เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 22 23 [24] 25 26 ... 29
  พิมพ์  
อ่าน: 61787 Yesterday Once More...
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 345  เมื่อ 21 มี.ค. 25, 18:17

หลังจาก The Eagles ยุบวง  มีแค่ 2 คนที่ไปได้รุ่งคือ Glenn Frey  

Glenn" border="0


Album เดี่ยวแผ่นแรกของเธอดังระดับหนึ่ง  แต่ single 2 เพลงดังสนั่นบ้านเรา





เธอดังแค่ album เดียว  เพลงต่อ ๆ มาก็ดังน้อยลง  เท่าที่จำได้ก็



เพลงนี้ไม่ใช่ single เป็นแค่ album track  แต่สนั่น  พวกเรานักฟังเพลงฝรั่งต้องจำได้



GF ร้องเพลง soundtrack จำนวนหนึ่ง  ที่ดัง ๆ มาเปิดในบ้านเราทั้งนั้น  เพลงแรกนี้ดังสุด  ดังทั้งหนังและเพลง  

(พี่เก็นเริ่มแก่แล้วแต่ยังเร้าใจผมอยู่)


2 เพลงนี้อยู่ในหนังทีวีเรื่อง Miami Vice ดังในบ้านเราด้วย





สมาชิกวง The Eagles อีกคนที่ออกมารุ่งในฐานะศิลปินเดี่ยวก็ Don Henley  

Don" border="0
(ขวา – Randy Meisner ซ้าย – Bernie Leadon)


ผลงานชิ้นแรกในฐานะศิลปินเดี่ยวไม่ดังที่บ้านเขา  แต่ดังสนั่นในวิทยุบ้านเรา



เพลงดังของเธอกลับไม่ดังเท่า





ความจริงวิทยุเปิดมากกว่านี้  แต่ผมกลับชอบผลงานของเธอในยุค The Eagles มากกว่า  ก็เลยไม่สนใจที่จะจดจำ

D+G" border="0
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 346  เมื่อ 22 มี.ค. 25, 17:50

ว่าจะเดินต่อ  แต่อย่าเพิ่งเลย  เดี๋ยวป้า Roberta Flack จะคอย  ป่านนี้ป้าจะกลับไปนอนกระดิกตีนต่อจนตีนหลุดไปแล้วยังก็ไม่รู้

คิดได้ดังนั้นก็สาวเชือกพาพวกเรากลับ



เพลง The first time ever I saw you face จากเสียงร้องของ RF ที่ออกในปี 1972 เป็นเพลงอันดับ 1 เพลงแรกของเธอ  2-3 ปีต่อมาเป็นปีทอง  เธอโกยแผ่นเสียงทองคำและรางวัลอื่น ๆ มามากมาย  วิทยุบ้านเรานำเพลงของเธอมาปล่อยให้ฟังครบทุกเพลง

ผมจะนำเสนอเพลงนี้ก่อน  เป็นเพลงโปรดของผมเลยละ  ทำนองธรรมดา ๆ แต่ติดหู  วิทยุเปิดไม่บ่อย  ความที่ติดหู ทำให้อยากฟังมาก  จะซื้อแผ่นเสียงก็ไม่กล้า  เพราะเคยซื้อแผ่นก่อนหน้า  เพลงไม่ถูกหูผมเลย  อีกทั้งราคาก็ไม่ใช่จะถูก  ผมต้องรอจนกระทั่งเธอออกแผ่นรวมเพลง



ส่วนเพลงนี้ซึ้งมาก  เพลงไม่ดังทั้งที่บ้านเขาและบ้านเรา  ทำนองเศร้าสร้อยยากที่จะลืม  มันผลักดันให้ผมออกไปหาซื้อแผ่นเสียงแผ่นนี้  ผลปรากฏว่าชอบอยู่ 2 เพลง  ขาดทุนยับ



RF ยังมีเพลงอันดับ 1 อีกเพลงที่ดังกระหึ่มทั้งในบ้านเราและบ้านเขา  ผมอุ๊บอิ๊บไว้ก่อน  เพราะมันมีควันหลง (ยาวเยื้อย) ที่ต้องเล่า

เธอเคยจับคู่กับนักร้องชาย Donny Hathaway  ร้องเพลงคู่เพราะ ๆ หลายเพลง
  
พูดถึง DH  ผมไม่เคยได้ยินเพลงจากเสียงร้องเดี่ยว ๆ ของของเธอ  หลังจากมีข้อมูลให้ค้นแล้ว  ปรากฏว่าผลงานเดี่ยวของเธอไม่ดังเลย  ทุกเพลงของเธอที่ดังเป็นเพลงร้องคู่กับ Roberta Flack ทั้งนั้น  เริ่มมาตั้งแต่เพลงนี้



แล้วมาดังสุดดังในบ้านเราจากเพลงนี้



มารู้เกร็ดในภายหลังว่า แต่แรกเริ่มเพลงนี้เป็นเพลงแต่งขึ้นสำหรับร้องเดี่ยว  แต่ ผจก. ของ RF ซึ่งเคยเป็น ผจก. ของ DH มาก่อนเห็นว่าถ้าแปลงเป็นเพลงร้องคู่จะน่าฟังกว่า

ถ้าสังเกต  จะเห็นว่าใน clip จะเห็นแต่ RF เท่านั้น  ไม่เห็น DH
 
มันมีเบื้องหน้าเบื้องหลังมาตั้งแต่การตั้งใจจะอัดเสียงเพลงนี้เลย (ขออนุญาตไม่แปลเพราะไม่มีสมาธินานพอ)

DH had been suffering from severe bouts of clinical depression at the time, which often forced him to be hospitalized. The depression also caused mood swings, which adversely affected his partnership with RF.

DH’s suffering had made it impossible for him to travel from Chicago to New York City to join RF in the studio to record "The Closer I Get to You". RF recorded her part of the song with a session singer as a stopgap duet partner, the track being sent to Chicago for DH to add his vocal and then back to New York City for its final mixing.

After the successful release of "The Closer I Get To You" in 1978, RF and DH then resumed studio recording to compose a second album of duets. The sessions were underway in 1979. On January 13, it was reported that although DH was singing fine, he began behaving irrationally, seeming to be paranoid and delusional.

According to a source, DH said that white people were trying to kill him and had connected his brain to a machine for the purpose of stealing his music and his voice. Given DH's behavior, the producer said that he decided the recording session could not continue, so he aborted it and all of the musicians went home.

Hours later, DH was found dead on the pavement below the window of his 15th-floor room in New York City's Essex House hotel. It was reported that he had jumped from his balcony. The glass had been neatly removed from the window and there were no signs of a struggle, leading investigators to rule that DH's death was a suicide.

According to the producer, DH's final recording was "You Are My Heaven”  มาฟังเพลงที่เอ่ยถึงนี้กัน



ส่วนเพลงนี้ออกมาก่อน



แฟนรายการ Nite spot ต้องจำได้  2 เพลงนี่เปิดบ่อยทีเดียว  ถ้าได้ฟังกับเครื่องเสียงระดับหรูแล้ว  เครื่องดนตรีโดยเฉพาะกลองสนั่นหวั่นไหว

ทีนี้สาเหตุที่ใน MV เพลง The Closer I Get to You นั้น  เราไม่เห็น DH เลย…

A music video for "The Closer I Get to You" was shot and directed by RF herself. The video begins with RF's singing while sitting by a piano in a candle-lit room. DH had died by the time the music video was shot, so as his verse plays, the camera zooms into a picture of DH located on a table behind RF's shoulder. RF performs the rest of the song sitting by the piano, and the camera's direction occasionally looks over a candle flame during DH's verses. The video ends with RF's mouthing some of DH's lyrics as she fades into the camera's view of the room lit by a single candle.

นี่เป็นเพลงแรกที่ทั้ง 2 ร้องคู่กัน (1971)  มันรวมอยู่ในแผ่นเสียงรวมเพลงฮิตของ RF  แผ่นนี้คุ้มเงินที่สุด  ถัวกันไปกับแผ่นก่อนหน้า



มาลองฟังเพลงจากเสียงร้องเดี่ยวของ DH



เริ่มแรกเพลงนี้เป็นของคนขาว (คนแต่ง และ คนร้อง) ผมได้ยินครั้งแรกจากเสียงร้องของ Karen Carpenter ต่อมาก็ Helen Reddy จากนั้นก็คนโน้นคนนี้รวมถึงจากเสียงของคนแต่งเองคือ Leon Russell  ซึ่งก็เพราะละ  แต่พอมาได้ฟังฉบับของ DH แล้ว  โอ้โฮ... ผมว่าเพลงนี้เหมาะกับเสียงของคนดำมากกว่า

นี่ถ้าไม่มี Wikiฯ เราคงไม่มีทางรู้เบื้องหลังสนุก ๆ เช่นนี้


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 347  เมื่อ 23 มี.ค. 25, 17:59

หลังจาก Donny Hathaway ตาย  Roberta Flack ก็จับคู่กับนักร้องหนุ่มรุ่นน้องออกเพลงที่ดังระดับหนึ่งที่บ้านเขา  แต่ดังมากกว่าที่บ้านเรา



ตามมาด้วยเพลงนี้... ที่ดังน้อยกว่าหน่อย



พอ 2 เพลงนี้เป็นที่คุ้นเคยของนักฟังเพลง (บ้านเขา) Peabo Bryson ก็ออกเพลงเดี่ยวที่ดังมากระดับหนึ่ง (ความจริงเธออยู่ในวงการมานานแล้ว  แต่ไม่มีเพลงดังเลย)



เพลงนี้ถูกใจดีเจบ้านเรามาก  แต่พวกเขาสนใจแค่เพลงนี้เพลงเดียว  PB ก็หายไปจากลำโพงวิทยุ  จนกระทั่ง Walt Disney ออกหนังการ์ตูน Beauty and the Beast (1991) แล้วให้ PB ร้องเพลงเอกคู่กับ Celine Dion



และในปีต่อมากับหนัง Aladdin  คราวนี้ WD ให้เธอจับคู่กับ Regina Belle ออกเพลงนี้ที่ขึ้นถึงอันดับ 1 ได้เป็นผลสำเร็จ



2 เพลงดังกล่าวครองหน้าปัดคลื่นเพลงฝรั่งในช่วงเวลาหนึ่ง  ตอนนั้นผมเริ่มถอยฉากแล้ว

เพลงสุดท้ายของ Roberta Flack ที่ผมได้ยินทางวิทยุคือเพลงนี้  ไม่รู้ว่าเพลงเปิดบ่อยแค่ไหนผมได้ยินเพียงครั้งเดียว  ตอนนั้นผมเลิกสนใจเพลงประจำยุคแล้ว  แต่ยังสนใจชื่อศิลปินอยู่



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 348  เมื่อ 24 มี.ค. 25, 18:30

แล้วก็มาถึงเพลงดังสนั่น  ถือเป็น signature song ของ Roberta Flack ที่ผมค้างเอาไว้

(ฟังฉบับการแสดงสดของเธอละกัน  ฉบับ studio ฟังกันจนเบื่อแล้ว)


นักฟังเพลงฝรั่งร่วมยุคทุกคนต้องรู้จักเพลงนี้ (1973) ก่อนยุค อตน. ถ้าไม่ใช่คนสอดรู้สอดเห็น เช่นผม  จะไม่มีทางรู้เบื้องหลังของเนื้อเพลงนี้  ว่าแต่งขึ้นเพื่ออุทิศให้กับนักร้องหนุ่ม ชื่อ Don McLean โดยเฉพาะ  เมื่อผู้แต่งเนื้อเพลงได้เผอิญไปชมการแสดงสดของเธอในปี 1971 แล้วประทับใจสุดขีด (ผมว่าส่วนหนึ่งน่าเป็นเพราะในตอนหนุ่ม ๆ DM หน้าตาหล่อไม่เบาด้วย)  การที่เพลง Killingฯ นี้ต่อมาดังระเบิดและกลายเป็นเพลงอมตะ  DM ก็พลอยได้อานิสงค์ของความเป็นอมตะไปด้วยทั้ง ๆ ที่เธอทำเพลงออกมาไม่มาก
 
อย่างไรก็ตาม DM มีเพลงดังของตัวเองคือ American Pie  เพลงนี้จัดอยู่ในเพลงระดับตำนานเลยแหละ... The song was listed as the No. 5 song on the RIAA (สถาบันการมอบแผ่นเสียงทองคำ/ทองคำขาว (ตอนนั้นมีแค่นี้) ที่ผมพล่ามบ่อย ๆ) project Songs of the Century.

แรงบันดาลใจในการแต่งเนื้อเพลงนี้เกิดจากโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในปี 1959  กับนักร้องดัง 3 คนที่เป็นหัวหอกของยุค Rock and roll คือ Buddy Holly, The Big Bopper และ Richie Valens  (ผลงานของทั้ง 3 ผมนำเสนอไปหมดแล้ว  เพลงของพวกเขาดังในรายการ golden oldies) นับเป็นเหตุการณ์หนึ่งในหายนะร้ายแรงที่สุดของวงการเพลงอเมริกัน

เหตุการณ์นี้กลายเป็นตำนานเมื่อ DM ที่ตอนนั้นยัง ‘no name’ อยู่นำเอาความรู้สึกของตนที่มีต่อการตายของพวกเขามาประกอบเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ยำใหญ่’ ที่รวบรวมเหตุการณ์อื่น ๆ ที่ฝังอยู่ในใจของเธอออกมาเป็นเพลง American Pie (1971 – เนื้อเพลงแนวอุปมาอุปมัยยอดเยี่ยมมาก)  เธอใช้สำนวนเรียกเหตุการณ์นี้ว่า ‘The Day the Music Died (The Day the Music Died is a line from the 1971 song American Pie by Don McLean, referring to a 1959 plane crash in which musicians Buddy Holly, Ritchie Valens, and The Big Bopper died - Wikiฯ’)  เป็นสำนวนที่ต่อมาเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลกว่าหมายถึงใครบ้าง

ในเนื้อเพลงที่มีความยาวถึง 8.42 นาทีนี้ DM เขียนพาดพิงถึงเรื่องราวและบุคคลต่าง ๆ อีกมากมาย  แต่เขาไม่ได้เอ่ยชื่อเหล่านั้นตรง ๆ  จึงทำให้มีผู้คนหลากหลายต่างพยายามแกะปริศนาในเนื้อเพลงว่าหมายถึงใครหรือเหตุการณ์อะไรบ้าง  แต่ความหมายของ The day the music died นี้  DM เป็นคนเฉลยเอง... "American Pie" has been described as "one of the most successful and debated songs of the 20th century".




เนื่องจากเพลงยาวมาก  เพื่อผลประโยชน์ทางการค้า  ตอน บ. แผ่นเสียง UA ตัดสินใจตัดเป็นแผ่น single จึงต้องทอนความยาวของเพลงลงเหลือแค่ 4.11 แล้วใช้ชื่อว่า American Pie (part 1)  พอเพลงติดหูคนฟังและรู้ว่าถ้ามี part 1 ก็ต้องมี part 2  ต่างจึงโทรศัพท์เข้าไปที่สถานีวิทยุที่ตนฟังและบอกดีเจให้เล่นเพลงนี้ที่มีความยาวเต็ม ๆ  เพราะอยากรู้เรื่องราวต่อไปอีก  เหล่าดีเจ จึงต้องเล่นเพลงนี้ฉบับเต็มจากแผ่น album แทน single อันเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน (ไม่เคยอ่านพบเรื่องเกี่ยวกับลิขสิทธิ์การเปิดเพลงจาก album ทางวิทยุ  ผมเดาเอาเองว่าคงไม่มีปัญหาเพราะเพลงนี้แต่งโดยตัว DM เอง)

At 8 minutes and 42 seconds, McLean's combined version is the sixth longest song to enter the Billboard Hot 100 (at the time of release it was the longest). The song also held the record for almost 50 years for being the longest song to reach number one before Taylor Swift's "All Too Well (10 Minute Version)" broke the record in 2021.

สถานีวิทยุที่เมืองไทยเล่นฉบับเต็มจาก album  มาตั้งแต่ต้นเพราะบ้านเราไม่นิยม single  ผมจำได้ไม่ลืมว่าเพลงดังสนั่นบ้านแตก  และความที่เพลงยาวมาก  ไม่ว่าจะหมุนเข็มไปที่ไหนก็จะได้ยินเพลงนี้อยู่เนือง ๆ

ในปี 2022 Paramount+ ออกสารคดีชื่อ The day the music died: The story of Don Mclean’s ‘American Pie’ เล่าประวัติโดยสังเขปของ DM  โดยมีแก่นอยู่ที่งานแต่งเพลง American Pie  สิ่งที่จูงใจให้เขาเกิดความคิดที่จะแต่งเพลงนี้และอิทธิพลของเพลงนี้ต่อ generations ต่าง ๆ ในแต่ละยุคสมัยจนมาถึงปัจจุบัน







สารคดีมาจบที่ concert ชื่อ 50th Anniversary American Pie tour จัดที่อาคาร Surf Ballroom เมือง Clear Lake รัฐ Iowa  อันเป็นสถานที่ที่ ‘The three men I admire most’ จัด concert เป็นครั้งสุดท้ายก่อนโศกนาฏกรรม (ชอบมากสารคดีแบบนี้)


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 349  เมื่อ 25 มี.ค. 25, 18:27

พอ single เพลง American Pie ดังถล่มโลกดนตรี  Don Mclean ก็ออก Album  ความดังของ single ผลักดันให้ยอดขาย album ขึ้นไปแตะอันดับ 1 บนตาราง billboard  จากนักร้อง no name  DM ก็เลยกลายเป็นนักร้องดังในชั่วข้ามคืน

ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ซื้อ album แผ่นนี้ของเธอ  แต่ไม่ได้ซื้อตอน ‘ซิง ๆ’  เพราะตอนนั้นยังเด็ก  ยังไม่รู้จักแผ่นเสียง  แล้วก็เก็บเงินไม่เป็น  มาซื้อตอนอยู่ ม.ปลาย  ผมเห็นแผ่นเสียงแผ่นนี้วางขายอยู่ในห้าง central สีลมมาโดยตลอด 

พูดถึงร้านแผ่นเสียง  (จับช่วงเวลาในตอนนั้น) ร้านแผ่นเสียงที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ อยู่ที่วังบูรพา  ร้านนี้ผมมีประสบการณ์น้อยมากเพราะไกลจากบ้าน  เคยไปเยี่ยมแค่ 2 หน  เป็นร้านที่ใหญ่มาก  น่าจะ 3 - 4 คูหานะ  แต่ก่อนจำชื่อได้  แผ่นเสียงเยอะมากจนไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนดี  หนสุดท้ายที่ไป  เป็นช่วงเวลาที่ร้านกำลังเลลังแผ่นเสียงเพื่อปิดกิจการ  ที่ใหญ่รองลงมาก็ต้องที่แผนกแผ่นเสียงของห้าง Central สาขาต่าง ๆ (ผมไม่รู้ว่าสาขาวังบูรพามีแผนกนี้รึเปล่า  ไม่น่ามีเพราะมันเล็กมาก) สาขาที่ผมถนัดไปที่สุดคือสาขา สีลม  แต่แผ่นเสียงของห้าง central นี่หนักไปในทางแผ่น 'อมตะ' มากกว่าคือ  แผ่นเสียงเพลงที่สามารถขายได้ตลอดกาลเช่น แผ่นเพลงแนว classic  เพลงแนว jazz ฯลฯ  โดยประสบการณ์ผมว่าร้านแผ่นเสียงที่ห้างวังบูรพายอดเยี่ยมที่สุด  คิดถึงจัง  ถ้ารู้ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้  ผมจะกลั้นใจโหนรถเมล์ไปเดินให้มากกว่านี้
 
ผมเคยเล่าแล้วในกระทู้อื่นและอยากเล่าอีกว่าบรรยากาศของห้าง central สาขานี้น่าเดินมาก  ที่ผมจะสิงสู่อยู่เป็นประจำคือชั้นบนสุดอันเป็นแผนกแผ่นเสียงและหนังสือ  แผนกโปรดของผมทั้งคู่  อ้อ... มีร้านอาหารของห้างชื่อ The Terrace  ลักษณะเป็น open kitchen  บรรยากาศของร้านสุดยอด  ผมชอบหาที่นั่งริมหน้าต่าง  เมื่อมองผ่านหน้าต่างลงไปข้างล่างจะเห็นรถราวิ่งกันขวักไขว่บนถนนสีลม  รถเมล์ที่ครองย่านนั้นคือรถเมล์บุญผ่อง

พอโตขึ้นจนสามารถเก็บเงินเองเพื่อซื้อของที่ตัวเองต้องการได้ เพราะไม่อยากรบกวนเงินผู้ปกครอง (ตอแหลน่ะ  ความจริงขอเป็นประจำแต่ไม่เคยได้)  ก็ออกล่าซื้อแผ่นเสียง

แผ่น American Pie ของ DM ก็เป็นหนึ่งในนั้น  มีเพลงเพราะ ๆ มากมาย  รวมถึง single ที่ 2 ที่ดังไม่แพ้ single แรก  ผมว่าในบ้านเรา  มันดังกว่า single แรกด้วยซ้ำ



ต่อยอดด้วย 2 เพลงแรกนี้ที่เพราะสุด ๆ









มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 350  เมื่อ 26 มี.ค. 25, 18:34

น่าเสียดายมากที่ Don McLean ไม่สามารถต่อยอดความดังของตัวเองได้  ถ้าจะให้เดา  ผมว่าเนื่องจากผลงานชิ้นก่อนสุดยอด  ผู้คนเลยคาดหวังผลงานต่อ ๆ มาไว้สูง  เธอไม่มีเพลงดัง ๆ บนอันดับเพลงฯ อีกเลย  วิทยุบ้านเราก็เลยไม่มีเพลงของเธอมานำเสนอเพราะวิทยุบ้านเราเปิดเพลงอิงจากอันดับเพลงฯ

อย่างไรก็ตาม อีกร่วม 10 ปีต่อมา ผมก็ได้ยินเสียงของเธออีกครั้งทางวิทยุ



เพราะมาก  เพลงดังในบ้านเราทีเดียว  ผมสงสัยว่า  (ตอนนั้น) จะมีคนฟังสักกี่คนที่รู้ว่า DM ไม่ใช่ no name  เธอเคยมีเพลงที่สะกดโลกได้อยู่หมัดมาแล้ว  เพราะร่วม 10 ปีนี่  นานพอจะเรียกว่าหลงยุคได้นะ  พอรู้ว่าชอบเพลงนี้  ผมก็ออกไปหาซื้อแผ่นเสียง  ช่วงนั้นมีร้านแผ่นเสียงผุดขึ้นในกรุงเทพฯ อีกมากมาย  ส่วนใหญ่เป็นร้านเล็ก ๆ  ที่มีแผ่นเสียงวางขายไม่มาก  แต่แผ่นทันสมัย  ลูกค้าเยอะแยะเพราะมีการรับสั่งแผ่นเสียงที่ต้องการได้  คือร้านพวกนี้จะทำสัญญากับคนที่เดินทางไปมาระหว่างประเทศไทยกับอเมริกาหรือฝั่งยุโรป เช่น พนักงานสายการบินต่างๆ ฯลฯ ลูกค้าอยากได้แผ่นไหนก็สั่งไป  ทางร้านก็เอาใบสั่งไปฝากคนเหล่านั้นซื้อกลับเข้ามา  แล้วแบ่งเปอร์เซ็นต์กัน  win ๆ กันทุกฝ่าย  ร้านประจำของผมชื่อห้างแผ่นเสียงรามา  อยู่บนถนนเจริญกรุง  ร้านแค่ 1 ห้อง  โทรมสนิท  แต่ขอโทษ  คนเดินเข้าออกกันขวักไขว่  พอแผ่นเสียงที่ตัวเองสั่งมาถึงก็ขึ้นรถเมล์ไปเอา  แผนกแผ่นเสียงของห้าง central ก็เลยล้าสมัยไป  เพราะแผ่นเข้ามาไม่เร็วทันใจลูกค้า  

ผมได้แผ่นเสียงของ DM ที่บรรจุเพลงนี้จากร้านที่ว่า  ผมว่าเพลงในแผ่นนี้เพราะกว่าแผ่น American Pie ด้วยซ้ำ  แต่ที่บ้านเธอมันไม่ดังเท่าไร  single ที่ 2 ก็เพราะ  บ้านเราเปิดประปราย



หมายเหตุ - ทั้ง 2 เพลงเป็นการนำต้นฉบับมาร้องใหม่


ต่อยอด...







มีเพลงมหากาพย์จากฝีมือการแต่งของตัวเธอเอง 2 เพลงที่เพราะมาก





ปีต่อมา DM ก็ออก album มาอีกแผ่นพร้อมกับ single แผ่นนี้  เพลงเพราะ  วิทยุบ้านเราก็เปิดบ่อย  แต่ที่บ้านเธอผู้บริโภคไม่นิยม  นี่เป็นลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเธอ  ก่อนที่เสียงเพลงของ DM จะหายไปจากลำโพงวิทยุบ้านเรา



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 351  เมื่อ 27 มี.ค. 25, 18:01

นักฟังเพลงฝรั่งบ้านเราต้องรู้จักเพลง And I love you so เป็นอย่างดี  เพลงนี้แต่งโดย Don McLean ผมว่าเป็นผลงานการแต่งเนื้อที่ดังที่สุดของเธอ  มีนักร้องหลายต่อหลายคนนำไปร้องใหม่  ในฉบับต่าง ๆ



ผมฟังมาหลายฉบับ  ต้นฉบับน่ะเพราะขาดใจอยู่แล้ว  มีอีกฉบับที่ผมว่าร้องได้เพราะไม่แพ้กันคือจากเสียงของ Helen Reddy แฟนผม  ละเมียดมาก



นั่นเป็นเพลงจาก album ของเธอ  ใครที่ไม่ได้ซื้อแผ่นเสียงของเธอ  จะไม่เคยได้ยิน  สำหรับฉบับที่ดังที่สุดในบ้านเรา (ดังพอประมาณในบ้านเขา) มาจากเสียงของ Perry Como




Perry Como เป็นนักร้องในยุค golden oldies ในยุคนั้นรายการ GO เปิดเพลงของเธอหลายเพลง  พอหมดยุค  เพลงของเธอก็หายไปจากคลื่นวิทยุ  มาเข้ายุคผม จู่ ๆ เธอก็ส่งเพลงกลับมาให้ได้ยินอีก  รวดเดียว 3 เพลง  ก่อนจะหายไปตลอดกาล  เพลงแรกคือ And I ฯ  อีก 2 เพลงคือ

(แต่งเนื้อโดย Kris Kristofferson)



(ฟังเพลงแบบนี้แล้วสบายใจจัง)


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 352  เมื่อ 28 มี.ค. 25, 18:34

เกิดอะไรขึ้นเมื่อตอนบ่าย  ทุกคนมีประสบการณ์ร่วมกันกันแล้วเนอะ

ผมจะเล่าว่า  เคยเจอประสบการณ์แผ่นดินไหว (ไม่รู้สามารถเรียกว่า) รุนแรง (ได้รึเปล่า) แบบนี้เมื่อกว่า 50 ปีมาแล้ว  ตอนนั้นผมเรียนอยู่ชั้น ม.ศ. ต้น  วันนั้นเป็นวันหยุดเรียน  โรงเรียนให้หยุดเพื่ออ่านหนังสือเตรียมสอบในวันรุ่งขึ้น  ตอนนั้นเป็นเวลาบ่าย  ผมกำลังท่องหนังสือ  แบบเดินไปท่องไปอยู่บนระเบียงบ้าน  เดินกลับไปกลับมา  พอเดินมาถึงบริเวณหน้าห้องน้ำ  อยู่ดี ๆ ผมก็รู้สึกโคลงเคลง  แล้วตอนนั้นคุณยายก็เปิดประตูห้องน้ำออกมา  เจอผมพอดี  ท่านยื่นมือมาบอกว่ากำลังจะเป็นลม  ผมถลาเข้าไปประคอง  วินาทีนั้น  ผมเห็นน้ำในบ่อในห้องน้ำที่พวกเราใช้อาบน้ำ  กระฉอกลงบนพื้น  หลายรอบ  เหมือนใครเขย่าแก้วน้ำ  ผมไม่เคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน  สักครู่น้าสาวก็ตะโกนออกมาจากในบ้านว่า แผ่นดินไหว ๆ  เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมมีประสบการณ์การสัมผัสแผ่นดินไหว  ส่วนภาพน้ำในบ่อกระฉอกออกมานี่  บัดนี้ยังชัดเจนอยู่เลย


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 353  เมื่อ 28 มี.ค. 25, 18:49

ตื่นเต้นกันแล้ว  ก็มาผ่อนคลายกับเพลงแห่งความหลังกันต่อนะ

ย้อนกลับไปที่เพลง American Pie ของ Don McLean ในเนื้อเพลงที่เธอเขียนมีสำนวนหนึ่งว่า ‘The Day the Music Died  สำนวนนี้ต่อมาเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลกว่าหมายถึงใครบ้าง... The Day the Music Died is a line from the 1971 song American Pie by Don McLean, referring to a 1959 plane crash in which musicians Buddy Holly, Ritchie Valens, and The Big Bopper died - Wikiฯ’

โศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการเพลงสากลนี้ได้มีคนนำมาทำเป็นหนังชื่อ La Bamba (1987) โดยมีแก่นของเรื่องอยู่ที่ชีวิตของนักร้องหนุ่มน้อยชื่อ Richie Valens



เรื่องคร่าว ๆ มีว่า... เหตุเกิดในหน้าหนาวปี 1959  BH จัด concert ในย่าน Midwest ของอเมริกา  จากสภาพอากาศอันเลวร้ายบั่นทอนสุขภาพของเหล่าศิลปินกันถ้วนหน้า  อีกทั้ง heater ในรถบัสก็เสีย ๆ หาย ๆ

เมื่อจบการแสดงที่ Clear Lake, Iowa  หัวหน้า concert คือ BH จึงตัดสินใจเหมาเครื่องบินไปส่งยังจุดหมายต่อไปคือที่ Moorhead, Minnesota  แต่มันเป็นเครื่องบินเล็กนั่งได้แค่ 4 คนรวมทั้งคนขับ  หนึ่งในนั้นคือ BH หัวหน้า concert  ยังเหลือที่ว่างอีก 2   สำหรับที่นั่งที่ 3 มีการโยนเหรียญหัวก้อยกันระหว่าง  RV กับนักดนตรีคนหนึ่งซึ่งต่างก็กลัวการขึ้นเครื่องบินทั้งคู่  RV ชนะได้ขึ้นเครื่องเป็นคนที่ 2 (ที่ 3 ของลำ) เธอบอกว่าตั้งแต่เกิดมาเพิ่งจะเคยโยนหัวก้อยแล้วชนะก็คราวนี้  ส่วนคนที่ 3 (ที่นั่งที่ 4 สุดท้าย) คือ Waylon Jennings แต่เธอใจดีสละที่นั่งให้ J.P. ‘Big Bopper’ Richardson  เพราะพ่อหนุ่มเป็นหวัดเป็นไข้  ไปถึงเร็ว ๆ จะได้มีเวลาพักผ่อนเส้นเสียง

มีเกร็ดเล่าว่า พอ BH รู้ว่า WJ ไม่ได้บินไปด้วยกันเธอล้อว่า ‘ขอให้มึงแข็งตายอยู่ในรถบัสซังกะบ๊วยนั่น’ ส่วน WJ ก็ย้อนกลับไปว่า ‘กูก็ขอให้มึงเครื่องบินตกตาย’

เหตุการณ์ต่อจากนั้นผู้ที่รักเสียงเพลงฝรั่งทั่วโลกรู้ดี  อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นไม่ได้คร่าชีวิต Richie Valens คนเดียวแต่รวมไปถึงนักร้องระดับตำนาน Buddy Holly (22) และ ดาวรุ่งพุ่งแรงอีกคน J.P. ‘The Big Bopper’ Richardson (28)  พูดรวม ๆ คือ ตายเหมาลำ

มากล่าวถึง Richie Valens ชื่อเสียงของ RV  เปรียบประดุจพลุ  พุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด ระเบิด แล้วดับ  มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพราะขณะที่ความดังขึ้นถึงจุดสูงสุด  เธอก็ตายทันทีด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตกที่ว่า  มีอายุถึงตอนนั้นแค่ 17 ขวบ

อย่างไรก็ตาม  แม้ทั้ง 3 จะตายไว  แต่ผลงานของพวกเขายังล่องลอยอยู่ในอากาศและในที่สุดก็ลอยมาถึงเมืองไทยและยังล่องลอยอยู่ในปัจจุบัน  คนละเพลง 2 เพลง  เพราะตายไวเลยมีผลงานไม่มาก

เพลงของ RV เพลงนี้เป็นขาประจำในรายการ Golden oldies

(ความจริงยังมีอีก  แต่ในตอนนั้นนักฟังเพลงฝรั่งบ้านเรารู้จักเธอจากเพลงนี้เพลงเดียว  เป็นเพลงที่ดังที่สุด)


สำหรับเพลงของ JPR นั้นไม่เคยได้ยินมาก่อน  นี่เป็นเพลงดังของเธอ



ส่วน BH นั้น  รายการ GO เปิด 2 เพลงนี้เนือง ๆ

(เพลงนี้  ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกในยุค 70s  จากเสียงของ Linda Ronstadt  ผมว่านักฟังเพลงฝรั่งบ้านเราคุ้นเคยกับฉบับของ LR มากกว่านะ  เพราะมันดังในบ้านเรามาก)

(มันมากกกก)





เพลงนี้ผมมาได้ยินทีหลังจากการดูหนังเรื่อง Stand by me  (1986 – ดูทางม้วน VDO)



และเพลงนี้จากหนังเรื่อง Peggy Sue got married ปีเดียวกัน



มันเป็นเพลงภาคต่อของเพลงนี้



สำหรับ WJ นั้น  เธอเป็นศิลปินในแนว country  ที่เพิ่งมาดังสุดกู่ในยุค 70s  แนวเพลงของเธอจึงไม่ข้ามมาดังในบ้านเรา  ยกเว้นเพลงนี้เพลงเดียวที่ไม่ได้ดังจากลำโพงวิทยุเท่านั้น  แต่ดังออกมาจากลำโพงทีวีด้วยเพราะมันคือเพลงเปิดเรื่องหนังทีวีดังสนั่นชุด Duke of Hazzard (1979)



WJ เคยให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องแช่งกันเล่น ๆ ในวันนั้นว่ามันตามหลอนมาจนถึงปัจจุบัน


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 354  เมื่อ 29 มี.ค. 25, 17:49

เพิ่งอ่านพบ  แต่ก่อนจะลุย  ต้องโหมโรงก่อน  ไม่งั้นจะทำหน้างงกันหมด

ในครึ่งแรกของยุค 70s  นักฟังเพลงฝรั่งทุกคนต้องรู้จัก George McCrae  เธอร้องเพลงนี้ให้ฟังทุกวันติดต่อกันนานเป็นเดือน ๆ เลยละ



ความดังของเพลง Rock ฯ นี้ส่งอานิสงค์ให้ได้ฟังเพลงต่อมาของเธอ  ซึ่ง (เพิ่งรู้หลังจากมีข้อมูลในมือว่า) ไม่ดังเลย (มิน่า  ได้ยินน้อยครั้งมาก)



อ้ะ... มาเข้าเรื่อง

ในยุครุ่งเรือง  GM มีเมียชื่อ Gwen M. (1943 – Feb. 21, 2025)  เธอมีเพลงดังในช่วงเวลาเดียวกันคือเพลงนี้  ไม่รู้มีใครจำได้บ้าง  มันไม่ดังเท่าเพลงของ GM  ผมจำทำนองไม่ได้เลย  จำได้แต่ชื่อเพลง (เก้าอี้โยก) กับชื่อของเธอ  เพราะเป็นเมียของ GM  มารื้อฟื้นเพลงในยุค youtube

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 355  เมื่อ 29 มี.ค. 25, 18:08

ในหนังเรื่อง La Bamba นี้  ถ้าใครได้ดูจะจำได้ว่าตอนต้นเรื่องมีเพลงประกอบเป็นเพลงบรรเลงที่ฟังคุ้นหูมาก  ได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ๆ เลยละ  มันชื่อ Sleep Walk (เพลงไม่มีอยู่ใน soundtrack ของหนัง)



เพลงนี้เล่นโดยศิลปินพี่น้องชื่อ Santo & Johnny  นั่นเป็นเพลงอันดับ 1 และเป็นเพลง signature ของพวกเขา  วิทยุบ้านเรานอกจากเปิดเพลงนี้แล้วยังเปิดเพลงอื่น ๆ อีก  ผมจำไม่ได้ว่าได้ยินทางรายการไหนบ้าง  S&J เป็นศิลปินในยุครายการ golden oldies  แต่เพลงของพวกเขามีเปิดต่อมาอีกนานเชียวละ  ลองฟังดู  จะจำได้ทุกเพลงผมรับรอง













และเพลงนี้ที่ดังที่สุดในบ้านเรา  ดังกว่า Sleep walk เสียอีก



ตรงนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัว  ถ้ามีเพลง Tokyo Twilight ต้องตามด้วยเพลงนี้



ฉบับนี้ดังมากที่บ้านเรา  ตีคู่มากับเพลง Tokyo Twilight  แต่ที่บ้านเขามันไม่ดังเลย  (ทำนองเดียวกับเพลง TT)  นี่เป็นฉบับที่เอามาทำใหม่  ต้นฉบับนั้นเป็นของวง Village Stompers  ดังมากที่บ้านเขา  ผมจำไม่ได้บ้านเรานิยมรึเปล่า  ฉบับของ Billy Strange ดังกลบเสียสนิท



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 356  เมื่อ 30 มี.ค. 25, 18:11

แบบว่าติดพัน...

มานึกได้ว่า  ในยุคนั้นมีศิลปินเพลงบรรเลงที่เล่นเพลงแนวเดียวกันที่โด่งดังในบ้านเราอยู่ 2 วง  ในตอนนั้น  แค่พูดภาษาคนยังฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง  ผมแยกไม่ออกว่าเพลงไหนเป็นของใคร  จนกระทั่งซื้อ CD ของพวกเขามาฟังนั่นแหละ  ถึงได้ 'อ้อ... อ้าว... เอ๊ะ... ฯลฯ'

วงแรกชื่อ The Shadows เป็นวงจากอังกฤษ  ผมรู้มาน้านนานจากการอ่านจากที่ไหนสักแห่งว่า  เริ่มแรกนั้นเป็นวงเอกเทศเล่นเพลงบรรเลง (จำไม่ได้ว่ามีการร้องด้วยรึเปล่า ขี้เกียจค้น)  ต่อมาในยุคต้น 60s ก็เข้าร่วมเป็นวงสนับสนุนให้กับ Cliff Richard (อยู่ในคิวนะ  ไม่ลืม)  วงนี้ยุบตัวในปี 1968 (ก่อนจะมีพิธีกรรมปลุกชีพขึ้นมาใหม่ในเวลาต่อมา)

เพลงแรกนี้ฟังคล้ายกับฉบับของ Jorgen Ingramm   ฉบับของ TS ขึ้นอันดับ 1 ที่อังกฤษ  แต่เพลงไปไม่ถึงอเมริกา  ในขณะที่ฉบับของ JI ขึ้นถึงอันดับ 2 ของตาราง billboard ที่อเมริกาในปีเดียวกัน  ในบ้านเรา  ไม่รู้วิทยุเล่นฉบับของใครบ่อยกว่ากัน  ฟังทั้ง 2 ฉบับเทียบกันแล้ว  จำได้เลยว่าเคยสงสัยว่า  ไอ้ท่อน 'เฟี้ยว ๆ ๆ'  น่ะ  บางครั้งที่ฟังก็มี  บางครั้งก็ไม่มี  อ๋อ... มันคนละฉบับกันนั่นเอง

นี่เป็นฉบับของ JI



3 เพลงนี้เป็นเพลงแห่งความหลัง (nostalgia) ของผมเลยละ (เพลงของ Santo & Johnny ก็ใช่นะ  ลืมเขียนไป) ฟังทีไรนึกถึงตัวเองตอนเป็นเด็กประถมซุกซนอยู่รอบ ๆ บ้านคุณยาย







นำเสนอเพลงอันดับ 1 (ที่บ้านเขา) อีกเพลงที่ผมไม่เคยได้ยินทางวิทยุ  แต่วิทยุต้องเปิดอย่างแน่นอนเพราะผมรู้จักชื่อมาแต่เนิ่นนาน



เพลงของ The Shadows ยุคใหม่





เพลงนี้ถ้าคุ้นหูละก็  ดัดแปลงมาจากต้นฉบับในยุครายการ golden oldies บรรเลงโดย Neil Levang  ผมว่าฉบับของ NL คุ้นหูพวกเรามากกว่านะ  (ชื่อศิลปินนี่มารู้ในยุค อตน.)

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 357  เมื่อ 31 มี.ค. 25, 18:03

ศิลปินเพลงบรรเลงวงที่ 2 ร่วมยุคกับวง The Shadows คือ วง The Ventures  ผมว่านักฟังเพลงฝรั่งบ้านเราคุ้นเคยกับชื่อนี้มากกว่า  เพราะพวกดีเจชอบเปิดเพลงของวงนี้มากกว่า  คือวงนี้นอกจากจะมีเพลงดังของตัวเองแล้ว  ยังชอบเอาเพลงต้นฉบับของคนอื่นมาเล่นในแบบฉบับของตัวเอง

เพลงดังของตัวเองก็...


เพลงนี้มาแปลกคือ  ในกลางยุค 60s  วงนี้ก็เอาเพลงนี้มาปัดฝุ่นเล่นใหม่ในแบบที่ทันสมัยขึ้น  และดังด้วย  เข้า top 10  ผมได้ฟังทั้งคู่แต่ไม่รู้เรื่องเรื่อง ‘ปัดฝุ่น’



เพลงฮิตอื่น ๆ







คุ้นหูทุกเพลงใช่มั้ย

สำหรับเพลงที่วงเอาต้นฉบับดัง ๆ มาทำใหม่ในแนวของตัวเองก็เช่น  วิทยุบ้านเราเปิดกันอย่างสนุกสนาน  ตอนนั้นมึนไปหมด  อันไหนต้นฉบับอันไหนเอามาทำใหม่
















สำหรับเพลงนี้  ใคร ๆ ฟังก็ต้องคิดว่าเป็นของวง TV  แต่ความจริงมันเป็นผลงาน one hit wonder ของวง The Surfaris

(การเล่นกลองในเพลงนี้เด่นมากถึงขนาดมีการกล่าวถึงว่า Ron Wilson's energetic drum solo made "Wipe Out" one of the best-remembered instrumental songs of the period.)


สังหรณ์ใจว่าจะมีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 358  เมื่อ 01 เม.ย. 25, 18:16

ว่าแล้ว...

มีผลงานของ The Ventures ที่ผมนำเสนอไปเมื่อวานอยู่ 2 เพลงที่ผมอยากต่อยอด

เพลงแรกคือ



เพลงนี้ทางวงตัดเป็น single ในปี 1969  บ้านเรารับมาเปิดทันทีทั้ง ๆ ที่มันไม่ดัง  น่าจะเป็นอานิสงค์จากความดังของตัววงเอง  บวกความดังของต้นฉบับของเพลงนี้ที่ดังสะท้านฟ้าทั่วโลกในปี 1960



ต้นฉบับของเพลงนี้คือเพลงบรรเลง  ในกลางยุค 60s มีศิลปินวงหนึ่งนำมาทำใหม่แบบมีเนื้อร้อง  ฉบับนี้ก็ดังพอประมาณ  ดังมากในบ้านเรารึเปล่าผมไม่รู้เพราะเพลงมาก่อนยุคผม  แต่ตอนผีเพลงเข้าสิง  ยังคงได้ยินอยู่บ้าง



ชื่อวง The Lettermen นี้  คุ้นหูผมมาตั้งแต่จำความได้  ผมได้ยินผลงานของพวกเขาอยู่เนือง ๆ  ช่วงที่ผีเพลงเริ่มเข้าสิง  ผมยังทันได้ยินวิทยุเปิดเพลงเหล่านี้









เข้ากลางยุคผมพวกเขาร้อง 2 เพลงนี้ที่ดังในบ้านเรามาก ๆ  ได้ยินบ่อยเชียวละ





หลังจากมีข้อมูลอยู่ในมือ  ผมถึงรู้ว่าผลงานของวงนี้โลดแล่นอยู่ในอันดับเพลงมาตั้งแต่ต้น 60s  เลยละ  3 เพลงแรกนี้ดังในบ้านเขา  ไม่รู้ว่าดังในบ้านเรารึเปล่า  ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน  แต่เพราะมาก







มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 359  เมื่อ 02 เม.ย. 25, 17:54

หยอดไว้ตรงนี้ว่า เพลง Goin' out of my head กับ Hurt so bad  ที่วง The Lettermen ร้องให้ฟังเมื่อวาน  ไม่ใช่เพลงใหม่

ต้นฉบับของเพลงทั้งคู่เป็นของวง soul ชื่อ Little Anthony & the Imperials  สองเพลงนี้อยู่ในยุคที่บ้านเราเรียกว่ายุค golden oldies  แต่ผมจำไม่ได้ว่าเคยได้ยิน 2 เพลงนี้ทางรายการฯ  มาได้ยินทางรายการเพลงฝรั่งทั่ว ๆ ไป  เปิดกันอยู่นานเชียวล่ะ





แต่เพลงนี้เคยได้ยินทางรายการฯ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 22 23 [24] 25 26 ... 29
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.147 วินาที กับ 19 คำสั่ง