนให้บทอ่าน  agent ให้กำลังใจว่าไม่ต้องกลัวเสียภาพพจน์  ไม่มีใครเชื่อว่า Harry Hamlin จะเป็นเกย์เพราะนอกจากบุคลิกเธอจะแมนสุดขีดแล้ว  ตอนนั้นเธอมีข่าวดังคับวงการว่ามีลูกแล้วกับ Sex bomb ชื่อ Ursula Andreas

HH เล่าต่อว่า Studio หวังไว้เหลือเกินว่าคนจะมาซื้อตั๋วดูดาราชายหนุ่มหล่อที่มีชื่อเสียง 2 คนจูบกัน (อีกคนคือ Michael Ontkean อีกหนึ่งนักแสดงที่มีชื่อเสียงในขณะนั้น)  เป็นครั้งแรกของวงการฮอลลีวู้ด  เธอบอกว่าฉากจูบกันเป็นของจริงซึ่งในสมัยนั้นไม่มีใครกล้าแสดงต่อหน้ากล้อง  แต่ฉาก ‘บนเตียง’ ใช้นักแสดงแทน

เมื่อหนังสร้างเสร็จก็เอาออกฉายเป็นการภายในก่อน

ข่าวเล่าว่า เมื่อ Marvin Davis มหาเศรษฐีน้ำมันชาวเดนเวอร์ซึ่งในขณะนั้นเป็นเจ้าของ 20th Century-Fox เมื่อได้ดูถึงกับโว้กว้ากว่า ‘You made a goddamn faggot movie!' ถ้าจะให้แปลแบบมัน ๆ ก็ ‘พวกมึงสร้างหนังเหี้ยอะไรออกมาวะเนี่ย’ แล้วก็ผลุนผลันเดินออกไปจากห้องฉายโดยที่หนังยังไม่จบเรื่อง

ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างหนังที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงกับอ้าปากค้าง ‘ฉิบหายแล้ว ทำไงดีละหว่า  สร้างเสร็จแล้วด้วย’ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ Studio ไม่รู้จะทำอย่างไรกับหนังดี  เลยดองไว้เกือบ 1 ปีเพื่อหากลยุทธ์ทางการตลาดก่อนจะตัดสินใจเสี่ยงเอาออกฉาย
 
ผลลัพธ์คือคนดูรับ plot แหวกแนวนี้ไม่ได้  จากปากต่อปาก  คนเลยไม่ไปดูกัน  หนังก็เลยเจ๊ง  ความซวยแผ่มาถึงนักแสดงนำชายแท้ 2 คนที่หางานคุณภาพทำไม่ได้อีกเลยหลังจากหนังเรื่องนี้ออกฉาย


(ผมได้ดูหนังเรื่องนี้ทางม้วนวิดีโอ เป็นหนังเกย์เรื่องแรกในชีวิต ก่อนเปิดดูรู้สึกตื่นเต้นมาก  พอได้ดูแล้วความตื่นเต้นลดลง  สาเหตุมาจากมันเป็นวิดีโอผี  คุณภาพแย่ ทั้งภาพและเสียงซึ่งเป็นเสียงใน film   ไหนจะต้องเงี่ยหูฟัง (แล้วก็แปลไม่ออกด้วย)  ไหนจะต้องเขม้นตามอง  คนยุคนี้โชคดี  แต่ก็ขาดความ classic นะผมว่า)


เวลาผ่านไปจนมาถึงยุคปัจจุบันที่เรื่องเกย์กลายเป็นเรื่องสาธารณะ  มีคนทำหนังเกย์คุณภาพต่าง ๆ ออกมาให้ชมดาษดามากมาย  ทั้งหญิง/หญิงและชาย/ชาย  วงการบันเทิงของอเมริกาจึงมองย้อนกลับไปและยกให้หนัง Making Love เรื่องนี้เป็น ‘The mark of the beginning of a turning of the tide for depictions of gay characters in movies and on television’

มาที่ Soundtrack ของหนังเรื่องนี้  ส่วนที่เป็นเพลงร้อง  เป็นเสียงของ Roberta Flack  เพลงชื่อเดียวกับชื่อหนัง  ปรากฏในตอนจบของเรื่อง  เป็นการจบที่ให้ความรู้สึกหดหู่  จังหวะเพลงของ RF เข้ามาเพิ่มความหดหู่เข้าไปอีก (clip ของฉากนั้นโดนถอดออกจาก youtube ไปแล้ว) อย่างไรก็ตาม ผมว่าเป็นเพลงที่เพราะมาก  แนวถนัดของเธอเลยแหละ  เสียดายที่หนังไม่ดังและไม่ทำเงิน  เพลงของเธอเลยไม่มีแรงสนับสนุน  ขึ้นไปถึงแค่อันดับ 13 ก็ร่วง  วิทยุบ้านเราเปิดกันประปราย  เธอนำเพลงมาใส่ใน album เดี่ยวชุดนี้  ผมซื้อมาฟัง  มีความเห็นว่ามันเป็นเพลงเด่นที่สุดของแผ่น



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 323  เมื่อ 01 มี.ค. 25, 18:38

มีคนเคยเอาเพลงจากเสียงร้องของ Roberta Flack ไปใส่ในหนังมากมาย  แต่ผมจะเอ่ยเท่าที่อยากเอ่ย  ครั้งแรกเลยที่ผมได้รู้เรื่องว่าเธอร้องเพลงให้กับหนัง  ก็คือเรื่อง Play Misty for Me



เพลงฉบับในหนังนี้แตกต่างจากฉบับ single ที่ออกขาย  นี่เป็นฉบับ single ที่วิทยุเปิด... ไม่รู้ว่าบ่อยแค่ไหน  แต่ที่อเมริกาเพลงนี้ดังสนั่น  แต่ผมฟังฉบับนี้แล้ว  หลับสนิท



‘เข้าป่า’ ก่อน...

สำหรับตัวหนัง Play misty for me นั้น  คำหนึ่งในชื่อของมันเป็นชื่อเพลง คือเพลง Misty  แปลชื่อหนังเป็นไทยง่าย ๆ คือ ‘เล่นเพลง Misty ให้ฟังหน่อย’  ผมไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้  ตอนมันมาฉายใน I/UBC  ผมก็ไม่ได้ดู  ทั้ง ๆ ที่รู้เรื่องมาก่อนหน้าหลาย 10 ปี  เพราะไม่ได้ดูก็เลยเดาสุ่มโดยใช้ความรู้อันน้อยนิดที่มีอยู่  คิดว่าคงหมายถึงเพลง Misty ฉบับที่ร้องโดย Johnny Mathis  มาเช็คทีหลังถึงรู้ว่าไม่ใช่  เพลงในหนังย้อนกลับไปไกลกว่านั้น  เป็นต้นฉบับแนว jazz standard



ส่วนฉบับของ JM ที่ทำให้โลกรู้จักเพลง Misty มาทีหลัง 

(เพิ่งเห็นนี่แหละว่า ตอนหนุ่ม ๆ เธอหล่อเด็ดขาดเลย)


มันเป็นเพลงที่ฝรั่งนิยามว่า ‘signature song’ ของ JM  ผมได้ยินเพลงฉบับนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ  ตอนนั้นคิดว่ามันต้องดังในอันดับเพลงฯ  พอมีแหล่งข้อมูล  เช็คดูปรากฏว่ามันขึ้นไม่ถึง top 10 เสียด้วยซ้ำ 

ก่อนจะไปต่อ  ขอแฉลบนิด...

พูดถึงเพลง Misty ล่วงมากลางยุค 70s วิทยุก็เปิดเพลงนี้ให้ฟัง



ดีเจบอกว่าชื่อเพลง Misty  ร้องโดย Ray Stevens ผมฟังแล้ว เออ... เพราะหว่ะ  รู้ชื่อแล้วก็นึกไปถึงเพลงฉบับของ JM  ชื่อมันเหมือนกันได้

ความที่ชอบ  แต่ไม่ถึงกับไปตามหาแผ่นเสียงของนักร้องคนนี้  ก็คอยฟังทางวิทยุตามแต่ความเมตตาของเหล่าดีเจจะเอามาเปิดเมื่อไร  พอถึงยุค cd ผมก็ไปขวนขวายหามาฟัง  ความที่ฟังบ่อย  เพลิดเพลินหู  แต่สมองนึกไปไม่ไกล  แล้ววันหนึ่งก็เอะใจว่า  เนื้อร้องบางช่วง (คือช่วงที่แกะได้  โดยเฉพาะตอนต้นเพลงเลย... Look at me...) มันคล้ายกับเนื้อเพลงฉบับซึ้งของ JM จัง 

ตอนนั้น Wikiฯ ยังไม่เกิด  ไม่รู้จะไปหาความจริงที่ไหน  จนกระทั่ง Wikiฯ เจริญพันธุ์นั่นแหละผมจึงหาความจริงได้ว่า  2 เพลงนี้มีเนื้อร้องเดียวกัน  แต่ RS เอามาใส่ทำนองใหม่  ถ้าคนไม่เอะใจจะไม่สามารถรู้ได้เลย (คล้ายกับเพลง Ain't no mountain high enough ที่ผมเล่าไปแล้ว)

ชื่อ RS นี้อยู่ในวงการมานาน  แต่ผลงานของเธอไม่ดังในบ้านเรา  วิทยุเปิดเพลงของเธอนิดเดียว  อีกเพลงที่เปิดเป็นเพลงฮิตอันดับ 1  ดีเจบ้านเราจึงไม่พลาดที่จะหามาเปิดให้เราฟัง
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 324  เมื่อ 02 มี.ค. 25, 18:21

ความที่เพลง Misty ของ Johnny Mathis ดังสนั่นในบ้านเราเป็นเวลานานน้านนาน  มันเลยกลบเพลงอื่น ๆ ของเธอไปหมด  ผมนั่งนึกว่ารายการ golden oldies เคยเปืดเพลงอื่น ๆ อะไรอีก  ก็นึกไม่ออก จนต้องเปิดปูมอันดับเพลงของเธอแล้วลองฟังจาก youtube  จริง ๆ ด้วยยังมีอีกบางเพลงที่ผมคุ้นเคย 

นี่เป็นเพลงอันดับ 1 ของเธอ  ผมมาได้ยินตอนโตแล้วแต่ยังเป็นช่วงเวลาของวิทยุอยู่



เพลงนี้เปิดบ่อยในรายการ golden oldies



อีกหนึ่งเพลงดังของเธอ



ส่วนเพลงนี้โดนฉบับของ Donny Osmond กลบฉบับของเธอสิ้น



วันนี้สั้นหน่อย  พรุ่งนี้เรื่องยาว  เอามารวมกันในวันนี้ก็จะยาวเกินไป  เดี๋ยวเบื่อ

มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 325  เมื่อ 03 มี.ค. 25, 18:10

วันนี้ 2 หัวข้อ...

Robert John (1946 – Feb. 24, 2025)

ข่าวการเสียชีวิตของ Roberta Flack กลบข่าวการเสียชีวิตของนักร้องที่มีความดังน้อยกว่า  ที่เสียชีวิตในวันเดียวกัน  ผมก็เพิ่งได้ข่าว

ถ้าเป็นคอนักฟังเพลงฝรั่ง  ชื่อ Robert John นี้ต้องเป็นที่ได้ยิน 3 ครั้ง  3 เพลงนี้ดังในบ้านเรา  เพลงที่ 2 ดังสนั่น


(เป็นการนำต้นฉบับของ The Tokens มาร้องแบบเหมือนกันเด๊ะ  เพียงเติมจังหวะให้เข้ากับสมัย)





(เป็นฉบับนำมาร้องใหม่เช่นกัน)

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 326  เมื่อ 03 มี.ค. 25, 18:30

กลับมาชิมยำฯ กันต่อ...

Johnny Mathis เป็นนักร้องประเภท  crooner  ใน Britannica ให้คำจำกัดความไว้ว่า an American pop singer who has achieved wide and enduring popularity as an angelic-voiced crooner of romantic ballads  

ยุคทองของเธอคือยุค golden oldies ในบ้านเรา  ในยุคนั้น crooner มีเยอะแยะ  มาถึงยุคนี้ล้วนลาโลกไปกันหมดแล้ว  หาอ่านได้ในกระทู้ นักร้องตาย ของ อ. เทาชมพู  แต่ช้าก่อน... ยังเหลืออีก 1 คือคุณปู่ Pat Boone นั่นเอง

ผมจำได้ไม่ลืมว่าเคยได้ยินชื่อเธอครั้งแรกจากเพลงสุนทราภรณ์ชื่อ ไพรพิศดาร... ‘พี่น่ะเหมือนแพทบูนนะขวัญใจ’  แต่ตอนนั้นสมองบ้องแบ๊ว  ไม่รู้ว่าคือใคร  มารู้เอาในเวลาต่อมาเมื่อเริ่มฟังเพลงฝรั่ง

สำหรับเพลงของเธอที่รายการ GO เปิดนั้น  มีเป็นตับ  ที่ผมจำได้ว่าได้ยินก่อนใครเพื่อนคือ



ไม่เพราะเท่าไรเนอะ  ฉบับ single เพราะกว่ามาก



แล้วก็เพลงเหล่านี้











(เพลงนี้ในรายการเปิด 2 ฉบับ  อีกฉบับเป็นของ Fat Domino ซึ่งดังในบ้านเขาทั้งคู่)


และเพลงนี้ที่ตอนเด็ก ๆ วิทยุเปิดให้ฟังเป็นประจำ  ตอนนั้นไม่รู้ว่าใครร้อง  จำได้แต่ว่าทำนองช้า ๆ นักร้องเป็นผู้ชายเสียงหล่อมาก  

ต่อมาอีกนานเมื่อผมได้ปูมของ Joel Whitburn มาอยู่ในมือ  ผมก็เปิดหาว่าใครร้องเพลงนี้  ในปูมบอกว่ามีศิลปินที่ร้องเพลงนี้ 2 ราย คือ Somethin’ Smith & Red Heads  เพลงขึ้น top 10 บนตาราง billboard  อ่านชื่อศิลปินก็รู้ว่าไม่ใช่ฉบับที่ผมได้ยินแน่ ๆ  อีกคนคือ Tony Bennett (1926 - 2023)  เพลงของเธออยู่ในตาราง billboard แค่อาทิตย์เดียว  คืออันดับที่ 99  ไม่รู้ว่าจะใช่รึเปล่า  อย่างไรก็ตาม  อยากรู้ว่าทำนองยังไง  แต่หาฟังไม่ได้  จำต้องอดใจรอจนกระทั่ง youtube แตกพาน  จึงสามารถหาฟังเพื่อเป็นการยืนยัน  ซึ่งจริงดังคาด   2 ฉบับนี้เกิดมาไม่เคยได้ยิน  แล้วก็มีอยู่แค่ 2 ฉบับนี้ใน billboard



เอาละซี  นี่แสดงว่าฉบับที่ผมได้ยินมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยจนฝังอยู่ในหูต้องเป็นการนำมาร้องใหม่  ซึ่งคงหาชื่อคนร้องได้ยาก  ที่พึ่งที่มีก็ช่วยไม่ได้แล้ว  เพราะมันแสดงเฉพาะเพลงเข้าอันดับ ฯ  คำตอบของปัญหานี้ต้องแทงศูนย์  บรรยากาศเดียวกับการหาชื่อเพลงบรรเลง

วันหนึ่งขณะโต๋เต๋อยู่ที่ร้าน Tower Records… ผมเคยเล่าความหลัง (เกี่ยวกับความโง่ของตัวเอง) เกี่ยวกับร้านนี้ในกระทู้นักร้องตาย  ใครยังไม่ได้อ่าน... ความคิดเห็นที่ 394
https://www.reurnthai.com/index.php?topic=7342.msg186739;topicseen#msg186739
(อ่านแล้วช่วยด่าผม (ในใจ) ด้วย)

ช่วงเวลาก่อน อตน. ร้าน Tower Records นี้โด่งดังมาก  ความจริงมันโด่งดังมาตั้งแต่สมัยแผ่นเสียงแล้ว  พอแผ่นเสียงล่มสลาย  ก็เป็นเจ้าแห่ง CD  ถึงยุคนี้แหละที่ สนง. ใหญ่ที่อเมริกาตัดสินใจมาเปิดสาขาหลายสาขาที่กรุงเทพฯ  รู้สึกจะที่เชียงใหม่ด้วยนะ

วันหนึ่ง ณ ร้านที่ว่าผมเดินเล่นพลิกดูแผ่น CD ไปเรื่อย ๆ แล้วก็มาถึงแผ่นของ Pat Boone ก็นึกได้ว่าไม่เคยมีแผ่นของเธอเลย  น่าจะซื้อเก็บไว้สักแผ่น  ผมก็คว้าแผ่นรวมเพลงฮิตของเธอขึ้นมา  รายชื่อเพลงในแผ่นคือเพลงดัง ๆ ของเธอที่ผมรู้จักหมด  แล้วก็มีเพลง It’s ฯ นี้ด้วย  พออ่านชื่อแล้ว  ทำนองเพลงก็เข้ามาในหัว  ตามด้วยเสียงร้องหล่อ ๆ ถึงตรงนี้ผมมั่นใจว่าฉบับที่ผมได้ยินมาตั้งแต่สมัยหินต้องเป็นเสียงร้องของ PB แน่ ๆ  ซึ่งก็จริงดังคาด  แต่ประหลาดใจนิดว่า  มันไม่ได้ขึ้นตาราง bb  จะเป็นเพลงฮิตได้ไงหว่า



หมายเหตุ - Pat Boone เป็นพ่อของ Debby Boone
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 327  เมื่อ 04 มี.ค. 25, 18:23

ป้า Roberta Flack บอกว่า  หลังบ้านป้าเป็นป่าใหญ่ดกครึ้ม  ให้พาเพื่อน ๆ ไปเดินเล่น  ผมยื่นหน้าออกไปดู  จริงด้วย  ป่าร่มรื่นสวยงาม  เห็นแล้วมีความสุข

ไป... ไปเดินเล่นในป่าแห่งความสุขกัน  แต่ก่อนอื่น  ผมต้องพกม้วนเชือกไปด้วย  ป่าใหญ่อย่างนี้ต้องอาศัยเชือกไว้พากลับ

ป้าบอกว่าอย่าเพลิดเพลินจนลืมป้า  ระหว่างนี้ป้าจะนอนกระดิกตีนคอย


กลับมาที่ Johnny Mathis เธอหายไปจากลำโพงวิทยุนับ 10 ปี  ก่อนกลับมาอีกครั้งในปี 1978 กับเพลงดังสนั่นทั้งที่บ้านเขาและบ้านเรา



นักร้องสาวผิวดำที่ร้องเพลง Too muchฯ กับ Johnny Mathis คือ Deniece Williams  ตอนที่เพลงนี้ออกมาสู่รูหู  ผมก็รับรู้ชื่อว่าใครร้อง  อีก 3-4 ปีต่อมา สถน. Nite spot ก็เล่นเพลงนี้จากเสียงของเธอ  ความที่.. อย่างที่เคยบอกว่า.. มีความสามารถพิเศษในการจดจำชื่อนักร้อง (และดารา) ได้แม่นกว่าตำราเรียน  ผมจำเธอได้  เพลงนี้พอฟังแล้วรู้สึกจิตใจสงบ



อีกไม่นานเลย  Nite spot ก็เปิด single ต่อมาของเธอ  คราวนี้เพราะกว่าเพลงก่อนอีก

(เพราะมากกกกก)


อีก 4 ปีต่อมา  ถึงคราวที่เธอจะดังสนั่นโลก  เมื่อหนัง Footloose ออกฉาย  เพลงหนึ่งจากเสียงของเธอกลายเป็นเพลงฮิตอันดับ 1  ทุก สถน. ในบ้านเราพร้อมใจกันเปิดเพลงนี้  และเปิดบ่อยกว่าเพลง Footloose (อยู่ในคิว) เสียด้วยซ้ำ



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 328  เมื่อ 05 มี.ค. 25, 18:13

ยุคดังของ Deniece Williams อยู่ช่วงต้น 80s   ในช่วงเวลาเดียวกันมีนักร้องผิวสีอีกคนที่วิทยุชอบเปิดผลงานของเธอ  ตอนนี้แยกออก  แต่ตอนนั้น  ทำไมถึงจำสับสนกันก็ไม่รู้  นักร้องคนนี้ชื่อ Randy Crawford

RC ร้องเพลงแนว R&B ที่เอียงไปทาง Jazz   ในยุคดังกล่าว  เธอเป็นขวัญใจของรายการ Nite Spots เช่นกัน  ผมว่าบ้านเราเล่นเพลงจับฉ่าย นอกจากเป็นเพลงดังในอันดับ ฯ แล้ว  ยังเล่นเพลงตามใจดีเจด้วย  เพลงไหนถูกใจดีเจ  เธอก็เอาเปิดเผื่อแผ่  ผมก็กระดิกหูฟังอย่างว่าง่าย  เพลงของ RC นี่คือตัวอย่าง  เธอไม่มีเพลงดังในอันดับ ฯ เลย  เพราะแนวลูกผสมแบบนี้  ไม่มีแฟนวงกว้าง  แต่ดีเจบ้านเราชอบ  ก็เปิดเพลงของเธอมากมาย  ที่ผมจำได้เช่น 


(เพลงนี้  จำได้ว่าดีเจ NS เชียร์ชะมัด  เปิดแทบทุกวันจนผมชอบตามไปด้วย)









และเพลงโปรดของผม



หลายปีก่อนหน้านี้  ผมได้ฟังเสียงของเธอโดยไม่รู้ชื่อมาก่อน  ในปลาย 70s  สถน. Nite Spots เช่นกันเล่นเพลงนี้  ตอนนั้นไม่ชอบ  แต่ตอนนี้เพราะมาก 

(เธอมาเป็นนักร้องรับเชิญให้กับวง soul/jazz ชื่อ The Crusaders)


เพลงของวงนี้อีกเพลงที่ผมได้ยินทางวิทยุ  คือเพลงนี้  นักร้องรับเชิญคือ Joe Cocker  ผมเสนอผลงานของนักร้องคนนี้ไปหลายรอบแล้ว

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 329  เมื่อ 06 มี.ค. 25, 18:38

พักผ่อนกันหน่อย...

ถ้าเป็นรุ่นเดียวกับผม  ต้องคุ้นเคยกับเพลงเหล่านี้ (เป็นต้น... เดี๋ยวนึกต่อ)  เพลงดังในบ้านเราตอนผมยังอยู่ประถมปลาย  ดังมากด้วย  ได้ยินทุกวัน
 
พอโตขึ้น  เริ่มรู้จักอันดับเพลงฯ ก็คิดว่าเพลงดังอย่างนี้มันจะต้องติดอันดับต้น ๆ เป็นอย่างน้อย  พอประสบการณ์มากขึ้นก็พบความจริงว่า  ล้วนเป็นศิลปินที่ไม่มีชื่อเสียงเอาเลย  ไม่ว่าจะฝั่งอเมริกาหรือยุโรป  ไม่มีใครรู้จัก

จำได้ว่าหลังจากเพลงหมดความนิยม  คือไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้ก็หมดความนิยม  มันเป็นประเภทว่า  ความดังของเพลงค่อย ๆ จางลง ๆ  ความถี่ของการเปิดเพลงห่างออกไป ๆ  แล้ววันหนึ่งก็ไม่มีใครเปิดเพลงเหล่านี้อีกเลย  ตอนนั้นแหละสิงห์นักฟังเพลงฝรั่ง  กระวีกระวาดออกตามหาเพลงเหล่านี้กันให้วุ่น  ทั้งจาก cassettes tape และแผ่นเสียงผีที่บ้านเราทำขาย

Peter Cowab



Lois fletcher



Rock Candy



Johnny T. Angel



และ Springfield Revival  เพลงนี้กว่าจะมีให้ฟังโดยทั่วไป  ต้องรออีกนาน  youtube ถือกำเนิดแล้วก็ยังหาไม่ได้  ต้องรอจนกระทั่งปีกกล้าขาแข็ง  นี่เป็นแผ่นเสียงบรรจุเพลงนี้ที่ผมตามหากว่าจะเจอ  ถ้ารู้ว่าต่อไปจะมี อตน.  ผมคงไม่ทุ่มทุนทุ่มแรงขนาดนี้






บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 20 21 [22] 23 24 ... 29
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.267 วินาที กับ 19 คำสั่ง