เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 26 27 [28] 29
  พิมพ์  
อ่าน: 61500 Yesterday Once More...
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 405  เมื่อ 10 พ.ค. 25, 19:07

นึกออกแล้ว...  เมื่อวานจบที่เพลง disco  ต่อเรื่องนี้ไปเลยดีกว่า

กาลครั้งหนึ่งผมได้ดูสารคดีถ่ายทำในปี 2023 เรื่อง Disco – Soundtrack of a revolution  แน่นอนว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับเพลง Disco ดูแล้วคิดถึงความหลัง  และดีใจที่ตัวเองได้มีประสบการณ์ร่วมในประวัติศาสตร์โลกสาขาหนึ่ง

อย่างที่เคยบอกว่ากระทู้นี้นำเสนอแต่เพลงเป็นหลัก  ไม่ใช่ทำรายงานส่ง  แต่กับเรื่อง Disco นี้จะขอเกริ่นสักนิดถึงความเป็นมา (ก็จำมาจากสารคดีที่ดูนั่นแหละ) เอาแบบคร่าว ๆ

ในสารคดีเล่าว่า  Disco เริ่มอุบัติขึ้นในปี 1970  เกย์คลับเป็นคลับประเภทแรกที่เล่นเพลง disco คลับพวกนี้ดำเนินงานโดยคนผิวดำ  ล้วนผิดกฎหมาย  กิจการดำเนินได้ด้วยอำนาจเงินใต้โต๊ะ สถานที่นั้นอยู่ในแหล่งที่เรียกว่า underground ใจกลาง New York
 
เริ่มแรกยังไม่มีคำว่า disco คำที่ใช้เรียกเพลงเหล่านี้คือ danceable R&B  คำว่า R&B คือ rhythm & blues เป็นเพลงของคนดำ ซึ่งแน่นอนว่าลูกค้าเกือบ 100% เป็นคนผิวดำ  ความเป็นคลับผิดกฎหมายแสดงว่าเหมาะแก่คนที่มีพื้นเพหมิ่นต่อกฎหมาย  คนเหล่านี้นอกจากเป็นพวกผิวดำแล้ว ยังมีพวกรักร่วมเพศทั้ง ชาย-ชาย และ หญิง-หญิง หรือพวก drag queen

ในตอนนั้นคลับทั่วไปไม่มีการ ‘ดิ้น’ มีแต่เต้นรำตามจังหวะ ballroom  ดังนั้นใครอื่น นอกเหนือจากที่กล่าว ที่อยากปลดแอกออกจากสิ่งเดิม ๆ จึงมุ่งหน้าไปยังคลับที่ว่า

ต่อมานักเขียนคอลัมน์ในนิตยสาร rolling stone คนหนึ่งคิดคำว่า discotheque ขึ้นเพื่อเรียกสถานที่เต้นรำประเภทนี้  เพลงที่ใช้เปิดเพื่อเต้นรำก็เลยเรียกว่า disco  จังหวะของเพลงที่ติดหูกระจายออกจากปากต่อปาก  ไปยังชนชั้นสูงในสาขาต่าง ๆ เช่นเหล่านางแบบชั้นนำ  นักธุรกิจ ฯลฯ ต่างก็มาที่เกย์คลับตามคำชักชวนของผู้กระจายเสียงเช่นเหล่านักออกแบบเสื้อผ้า ช่างทำผม ช่างแต่งหน้าที่ล้วนเป็นเกย์และเป็นสมาชิกขาประจำ 

พอได้ข่าวว่าคนสวย ๆ ไปรวมตัวกันอยู่ที่นั่น  เหล่าชายแท้ที่อยากสัมผัสคนสวยก็เลยไปออกันที่เกย์คลับ  จากหนึ่งไปเป็นสอง  หลังจากนั้นทุกคนทุกเชื้อชาติทุกอาชีพทุกสีผิวทุกเพศและข้ามเพศจึงไปรวมกันอยู่ที่นั่น  มันจึงเป็นสถานที่ที่ 'ทุกคน' ต่างรู้สึกถึงความเท่าเทียมกัน  ไม่มีการดูถูกเหยียดหยาม  ทุกคนยอมรับซึ่งกันและกัน

ในสารคดีบอกว่าเป็นที่รู้กันว่าเพลงที่นำเสนอจังหวะ disco เป็นเพลงแรกคือเพลงนี้ (อยากรู้มานานแล้ว)  วิทยุบ้านเราก็เคยเปิดเพลงนี้   ผมจำได้ว่าฟังทีไรตัวมันโยกไปโยกมาโดยไม่รู้ตัว  เหมือนมีจิตใจของมันเอง  ตอนนั้นอย่าว่าแต่ดิ้นเลย  คำว่า ‘ดิ้น’ ยังไม่รู้จักเสียด้วยซ้ำ



หมายเหตุตรงนี้ว่า  เพลงนี้ของ Harold Melvin & the Bluenotes  ไม่ใช่เพลงดังอะไรมากมาย  ที่ผมจำได้ก็เพราะจังหวะนี่แหละ  เพลงดังของวงนี้ออกมาก่อนหน้า  ดังมาก



จังหวะเสียง drumbeat แบบในเพลง The love I lost อันเป็นจุดกำเนิดจังหวะ disco เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของมือกลองของวง  จังหวะที่ติดหูทำให้อีกไม่นานศิลปินคนอื่น ๆ ก็เลียนแบบตาม  กลายเป็นจังหวะมาตรฐานของเพลง disco

เพลง disco มีต้นกำเนิดจากเพลง R&B  ศิลปินที่ร้องเพลงแนวนี้มีแต่ผิวดำ  หมายความถึงการกระจายของเพลงอยู่แค่ในวงคนผิวดำ  จนกระทั่ง 2 เพลงต่อไปนี้  ที่ติดหูเหล่าดีเจของคลื่นวิทยุที่กระจายเสียงเพลงในวงกว้างอดเอามาเปิดออกอากาศให้คนทั่วไปฟังไม่ได้  ยังผลทำให้ทั้ง 2 เพลงฮิตติดอันดับ 1 ในอันดับเพลง pop ของ billboard  อันเป็นอันดับเพลงที่คนทั่วไปให้ความสนใจ  เพลง disco ก็ถึงจุดเริ่มต้น

บ้านเราเปิด 2 เพลงนี้กระหน่ำ  ผมว่ามันมาก่อนยุค disco ในบ้านเรานะ  อย่างไรก็ตาม พอกระแส disco ระเบิดในบ้านเรา 2 เพลงนี้ก็ตามกลับมาด้วย





ศิลปินทั้ง 2 คือ George McCrae กับ วง Hues Corporation เข้าข่าย one hit wonder คือต่างมีเพลงดังเพลงเดียว

อย่างไรก็ตาม  ความดังของเพลงทั้ง 2  เป็นอานิสงค์ให้เหล่าดีเจบ้านเราเอา single ต่อมาของพวกเขา  ที่ไม่ดัง  มาเปิดให้ฟัง





มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 406  เมื่อ 11 พ.ค. 25, 18:26

ผมไม่รู้ว่า กระแส Disco เข้ามาในเมืองไทย (หมายถึง กรุงเทพฯ) เมื่อไหร่  แต่ตอนที่ผมลงลุยไปกับกระแสของมันอย่างสนุกสนานนั้น  เป็นช่วงเวลาที่ผมกำลังเรียนอยู่ชั้นปี 3 ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง

ผมว่าช่วงเวลาปี 3 เป็นช่วงเวลาพอเหมาะสำหรับการสนุกสนานร่าเริง  เพราะเราผ่านการปรับตัวว่าจะไปรอดหรือไม่รอดของปี 1 มาแล้ว  ส่วนปี 2 ก็ต้องขวนขวายในการเลือกสาขาวิชาเอก  แล้วปี 4 ที่จะตัดสินว่าเราจะเรียนจบหรือไม่นั้นยังมาไม่ถึง

ผมจำได้ว่าสถานที่แรกที่เปลี่ยนจากคลับที่ใช้วงดนตรีแสดงไปเป็น Discotheque เปิดแผ่นเสียงแทน  คือบรรดาโรงแรมชั้นนำต่าง ๆ  ที่ดังที่สุดที่นึกออกคือ Flamingo ใน รร. Ambassador  แล้วก็ Bubbles ใน รร. ดุสิตธานี  ที่ รร. Oriental ก็ดังแต่ผมลืมชื่อไปแล้ว  ใช่ Diana รึเปล่า  แล้วยังมีชื่อ Byblos อีก  ไม่รู้อยู่โรงแรมไหน

เนื่องจากสถานที่เหล่านี้มีปลอกคอเขียนว่า ‘ชั้นนำ’ ย่อมหมายถึงมีค่าใช้จ่ายแพง  Discotheque ของโรงแรมชั้นรองจึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อรองรับ ‘นักผจญภัย’ ที่มีฐานะการเงินอยู่ในระดับรอง

สรุปแล้ว วันหนึ่งโรงแรมทุกระดับต่างมี Discotheque ของตัวเอง

แต่พวกเรา นักเรียน/นักศึกษา มีฐานะการเงินต๊อกต๋อยเข้าไปอีก  เพราะเรายังหาเงินเองไม่ได้  ต้องพึ่งเงินผู้ปกครอง  แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่อยากเป็นนักผจญภัย จึงมีผู้เห็นใจพวกเราก่อกำเนิด Discotheque ระดับประหยัดขึ้นให้พวกเราได้ออกปลดเปลื้องอารมณ์เปลี่ยวของวัยรุ่นผู้มากไปด้วยฮอร์โมน

ตอนนั้นผมเด็กเกินกว่าที่จะไปสืบค้นว่า Discotheque ระดับประหยัดเหล่านี้มีอยู่ที่ไหนกันบ้าง  รู้แต่ว่าที่มีคนนิยมที่สุดจะรวมกันเป็นกระจุกอยู่แถวต้นถนนสีลม (สุรวงศ์) จำได้ว่า ซอย 2 กับ ซอย 4  Discotheque ประเภทนี้เราเรียกกันสั้น ๆ ว่าบาร์  แบ่งเป็นบาร์แบบปกติกับบาร์เกย์  บาร์ที่ดังมากในยุคแรกของผมเป็นบาร์เกย์ชื่อว่า Apollo  แต่ต่อมาโดนบาร์รุ่นน้องปัดตกขอบ  แล้วขึ้นมาเป็นบาร์หรูที่สุดในย่านคือบาร์เกย์ ชื่อ Rome 

อย่างไรก็ตาม เอาเข้าจริงการแบ่งประเภทของบาร์ก็เป็นไปแค่ทางทฤษฎีเพราะข้างในก็ปนเปเหมือนกันคือมีทั้งหญิง ชาย และ เกย์ (หญิง-หญิง ชาย-ชาย)  แต่จริง ๆ แล้วบาร์เกย์ดังกว่าเพราะจะมีโชว์คั่นรายการให้ชมในยามเที่ยงคืน  โชว์ที่ต่อมาเป็นจุดกำเนิดของคณะ Alcazar ฯลฯ  เพลงโชว์ที่ดังมากเป็นเสียงของ Shirley Bassey ชื่อ This is my life, What I did for love แล้วก็ I (who have nothin')

3 เพลงนี้เปิดกันอยู่เนือง ๆ บนวิทยุ  มันเป็นเพลงเก่าของเธอ  และเอามาร้องใหม่หลายหน  ผมจำไม่ได้ว่าที่เปิด ๆ กันทางวิทยุหรือตามบาร์มันเป็นฉบับไหน







เพลงที่ 4 ก็เป็นเสียงของ SB เช่นกัน  เขียนถึงตรงนี้ชักสงสัยว่า  ทำไมเพลงที่เอามาประกอบการโชว์ส่วนใหญ่เป็นฉบับเสียงร้องของ SB หนอ



อีกเพลงที่เรียกเสียงเกรียวกราวจากเหล่าผู้ชมก็คือเพลงนี้  เป็น signature song ของ Gloria Gaynor 

(จากหนังเรื่อง The Adventures of Priscilla, Queen of the Desert (1994)...  สนุกมาก)


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 407  เมื่อ 12 พ.ค. 25, 18:28

กลับมาตั้งหลักใหม่...

พวกผมเป็นนักศึกษามีอาชีพเรียนหนังสือ  จึงออกไปร่อนในยามค่ำคืนบ่อยไม่ได้เดี๋ยวจะโทรม  การเรียนตก  เผลอ ๆ โดน 'รีไทร์'  เป็นผลให้โดนผู้ปกครองด่าแล้วโดนหักค่าขนม  สำหรับผมยังมีต่อคือ  มีผลกระทบไปถึงเรื่องการไปดูหนังและซื้อแผ่นเสียง  ซวยยาวเป็นหางว่าว  ฉะนั้น เราจึงไปเที่ยวกันเดือนละครั้งสองครั้ง  วันปล่อยผีคือวันศุกร์  วันเสาร์อาทิตย์จะได้นอนหงายฟื้นฟูสุขภาพ

ไม่รู้เคยเล่าให้ฟังแล้วยังว่าผมเป็นเด็กไข่ในหิน  อย่าว่าแต่ตอนกลางคืนเลย  แค่ไปไหนเองในที่แปลก ๆ ในตอนกลางวันยังไปไม่ค่อยถูก  ผมค่อยมาปรับตัวในช่วงเข้ามหาวิทยาลัย  เนื่องจากผมเป็นสิงห์นักฟังเพลงจึงรู้จักเพลง Disco ก่อนพวกเพื่อน ๆ เสียอีก  แต่ผมไม่รู้จักแหล่งบันเทิงยามกลางคืนเลย  เพราะเด็กไข่ในหินมีนิสัยนอนหัวค่ำ

ครั้งแรกเมื่อโดนเพื่อน ๆ ชวนไปลุยแหล่งบันเทิงในตอนกลางคืนกัน  ผมจึงตื่นเต้นเสียไม่มี  แต่มีปัญหาว่าไปไม่เป็นว่ะ  สรุปแล้วเป็นประจำทุกครั้งที่เพื่อนคนหนึ่งจะต้องขึ้นรถเมล์จากบ้านมัน (แถวสนามบินน้ำ) มาลงป้ายสะพานควายแล้วเดินต่อเข้าซอยไปควักผมออกมาจากบ้านแล้วเรียกแท็กซี่เพื่อเดินทางต่อ

กว่ามันจะโผล่มาก็หลัง 2 ทุ่ม  อย่างที่บอกว่าผมนอนหัวค่ำ  ปกติหลัง 2 ทุ่มนี่เข้าเขตเวลานอนของผมแล้ว  ความอยากออกไปเที่ยวค่อย ๆ จางหายเปลี่ยนเป็นอยากนอนแทน  ครั้งแรก ๆ ที่มาถึงแล้วขึ้นข้างบนบ้านไปหาผมที่ห้อง  เพื่อนจะเห็นผมในชุดเที่ยวกลางคืนซึ่งไม่ได้คอยอยู่อย่างตื่นเต้นว่าจะได้ออกไปเที่ยวแต่หลับกลิ้งอยู่บนเตียง

ครั้งหลัง ๆ มันจึงเปลี่ยนเวลามาถึงบ้านผมให้เร็วขึ้นเพื่อจะได้ชวนคุยไม่ให้ผมหลับ  เราไปเร็วไม่ได้เพราะบาร์มันยังไม่เปิด  เวลาเปิดคือ 2 ทุ่ม  แต่ยังไม่มีคน  กว่าจะครึกครื้นก็ประมาณ 3 ทุ่มโน่น  จำได้ว่าเคยโดนเพื่อนด่าครั้งหนึ่ง  ระหว่างเดินทางเมื่อเห็นสภาพผมอ้าปากหาวอยู่นั่นแล้ว ‘รู้สึกทุกข์ทรมานเหลือเกินนะมึง  กว่าจะได้ออกไปเที่ยว’

อย่างไรก็ตามความง่วงหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อเรามาถึงสถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งของคนกลางคืน (ประเภทเบี้ยน้อยหอยน้อย)  เราจะไปรอพรรคพวกที่จะทยอยมาตามนัดอยู่ใน lobby ของโรงแรมแถวนั้น  รร. Sheraton เพราะอยู่ใกล้ถนนใหญ่กว่า รร. มณเฑียร

เรารอพวกพรรคจนมาถึงครบก็ออกเดินทางต่อ  ด้วยเท้า  ผมจำครั้งแรกได้ว่า  เมื่อมาถึงที่หมาย  มันตื่นตาตื่นใจมาก  คนพลุกพล่าน  แต่งตัวกันเต็มที่ของแบบฉบับวัยรุ่น  พูดคุยหัวเราะร่าเริงกัน

เกือบทุกคนทุกเพศคีบบุหรี่อยู่ในมือ  บุหรี่นอกทั้งนั้น  มือข้างหนึ่งคีบบุหรี่  อีกข้างถือกล่อง/ซองบุหรี่… เพื่อการโชว์   Winston, Marlboro, Dunhill, Cartier, More, Mild Seven, Kent, Rothmans, Benson & Hedges ฯลฯ  บุหรี่นอกที่ว่า  ในสมัยนั้นไม่มีขายกันเกร่อแบบเดี๋ยวนี้  ต้องไปซื้อที่แหล่ง  หรือฝากซื้อกันเป็นทอด ๆ  ใครมียี่ห้อแปลก เช่น Sobranie บุหรี่ cocktail หลากสีที่แสนจะเริ่ดหรู หรือ Gitanes จะเรียกสายตาอิจฉาของผู้คนได้  ยี่ห้อ พระจันทร์ สามิต เกล็ดทอง กรุงทอง ทำนองนี้หลบอยู่ในซอย
  
คนเหล่านี้เป็นรุ่นเดียวกับเราทั้งนั้นคือนักเรียน/นักศึกษาเบี้ยกะตอยหอยจุ๋มจิ๋ม  บางทีก็มีผู้ใหญ่หรือฝรั่งแฝงมาประปราย

ที่หน้าประตูบาร์  จ่ายเงินค่าเข้า 50 บาทแล้วรับคูปองซึ่งจะเอาไปใช้แลกน้ำส้มได้ 1 แก้ว  ถ้าพวกเหล้าก็ต้องจ่ายเพิ่ม  น้ำส้มจากขวดแฟนต้าแก้วละ 50 บาทเมื่อร่วม 50 ปีก่อนนี่แพงไม่หยอกนะ  นี่ขนาดเป็นสถานที่เล็ก ๆ ไม่ได้มาตรฐานตามแบบฉบับโรงแรม

ผ่านประตูเข้าไปภายในบาร์  พื้นที่มีขนาดแค่ไหนก็สุดจะเดา ท่ามกลางความความสลัว  เราจะเห็นวิวได้โดยอาศัยแสงจาก spotlight หลากสีที่สาดออกมาจากจุดต่าง ๆ  และที่ขาดไม่ได้คือลูกบอลล์ disco สีเงินที่สะท้อนแสงจาก spotlight วูบวาบไปทั่วห้อง

เสียงเดียวในคลับที่เป็นเอกคือเสียง bass drum จากเครื่องเสียงที่ขับเสียงจากแผ่นเสียงออกมาทางลำโพงคู่ขนาดยักษ์  ใครไปยืนใกล้  ๆ ถึงกับเจ็บหน้าอกได้  เวลาจะคุยกันก็ต้องตะโกน  คนหนาแน่นเต็มพื้นที่  ไม่มีใครยืนเฉย ๆ  ทุกคนโยกและโครงตามจังหวะเพลง  เห็นภาพเหล่านี้ผมก็ตาโพลง  หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง

เรามองหาโต๊ะว่าง  ตั้งอยู่ริมกำแพง  มีทั้งแบบโซฟาสำหรับแขกมากคน  หรือโต๊ะขนาดย่อม  ไม่ได้เอาไว้นั่งแต่เอาไว้วางแก้วน้ำส้ม  ถ้าโต๊ะเต็มก็วางแถวเคานเตอร์  แล้วพุ่งเข้าฟลอร์เหมือนหมาบ้าหลุดออกจากกรง

พวกเราดิ้น ๆ (ยุคเราใช้คำนี้ 'ดิ้น') กันในฟลอร์ที่คนแน่นเหมือนรังมด  ไม่มีใครเหนื่อย  ทุกคนดิ้นกันสุดฤทธิ์เหมือนต้องสาป  จะพักก็ต่อเมื่อถึงเวลาพักซึ่งดีเจจะเปลี่ยนเป็นเพลงช้าสักแป๊บให้พวกเราได้เปลี่ยนบรรยากาศไปเข้าห้องน้ำหรือโซเซไปกินน้ำ  แต่บางกลุ่มก็ถือโอกาสเปลี่ยนท่าเป็น ‘สโลซบ’

เราปฏิบัติตนตามกฎของสถานที่อย่างแข็งขันจนถึงตี 2 ทั้งบาร์ก็จะสว่างไสวด้วยแสงไฟนีออนปกติอันเป็นสัญญาณว่าเลิกงานแล้ว  เชิญหนู ๆ หาทางกลับไปบ้านโดยสวัสดิภาพกันได้


จากประสบการณ์ของผม เพลง Disco ที่เล่นในบาร์บ้านเราก็เครือ ๆ กับของเมืองนอกเพราะเรารับของเขามานี่ ส่วนใหญ่ไม่ใช่เพลงในอันดับ Billboard จึงไม่คุ้นหู

ปกติเพลงในอันดับเพลง ฯ เป็นเพลงที่ทำขึ้นเพื่อล่อลูกค้าให้ติดใจจะได้ไปหาซื้อแผ่นฯ มาฟัง (แผ่น single ที่เรียกว่า commercial songs)  เพลงพวกนี้มีความยาวอย่างมากไม่เกิน 4 นาที  นานกว่านี้ถ้าไม่แน่จริงใครจะไปฟัง เบื่อตาย

ถ้าทำเพลง Disco สั้นจู๋ขนาดนี้  ดีเจก็ไม่ต้องทำไรกัน  เรื่องเข้าห้องน้ำไม่ต้องพูดถึงเพราะไม่มีเวลาไป  ต้องมาคอยเปลี่ยนเพลงสร้างความต่อเนื่อง ลูกค้าจะได้สามารถ ‘ดิ้น’ ได้โดยไม่สะดุดและตัวเองก็ไม่โดนด่า

ผู้ผลิตเพลงจึงเกิดไอเดียใหม่  โดยทำเพลงเพื่อใช้เล่นใน Discotheque โดยเฉพาะ  เอกลักษณ์ของมันคือแต่ละเพลงยาวยืด   ส่วนการเชื่อมกับเพลงต่อไป (บน turntable 2 ตัว) อย่างแนบเนียนไม่มีรอยต่อระหว่างเพลง (เชื่อมด้วย bass drum หรือ kick drum) นั้นขึ้นกับฝีมือของดีเจแต่ละคน  ซึ่งจะส่งผลให้บรรดาสิงห์ตีนไฟสามารถ ‘ดิ้น’ ได้โดยไม่ติดขัด ไม่เสียอารมณ์  ด้วยเพลงที่ใช้เวลานานที่ทำขึ้นโดยเฉพาะเหล่านี้  เหล่าดีเจก็มีเวลาเผื่อไว้ผ่อนคลาย  จะไปฝอยหรือไปเข้าห้องน้ำ ฯลฯ ได้โดยไม่ต้องมาพะวงกับการเปลี่ยนเพลงบ่อย ๆ

เพลงยาว ๆ พวกนี้จึงไม่มีโอกาสเข้าไปแหยมในอันดับ Billboard  อย่างไรก็ตามนักร้องดังบางคนที่หันมาลองเพลง Disco บ้าง  บริษัทแผ่นเสียงจึงต้องทำเพลงเป็น 2 ฉบับ  คือฉบับเข้าอันดับ billboard  เพื่อไว้ขายกับฉบับใช้ใน Discotheque  เช่น MacArthur's Park ของ Donna Summer เจ้าแม่ Disco  ฉบับเข้าอันดับจะยาวประมาณ 3.58 นาที  มันขึ้นถึงอันดับ 1  ถ้าเอาไปใช้ดิ้นก็จะเป็นฉบับยืดยาวออกไปนานเป็นร่วม 11 นาที




จบโหมโรง พรุ่งนี้ไปฟังเพลง disco กัน...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 408  เมื่อ 13 พ.ค. 25, 18:50

เกริ่นนิดว่าเพลง disco ที่นำเสนอนี่  ไม่ใช่มีเท่านี้  เยอะแยะตาแป๊ะเจ๊ก  อย่างที่บอกว่าผมแค่มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ (มาตอนนี้ภูมิใจไม่หยอก)  ไม่ได้นอนในบาร์ ฯ  สำหรับคนเบี้ยน้อยหอยกระจิ๋วหลิวอย่างผม  ผู้ปกครองให้เงินเดือน ๆ ละ 800  ในจำนวนนี้ยังต้องออมไว้ดูหนังซื้อแผ่นเสียงอีก  เดือนหนึ่งจะไปเยือนสักครั้งสองครั้ง  บริหารเงินได้เก่งขนาดนี้นี่เรียกว่า ไอ้โหน่งจอมมหัศจรรย์ แล้ว  

เพลงที่ผมจะนำเสนอส่วนใหญ่เป็นเพลงดังในอันดับเพลง  อย่างแรกคือเพื่อความคุ้นหูท่านผู้อ่าน  และตามที่เล่าให้ฟังคราวที่แล้ว  นักร้องส่วนใหญ่มีชื่อเสียงมาก่อน  พอถึงยุค disco ก็อยากจะลองของใหม่  บางคนก็ไปพุ่ง  บางคนลูกค้าก็ไม่รับ  นักร้องพวกนี้จะทำเพลงเดียวกันเป็น 2 ฉบับ  ฉบับสั้นไว้เปิดทางวิทยุ  ส่วนฉบับยาวเอาไว้เปิดในบาร์  ผมจะนำเสนอเฉพาะฉบับสั้นจะได้ไม่เบื่อ  เอาไว้ผมเปิดบาร์ disco แล้วเราค่อยมาดิ้นกับฉบับยาวกัน

นี่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแม่เปิดโลก disco
 
Gloria Gaynor กับเพลง disco เพลงแรก ๆ



แล้วมาดังโลกระเบิดกับเพลงนี้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดของเพลง disco  และทำให้เธอได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแม่เปิดโลก disco



ต่อยอด





ส่วนผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ต่อยอดเพลง disco ให้สะท้านฟ้าคือ Donna Summer (ความจริงเธอดังมาก่อนแล้ว  แต่อยู่ฝั่งยุโรป)  ผมจะไม่นำเสนอเพลงของเธอมากเพราะเคยเสนอไปแทบจะหมดเปลือกแล้วในกระทู้ของ อ. เทาชมพู  เพลงที่จะเปิดนี้แค่ตัวอย่าง  มันดังกระหน่ำทั้งในวิทยุและในบาร์  แค่ขึ้นต้นก็กรี๊ดกันสลบ  แต่ห้ามสลบเพราะต้องเตรียมตัวออกลาย




https://www.reurnthai.com/index.php?topic=5361.msg183321;topicseen#msg183321
(ความคิดเห็นที่ 745)







ส่วนนี่เป็นเพลง disco ที่ผมชอบที่สุด  ในตอนนั้นผมไม่เคยได้ยินทางวิทยุ  ได้ยินครั้งแรกในบาร์  โผล่มาแค่ 2-3 คอร์ด  ผมก็อยากรู้ว่าเพลงชื่ออะไรใครร้อง  ก็ ‘ดิ้นไปเคลื่อนไป’ จนถึงบัลลังก์ของดีเจ  หลังจากถามไถ่ได้คำตอบแล้วก็ ‘ดิ้นไปเคลื่อนไป’ กลับมาที่เดิม  เพื่อนมองด้วยสายตางง ๆ  ก่อนจะถามว่า แกไปจีบดีเจมาเหรอ

(ผมมาได้เพลงของเธอในยุค cd)


เพลงของ Carol Douglas นี้  ไม่ดังบนอันดับเพลง  เธอไม่ได้เป็นแม้แต่ศิลปิน one hit wonder  วันหนี่งนานละ  ขณะนั่งชม youtube ไปเรื่อยเปื่อย ก็พบ clip นี้  คนเอามาปล่อยนานแล้ว  แต่ถ้าเทียบเวลากันกับตอน single นี้ออกสู่ตลาดในปี 1975  เวลาห่างกันกว่า 40 ปี  คนยังจำเพลงนี้ได้อยู่เลย



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 409  เมื่อ 14 พ.ค. 25, 18:11

ไม่พูดพล่ามทำเพลงละ  ลงฟลอร์กันเลยเร้วววว...

Sister Sledge


Evelyn Champagne King


Labelle


Candi Staton


Thelma Houston


Stephanie Mills


France Joli


Baccara


Diana Ross


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 410  เมื่อ 15 พ.ค. 25, 18:11

ผมประหลาดใจว่าเพลง disco ดัง ๆ ล้วนมาจากเสียงของศิลปินหญิงแทบทั้งนั้น  ทำไมไม่รู้  แต่จากเสียงของผู้ชายก็มีเช่น

Barry White  กับ 2 สองเพลงดังระดับแผ่นเสียงทองคำ  ฟังเมื่อไร  ขาขยับตัวโยกทันที





Sylvester กับเพลงฮิตที่เปิดเมื่อไร  ดิ้นกันไฟแล่บเหงื่อสาดท่วมฟลอร์  จังหวะเร็วมาก  ต้องโขยกให้ทัน



Patrick Hernandez



เป็นวงก็นำโด่งด้วยวง Chic วงที่ดังสุดกู่ในช่วง disco  ผลงานของวงนี้ออกมาเมื่อไร  ฟังแล้วตัวโยกไปมาทุกครั้ง  ผลงานของวงนี้ดังสุดทั้งในวิทยุและในบาร์









Ashford & Simpson



K.C. & the Sunshine Band ... ลงแค่ตัวอย่าง 1 เพลง  เพลงที่ผมว่า ดิ้น ได้มันที่สุด  ที่เหลือต๊ะไว้



The Trampps



ABBA ก็ส่งเพลงนี้มาร่วม  ฟังดูเหมือนไม่ใช่  แต่ถ้ายืนฟังแล้วรับรองขาขยับสะโพกส่าย



Dschinghis Khan



รวมถึงเพลงจากวง Boney M มากมายเกินจะนับ



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 411  เมื่อ 16 พ.ค. 25, 18:11

เพลง disco แบบบรรเลงก็มีนะ  เท่าที่ผมจำได้ เพราะมันดังมาก มี 3 เพลงอันดับ 1 billboard พร้อมแผ่นเสียงทองคำ  ในยุคของมัน  ไม่มีนักฟังเพลงฝรั่งชาวไทยคนไหนไม่เคยได้ยิน

Meco



Love Unlimited Orchestra



Walter Murphy



นี่แค่ตัวอย่าง

 
ยุค disco สร้างนักร้องใหม่มากมาย  ส่วนใหญ่อัดเสียงลงแผ่นไว้เปิดในบาร์  เพลงพวกนี้ผมจำไม่ได้หรอกเพราะได้ฟังแค่ในบาร์  แล้วเราก็เข้าไปดิ้น  ไม่ได้เข้าไปนั่งไขว่ห้างกระดิกหูฟัง  ขอให้มีจังหวะ ตึง ๆ ๆ   แค่นี้เราก็กรี๊ดแล้วก็วิ่งกันให้พล่านแล้ว  นักร้องพวกนี้พอหมดยุค disco ก็หายต๋อมไปกันหมด  

Jocelyn Brown



แต่ก็ยังมีบางรายที่ส่งเพลงออกมาดังมาก  จนข้ามไปดังบนตาราง billboard  แต่ก็ดังได้เพลงเดียว  กลายเป็นศิลปิน one hit wonder เท่าที่นึกออกก็

Anita Ward

(ผมได้อ่านมานานแล้วว่า  AW เกลียดยุค disco มาก  เผอิญเธอเริ่มต้นในยุคนี้เลยต้านกระแสไม่ไหว  เธออยู่ในวงการไม่นานก็ บ๋ายบาย แล้วออกไปเรียนต่อจนได้ปริญญาแล้วเริ่มอาชีพใหม่เป็นอาจารย์สอนหนังสือ... รู้สึกจะสอนที่สถาบันที่เรียกว่า academy นะ  ผมว่าครั้งแรกที่นักเรียนเห็นและรู้ว่าเธอเป็นใคร  ต้องขอให้เธอร้องเพลง signature เพลงนี้ให้ฟังแน่ ๆ  เธอคงเอือมเหมือนกัน)


Alicia Bridges

(เพลงนี้ดังมากทางวิทยุ  พอ ๆ กับ I will survive  ที่อเมริกา  มันดังพอประมาณบน billboard  เป็นเพลงหนึ่งที่ผมจำได้แม่นว่า  มันไต่อันดับอย่างเอื่อย ๆ  แต่ไปได้เรื่อยๆ  ผมละลุ้นระทึกว่ามันจะไปได้ไกลแค่ไหน  ทุกครั้งที่หนังสือ Starpics หรือหนังสือเพลง 3 หัวออกวางตลาด  ผมเป็นต้องรีบพลิกดูตาราง BB เพื่อหาอันดับล่าสุดของเพลงนี้ ในที่สุดมันก็เข้า top 10   และไปจอดนิ่งที่อันดับ 5  ที่น่ายินดีแทนคือยอดขายแตะแผ่นเสียงทองคำด้วย  รวมเวลาที่มันป้วนเปี้ยนอยู่ใน top 100 นานถึง 31 อาทิตย์  กว่าครึ่งปีแน่ะ)


Amii Stewart



Andrea True Connection  กับเพลง disco ที่แตะอันดับ 1 บนตาราง billboard  และที่เมืองไทยด้วย



รายนี้พิเศษ  วง Village People นี้ก็ได้ชื่อว่ากำเนิดขึ้นมาเพื่อเพลง disco โดยเฉพาะ  เป็นศิลปินที่ดังที่สุด  เพราะเพลงของพวกเขาข้ามเข้าไปอาละวาดในอันดับเพลงจนได้แผ่นเสียงทองคำไปหลาย  แต่พอหมดยุคก็แตกวงไป







มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 412  เมื่อ 17 พ.ค. 25, 18:13

เปลี่ยนบรรยากาศหน่อย  แก้เลี่ยน

Kathy Young & the Innocents



Lennon Sisters



Mermaids



The Tune Weavers



The Tymes





ในยุค 70s  วงกลับมาดังทางฝั่งยุโรป และบ้านเรา  ด้วยเพลงนี้

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 413  เมื่อ 18 พ.ค. 25, 18:23

นี่คือศิลปินที่ ไม่น่าเชื่อว่า เป็นผู้โหมกระพือเพลง disco ให้แผ่กระจายไปทั่วโลก  มันเริ่มมาจาก soundtrack ของหนัง Saturday Night Fever  ที่กุมบังเหียนโดยวง The Bee Gees








เป็นการเปลี่ยนแนวเพลงของวงจากหน้ามือเป็นหลังมือ  จากเพลง ballad ชั้นดีในยุค 60s  ข้ามมาถึงต้น 70s 
https://www.reurnthai.com/index.php?topic=7342.msg186443;topicseen#msg186443
(ความคิดเห็นที่ 364 – 366)


นี่คือเพลงสุดท้ายของยุคแรก  ผมเคยได้ยินเพียงครั้งเดียว  แต่มันเพราะจนติดใจ



เพลงนี้ส่อสัญญาณว่าคนฟังเริ่มอิ่มกับวงที่เอาแต่นำเสนอแนวเพลงแบบนี้  คือ มันไต่ไปได้ไม่ถึงอันดับที่ 90 ด้วยซ้ำ  สมาชิกวงก็เริ่มประชุมหารือเพื่อเปลี่ยนแนวเพลง


มีต่อ..
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 414  เมื่อ 19 พ.ค. 25, 18:25

นี่คือแนวเพลงใหม่ของวง The Bee Gees  และประสบความสำเร็จเสียด้วย






เพลงนี้แหละที่เข้ามาแนว disco เต็มตัว



อย่างไรก็ตาม  วงยังไม่ลืมรากเหง้าของตน  แนวเพลงที่ทำให้พวกเขาดังขึ้นมา








มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 415  เมื่อ 20 พ.ค. 25, 18:34

จากความสำเร็จของ soundtrack album หนัง Saturday Night Fever วง The Bee Gees รีบตักน้ำที่กำลังขึ้นด้วย album ของตัวเองชื่อ Spirit Having Flown  มันเป็น album ที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม  3 singles จาก album นี้เรียงกันขึ้นอันดับ 1 แฟนเพลงบ้านเรากรี๊ดกร๊าดกันสนั่น

(ตอนเพลงนี้ออกอากาศใหม่ ๆ  ผมพยายามแกะเนื้อเพลงท่อนแรกของเพลงนี้ว่าเค้าร้องว่าอะไร  ไม่สำเร็จ  รัวมาก  จับได้ตรงคำว่า 'hit'  ต้องรอหนังสือเพลง 3 หัวมาเฉลย  จำไม่ได้แล้วว่าเฉลยถูกรึเปล่า  จำได้แต่ว่าตรงนั้นไม่ใช่ 'hit'  มารู้เต็ม ๆ ในยุค อตน.)



(ตอนเพลงนี้ออกใหม่ ๆ  มันดังมาก  ทั้งในบ้านเราและบ้านเขา  ผมจำไม่ได้แล้วถึงความเป็นไปเป็นมา  แต่จะเล่าว่า  ทีวีบ้านเรา (น่าจะช่อง 3 เพราะตอนนั้นทันต่อเหตุการณ์ที่สุด) นำสารคดีการถ่ายทำ MV ของเพลงนี้มาออกอากาศให้ดู  ถึงตอนที่ผู้คนสงสัยกันว่าไอ้ช่วงที่เสียงเหมือนปืนลั่น (4.10 ใน clip)  ทำอย่างไร  ใช้ปืนจริงรึเปล่า  Barry Gibb เฉลยเอาไว้ที่ 4.44  มีใครจำสารคดีนี้ได้บ้าง  คงจะมีผมคนเดียวตามเคย)





เพลงที่ 4 เป็นเพียง title track  ผมว่าเป็นเพลงที่เพราะที่สุดของ album  และดีเจบ้านเราท่าจะเห็นด้วย



เพลงนี้แนวซ้ำเดิมแต่ก็ยังน่าฟัง



ปีนั้นเป็นจุดสูงสุดของวงฯ

ในปี 1983 หนังเรื่อง Staying’ Alive ออกฉาย  พูดตามภาคปฏิบัติ  มันเป็นภาคต่อจากเรื่อง SNF  วง TBG ทำเพลงให้เช่นเคย  แต่มัน ‘หลังเย็น’ ไปเสียแล้ว  soundtrack ของหนังเปลี่ยนเป็นแนว rock ธรรมดา  ส่ง single ออกมาหลายเพลง  ล้วนไม่ดัง  แต่ผมติดใจเพลงนี้เพลงเดียวที่พอได้ยินทางวิทยุบ่อยระดับหนึ่ง



มีต่อ...

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 416  เมื่อ 21 พ.ค. 25, 18:13

ย้อนกลับไปที่ soundtrack หนังดัง Saturday night fever อันเป็น album คู่  มีเพลงต่าง ๆ มากมาย  แต่ที่ครองอันดับสูงสุดบนตาราง billboard คือเพลงของ The Bee Gees และเพลง If I can’t have you ของ Yvonne Elliman ที่ผมได้เอ่ยถึงไปนานแล้ว  นอกจากนี้ยังมีเพลงบรรเลงแนว disco อันดับ 1 แผ่นเสียงทองคำของ Walter Murphy  ที่เพิ่งนำเสนอไป  

ในช่วงเวลาที่หนังออกฉาย (แต่ไม่มาบ้านเราจนกระทั่งอีกราวเกือบ 10 ปีต่อมาละมัง  มันเข้ามาอย่างเงียบ ๆ และออกไปจากโรงฯ อย่างเงียบ ๆ เนื่องจากหลังเย็นไปนานแล้วเลยไม่มีคนดู) วิทยุบ้านเราสนุกสนานกับการเปิดเพลงต่าง ๆ ใน album นี้  รวมถึงเพลงนี้



เจ้าของเพลงนี้คือวงแนว funk/rock ชื่อ KC & the Sunshine Band  วงนี้ดังมากในยุค 70s  ดังทั้งที่บ้านเขาและบ้านเรา  ที่บ้านเรานั้นวงเปิดตัวด้วยเพลงที่ดังสนั่นหวั่นไหว  ไม่ต้องเป็นนักฟังเพลงฝรั่งก็ต้องคุ้นกับทำนองของเพลงนี้



ทุกคลื่นเพลงฝรั่งบ้านเราให้การต้อนรับเพลงนี้อย่างท่วมท้น  หลังจากนั้นก็หมั่นนำ single (ที่ดังในบ้านเขา) มาเปิดให้ฟัง











หัวหน้าวงชื่อ Harry Wayne Casey  สมัยนั้นเคยเห็นแต่รูปนิ่งตาม นส. บันเทิงต่าง ๆ  คิดในใจว่าหน้าตาหล่อจัง  หน้าเธอยิ้มดูมีอารมณ์ดีตลอดเวลา  แต่ไม่เคยเห็นชัด ๆ สักที  เพราะรูปที่เห็นเป็นขาวดำเสียทั้งนั้น  มาได้เห็นสะใจในยุค อตน. (ถ้าจะหารูปเธอ  อย่าลืมเติมคำว่า ‘70s’  อันเป็นยุคที่เธอยังหนุ่มแน่น  ไม่งั้นจะเห็นรูปปัจจุบันซึ่ง...)
 
แม้วงจะดังมาก  แต่สิ่งพิมพ์หัวต่าง ๆ ก็ลงประวัติไม่มาก  น่าจะเพราะต้องเจียดที่ไปลงเรื่องอื่น ๆ  ตอนนั้นไม่ได้คลั่งไคล้วงนี้เพราะแนวเพลงไม่ถูกหูแถมโดนยัดเยียดให้ฟังทุกเมื่อเชื่อวัน  เลยไม่สนใจที่จะไฝ่รู้  ล่วงเข้ายุค อตน. มาอ่านใน Wikiฯ ถึงรู้ว่า แรกเริ่มเธอเป็นพนักงานในร้านขายแผ่นเสียง  จาก 1 เป็น 2 แล้วก็มาก่อตั้งวงนี้  เนื้อเพลงของ single ดัง ๆ ทุกเพลงที่เราได้ยินมาจากการแต่งโดยเธอทั้งนั้น

ส่วนตัวผมว่าแนวเพลงของวงซ้ำซากนะ  ทุกครั้งที่วิทยุนำเสนอ single ใหม่  พอได้ยินแค่ intro ก็รู้เลยว่าใครร้อง  มักคิดในใจว่า ‘เอาอีกละ’  อย่างไรก็ตาม HWC คงได้ยินผมบ่น  วันหนึ่งเธอก็เสนอเพลงใหม่ ทำนองใหม่  ซึ่งเพราะและดังมากกกกกกก



พอรู้ว่าเพลงถูกใจผม  เธอเลยส่งอีกเพลงมาให้ฟังซึ่งก็เพราะอีก  แต่เสียนิดเดียว  เธอไปร้องกับสาวอื่น



พอเข้ายุค 80s  HWC สุดหล่อของผมเริ่ม ‘เละ’ แล้ว  ผมก็เลยโกยสี่ตีนหนีเธอไป



มีต่อ...

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 417  เมื่อ 22 พ.ค. 25, 18:33

ใน album ดัง Saturday night fever  ยังมีเพลง More than a woman ของวง Tavares วงแนว soul



ผมมั่นใจว่านักฟังเพลงฝรั่งร่วมยุคบ้านเราต้องเคยได้ยินเพลงของวง Tavares  มาบ้างไม่มากก็น้อยเพียงแต่ ‘ไม่รู้ว่าใครร้อง’  มีหลายเพลง  (ซึ่งครอบคลุมเวลาหลายปี)  เลยละที่วิทยุบ้านเราเอามาเปิดให้ฟัง เช่น





2 เพลงโปรดของผม  เพลงสุดท้าย ชื่อ A penny for your thoughts นั้นเป็น ballad ที่เพราะมาก 


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 418  เมื่อ 23 พ.ค. 25, 19:21

เอ่ยถึงเพลง ballad แสนเพราะ  A Penny for your thoughts  ของวง Tavares   ทำให้นึกได้ว่าในยุคนั้น (70s) มีวงดนตรีผิวดำเล่นเพลง soul ส่ง single แบบร้องประสานเสียงในแนว ballad เยอะแยะ ล่องลอยออกมาจากลำโพงวิทยุ  ล้วนเพราะ ๆ ทั้งนั้น  มาตอนนี้เมื่อคิดแล้วรู้สึกดีใจที่โตขึ้นมาท่ามกลางเพลงชั้นเลิศที่สมัยนี้ไม่มีใครผลิตกันแล้ว  ที่นำมาเสนอนี้ไม่ได้มีเท่านี้  เอาเท่าที่จำได้  ซึ่งแน่นอนว่ามันถูกหูเลยจำได้

วงที่นำโด่งมาเลยคือ The Stylistics  วิทยุนำเพลงของวงนี้มาเปิดเป็นตัน
https://www.reurnthai.com/index.php?topic=7342.msg185240;topicseen#msg185240
(ความเห็นที่ 214 – 216)


ต่อไปก็วงที่มีเพลงดังวงละนิดละหน่อย 

วง Chi-Lites เป็นอีกวงที่มีเพลงเพราะแบบปฏิเสธไม่ได้





เพลงที่ 3 นี้ไม่ดังในบ้านเขาเลย  แต่มันดังในบ้านเรามาก ๆ



แล้วก็มาวง Manhattans  ใครไม่เคยได้ยินเพลงเหล่านี้  ไม่นับว่าเป็นนักฟังเพลงฝรั่ง







มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 419  เมื่อ 24 พ.ค. 25, 18:24

อีกหนึ่งวง soul แบบร้องประสานเสียงคือวง Blue Magic  เจ้าของเพลง ballad ดัง Sideshow  และ Just don’t want to be lonely เพลงที่ทำเอาหูนักฟังเพลงฝรั่งอื้ออึงไปพักใหญ่  ผมเพิ่งลงไปเมื่อไม่นาน  (ความคิดเห็นที่ 302 (แถมด้วยวง Main Ingredients) หน้า 21)

ต่อไปก็จะเปิดเพลงแนว ballad จากวงอื่น ๆ ที่เข้ามาดังในบ้านเราวงละเพลงสองเพลง  

วง Champaign



วง Floaters



วง Free Movement



วง Hot นี่ค่อนข้างมั่นใจว่าไม่มีใครเคยได้ยิน  ผมได้ยินอยู่ครั้งเดียว  จริง ๆ แล้วจำไม่ได้หรอก  แต่ในยุค อตน. วันหนึ่งท่องไปท่องมาไปเจอมันเข้า



วง The Jones Girl นี่ซิ  วิทยุเปิดบ่อยระดับหนึ่ง  ตอนนั้นจำได้ว่าเพลงย้าวยาวและเนิบนาบพาลง่วงนอน  แต่มาฟังในยุคนี้  ‘What a gem!’  มันไม่ใช่ single (อย่างน้อยก็บนอันดับ pop) แต่ดีเจแกะมาให้ฟัง



วง Love Unlimited (ผู้กุมบังเหียนคือ Barry White – เคยเสนอไปหลายโอกาสแล้ว)



วง Sheer Elegance มาจากอังกฤษ  ตอนนั้นไม่เคยคิดว่าเป็นวงผิวดำ  



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 26 27 [28] 29
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.132 วินาที กับ 19 คำสั่ง