เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 24 25 [26] 27 28 29
  พิมพ์  
อ่าน: 61605 Yesterday Once More...
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 375  เมื่อ 11 เม.ย. 25, 18:16

ย้อนกลับไปตรงที่ Yvonne Elliman ร้องเพลง I don’t knowฯ ในหนังเพลงชื่อ Jesus Christ Superstar



หนังเรื่องนี้ก็มาฉายที่บ้านเราด้วย  ที่โรงเฉลิมไทย (ถ้าความจำไม่เลอะเลือน) ผมไม่ได้ไปดูหรอก  ตอนนั้นเด็กดูหนังแบบนี้ไม่รู้เรื่อง  ดูเป็นแต่หนังเข้าใจง่าย ๆ อย่าง สารวัตรจู๊ฟ อะไรเทือกนี้  แสดงว่าหูผม ‘โต’ กว่าตาเพราะผมฟังเพลงฝรั่งเป็นมาก่อนหน้าแล้ว



เพลงเอกของหนังคือเพลงนี้ร้องโดย Carl Anderson



แต่ตอนตัดเพลงนี้เป็น single ออกขาย  ผู้สร้างกลับเลือกเอาฉบับที่ร้องโดย Murray Head นักแสดง/นักร้องชาวอังกฤษ... สมัยโน้น  ไม่รู้เรื่อง  ก็สงสัย  มารู้เอาตอน อตน.  มันมีที่มาที่ไป  แต่ผมอ่านแล้วไม่เข้าใจ  ไม่รู้ขั้นตอนของวงการละครเวทีบ้านเขา  มันมีหลาย 'version'  อย่างไรก็ตาม ผมว่าฉบับของ CA มีพลังกว่าเยอะ



สมัยนู้น  ข้อมูลมีเป็นหย่อม ๆ  มันไม่โยงกัน  ผมจึงไม่รู้เบื้องหลังของนักร้อง 2 คนนี้  ในตัวอย่างหนังที่ฉายทางทีวี  เห็นคนร้องเพลงนี้มีผิวดำ (แม้ทีวีเป็นขาวดำ  แต่ก็ยังแยกออก)  พอได้ยินเพลงนี้ทางวิทยุ  ดีเจบอกชื่อนักร้องว่า MH  ผมก็เลยสรุปเอาเองว่า  นักร้องผิวดำในหนังชื่อ MH

ในยุค อตน. ผมตามหาเพลงฉบับนี้  ก็ใช้ความรู้ดั้งเดิมมาเป็นข้อมูล  ถึงรู้ว่าข้อมูลที่จำมาแต่ต้นผิดพลาด  นักร้องผิวดำในหนังชื่อ CA ส่วนฉบับ single ที่ได้ยินทางวิทยุร้องโดย MH

สรุปแล้วที่ผมฟังเพลงนี้ทางวิทยุมาตั้งแต่ต้น  คงมีทั้ง 2 ฉบับจาก  2 นักร้อง  จากแผ่นเสียง 2 ประเภท  คือ soundtrack ของหนัง  กับ soundtrack ของละครเวที  ซึ่งผมคิดว่าเป็นคน ๆ เดียวกัน

สำหรับประวัติการไต่อันดับ billboard ของ single เพลงนี้นับเป็นปรากฏการณ์ชิ้นหนึ่ง  มันมาก ...

"Superstar" was released as a single in 1969, before the album was completed. Sung by Murray Head with the Trinidad Singers, it initially debuted on the U.S. Billboard Hot 100 singles chart for the week ending 31 January 1970, eventually peaking at No. 74 in late February 1970.

Nearly one year later, the single re-entered the Hot 100 chart for the week ending 2 January 1971, eventually peaking at No. 60 on the chart in early March 1971.

The single then fell off the chart three weeks later, but then almost immediately re-entered the Hot 100 chart a third and final time for the week ending 10 April 1971. It then rapidly climbed the Hot 100 chart during its third chart run, eventually spending two consecutive weeks at its peak position of No. 14 in late May and early June 1971.

A video of the song was released to promote the album, with Murray Head and the Trinidad Singers appearing.”



MH นี้ต่อมาเอาเพลงมาปล่อยให้วิทยุบ้านเราเปิดอีกเพลงในปี 1984  เป็นเพลงจากละครเพลงชื่อ Chess  จำไม่ได้ว่าเพลงฮิตในบ้านเรารึเปล่า  ตอนนั้นผมเลิกกระตือรือร้นที่จะตามเพลงใหม่ๆ แล้ว



ส่วน CA นั้น  ความดังมาจับต้องตัวเธอในปี 1986  กับเพลงร้องคู่เพลงนี้ที่ขึ้นถึงอันดับ 2 บนตาราง billboard 



บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 376  เมื่อ 11 เม.ย. 25, 18:20

ต่ออีกนิด...

ในยุคผมนั้น  มีเพลงที่มีเนื้อหาอิงศาสนา (ไม่นับเพลงจากเทศกาลของศาสนา) เข้าไปดังในบนตาราง bb  จำนวนหนึ่ง  ทั้งหมดข้ามมาเปิดในวิทยุบ้านเรา (เพราะงี้ผมถึงรู้ไง) เมื่อกี้เป็นเพลง rock ชื่อ Superstar  ก็เสนอต่ออีก 3-4 เพลง

Ocean



Godspell (เพลงจากในหนัง)



The Edwin Hawkins Singers

(ตรงที่นักร้องร้อง When Jesus wwww…  ผมติดใจอยู่นานตั้งแต่เริ่มเคยฟังเป็นครั้งแรก  สงสัยมาตลอดว่า Jesus ทำอะไรวะ  ทุกครั้งที่เพลงนี้ออกอากาศ  ผมพยายามเงี่ยแล้วเงี่ยอีก  เหมือนเธอร้องว่า wore  ซึ่งแปลว่าสวมใส่ (ภาคอดีต)  แต่เธอไม่ได้บอกต่อว่า ‘สวมใส่’ อะไร  แล้วก็ต่อด้วย my sins away  ไปเลย  ฟังแล้วก็ให้ง้งงง  จนกระทั่ง อตน. ถือกำเนิด  ถึงได้รู้เนื้อร้อง  ว่าคำนั้นคือ washed  แล้วผมก็กลับมาฟังเสียงร้องอีก  เธอออกเสียงไม่เหมือนคำว่า washed เลย  แม้ตอนดู MV ตัวนี้  ปากของนักร้อง (Dorothy Combs Morrison) ก็แทบไม่ได้ขยับเหมือนคำว่า washed เลย  ต้องจ้องดี ๆ ตอนท้ายเพลงถึงเห็น)


แล้วก็เพลงนี้จากเสียงร้องของ Judy Collins  เพลง Amazing Grace นี้เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง  นักฟังเพลงฝรั่งชาวไทยบางคนคงรู้จักเพลงนี้ด้วย  แต่ไม่รู้ว่าจะจำฉบับนี้ได้รึเปล่า ผมละจำเพลงนี้ได้แม่นเพราะมันไม่มีเครื่องดนตรีประกอบ



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 377  เมื่อ 12 เม.ย. 25, 17:49

นอกจากเพลงที่มีเนื้อหาอิงศาสนาแล้ว  ยังมีเพลงอิงศาสนาที่คนร้องเป็นนักบวชเข้ามาดังสนั่นบนตาราง bb ด้วย  มี 2 คนล้วนเป็นผู้หญิง  แต่ต่างช่วงเวลากัน  ยุคผีเพลงของผมคือแม่ชี Janet Mead  เพลงของเธอเป็นเพลง rock ระดับแผ่นเสียงทองคำ  เพลงนี้  วิทยุบ้านเราเปิดกันจนคนฟังอยากจะเปลี่ยนศาสนาเสียเลยเพื่อให้เข้ากับ trend



หน้า B ของ single นี้เป็นเพลงที่เอามาร้องใหม่ชื่อ Brother sun, sister moon จากหนังชื่อเดียวกัน  ต้นฉบับร้องโดยนักร้องชาวอังกฤษยุค 60s ครึ่งหลังชื่อ Donovan (อยู่ในคิว)  ทั้ง 2 เพลงเพราะทั้งคู่  ดีเจบ้านเราเลยเปิดทั้ง 2 เพลงเลย



เพลงในหน้า A และ B มีข้อมูลเสริมที่ตอนนั้นนักฟังเพลงฝรั่งชาวไทยรวมถึงผมไม่รู้เรื่อง คือเริ่มแรก บริษัทต้นสังกัดต้องการ promote เพลง Brotherฯ นี้จึงจัดไว้ในหน้า A  แล้วเอาเพลง The Lordฯ ไว้หน้า B  แต่เหล่าดีเจ (เริ่มตั้งแต่ที่ Australia ต้นกำเนิดมาเลย) เห็นพ้องต้องกันว่าเพลงหน้า B  เพราะเด่นกว่ามากก็เลยรวมหัวกันเปิดแต่เพลง The Lordฯ  เหตุการณ์การตัดสินใจที่ผิดพลาดของบริษัทแผ่นเสียงนี้เกิดบ่อยมากในยุคแผ่นเสียงครองโลก

ดังนั้นนักฟังเพลงต่างชาติจึงได้ยินแต่เพลง The Lordฯ  แต่เมืองไทยห่างไกลลิขสิทธิ์เลยกำไร  ได้ยินทั้ง 2 เพลง

Sister JM มีเพลงดังเพลงเดียว (ที่อเมริกา) ซึ่งก็สมเจตนารมณ์เพราะไม่ได้ต้องการเข้าไปปนกับทางโลก  ผมชอบเพลงนี้มาก  วันหนึ่งเดินเล่นอยู่ในวังบูรพา (ตอนนั้นวังบูรพายังไม่เสื่อม)  เจอแผ่นเสียงของเธอเลยไม่รีรอที่จะควักตังค์ซื้อ  เพลงเพราะ ๆ ทั้งนั้น 













สมัยนั้น  ไม่มีใครเคยเห็นหน้าตาของแม่ชี  นอกจากคนที่ซื้อ นส.SP แต่ก็เป็นรูปขาวดำเล็ก ๆ ปรากฏในข่าว  ถ้าผมไม่ได้ซื้อแผ่นเสียงก็คงไม่ได้เห็นภาพสีของเธอ




ด้านหลังของซองในใส่แผ่นแจ้งไว้ว่าการอัดเพลงลงแผ่นด้วยระบบทันสมัย (กรุณาอ่านรายละเอียดเอาเอง) 




แต่ตอนนั้นเครื่องเล่นแผ่นเสียงของผมกระจอกงอกง่อย  เลยฟังไม่ออก  มาภายหลัง (ก็อีกหลายสิบปีต่อมา) ผมปีกกล้าขาแข็งขึ้น (หมายถึงด้านการเงิน)  มีเครื่องเสียงแบบเจ๋ง ๆ  พอเอาแผ่นนี้มาฟังแล้ว  ระบบอัดเสียงดีจริงอย่างที่ว่า  ทั้ง ๆ ที่อัดมานานแล้ว (1974)  เสียงกระหึ่มเชียวละ  ผมฟังแล้วฟังอีกจนเสียง ‘ฝนตกฟ้าร้อง’ เกือบจะดังกลบเสียงเพลงไปแล้ว 

แผ่นเสียงแผ่นนี้กลายเป็นแผ่นโปรดที่สุดแผ่นหนึ่งของผม  ผมฟังอยู่เนือง ๆ  จนกระทั่งถึงยุค CD  ก็ไม่มีใครเอาแผ่นเสียงนี้มาแปลงเป็น CD  หลัง ๆ เทคโนโลยีพัฒนาขึ้นผมก็เอาเพลงในแผ่นเสียงมาดัดแปลงเป็น file เสียงสำหรับฟังทางคอมพิวเตอร์  แล้วเก็บแผ่นฯ เข้าคลัง  แผ่น CD ของแผ่นเสียงแผ่นนี้เพิ่งมีคนนำมาแปลงออกขายเมื่อ 10 กว่าปีนี้เอง  แต่ระบบเสียงไม่ดีเท่าของเก่า  น่าเสียดาย  อย่างไรก็ตาม  เมื่อเร็ว ๆ นี้  ผมเพิ่งค้นพบว่ามีคนเอาเพลงจากแผ่นนี้มา remaster  เลยรีบ 'โหลด' เอามาฟังกับชุดเครื่องเสียงล่าสุดของผม  โอ้โฮ... เสียงใสแจ๋วเด็ดขาดไปเลย

ยังมีต่ออีก ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 378  เมื่อ 13 เม.ย. 25, 18:19

เพลงที่มีเนื้อหาอิงศาสนาที่ดังที่สุดและออกสู่ตลาดก่อนใครเพื่อนเพลงนี้ก็ร้องด้วยนักบวชเพศหญิงเช่นกัน  ผมจะนำบทความที่ผมเคยเขียนถึงในกระทู้อื่นเมื่อนานมาแล้วมาลงอีกครั้ง...

นักดูหนังฝรั่งรุ่นเก่าชาวไทยทุกคนรู้จักหนัง Singing Nun ที่แสดงโดย Debbie Reynolds  ถ้าเป็นนักดูหนังแบบเจาะลึกจะรู้ว่าหนังเรื่องนี้สร้างอิงประวัติช่วงหนึ่งของแม่ชีชาว Belgium ที่ร้องเพลง Dominique ออกกระจายเสียงไปทั่วโลกรวมถึงบ้านเราในปี 1963  เป็นเพลงฝรั่งที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษที่ผมฟังไม่ออกสักกะคำแต่ทำนองเพราะเหลือหลาย

ตอนดังในวงการเธอใช้นามแฝงว่า Sœur Sourire  แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า "Sister Smile" สำหรับในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเธอใช้ชื่อว่า Singing Nun ส่วนชื่อจริงคือ Jeannine Deckers  สำหรับบางคนรู้จักชื่อ Sister Luc Gabriel นั่นเป็นชื่อทางศาสนาของเธอ

ชีวิตของเธอเศร้ามาก  ขี้เกียจเล่าเพราะมีให้อ่านทั่วไปใน อตน.  เอาเป็นว่าเธอเป็น lesbian  ในภายหลังได้สละคราบนักบวชแล้วออกไปอยู่กินกับคู่ของตน  ท้ายที่สุดเธอก็ฆ่าตัวตายพร้อมกับคู่ของเธอ


เนื้อหาของเพลง (จากฝีมือการแต่งของเธอเอง) เกี่ยวกับ นักบุญชาวสเปนชื่อ Dominic ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง Dominican Order


เพลงนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของนิยามว่า One hit wonder  แผ่น single นี้ติดอันดับ 1 ในตาราง billboard นานถึง 4 สัปดาห์  ส่วนแผ่น album ดังกว่านั้นอีกโดยติดอันดับ 1 นานถึง 10 สัปดาห์  ตัว sister ในฐานะผู้แต่งเนื้อและทำนองก็ได้รับรางวัล Grammy ด้วย







สำหรับหนังเรื่อง Singing Nun นั้นก็มาฉายในบ้านเรา  ผมไม่ได้ไปดูหรอก  ตอนนั้นกำลังฝึกพูด/ฟังภาษาคนอยู่  หนังเรื่องนี้มีเพลงประกอบที่เพราะมาก  มีที่พาดพิงถึงผลงานของเจ้าของเรื่อง  รู้สึกจะ 2 เพลง คือ Dominique กับ Sister Adele  ซึ่งใช้ภาษาอังกฤษแทนภาษาต้นฉบับ  ถึงจะพลาดหนังแต่ได้ยินเพลงทุกเพลงในหนังเป็นประจำทางรายการ golden oldies  ดีเจท่านเปิดทีทั้งแผ่นเลย



(พิธีกรชายใน clip คือ Ed Sullivan (1901 – 1974) พิธีกรตัวจริงที่ดังสุด ๆ จากรายการ The Ed Sullivan Show ที่ออกอากาศตั้งแต่ปี 1948 ถึง 1971 ... It set a record as the longest-running variety show in U.S. broadcast history. "It was, by almost any measure, the last great American TV show", said television critic David Hinckley. "It's one of our fondest, dearest pop culture memories.")














มีต่อ ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 379  เมื่อ 14 เม.ย. 25, 18:11

เปลี่ยนบรรยากาศกันหน่อย...

จะ yesterday once more เรื่องอะไรดีหนอ  เอาเรื่องนี้แล้วกัน  

Cass Elliot คือสมาชิกคนหนึ่งของวง Folk rock ที่ดังสุดขีดในครึ่งหลังของยุค 60s ชื่อ The Mamas & the Papas  วงนี้อยู่ในวงการเพียงช่วงสั้น ๆ ก่อนจะแตกสลาย (1965 – 1968)  แม้วงจะมีผลงาน album มาแค่ 5 ชุดแต่ดังหมดทุกชุด  ความเด่นของแนวเพลงของวงนี้ที่ไม่เหมือนใครในยุคนั้นทำให้ได้รับเลือกเข้า Rock and Roll Hall of Fame อันเป็นเกียรติสูงสุดของวงการเพลงของอเมริกา  ในขณะที่วงการเพลงของอเมริกาคือวงการเพลงโลก  สถานะภาพของวงนี้จึงเป็นอันดับ 1 วงหนึ่งของโลก  ผมเคยนำเสนอเพลงเด่น ๆ ของวงนี้ที่วิทยุบ้านเราเคยเปิดไปหมดแล้วในกระทู้นักร้องตาย  คือสมาชิกจาก 4 ตายไปแล้ว 3 หนึ่งในนั้นคือ Cass Elliot หรือ Mama Cass  เธอตายเป็นคนแรก

หลังจากวงแตก MC ก็ออกมาเป็นศิลปินเดี่ยว  แต่เธอไม่มีผลงานดัง  วิทยุบ้านเราเคยเปิดเพลงของเธอ 2-3 เพลง





เพลงนี้ดังที่สุดในบ้านเรา



ผมน่ะรู้จัก MC มาตั้งแต่ยังไม่เคยได้ยินเพลงของเธอ  ที่รู้จักก็จากรูปลักษณ์อันตุ้ยนุ้ยของเธอ  ที่ปรากฏให้เห็นตามสิ่งพิมพ์  

MC ตายในปี 1974  ข่าวการตายของเธอดังมาถึงเมืองไทย  ตอนนั้น อตน. ยังไม่เกิด  มีแต่สิ่งตีพิมพ์  กับข่าวต่างประเทศทางทีวี  ผมรู้เรื่องจากการบอกเล่าของพี่ๆ  ที่ได้ยินมาจากคลื่นวิทยุอีกที  วิทยุบอกว่าเธอตายจากการสำลักแซนวิช  ผมได้ยินแล้วอดนึกถึงรูปร่างของเธอไม่ได้  สาเหตุการตายของ MC ที่ว่านี้ฝังอยู่ในหัว (กลวง ๆ) ของผมมาตลอดจนกระทั่งถึงยุค อตน.  ตอนนั้นไม่คิดจะค้นหาความจริงหรอก  เพราะ ‘ปิดคดี’ สำหรับผมไปแล้ว  กว่าจะมารู้ความจริงก็อีกนานจากการบังเอิญไปอ่านข่าวใน อตน. ว่านั่นเป็นเรื่องไม่จริง

‘…Elliot did not die from choking on a ham sandwich, as has been alleged. She died in her sleep at age 32. Her body was discovered by a close friend of hers who went to check on her. According to Keith Simpson, who conducted her autopsy, she died of a heart attack, and there were no drugs in her system…’

ส่วนสาเหตุลม ๆ แล้ง ๆ นั้นก็มีที่มาที่ไป  ไม่ใช่ไฟลามทุ่ง

Elliot did not die from choking on a ham sandwich, as has been alleged. According to Lindsay Zoladz in The New York Times in 2024, this "cartoonish rumor cast a tawdry light over Elliot’s legacy and still threatens to overshadow her mighty, underappreciated talent.”

In 2020, a journalist and friend of Elliot's, Sue Cameron, publicly admitted that she promulgated the false ham sandwich story by writing it into Elliot's obituary for The Hollywood Reporter. She claimed she was asked to print the lie by Elliot's manager Allan Carr, who decided that the humiliating falsehood was preferable to any implication that Elliot's death was associated with substance abuse.

และข่าวนี้ก็ลอยมาถึงเมืองไทย  พวกเรารวมถึงผมก็เชื่อกันเป็นตุเป็นตะ




ควันหลงนิด...

ใน clip เพลง Make your own kind of music   พิธีกรผิวดำชื่อ Sammy Davis Jr. เธอเป็น ที่เค้านิยามว่า entertainer  คือมีความสามารถทุกทางในด้านการบันเทิง  เธอเป็นหนึ่งในกลุ่ม 'อิทธิพล' ของยุค 60s ชื่อว่า Rat Pack  อันประกอบด้วยตัวหลักคือ Frank Sinatra, Dean Martin, Sammy Davis Jr., Joey Bishop, และ Peter Lawford   ว่าด้วยเรื่องเพลง  เธอร้องเพลงมากมายมาตั้งแต่ยุค 50s  แต่มาดังระเบิดเถิดเทิงในยุคผมด้วยเพลงนี้



บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 380  เมื่อ 15 เม.ย. 25, 18:13

ย้อนไปที่ละครเพลงเรื่อง Chess (กลางยุค 80s) ที่ Murray Head ร้องเพลง One night in Bangkok ที่ลง MV ให้ชมไปแล้ว  ใน album ชุดนี้ยังปล่อย single อีกเพลงชื่อ I know him so well ร้องโดย Elaine Paige กับ Barbara Dickson  เพลงนี้ดังกระหึ่มที่อังกฤษและดังปานกลางในบ้านเรา  มันไม่ข้ามไปที่อเมริกา



ในปลายยุค 80s มีศิลปินนำเพลงนี้มาร้องใหม่คือ Whitney Houston (ลงผลงานของเธอไปแล้วในกระทู้ก่อน  คือเธอตายไปแล้ว) กับ Cissy แม่ของเธอซึ่งเป็นนักร้องเพลง gospel  วิทยุบ้านเราเปิดเพลงฉบับนี้บ่อยกว่าต้นฉบับ  ผมว่าเกิดจากอิทธิพลความดังของ WH  เพราะส่วนตัวผม  ผมว่าต้นฉบับเพราะกว่ามาก

(ไม่เน้น  ก็เลยนำฉบับแสดงสดซึ่งยิ่งด้อยลงไปอีกมาให้ดู)


ว่าถึงนักร้องจากอังกฤษ 2 คนนี้  คนแรก EP ตอนนั้นรู้จักแต่ชื่อของเธอ  แค่ชื่อไม่เคยเห็นหน้า  เมื่อมีข้อมูลมากขึ้นถึงรู้ว่าเธอดังมากในฐานะนักแสดงบนละครเวที  และรู้เพิ่มขึ้นว่าเธอคือเสียงต้นฉบับของเพลง Memory ในละครเรื่อง Cats (ต้นยุค 80s) ซึ่งเธอเล่นเป็นตัวละครที่ร้องเพลงนี้ก่อนที่ใคร ๆ เช่น Barry Manilow หรือ Barbra Streisand จะนำมาร้องใหม่อย่างที่ผมได้นำเสนอไปนานแล้ว



ส่วนชื่อ BD นี้  ผมรู้จักมาก่อน  ในกลางยุค 70s วิทยุบ้านเราเคยเอาเพลงหนึ่งของเธอมาออกอากาศให้บ้านเราฟัง

(ตอนหาเพลงนี้มาลง  นี่เป็นอีกเพลงที่นักร้องคนเดิมไปเอามาร้องซ้ำ  กลายเป็นฉบับต่าง ๆ ที่มีส่วนปลีกย่อยต่างกันไป  ต้องไล่หาไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเจอฉบับที่เคยได้ยินทางวิทยุในตอนนั้น  ผมเป็นเลิศเรื่องจำสิ่งปลีกย่อยในเพลง (ที่ชอบหรือได้ฟังบ่อย)  ตรงไหนผิดคีย์ไปนิดก็รู้แล้วว่า  นี่ไม่ใช่ฉบับที่ต้องการ  (อย่างเพลงของ Patti Page นี่โอ้โฮ... ทั้งนั้นเลย  เธอเอามาร้องใหม่หลายครั้งมาก  แต่ละเพลงใช้เวลาหากันโลด) แต่ถ้าให้จำเรื่องตำราเรียนนะ ‘เหมือนตอ’)

อีกไม่นาน  เพลงของเธอก็แพลมออกจากลำโพงมาอีก 1 เพลง  มันเป็นเพลงจากละครเพลงชื่อ  Evita



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 381  เมื่อ 16 เม.ย. 25, 18:10

ละครเพลงเรื่อง Chess เกิดขึ้นในยุค 80s เป็นการทำงานร่วมกันของหลายผู้มีชื่อเสียงของวงการบันเทิง  หนึ่งในนั้นคือสมาชิกวง ABBA  คือ Benny Andersson and Björn Ulvaeus 

มาพูดถึงวง ABBA  ผลงานของวงนี้โด่งดังในยุค 70s  นักฟังเพลงฝรั่งบ้านเราในยุคนั้นไม่มีใครไม่รู้จักเพลงของพวกเขา  สำหรับผมนั้นได้ยินทุก single ของวงเลยละ  เพลงดังของพวกเขาในบ้านเรามีเป็นกะตั๊ก  เดี๋ยวก็มา ๆ  ผมจะไม่พล่ามเรื่องที่ใคร ๆ ก็รู้  แต่จะเจาะเน้นเป็นบางเพลง เป็นต้นว่ากำเนิดของวงเชื้อชาติ Sweden นี้เกิดขึ้นจากการชนะเลิศการประกวด Eurovision Song Contest ในปี 1974 ด้วยเพลงนี้



เพลง Waterloo เป็นใบเบิกทางนำชื่อเสียงและความสำเร็จของวงไปทั่วโลก  โดยเฉพาะฐานทัพเพลงฝรั่งระดับสากลคืออเมริกา  หลังจากเพลงนี้วงก็ส่งเพลงอื่น ๆ ตามไปตอกย้ำความสำเร็จ  จากข้อมูลที่ผมมีในตอนนั้น  ผลงานของวงได้รับความสำเร็จที่อังกฤษมากที่สุด

นักฟังเพลงฝรั่งชาวไทยรวมทั้งผมจะรู้จักเพลงอื่น ๆ ที่ออกมาหลังจากเพลง Waterloo นี้  จนกระทั่งวันหนึ่งผมออกไปสำรวจตลาดแผ่นเสียงที่ห้างเซ็นทรัลชิดลม  ได้เห็นแผ่นเสียงของ ABBA เป็นแผ่นรวมเพลง  ตอนนั้นผมเฉย ๆ กับเพลงของพวกเขา  เพราะได้ฟังทุกวันจนเลี่ยน  แต่ทว่า package สวยมาก  ทำให้อดใจซื้อไม่ได้ 






ซื้อแล้วก็ต้องเอามาเปิดฟัง  ก่อนฟังก็ต้องดูรายชื่อเพลงก่อน  พบว่าการเรียงเพลงในแผ่นไล่ไปตามเวลาที่แต่ละเพลงออกสู่ตลาดก่อนหลัง  ผมพบว่าเพลงก่อนหน้าเพลง Waterloo นั้นล้วนเป็นเพลงที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน  เพลงเหล่านี้คงเป็นเพลงยุคแรก ๆ ที่ดังอยู่แถวบ้านของพวกเขา พวกมันมาไม่ถึงบ้านเรา  ลองฟังดู  ผมว่าเพราะ ๆ ทั้งนั้น









และเพลงที่มันมากถ้าฟังจากเครื่องเสียงดี ๆ



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 382  เมื่อ 17 เม.ย. 25, 18:02

หลังจากเปิดตัวในวงกว้างด้วยเพลง Waterloo  วง ABBA เริ่มต้นขบวนการเพลงดังอื่น ๆ  เพลงต่อมาชุดแรก ๆ ยังไม่ดังมาก  แต่ดีเจบ้านเราที่เริ่มจับตาวงนี้ก็เริ่มเปิดเพลงของพวกเขา







ต่อจากเพลงนี้ก็เป็นเพลงดังกระหน่ำในบ้านเรา  ดังขนาดที่ว่ามีรายการวิทยุรายการหนึ่งตั้งชื่อรายการว่า รายการ S.O.S. เพลงนำรายการก็คือท่อน intro เพลง เจ้าของรายการบอกว่าชื่อเต็ม ๆ คือ Song of Society  ใครจำได้บ้าง



ต่อจากเพลงนี้ก็ Mamma Mia แล้วก็ Fernando  ซึ่งผมว่าเป็นอีกเพลงที่เพราะมาก



ความสำเร็จของวงมาถึงจุดสูงสุดที่ Dancing Queen เพลงขึ้นถึงอันดับ 1 billboard และคว้าแผ่นเสียงทองคำเป็นแผ่นแรก  บ้านเราเปิดทุกวัน  เพลงต่อไป drop ลงมาหน่อย





จากนั้นความนิยมก็กลับขึ้นมาใหม่กับ Knowing me knowing you, The name of the game (วัดจากความทรงจำเรื่องความถี่ที่วิทยุเปิดให้ฟัง) วงคว้าแผ่นเสียงทองคำเป็นแผ่นที่ 2 กับเพลงนี้  ไม่มีใครไม่เคยได้ยิน



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 383  เมื่อ 18 เม.ย. 25, 18:28

เริ่มเข้ายุค disco ที่ตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่ากระแสจะยืดยาวไปขนาดไหน  ขณะระดมหัวหาทางรับมือ  วง ABBA  ส่งเพลงออกมาเพื่อเตือนว่าวงยังไม่โดนกลืนหายไปกับกระแส disco  ท่ามกลางเพลงเหล่านี้มี 3 เพลงที่ผมว่าเพราะมาก







ผมคิดว่ามติของวงยืนกรานว่าจะไม่เปลี่ยนแนวให้คล้อยตามกระแส disco  วงส่งเพลงต้านกระแสฯ เพลงนี้ออกมาในแนว rock หนัก ๆ แต่เพราะทีเดียว  มันไม่ดังมาก (ทั้ง 2 ฝั่งฟ้า)  แต่ดังที่สุดในช่วงนั้น

(ตอนได้ยินครั้งแรก  ผมจำได้ว่า  ร้องในใจว่า เฮ้ย... นี่ไม่ใช่แนวของ ABBA นี่หว่า)


โชคดีที่กระแส disco คือคลื่นกระทบฝั่ง  พอกระแสจางหายเพลงนี้ของวงก็ผงาดเข้า top 10 เป็นเพลงที่ 3



ต่อจากเพลงนี้กระแสความนิยมในผลงานของวง ABBA เริ่มแผ่วลง  2 เพลงนี้เปิดน้อยมากทางวิทยุบ้านเรา  ผมว่าเป็น 2 เพลงสุดท้ายที่ได้ยินทางวิทยุ





จากประสบการณ์  ครั้งที่ได้ฟังเพลงของวง ABBA ทางวิทยุ  ผมว่าเสียงอัดแน่นอยู่ในลำโพง (กระจิ๋ว ๆ)  เป็น ‘ก้อน’ เลย  พอได้ฟังจากแผ่นเสียงที่เล่นกับเครื่องเสียงมีคุณภาพ  ถึงรู้ว่าเสียงที่อัดแน่นนั้นมาจากเครื่องดนตรีทั้งนั้น  แต่ละเพลงมีเครื่องดนตรีประกอบเยอะชิ้น  เมื่อมีลำโพง  เสียงจากเครื่องดนตรีประเภทต่าง ๆ ก็กระจายออกไปอยู่ตามตำแหน่งของมันระหว่างลำโพงซ้ายและขวากลายเป็นความอลังการของแต่ละเพลงที่ผลิตออกมาอย่างพิถีพิถัน (ยกตัวอย่างที่เพลง Chiquitita  อลังการงานสร้าง  ฟังแล้วต้องฟังซ้ำ) ถ้าฟังจาก มือถือหรืออุปกรณ์แบบ iPad, PC ฯลฯ  จะไม่มีทางได้อรรถรสแบบที่ว่า  เป็นที่น่าเสียดาย
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 384  เมื่อ 19 เม.ย. 25, 18:22

ย้อนกลับไปถึงละครเวทีจากอังกฤษในยุค ‘ของผม’ ที่ดังจนมาเข้าหูผมทั้งทางบทความจากหนังสือ Starpics และลำโพงวิทยุที่เสนอเพลงในละครนั้น ๆ  ที่เอ่ยไปแล้วคือ Jesus Christ Superstar, Cats, Chess  ยังเหลืออีกเรื่องคือ Evita ที่ออกตลาดในกลางยุค 70s วิทยุบ้านเราเอาเพลงเอกจาก album ชุดนี้มาเปิดให้ฟัง 2 เพลง

เพลงแรกเป็นเสียงร้องของ Barbara Dickson ที่เสนอไปเมื่อเร็ว ๆ นี้  ฟังอีกที



อีกเพลงเป็นเพลงเอกร้องโดย Julie Covington หนังสือ Starpics บอกว่าเป็นเพลงที่ขายได้ดีที่สุด (ในอังกฤษ) ผมอ่านแล้วก็อยากฟังเป็นนักเป็นหนา  



แต่คาดว่ามันไม่ดังในบ้านเรา  คงมีดีเจนำมาเปิดแต่ผมจำไม่ได้  มาเคยได้ยิน (จนเบื่อ) ในปลาย 90s  จากเสียงของ Madonna  เธอร้องเพลงนี้ในหนังที่เล่น  หนังมาฉายในบ้านเรา  ผมไม่ได้ไปดู  MV ชุดนี้เห็นประจำทางทีวี



รวมถึงเพลงนี้ที่ต้นฉบับเป็นของ Barbara Dickson ที่เพิ่งเปิดให้ฟังไป  เพราะไม่แพ้ต้นฉบับ



ยุคทองของ Madonna เริ่มมาตั้งแต่แรกเลย  ตอนนั้นผีเพลงยังสิงผมอยู่แต่กำลังอ่อนแรงลงแล้ว  อย่างไรก็ตามผมยังได้ยินเพลงดังของเธอทุกเพลง  ความจริงผมเฉย ๆ กับเพลงของเธอ  แต่เป็นเพลงของเธอต่างหากที่ไล่ตามผม (หมายถึงทุกรายการเพลงฝรั่งพร้อมใจกันเปิดเพลงของเธอ  จึงจำต้องฟัง (มากบ้างน้อยบ้าง) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้)



แล้วค่อยมา ‘เพลงชาติ’ ของเธอซึ่งออกอากาศทั้งทางวิทยุและทีวี  ในตอนนั้น  บ้านเราเริ่มมีบางรายการเอา MV ของนักร้องมาเปิดบ้างแล้ว นำขบวนโดยรายการ Nite Spots  แล้วก็รายการของคุณมาโนช น้องคุณดำรง พุฒตาล  ชื่อรายการอะไรหนอ Music Train รึเปล่า



แล้วมาเพลงนี้ที่ดังน้อยกว่านิดเดียว (อันดับ 2)  แต่ผมชอบมากกว่า

(MV เพลงนี้เลียนแบบฉากหนึ่งในหนังดัง Gentlemen prefers blondes (1953)  คนที่เธอเลียนแบบคือ Marilyn Monroe)


เพลงนี้อยู่ในหนังเรื่อง Vision Quest



ดารานำชายคือ Matthew Modine  เธอดังมาก ๆ ในยุคแรกจากหนังเรื่อง Birdy  ผมดูแล้วติดใจแม้หนังจะเครียดมาก  น่าเสียดายที่โอกาสไม่ดีหรือเธอเลือกบทไม่เก่งก็ไม่รู้  เธอไม่มีบทนำในหนังดัง ๆ อีกเลย  เพื่อนร่วมการแสดง Nicolas Cage นำโลดทิ้งไปไม่เห็นฝุ่น



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 385  เมื่อ 20 เม.ย. 25, 18:06

เพลงของ Madonna ออกมาอย่างสม่ำเสมอ  ก็มีบ้างที่บางเพลงดังระดับปานกลาง  วิทยุบ้านเราเปิดแต่ไม่บ่อย  จนกระทั่งถึงคิวเพลงนี้  ทุกคลื่นก็กลับมาพร้อมใจกันเปิดให้ฟัง

(soundtrack ในหนังเรื่อง At close range  จำไม่ได้ว่ามาฉายบ้านเรารึเปล่า)


เพลงนี้แหละที่ทำให้ผมอดควักตังค์ซื้อ album ของเธอมาฟังไม่ได้  album ดังสุดกู่  ปกสวยมาก  คลอด single ออกมาตั้ง 5 เพลง  ทุกเพลงติด top 5  วิทยุบ้านเรากระหน่ำเปิด  เพลงโน้นเพลงนี้  ฟังกันหูอื้อ







และเพลงที่ 5






มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 386  เมื่อ 21 เม.ย. 25, 18:47

ถ้าจะเสนอเพลงดังของ Madonna ทุกเพลงละก็  เบื่อตายชักเพราะทุกเพลงที่ออกมาอยู่ในข่ายดังทั้งหมด  และเธอก็ขยันออกเพลงด้วย  เอาเป็นว่าหลังจากที่ดังสุดขีดแล้ว  ทุกเพลงของเธอติดลมบน  ที่เด่นสำหรับผมคือ



เพลงนี้นำมาใช้เป็น spot โฆษณาด้วย



บ้านเราก็ออกอากาศโฆษณาชิ้นนี้  แต่แป๊บเดียวก็หายไป  ตอนนั้นผมไม่ได้สังเกตหรอก  มารู้เรื่องตอนอ่านบทความในหนังสือ Starpics  ว่ามีการโดนเซ็นเซอร์  ด้วยเหตุผลอะไรก็จำไม่ได้แล้ว  ผมเพิ่งมารื้อฟื้นเอาในยุค อตน.  บางฉากใน MV เพลงนี้ของเธอเป็นการดูหมิ่นศาสนา  ทาง Vatican และ กลุ่ม Christian อื่น ๆ เลยประท้วงและลามมาถึงให้ boycott สินค้าในเครือของ Pepsi ทั้งหมด (Spot โฆษณา และ MV ออกอากาศในเวลาไล่เลี่ยกัน  ห่างกัน 1 วัน)

Madonna รำลึกถึงเรื่องนี้ในปี 2023 ว่า "34 years ago I made a commercial with Pepsi to celebrate the release of my song. The commercial was immediately canceled when I refused to change any scenes in the video (ของเธอ) where I was kissing a black saint or burning crosses…”

รู้เพิ่มเติมจาก Wikiฯ  ว่าทั้ง Spot โฆษณาและ MV ของเธอโดนห้ามออกอากาศไม่เฉพาะที่อเมริกา  ยังที่อิตาลีด้วย  แต่ช่อง MTV (ที่อเมริกา) ไม่สนใจกลับกระหน่ำเปิดเหมือนท้าทาย  สงครามเรื่องนี้  ใน Wikiฯ  ยังมีให้อ่านอีกยืดยาว


ในปี 1990 Madonna ร่วมเล่นหนังเรื่อง Dick Tracy  เธอนำเพลงในหนังมาทำ album ส่วนตัว  2 เพลงนี้ก็ดังในบ้านเรา





ตัวอย่างหนัง



ผมว่าเพลงนี้เป็นเพลงดังที่สุดในบ้านเราเพลงสุดท้ายของเธอนะ


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 387  เมื่อ 22 เม.ย. 25, 18:18

ในช่วงเวลาเดียวกับที่ Madonna กำลังดังสุดขีด  ก็มีนักร้องหญิงอีก 2 คนส่งผลงานเข้ามาร่วมแบ่งความยอดนิยม  คนแรกคือ Whitney Houston  ผลงานของเธอมาทีหลังเล็กน้อย  ผมชอบเพลงของเธอมากกว่า  และลงผลงานที่ผมชอบไปแล้วในกระทู้ก่อนของ อ. เทาชมพู 

https://www.reurnthai.com/index.php?topic=5361.msg183072;topicseen#msg183072
(ความคิดเห็นที่ 696)


ส่วนนี่คือคนที่ 2


MV ของ Cyndi Lauper ชุดนี้เห็นบ่อยมาก  ทางทีวี  มันดูสนุกและเพลงก็เพราะ (The music video officially crossed one billion views on YouTube in January 2022)  ผมชอบมากกว่าเพลงของ Madonna  ส่วนทางวิทยุต่างก็กระหน่ำเปิดเพลงนี้
 
เพลงเปิดตัวของ CL ดังสุด ๆ แม้จะขึ้นไม่ถึงอันดับ 1  (โคตรจะ) น่าแปลกใจ  อย่างไรก็ตามมันคว้าแผ่นเสียงทองคำขาวมาได้หลายรอบ  ความดังของเพลงกลบเพลงอื่น ๆ ที่ออกต่อ ๆ มา  แม้กระทั่งเพลงอันดับ 1 (เพลงที่ 1) นี้

(MV ชุดนี้ก็สนุก  ส่วนใหญ่หน้าเดิมล้วนเป็นคนใกล้ชิดกับตัวเธอเอง)



(หน้าตา album เปิดตัวของ CL  สีสันสดใส  ผมไม่ได้ซื้อ)


ในปีต่อมามีหนังผจญภัยสำหรับเด็กออกฉายชื่อ The Goonies  หนังมาฉายในโรงเครือสยาม  หนังดูสนุกมาก  ผมดู 3 รอบโดยไม่รู้สึกเบื่อ  จำได้ว่าวันที่ไปดูรอบที่ 3 ฝนตกกระหน่ำ  น้ำท่วมสยามสแควร์  น้ำไหลเข้ามาภายในโรง  คนที่นั่งดูอยู่แถวหน้าสุดต้องอพยพย้ายขึ้นมานั่งดูบนบันไดกลางโรง  เสียงฟ้าร้องดังสนั่นเข้ามาถึงในโรง  เป็นที่ครื้นเครงมาก



แค่ฉากเปิดเรื่องก็สนุกแล้ว



CL ร้องเพลงเอกให้กับหนัง  เพลงนี้เข้ามาดังในบ้านเราทางวิทยุก่อนที่ตัวหนังจะเข้ามาฉายด้วยซ้ำ  ในหนังมีเพลงให้ฟังจิ๊ดเดียว



ส่วน MV นี่ได้เห็นทางรายการหนึ่งในทีวี



ปีต่อมา CL ออก album อีก 1 ชุดที่มีความดังไม่แพ้ชุดแรก  เพลงแรกอันดับ 1 แผ่นเสียงทองคำขาวนี่  วิทยุเปิดไม่บ่อยแต่ความเพราะจูงผมให้ออกไปหาซื้อแผ่นเสียงนี้







(หน้าปก album  เพลงนี้เป็นฉบับนำมาร้องใหม่  ต้นฉบับเป็นของ black girl group ชื่อ The Dixie Cups  ดังในบ้านเราในยุค golden oldies (ความคิดเห็นที่ 194))


นอกจากเพลงแรกแล้ว  เพลงอื่น ๆ ไม่น่าดึงดูดใจเท่า album แรก  ตอนนั้นเป็นช่วงปลายยุคที่ผมติดตามเพลงผมก็เลยเลิกตามเพลงของเธอ  โจบ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 388  เมื่อ 23 เม.ย. 25, 18:11

เกือบลืมว่าผมกำลังทำยำเละ  ที่จบไปนั่นเป็นจานย่อยจานที่หนึ่ง  ก่อนจะต่อจานที่สอง  เปลี่้ยนบรรยากาศกันหน่อย

ผมสังเกตได้ว่าในยุค ‘golden oldies’ นี่มีนักร้องหนุ่มขวัญใจสาว ๆ (Teenage Idol) เยอะแยะ  ดังมากบ้างน้อยบ้าง  พอถึงยุค late 60s  กลับหาไม่เจอเลย  แต่ปรากฏการณ์นี้กลับมาใหม่ในยุค 70s

Jimmy Clanton เป็นอีกหนึ่งนักร้องหนุ่มน้อยขวัญใจสาว ๆ ร่วมรุ่นกับคนอื่น ๆ ในยุค golden oldies  ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่  น่าจะเหลือเป็นคนสุดท้ายนะ  ก่อนหน้านี้ที่เพิ่งจากไปคือ Teenage Idol ระดับบิ๊กของบ้างเรา  Johnny Tillotson  

รายการ GO นิยมเปิด 3 เพลงนี้ของเธอ  เพลงแรกดังทั้งที่บ้านเขาและบ้านเรา  เพลงที่ 2 แป้กที่บ้านเขา  แต่ดังสนั่นในบ้านเรา  ดังกว่าเพลงแรกเสียอีก  ส่วนเพลงที่ 3 ไม่เข้าอันดับ billboard  แต่อยู่ในอันดับต้น ๆ ในบ้านเรา  ผมว่านักฟังเพลงฝรั่งร่วมยุคจำชื่อเธอไม่ได้หรอก  ต้องฟังเพลงก่อนแล้วถึง ‘อ๋อ’







อีกหนึ่งเพลงดังมาก ๆ ของเธอ  แต่ผมจำไม่ได้ว่าเคยได้ยินจากวิทยุใน ‘ตอนนั้น’



ต่อยอดจากแผ่น CD รวมเพลงของเธอ

(เธอร้องคู่กับ Mary Ann Mobley  ซึ่งเป็น Miss America ในปี 1959)











เพิ่งเจอเนี่ย  ว่า JC มาบ้านเราด้วย  ตอกย้ำความทรงจำของผมว่าในยุค 'นั้น'  เพลง Come Back ของ JC ดังสนั่นในบ้านเรา  ถึงขนาดเอาชื่อเพลงไปใช้เป็นชื่อ Concert



บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 389  เมื่อ 24 เม.ย. 25, 18:10

สืบเนื่องจากเพลง Your precious love ที่ Yvonne Elliman ร้องคู่กับนักร้อง Stephen Bishop อันเป็น soundtrack ในหนังเพลงเรื่อง Roadie ที่ออกฉายในต้น 80s  ตัวหนังไม่มา  มาแต่เพลง (2 เพลง)   ฟังอีกที



SB เป็นนักร้องระดับเล็ก  เธอเป็นนักแต่งเพลงด้วย  ผมแอบดูข้อมูล  เธอน่าจะก้าวหน้าทางการแต่งเพลงมากกว่า

เพลงจากเสียงร้องของเธอผ่านหูพวกเรานักฟังเพลงฝรั่งในยุคนั้นอยู่หลายเพลงทีเดียว  แต่น่าจะมีน้อยคนที่จำชื่อเธอได้  เพลงแรกของเธอในฐานะนักร้องคือเพลงนี้



เพลงที่ 2 นี่สร้างชื่อเสียงให้กับเธอแล้ว  บ้านเราเปิดบ่อยทีเดียว  พี่สะใภ้ผมชอบมาก



ในปี 1981 หนังชื่อ Arthur เข้ามาฉายในบ้านเรา  หนังเรื่องนี้มี soundtrack เพราะสุดห้ามใจ 3 เพลง  เพลงแรกคือ Fool me again ร้องโดย Nicolette Larson

ผมนำเสนอผลงานของเธอไปแล้วในกระทู้นักร้องตายของ อ.เทาชมพู
https://www.reurnthai.com/index.php?topic=7342.msg184497;topicseen#msg184497
(ความคิดเห็นที่ 85, 86 และ 88)


Soundtrack เพลงต่อมาคือเพลงนี้ที่ร้องโดย SB  ผมเข้าใจมานานว่าเพลงนี้เป็น single  เพราะวิทยุเปิดบ่อยมาก  มากกว่าเพลงเอกเสียอีก (พรุ่งนี้)   เพิ่งมารู้เมื่อมีหนังสือของ Joel Whitburn ว่ามันไม่ใช่ single 



SB มาดังลั่นในบ้านเราในปีต่อมาคือ 1982 กับเพลงนี้อันเป็น soundtrack ในหนังเรื่อง Tootsie

เพราะหนังดังมากพลอยให้ดีเจเอาเพลงนี้มาเปิดให้ฟังเสียบ่อย  ไม่มั่นใจว่าคำว่า ‘ตุ๊ด’ มีต้นกำเนิดมาจากชื่อหนังเรื่องนี้รึเปล่า


ต่อมาในปี 1985  SB นำเพลงมาเปิดให้ผมได้ยินอีกเป็นครั้งสุดท้าย  เพลงนี้เธอไม่ได้ร้องเอง  แต่เป็นผู้แต่งเนื้อ  อยู่ในหนังชื่อ White nights  ที่เข้ามาฉายในโรงฮอลลีวู้ด  เพลงครองหน้าปัดวิทยุอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง



ปิดเรื่องของ SB ด้วย single ที่ไม่ดังเอาเลย  แต่ดีเจบ้านเราใจดีเปิดให้ฟัง



ต่อพรุ่งนี้...
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 24 25 [26] 27 28 29
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.149 วินาที กับ 19 คำสั่ง