เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 28 29 [30] 31
  พิมพ์  
อ่าน: 69292 Yesterday Once More...
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 435  เมื่อ 21 มิ.ย. 25, 18:26

กลับมาฝอยต่อ...

ผมไม่อยู่แค่ 10 วันเองมีนักร้องที่เคยมีเพลงดังในบ้านเราตายถึง 3 คนแน่ะ

คนแรก (ไม่เรียงตามวันตาย  เรียงตามความดังในบ้านเรา  เอาน้อยสุดก่อน) คือ Sly Stone (เกิด 1943) ในยุครุ่งเรืองเธอเป็นหัวหน้าวง Sly and the Family Stone  วง soul ที่ไม่ใช่แนวโปรดของบ้านเรา  แต่บางเพลงดังบน billboard  ดีเจก็เอามาเปิดให้ฟัง  ผมไม่รู้ว่าผลงานของวงนี้เป็นที่นิยมในบ้านเรามากแต่ไหน  แต่เท่าที่จำได้  ผมได้ยินเพลงเหล่านี้ทางวิทยุ  เพลงแรกนี้ได้ยินบ่อยระดับหนึ่ง  เพลงที่ 2 มีท่อน ‘สร้อย’ ที่ถ้าเป็นนักฟังเพลงฝรั่งต้อง  อุ๊ย... เพลงนี้  ไม่ได้ยินมานาน





ดูในตาราง billboard  ผลงานของวงนี้ในยุครุ่งยังมีอีก  แต่จำได้เท่านี้


คนที่ 2 คือ Lou Christie  (เกิด 1943) ผมมั่นใจค่อนข้างแน่นอนว่าบ้านเราจำชื่อนี้ไม่ได้  แต่เธอมีเพลงดังในบ้านเรานะ  ประเภทพลุแตกยังดังไม่เท่าเสียด้วย  โดยเฉพาะ 2 เพลงแรก  รายการ golden oldies เปิดบ่อยมาก







มีต่อ
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 436  เมื่อ 22 มิ.ย. 25, 18:06

คนที่ 3 เป็นผู้กุมบังเหียนวงดนตรีในแนวที่เรียกว่า Surf Music เธอชื่อ Brian Wilson  (เกิด 1942) เธอเป็นหัวใจของวงชื่อ The Beach Boys  เพลงแรกเพลงนี้มีคนนำมาร้องใหม่มากมาย  ส่วนในบ้านเรา  ไม่มีใครจำไม่ได้







ส่วนนี่คือ 3 เพลงของวง The Beach Boys ที่ขึ้นถึงอันดับ 1 บนตาราง billboard  แต่ไม่ดังในบ้านเราเท่า 3 เพลงที่ลงไปก่อนหน้า







เพลงช้าก็มี



ส่วนเพลงนี้ดังในยุคปลาย



เพลงดังเพลงสุดท้ายอยู่ยุค 80s  วิทยุบ้านเรายังให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น  ความดังประมาณในยุคแรกเลยละเพลงนี้



หมายเหตุ - เพลงดังส่วนใหญ่ร้องนำโดย Mike Love


พรุ่งนี้เป็นควันหลง

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 437  เมื่อ 23 มิ.ย. 25, 18:39

ในยุคนั้นมีวงดนตรีเล่นเพลงแนว Surf Music อีกวง ชื่อ Jan & Dean  ดังคู่กันมาเลย  แต่ผลงานที่วิทยุบ้านเราเปิดมีไม่มาก  น่าจะเป็นเพราะวงออกผลงานมาน้อยกว่า  เนื่องจากเป็นยุคก่อนผม  เพลงพวกนี้เข้ามาประดังในบ้านเราหมดแล้ว  ตอนที่ฟังแยกไม่ออกว่าวงไหนร้องเพลงไหน





เพลง Little Honda นี้  มารู้ในภายหลังว่ามีร้องกัน 2 ฉบับ  อีกฉบับเป็นของวง The Hondells ซึ่งดังบน billboard  ตอนได้ยินทางวิทยุไม่รู้เป็นฉบับของใคร 







เพลงนี้ดังนะ  สมัยเด็ก ๆ จะเห็นภาพนี้เป็นประจำ  ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่ามันเป็นภาพปกแผ่นเสียง  เวลาผ่านไป ๆ  ข้อมูลมีให้เสพย์มากขึ้น  รู้รายละเอียดมากขึ้นว่า  หญิงชรานั้นคือนักแสดงในโฆษณารถยนต์ Dodge รุ่นหนึ่งในปี 1964 (หา clip ไม่เจอ)  มันสร้างแรงบันดาลใจให้มีการแต่งเพลงนี้ขึ้นมา  ปรากฏว่าเพลงดัง  และแพร่หลาย  คนก็สงสัยกันใหญ่ว่านักแสดงหญิงชราคนนี้คือใคร  ผลคือเธอก็พลอยดังไปด้วย


(ได้แรงบันดาลเหมือนกัน  ไว้หาโอกาสคุยเรื่องเพลงในหนังทีวีบ้างดีกว่า)



สำนวนว่า Dead man’s curve นี้มีความหมายดังนี้: Dead Man's Curve is an American nickname for a curve in a road that has claimed lives because of numerous crashes. น่าจะประมาณ ‘โค้งมรณะ’ ของเรา

เพลงนี้เหมือนลางร้ายเพราะอีก 2 ปีต่อมา  หนึ่งในสมาชิกวงก็ประสบอุบัติเหตุขั้นร้ายแรง

On April 12, 1966, Jan Berry received severe head injuries in an automobile accident on Whittier Drive, just a short distance from Dead Man's Curve in Beverly Hills, California, two years after the song had become a hit. He was on his way to a business meeting when he crashed his Corvette into a parked truck on Whittier Drive, near the intersection of Sunset Boulevard, in Beverly Hills. JB was in a coma for more than two months; he awoke on the morning of June 16.

JB recovered from brain damage and partial paralysis. He had limited use of his right arm, and had to learn to write with his left hand and had to learn to walk again.

He returned to the studio in April 1967, almost one year to the day after his accident.




จากนั้นทั้ง Jan & Dean ก็ร่วมงานกันต่อ  แต่ความดังผ่านไปแล้ว

นี่เป็นเรื่องราวที่ผมรู้มานานจากสื่อเช่น นส. Starpics ฯลฯ ทุกครั้งที่เอ่ยถึงวงคู่วงนี้  เรื่องราวนี้ได้มีการนำมาถ่ายทำเป็นหนังยาว  ผมเพิ่งมีโอกาสได้ดู (บางส่วน) เมื่อ youtube ถือกำเนิด



เพลงแนว Surf Music ยังมาดังในภาคบรรเลงด้วย  วงที่นำมาคือ The Ventures และ The Surfaris ผมเคยนำเสนอไปเมื่อไม่นาน  

พรุ่งนี้เป็นควันหลงของควันหลง
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 438  เมื่อ 24 มิ.ย. 25, 18:40

จาก clip นี้ (เพลงเดิม)



ผู้หญิงที่ส่งไมค์ให้คือ Lesley Gore  เธอมีผลงานดังในบ้านเราในยุค golden oldies ด้วยเพลง Just Let Me Cry  ดังสนั่นหวั่นไหว

ผมจะนำงานที่เขียนไว้นานแล้วมาลงใหม่นะ

Lesley Gore เป็นนักร้องในยุคต้น 60s   ในวัยเพียง 17 ขวบ เธอประเดิมอาชีพนักร้องด้วยเพลงดังสนั่นที่อเมริกาในปี 1963 ชื่อเพลง It’s my party

เธอเกิดปี 1946  อ่อนกว่า Helen Reddy, Carly Simon  และเท่ากับ Linda Ronstadt  แต่ความที่เธอดังเร็วกว่า  เลยกลายเป็นนักร้องในยุค 60s  ขณะที่ HR (เกิด 1941)  CS (เกิด 1943)  เกิดก่อนแต่ดังช้ากว่าจึงกลายเป็นนักร้องในยุค 70s  ซึ่ง 2 ยุคนี้มีแนวเพลงต่างกัน  ส่วน LR เกิดปีเดียวกันแต่ดังทีหลังก็เลยกลายเป็นนักร้องในยุค 70s เช่นกัน

ความดังของเพลง It's ฯ นี้นอกจากทำนองติดหูแล้ว เนื้อร้องยังน่าสนุก แถมน้ำเสียงของเธอก็ไปกันได้ดี  เนื้อเพลงกล่าวถึงสาวน้อย Lesley (ในเนื้อเพลงไม่ได้บอกว่าเธอชื่ออะไรก็เลยเหมาเอาว่าคือคนร้องนั่นแหละ) ที่โดนแฟนหนุ่ม Johnny และเพื่อนสาวคนสนิท Judy พร้อมใจกันหักหลังด้วยการแอบไปคั่วกันเอง  หนำซ้ำยังควงกันมาหยามหน้าในงานวันเกิดของเธอ

เนื้อเพลงน้ำเน่าแบบนี้ถูกใจวัยรุ่นวุ่นรักโดยเฉพาะสาว ๆ ในยุคนั้นต่างกรี๊ดกันสลบ  ส่งผลให้ยอดขายพุ่งหน้าตั้งไปติดอันดับหนึ่งของตารางเพลง billboard  และค้างอยู่นานถึง 2 สัปดาห์ซึ่งในยุคนั้นหานักร้องหญิงทำสถิติแบบนี้ได้ยาก

กระแสรุนแรงแบบนี้ทำให้ บ. แผ่นเสียงต้นสังกัด  ใช้กลยุทธ์น้ำขึ้นให้รีบตัก  ไม่รอช้าที่จะจับเธอมาร้องเพลงที่ 2  ออกสู่ตลาดตามมาติด ๆ ภายในช่วงเวลาห่างกันเพียง 2 เดือน
 
เนื้อเพลงของเพลงที่ 2 ที่ชื่อ Judy’s turn to cry นี้เป็นตอนต่อจากเพลงแรก  กล่าวถึงในที่สุด Johnny แฟนหนุ่มของเธอก็กลับใจแล้วทิ้งโค้งวกกลับมาหาเธอ (ด้วยสาเหตุอะไรต้องฟังเพลงเอา) เป็นชัยชนะของสาวน้อย Lesley เหนือนัง Judy  เพื่อนจอมหักหลัง  (เป็นผมละก็ขอตบไอ้ ‘หน้าหม้อ’ Johnny ซัก 40 ทีก่อนแล้วค่อยรับกลับเข้ามาในอ้อมกอด)

เพลงที่ 2 นี้ดังตามคาดแม้จะไม่ถล่มหูเท่าเพลงแรก  อย่างไรก็ตาม 2 เพลงดังกล่าว  ความที่เป็นเพลงที่มีเนื้อหาต่อเนื่องกันเหมือนหนังชุดทางทีวี และออกอากาศในเวลาไล่หลังกันไม่นาน  เหล่าดีเจวิทยุจึงสนุกกับการเปิดเพลงทั้งสองติดต่อกันไป

นี่คือเรื่องราวความรักของสาวน้อย Lesley ที่ชาวอเมริกันร่วมยุคล้วนได้ยินมานมนาน


ตัดฉาก...

ในปี 1986 เพื่อนผมคนหนึ่งซื้อแผ่นเสียง Lesley Gore, the Anthology มาให้  ผมดีใจจนเนื้อเต้น  ที่ถึงกับเนื้อเต้นเพราะเธอไม่เอาตังค์  ถ้ามาคิดตังค์ทีหลัง  ผมคงต้องเปลี่ยนจาก ดีใจจนเนื้อเต้น เป็น ดีใจมาก

แผ่นเสียงชุดนี้ทำออกมาในโอกาสพิเศษเพราะปี 1986 นั้นหมดยุคของ LG ไปแล้ว  มันเป็นแผ่นคู่  คือมี 2 แผ่นเสียงอยู่ในซอง  ซึ่งหมายความว่าซองเป็นแบบ gatefold  คือเปิดกางได้  ชื่อแผ่นถ้าแปลแบบกันเองก็คือแผ่นรวมเพลงของเธอนั่นเอง 
 



เมื่อเปิดซองใส่แผ่นฯ กางออกมานอกจากมีรูปของนักร้องแล้วยังมีตัวหนังสือยุ่บยั่บ  ผมลงมืออ่านโดยยังไม่ต้องฟังเพลง  ตัวหนังสือเล่าความเป็นมาของเพลง singles ต่าง ๆ ที่ LG ร้องเริ่มตั้งแต่เพลงแรกคือ It’s ฯ และเพลงที่สองคือ Judy’s ฯ ความเป็นมาของทั้ง 2 เพลงนี้ก็รู้ ๆ กันอยู่แล้ว  แต่พอมาเพลงที่ 3 นี่ซิ  ผมอ่านอย่างขะมักเขม้น  ข้อมูลบอกว่า เนื้อเพลงของเพลงที่ 3 นี้คือส่วนที่หายไปอันเป็นตอนกลางของเรื่องความรักของหนู Lesley 

เนื้อของเพลงที่ 3 นี้เริ่มต้นหลังจาก Johnny แฟนหนุ่มหน้าหม้อทรยศไปหลงระเริงกับเพื่อนซี้ตัวแสบ Judy  ทำให้หนู Lesley อกหักดังเป๊าะ  ต้องไปนั่งคร่ำครวญหวนไห้ฟาดงวงฟาดงากับดวงดาวบนท้องฟ้า  ความจริงนี่ลำดับของเพลงนี้ต้องเป็นเพลงที่ 2  แล้วจึงตามมาด้วยเพลง Judy’s ฯ เป็นเพลงที่ 3  อันเป็นตอนจบแบบ happy ending   แต่ทำไม บ.แผ่นเสียงถึงเน้นเพลงแค่ 2 ตอนจบก็ไม่รู้ 

พล่ามมานาน  ตานี้มาฟังชีวิตรัก (เน่า ๆ) ที่เรียงตามลำดับครบชุดของหนู Lesley กัน

ตามลำดับเหตุการณ์  นี่คือเพลงแรก It’s my party



มาเพลงที่สองชื่อ Just let me cry นี้เป็นเพลงที่วิทยุบ้านเราเอามาเปิดและกระหน่ำเปิดจนนักฟังเพลงฝรั่งร่วมยุครู้จักเป็นอย่างดี  ในขณะที่  ในช่วงเวลานั้น  บ้านเขาไม่เคยได้ยินเพราะมันไม่ใช่ single  ดีเจวิทยุจึงไม่มีสิทธิเปิดออกอากาศ  เพราะติดลิขสิทธิ์  สำหรับ 2 singles คือ It’s My Party กับ Judy’s Turn to Cry ที่เล่ามาข้างต้นนั่นผมไม่เคยได้ยินในยุคของมัน  ไม่รู้มีใครเคยได้ยินบ้าง  ที่ผมไม่เคยได้ยินอาจเป็นเพราะยังเด็ก  ยังไม่รู้จักการหมุนปุ่มหาคลื่นบนหน้าปัดวิทยุ  แต่เพลง Just ฯ นี้ฮิตมายาวนานหลายปี  ไม่ว่าจะหมุนปุ่มไปทางซ้ายหรือขวาเป็นต้องได้ยิน  ได้ยินตั้งแต่จำความได้จนกระทั่งผมโตอยู่ ม. ต้นแล้วก็ยังคงได้ยินอยู่ประปราย  มันกลายเป็นอีกหนึ่งเพลงโปรดตลอดกาลของผม

ตอนที่เพื่อนซื้อแผ่นเสียงมาให้ผมถึงดีใจจนเนื้อเต้น เพราะนอกจากจะได้ฟรีแล้วยังมีเพลงนี้ของเธอรวมอยู่ด้วย  ความจริงผมก็มีเพลงนี้อยู่แล้วแต่อยู่ใน cassette tape  เพลง It’s ฯ นั้นเคยได้เห็นเพียงชื่อกับรู้ความดังของมัน ไม่เคยได้ยินตัวเพลง  ส่วนเพลง Judy's ฯ นี่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ทำนองเพลง Just ฯ นี้ผมว่าเพราะไม่แพ้ 2  singles นั้นเลย 



และจบเรื่องด้วยเพลงที่ 3 คือ Judy’s turn to cry



Fun fact คือ ในเนื้อเพลงชุดนี้  หนู Lesley เป็นสาวน้อยถวิลรัก  แต่ LG สาวน้อยคนร้องเป็น lesbian จากการสัมภาษณ์เธอเล่าว่ารู้สึกชอบผู้หญิงมาตั้งแต่ก่อนอายุ 20 โน่น  วงการมายานี่สนุกจริง ๆ


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 439  เมื่อ 25 มิ.ย. 25, 18:24

ข่าวแทรก  เรื่องอะไร  คงรู้กัน

ในยุคปลาย 60s มีนักร้องขวัญใจวัยรุ่นเกิดขึ้นมา 1 คนคือ Bobby Sherman เธอเล่นหนังทีวีแล้วก็ร้องเพลงด้วย  แต่ผมจำอะไรไม่ได้เลย  จำได้แต่ชื่อกับรูปภาพที่ลงกันครึกโครมในหนังสือ starpics และหนังสือเพลง 3 หัว  ไม่รู้หนังทีวีของเธอมาฉายบ้านเรารึเปล่า  แล้วก็จำไม่ได้ว่าเคยได้ยินเพลงของเธอทางวิทยุด้วย  เพราะจำได้แต่ชื่อเพลงจากสื่อดังกล่าว  นึกทำนองไม่ออก  ความจริงดังขนาดนี้น่าจะเคยได้ยินบ้าง  ในจำนวนนี้มี 4 เพลงซึ่งขายดีขนาดได้แผ่นเสียงทองคำ  อยากฟังมานานว่ามันเพราะยังไง  จนกระทั่งถึงยุค CD  แล้วก็มาได้เห็นตัวเป็น ๆ ของเธอในยุค อตน. (youtube)  ถึงเข้าใจว่าทำไมในยุคนั้นสาว ๆ (คงมีหนุ่ม ๆ ด้วยแหละ) ถึงคลั่งไคล้เธอ  เสน่ห์แพรวพราว









เพลงสุดท้ายของเธอที่เข้าอันดับ billboard



เธอเคยรับเชิญไปเล่นในตอนหนึ่งของหนังทีวีชุด แม่หม้ายลูกติด ด้วย  จำไม่ได้ว่าตอนนี้มาฉายบ้านเรารึเปล่า



พออิ่มกับชื่อเสียง  เธอก็หันหลังให้กับแสงสีเสียง  ผมรู้เรื่องมาจากหนังสือ starpics  ตอนนั้นชื่นชมว่าเธอมีวิสัยทัศน์จัง  ไม่หลงระเริงกับวงการมายา  ทั้งหล่อทั้งฉลาด  ยิ่งอยากฟังเพลงอยากเห็นตัวเธอเป็น ๆ เข้าไปใหญ่  พอถึงยุค CD ก็คว้ามั้บ

In 1974, eventually, he left the public spotlight and became a paramedic. He volunteered with the Los Angeles Police Department, working with paramedics and giving CPR and first aid classes. He became a technical Reserve Police Officer with the Los Angeles Police Department in the 1990s, a position he still held as of 2017. For more than a decade he served as a medical training officer at the Los Angeles Police Academy, instructing thousands of police officers in first aid and CPR. He was named LAPD's Reserve Officer of the Year in 1999.

Sherman also became a reserve deputy sheriff in 1999 with the San Bernardino County Sheriff's Department, continuing his CPR and emergency training of new deputy hires. He retired from the sheriff's department in 2010.




ข่าวล่าสุด... เธอเพิ่งตายไปเมื่อ 24 มิ.ย. 2025 ด้วยโรคมะเร็ง  อายุ 81 ปี
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 440  เมื่อ 26 มิ.ย. 25, 18:13

กลับมาคุยเรื่องผลงานของ Lesley Gore ต่อให้จบ

อย่างที่เล่าว่าในยุคนั้น LG  เธอดังมาก  เธอออก singles มาให้ (บ้านเขา) ฟังมากมาย  แต่เท่าที่รำลึกได้ในฐานะเด็กถูกผีเพลงสิง  ไม่มีเพลงไหนเล็ดลอดมาเข้าหูผมเลย  มีเพลง Just let me cry เพียงเพลงเดียว  แถมไม่ใช่ single เสียด้วย  ทำไมก็ไม่รู้ 

เพลงแรกนี้ดังเป็นอันดับ 2 ของอาชีพนักร้องของเธอ













ในปี 1966 LG ได้รับเชิญไปเล่นหนังทีวี Batman ผมจำไม่ได้ว่าตอนนี้มาฉายในบ้านเรารึเปล่า  นี่คือเพลงดังเพลงสุดท้ายของเธอ
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 441  เมื่อ 27 มิ.ย. 25, 18:06

ข่าวแทรกอีกแล้ว  เดือนนี้  ‘ย้ายถิ่น’ กันเป็นใหญ่

เอ่ยชื่อศิลปินคนนี้  หาคนรู้จักยาก  แต่จริง ๆ แล้วนักฟังเพลงฝรั่งร่วมยุคและชอบดูหนังทีวีฝรั่งด้วยรู้จักดีทุกคน  ตอนนั้นเพลงนี้ได้ยินทุกอาทิตย์นานเป็นปีเลยละ

Lalo Schifrin (1932 – 26 มิ.ย. 2025)



บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 442  เมื่อ 27 มิ.ย. 25, 18:12

ย้อนกลับไปที่ Brian Wilson ผู้ก่อตั้งวง The Beach Boys  เธอมีลูกสาวคนหนึ่งที่ต่อมาก่อตั้งวงดนตรีและดังด้วยแต่มันอยู่ในยุคปลาย  ผมจำได้แค่ชื่อเพลง  บางเพลงก็แค่ทำนองคุ้นหู 

วง Wilson Phillips   สมาชิกของวงล้วนเป็นลูกสาวของสมาชิกวงดังในยุค 60s คือ The Beach Boys กับ The Mamas & the Papas มาฟังผลงานดังของวง  ดูซิใครคุ้นหูบ้าง





(อ๊ะ... เพลงนี้คุ้นหู)



(แล้วก็เพลงนี้  น่าจะเป็นเพราะต้นฉบับเป็นเพลงดังหูหนวกของ Elton John)



บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41305

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 443  เมื่อ 28 มิ.ย. 25, 11:52

ขอร่วมรำลึกถึง  Bobby Sherman  ขวัญใจวัยรุ่นในวงการเพลงของอเมริกายุคปลายทศวรรษ 1960  ต่อมาจนถึงต้น 1970  ก่อนจะอำลาวงการบันเทิงไปเป็นอาสาสมัครของกรมตำรวจลอสแองเจลิส ทำงานร่วมกับพยาบาลฉุกเฉิน ก่อนทำงานให้กรมตำรวจเป็นเจ้าหน้าที่ฝึกอบรมการแพทย์ที่ Los Angeles Police Academy โดยฝึกสอนการปฐมพยาบาลและการช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน (CPR) ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ  เขาได้รับเลือกให้เป็นเจ้าหน้าที่สำรองแห่งปีของ LAPD ในปี 1999

นอกจากนี้ เชอร์แมนยังได้รับตำแหน่งรองนายอำเภอสำรองในปี 1999 กับกรมตำรวจเขตซานเบอร์นาดิโน  ทำหน้าที่ฝึก CPR และฉุกเฉินให้กับรองนายอำเภอที่รับเข้าใหม่ เขาเกษียณจากกรมตำรวจในปี 2010  ก่อนถึงแก่กรรมในวัย 81 ปีด้วยโรคมะเร็ง

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41305

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 444  เมื่อ 28 มิ.ย. 25, 11:55

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 445  เมื่อ 28 มิ.ย. 25, 18:15

เมื่อวานเข้าไปแหยมแดนของศิลปินประเภท Girl Group  

Girl group นี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ผมยังไม่รู้จักฟังเพลงโน่น  ตั้งแต่ก่อนยุครายการ Golden Oldies  ของบ้านเราเสียอีก  เช่น

The Andrew Sisters (รู้จักผ่านทางพ่อซึ่งเป็นทหาร)



ในยุคปลาย 50s ข้ามมา 60s  นี่  ผมว่า Girl Group ในยุคนี้มีมากที่สุด  ดัง ๆ ทั้งนั้น  ทุกวงมีผลงานมากระหึ่มในบ้านเรา  ซึ่งผมนำเสนอไปเกลี้ยงแล้ว

ที่ดังจากรายการ Golden Oldies เช่น

The McGuire Sisters


The Chordettes


The Paris Sisters


The Chiffons



จากรายการอื่น ๆ ก็เช่น

The Supremes


The Shirelles


The Crystals


The Marvelettes


Martha & the Vandellas


The Ronettes



เป็นอาทิ  ถ้าจะสังเกต  Girl Group ดัง ๆ ส่วนใหญ่ผิวดำทั้งนั้น

มีต่อ...
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41305

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 446  เมื่อ 28 มิ.ย. 25, 18:33

ขอแถมอีกกลุ่ม  จนบัดนี้ก็บางคนเกษียณตัวเองแล้ว แต่บางคนก็ยังร้องอยู่ค่ะ  The Lennon Sisters
ร้องมาตั้งแต่น้องนุชสุดท้องยังเป็นเด็กประถมหรือม.ต้น   จนเป็นสาว แล้วก็เป็นย่ายายแล้ว
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41305

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 447  เมื่อ 28 มิ.ย. 25, 18:33

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 448  เมื่อ 29 มิ.ย. 25, 18:22

เข้ามายุคผม  ก็มี Girl Group เหมือนกัน  มีเท่าไรไม่รู้  แต่ที่วิทยุเอามาเปิดให้ฟังมีจำนวนน้อยกว่านะผมว่า  ตอนต้นถึงกลาง 70s นึกได้เท่านี้

The Three Degrees


Love Unlimited


LaBelle



ล้วนดังกันเพลงเดียวทั้งนั้น

แล้วก็ข้ามมาปลาย 70s  ที่โด่งดังมากเป็นวง rock หญิงล้วนชื่อ The Go-Gos  วิทยุบ้านเราเปิดผลงานของวงนี้หลายเพลง  แต่ผมไม่ชอบสักเพลง  เพลงแรกนี้เป็น single ที่ดังที่สุด







วงโลดแล่นอยู่ได้แค่ 4-5 ปีก็ยุบ  นักร้องนำ Belinda Carlisle ออกมาเป็นศิลปินเดี่ยว  วิทยุเปิดเพลงดังของเธออย่างแน่นอนแต่ผมจำได้อยู่ 2 เพลง  เพลงแรกไม่เข้าข่ายสนใจแต่มันดังมาก  บังคับให้ผมต้องสนใจ  ส่วนเพลงที่สองผมสนใจโดยสมัครใจ  เพราะดี





ในยุคเดียวกันนั้นก็มีวง rock หญิงล้วนอีกหนึ่งวงชื่อ The Bangles  เพลง single ของวงนี้ฟังไม่หนักเท่าวง The Go-Gos  เท่าที่นึกออกก็





แล้วก็ 2 เพลงดังมากถึงมากที่สุด  ครองหน้าปัดวิทยุอยู่หนึ่งช่วงเวลา



(ถ้าไม่ได้เห็น MV ก็จะไม่รู้เลยว่าสมาชิกของวงผลัดกันร้องเพลงนี้  สมัยฟังจากลำโพงวิทยุนึกว่าร้องอยู่คนเดียว)


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2156


ความคิดเห็นที่ 449  เมื่อ 30 มิ.ย. 25, 18:20

เท่าที่สดับตรับฟังมา วง girl group ที่โด่งดังที่สุดในยุค 70s และข้ามมาถึงต้น 80s ไม่มีวงไหนเกิน The Pointer Sisters 

The Pointer Sisters มีสมาชิกประกอบด้วยพี่น้อง 4 สาว  แต่อยู่กันครบ 4 เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ  วิทยุบ้านเราเริ่มเปิดเพลงของพวกเธอกันกว้างขวางในปลายยุค 70s  เพลงนี้เป็นเพลงแรกที่ทำให้ผมรู้จักพวกเธอ



เพลงนี้ทำให้นึกถึงความหลังที่ยังแจ่มชัด  เพลงออกมาในปี 1978 เป็นช่วงเวลาที่ผีเพลงสิงผมอย่างเหนียวแน่น  ได้ฟังเพลงครั้งแรกทางวิทยุ (อย่างแน่นอน) แค่ช่วงขึ้นต้นก็ติดใจแบบหูผึ่ง  พลางเลยเถิดไปถึงอยากได้แผ่นเสียงเป็นอย่างมาก  จะได้ไม่ต้องง้อวิทยุ

ตอนนั้นยังเรียนอยู่  ยังหาเงินเองไม่เป็น ต้องแบมือขอผู้ปกครอง  ผู้ปกครองให้เงินมาเป็นแบบเงินเดือน  เอาไปบริหารเอาเอง  ถ้าบริหารผิดเงินหมดก่อนสิ้นเดือน  เป็นความล้มเหลวของแก 

เงินเดือนนี่ถ้าจำไม่ผิดเดือนละ 800 (+/-) บาท  แต่ผมก็อยู่ได้  อย่างสบายหรือเปล่าจำไม่ได้  อย่างไรก็ตาม  การบริหารการใช้เงินของผมไม่เคยล้มเหลว  เพราะอย่างนี้มั้งผมถึงเก็บเงินเก่ง  ไม่เคยไถเงินผู้ปกครอง  อยากได้อะไรก็เริ่มต้นวางแผน  แล้วก็ได้ตามที่ต้องการ

กลับมาที่การใช้เงิน  ถ้าเป็นเด็กปกติ  800 บาทต่อเดือนนี่สบาย ๆ  ก็สมัยนั้นไม่มีสิ่งล่อใจอยู่รอบตัวทุกองศาเหมือนเดี๋ยวนี้  แต่ผมผิดปกติ เพราะผมมีแหล่งให้ใช้เงินมากกว่าชาวบ้านคือ  ดูหนังทุกอาทิตย์  แถมสูบบุหรี่และต้องบุหรี่นอกด้วย  แต่ไม่กินเหล้า  กินไม่เป็น  ขมจะตายไป  และที่แหวกแนวกว่าเด็กอื่น ๆ คือผมเล่นแผ่นเสียง  ซื้อแผ่นเสียงเป็นประจำ
 
แผ่นเสียงนี่ถือเป็นของฟุ่มเฟือย  เพราะมันไม่มีความจำเป็น  ฟังทางวิทยุเอาก็ได้  อีกทั้งยังมีราคาแพง  แต่ผมติดกับ  เลยต้องก้มหน้าก้มตารับชะตากรรม  แผ่นเสียงที่มีขายในบ้านเราแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ แผ่นจากเมืองนอก (ในที่นี้ผมหมายถึง อเมริกา ประเทศเดียวเพราะวิทยุเปิดเพลงจากฝั่งอเมริกาเป็นส่วนใหญ่) มีราคาแพง  คือประมาณ 300 บาทบวกลบ  แต่วัสดุดี  ซองใส่แผ่นทำด้วยกระดาษแข็งอย่างดี  ภาพคมสวย  หุ้มพลาสติกใสแน่นหนากันตัวแผ่นฯ ร่วง  ซองในใส่แผ่นมักมีรูปสวยงาม  บางทีก็แถมเนื้อเพลง  บางซองก็เป็นแบบ gatefold  (น่าจะคุ้นเคยกับคำนี้แล้ว)  คนในวงการฯ เรียกว่า แผ่นนอก

อีกประเภทก็แผ่นก๊อปปี้  แผ่นก๊อปปี้นี่ไม่ได้หมายถึงแผ่นผี  แต่หมายถึงแผ่นก๊อปปี้อย่างถูกกฎหมายสากล  ทำมาเพื่อขายในตลาดแถบเอเซียที่มีค่าครองชีพต่ำกว่า  บริษัทใหญ่เจ้าของลิขสิทธิ์คือ บ. EMI สาขา ฮ่องกง บ้าง สิงคโปร์ บ้าง  แผ่นพวกนี้ราคาถูกคือประมาณ 100 บาทหน่อย ๆ  เพราะต้นทุนมันถูก  วัสดุจึงห่วย  ซองใส่แผ่นทำด้วยกระดาษแข็งแบบบางเหมือนกล่องใส่ตะโก้  สีสันบนปกไม่สดใสเท่าแผ่นนอกเพราะสำเนามาอีกที  แถมไม่มีแผ่นพลาสติกใสหุ้ม  เปิดโป้งโล้ง  ถ้าหยิบไม่ระวัง  ตัวแผ่นฯ ร่วงออกมาง่าย ๆ  ส่วนซองในใส่แผ่นฯ ทำด้วยพลาสติกเนื้อขุ่น  ตัวแผ่นเสียงเองก็เนื้อบางกว่า... ประมาณนี้  สรุป ห่วย in every way  ดีอย่างเดียวคือ ราคาถูก

บ. EMI ไม่ได้ซื้อลิขสิทธิ์ของทุกบริษัทแผ่นเสียงในอเมริกา  ฉะนั้นศิลปินใดที่อยู่ในสังกัด บ. แผ่นเสียงที่ไม่ได้ขายลิขสิทธิ์ให้ บ. EMI เอาไปทำแผ่นก๊อปปี้  จึงไม่มีแผ่นก๊อปปี้ของศิลปินนั้น ๆ วางขายในราคาถูก  ถ้าอยากได้ก็ต้องใช้ความสามารถพิเศษในการเสาะหาแหล่งที่ขายแผ่นนอก

โหมโรงมานานเพื่อจะบอกว่า  บ. แผ่นเสียงต้นสังกัดของ The Pointer Sisters นั้น  ไม่ได้ขายลิขสิทธิ์ให้ บ. EMI  ดังนั้น ถ้าอยากได้ก็ต้องตามหาแผ่นนอก อย่างเดียว

วันหนึ่งผมไปเดินเล่นที่ศูนย์การค้าอินทรา  ผมเห็น album ของวงนี้ที่มีเพลง Fire วางอยู่ในร้านขายเครื่องเสียง  ไม่ใช่ร้านขายแผ่นเสียง  แผ่นฯ วางอยู่ในตู้โชว์หน้าร้าน (ขณะเขียนอยู่นี้ยังนึกภาพนี้ได้ชัดแจ่มใสเหมือนเพิ่งไปเห็นมา)  ผมพยายามเล็งมองหาราคา  ราคาเท่าไรก็จำไม่ได้แล้ว  ก็กี่สิบปีมาแล้วใครจะไปจำได้  จำได้แต่ว่าโคตรแพง  แพงกว่าราคาทั่วไปของแผ่นนอก  สรุปไม่กล้าเสี่ยงซื้อ  กลัวเงินหมดโดยใช่เหตุ (เหตุคือ ความบ้า)

เวลาผ่านไปหวือ ๆ  วันนั้นผมไปเดินในห้างเซ็นทรัลสีลม  ห้างประจำตัว  ขณะเดินขึ้นไปสำรวจแผ่นเสียงบนชั้น 5  ที่ชั้น 4 ผมเห็นเทป cassette ชุดเดียวกับแผ่นเสียงแผ่นนี้ของวงวางขายอยู่บนชั้นหลังเคานเตอร์ (เกริ่นนิดว่า สมัยนั้นงานเพลงของศิลปิน  นอกจากจะออกขายในรูปแบบของแผ่นเสียงแล้ว  ยังมีแบบเป็นเทป cassette ขายด้วยซึ่งราคาถูกกว่า  นัยว่าเอาไว้ฟังในรถ  ก่อนหน้านี้เป็นเทป 8-track ซึ่งผมเคยแค่เห็น  เล่นไม่เป็น)  ผมหยุดกึกและจ้องดู  ดูราคา  แน่นอนจำไม่ได้แล้วว่าเท่าไร  จำได้แต่ว่าเฉียด 100  ในขณะที่เทป cassette ผีที่ขายตามแผงริมถนนราคาประมาณตลับละไม่กี่สิบบาท




ผมยืนนิ่งจ้องเทปตลับนั้นเหมือนโดนสาป  กำลังชั่งใจว่าเอาดีมั้ยว้า  ถ้าเกิดฟังได้เพลงเดียวทำไง  อีกใจก็บอกว่า  ก็ยังดีกว่าซื้อแผ่นเสียง  สรุปแล้วผมซื้อ  แบบไม่เต็มใจ  ตั้งร่วม  100 บาท  กินข้าวได้ตั้งกี่มื้อ

พอรู้ว่าผมตกลงใจซื้อ คนขายถามว่าอยากลองฟังมั้ย  ผมก็เลยเลือกฟังเพลง Fire นี้โดยไม่รอช้า  คนขายฉีกแผ่นพลาสติกหุ้มตลับเทปออก  เอาใส่ชุดเครื่องเสียงขนาดย่อมแล้วกรอหาเพลงที่ว่าอย่างชำนาญ  พอได้ที่ก็กด play  ซึ่งเริ่มต้นด้วยตอนท้ายของเพลงก่อนหน้า  พอจบก็ขึ้น intro ของเพลง Fire  มันเพราะมากจริง ๆ  ฟังกี่ที ๆ ก็ไม่เบื่อ

 
ตอนนั้นมีฝรั่งเพศหญิงยืนอยู่ใกล้ ๆ เธอกำลังทำอะไรอยู่ก็จำไม่ได้  แต่พอได้ยิน intro ของเพลง Fire นี้ปั๊บ  เธอฮัมตามทันที  แสดงว่ารู้จักเพลงนี้  ผมจำได้ไม่มีลืมว่าเธอหันมาบอกผมว่า ‘Best song ever’  ผมละปลื้ม  ลืมความพะวงเรื่องกลัวผิดหวังกับเพลงอื่น ๆ ในตลับเทปไปในทันที

พอกลับมาบ้านผมรีบเอาตลับเทปใส่เครื่องวิทยุแล้วฟัง  ผลเป็นไปตามที่คาดไว้คือฟังได้เพลงเดียว


จากเพลง Fire นี้ที่ได้รับความนิยมจนถึงขั้นได้แผ่นเสียงทองคำ หลังจากนั้นผลงานของวงฯ นี้ก็เป็นขาประจำของเหล่าดีเจ



(2 เพลงนี้เปิดบ่อยจนเลี่ยนไปเลย)


เพลงนี้ออกอากาศไม่บ่อยเท่า  ไม่เลี่ยน  ผมเลยชอบ



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 28 29 [30] 31
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.103 วินาที กับ 19 คำสั่ง