เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 17 18 [19] 20 21 ... 34
  พิมพ์  
อ่าน: 86114 Yesterday Once More...
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2226


ความคิดเห็นที่ 270  เมื่อ 14 ม.ค. 25, 18:30

เปลี่ยนบรรยากาศหน่อย...

ในยุค golden oldies มีนักร้องชื่อ Frankie ที่ดังอยู่ 2 คน  คนแรกมีนามสกุลว่า Valli  เธอมีอายุมากกว่าและดังยาวนานกว่า  เธอเป็นสมาชิกหนึ่งของวง The Four Seasons  ส่วนอีก 1 Frankie คือคนนี้  Frankie Avalon  ตอนเด็ก ๆ ผมได้ยินแต่ 2 เพลงนี้ซึ่งเป็น signature songs ของเธอ

(ว้าววว... เพิ่งเคยเห็นตัวเป็น ๆ  ครั้งแรก  ลุงโคตรหล่อเลย  เคยเห็นแต่รูปนิ่งมานานนม  ดูไม่เท่าไร)




ต่อยอด...

(ลุง Bobby Rydell มีคู่แข่งแล้ว)






บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41493

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 271  เมื่อ 14 ม.ค. 25, 18:41

เขาเป็นขวัญใจวัยรุ่น Teen idol ของหนุ่มสาวยุคเบบี้บูมเมอร์ส     เพลงฮิทติดอันดับหลายเพลงค่ะ
เป็นหนุ่มหล่อมาดสะอาดเรียบร้อย ร้องเพลงหวานหู   เล่นหนังวัยรุ่นด้วย


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41493

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 272  เมื่อ 14 ม.ค. 25, 18:44

แสดงกับสาวน้อยอดีตดาราเด็กของดิสนีย์  Annette Funicello  เล่นหนังที่เรียกกันว่า Beach parties   คือใช้ฉากชายหาดที่วัยรุ่นไปชุมนุมกันเล่นวินด์เซฟ    ยุคนั้นยังไม่เล่นยากัน

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2226


ความคิดเห็นที่ 273  เมื่อ 15 ม.ค. 25, 18:04

ขอบคุณ ‘จาร สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมครับ

วันนี้คุยถึงอีกหนึ่ง Frankie คือ Frankie Valli

พอโตขึ้นมา  มีประสบการณ์ในด้านเพลงเป็นรูปเป็นร่างขึ้น  ผมก็รู้ว่าวง The Four Seasons นี่ดังมาตั้งแต่ยุคที่รายการ Golden Oldies ครองตลาดหูนักฟังเพลงฝรั่งในบ้านเรา  แต่ผมกลับจำไม่ได้ว่าเคยได้ยินเพลงของพวกเขาทางรายการนี้  กลับจำได้ว่าได้ยินมาจากคลื่นเพลงฝรั่งอื่น ๆ

เพลงในยุคนั้นที่บ้านเรารู้จักดีคือเพลงอันดับ 1 ล้วน 4 เพลงนี้

วงนี้เด่นที่เสียงนักร้องนำ เธอใช้เสียงดัดที่เรียกว่า falsetto voice มาร่วมผสมกับเสียงปกติ เธอชื่อ Frankie Valli








มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2226


ความคิดเห็นที่ 274  เมื่อ 16 ม.ค. 25, 18:05

หลังจากยุค golden oldies  เพลงของ The Four Seasons ก็ยังมีให้ได้ยินอย่างต่อเนื่อง





(เพลงนี้เป็นเพลงเดียวในตอนนั้นที่ไม่รู้ว่าชื่ออะไร)





(เพลงนี้ต่อมาในกลางยุค 70s  กลับมาดังแผ่ว ๆ ด้วยเสียงร้องของ Donny Osmond (รอคิว))

เอาเป็นว่าเพลงเหล่านี้ของพวกเขาดังออกมาจากลำโพงวิทยุบ้านเรา เพลงนี้เพลงโน้นต่อเนื่องกันนานเป็นสิบปี  จนถึงยุคที่ผีเพลงเข้าสิงผมแนบแน่น  วงของพวกเขาก็ยังมีเพลงดังอยู่เลย  2 เพลงนี้ไง

(เพิ่งรู้เนี่ยว่าเป็นผลงานของวงนี้  ได้ยินมาตั้งนานโดยไม่รู้ชื่อคนร้อง)


(เพลงนี้เปลี่ยนนักร้องนำ  FV เข้ามาแซมเป็นบางช่วง  เพลงดังทั้งใน 2 ฝั่งฟ้า  ขึ้นถึงอันดับ 1  มันอยู่ในช่วง disco)


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2226


ความคิดเห็นที่ 275  เมื่อ 17 ม.ค. 25, 18:14

มีบางช่วงเวลาที่นักร้องนำ Frankie Valli ผันผายมาเป็นศิลปินเดี่ยว  เพลงภายใต้ชื่อของเธอนี้เข้ามาอาละวาดในบ้านเราอยู่จำนวนหนึ่ง  เพลงแรกนี้เรียกได้ว่าเป็นเพลงอมตะในบ้านเรา  มาในยุคคาราโอเกะต้องมีเพลงนี้สอดแทรกอยู่เสมอ



กลางยุค 70s  เพลงแรกนี้ดังมาก




นักร้องหญิงที่ให้เสียงประกอบคือ Patti Austin  ในขณะนั้นเธอยัง 'โนเนม' ในบ้านเรา  แม้แต่ผมก็ไม่รู้จัก  ความจริงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสียงผู้หญิงในเพลงคือใคร  เพราะไม่มีข้อมูลให้ค้น  ดีเจก็ไม่บอก (ก็คงไม่มีข้อมูลให้บอกเหมือนกัน)  มารู้ในยุค อตน.  รู้แล้วก็ฉงนฉงายว่าใช่คนเดียวกันป่าว  เพราะในเพลงนี้เธอมีหน้าตาไม่เหมือนกับที่จำได้  ที่จำได้เธออ้วนแล้ว  ชื่อของเธอเข้ามาดังในบ้านเราในต้น 80s  กับเพลงนี้  ดังสนั่นเลื่อนลั่นเลยละ

(ไงล่ะ  เห็นเธอในเพลงนี้แล้วควรจะฉงนฉงายมั้ย  เวลาห่างกันแค่ 6-7 ปีเอง  นักร้องชายคือ James Ingram  ผมลงผลงานของเธอไปนานแล้ว  แบบว่า ตายไปแล้ว)

เพลงนี้เป็นเพลงดังเพลงเดียวของ PA  เธอจึงเข้าข่ายศิลปิน one hit wonder  นอกจากเพลง Babyฯ  ผมยังได้ยินอีกเพลง



กลับมาที่ Frankie Valli เธอมาดังอีกครั้งกับเพลงนี้  ดังสนั่น  โดยไม่ต้องพ่วงคำธิบายใด ๆ



ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของวง The Four Seasons คือ Bob Gaudio  เธอเป็นสมาชิกที่เข้ามาเป็นคนสุดท้าย  ทำหน้าที่ keyboarder  เธอมีความคิดสร้างสรรค์อย่างเหลือเชื่อ  กุมบังเหียนทั้งแต่งเพลงและอำนวยการผลิตที่ล้วนออกมาดัง ๆ ทั้งสิ้น



พรุ่งนี้เป็นตอนสุดท้าย  อย่าเพิ่งเบื่อนะ
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2226


ความคิดเห็นที่ 276  เมื่อ 18 ม.ค. 25, 18:16

ในปี 2014  Clint Eastwood ดาราใหญ่ที่ผันตัวมาเป็นผู้กำกับและผลิตผลงานที่มีคุณภาพออกมาอย่างต่อเนื่อง  สร้างหนังชื่อ The Jersey Boys  ออกฉาย
 
หนังดัดแปลงมาจากละครเวทีประเภท Jukebox musical (ละครเพลงที่นำเพลงดัง ๆ ในอันดับเพลงฯ มาใช้  ไม่ใช่เพลงที่ผลิตขึ้นเพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะ) ชื่อเดียวกัน  เป็นละครที่ได้รางวัล Tony (ประมาณ Oscar ของวงการละคร) มาแล้ว  เล่ากำเนิดของวง The Four Seasons (วงนี้มีถิ่นกำเนิดที่ New Jersey)



ฉากในหนังและเพลงคุ้นหูทั้งนั้น

(ฉากเปิดตัว Bob Gaudio สมาชิกคนสุดท้ายที่ต่อมากลายเป็นหัวใจของวง  ตามที่เล่าไปเมื่อวาน)









0.08 คือ Bob Crewe เป็น… an American songwriter, dancer, singer, manager, and record producer… มือฉมังของวงการเพลงอเมริกา  เธออำนวยการผลิตเพลงดัง ๆ ให้กับศิลปินมากมาย  เธอร่วมงานกับวง The Four Seasons นี้มาโดยตลอด

ยามว่างเธอตั้งวงดนตรีบรรเลง  มีเพลงดังในบ้านเราคือเพลงนี้



เพลงบรรเลงเพลงนี้  ต่อมามีคนแต่งเนื้อเพลงเข้าร่วมออกเป็นเพลงชื่อเดิม  คนที่ร้องเพลงนี้ที่ดังที่สุดคือ Andy Williams (ลงผลงานไปแล้วเช่นกัน)



หนัง The Jersey Boys นี้ใช้ตัวละครหลักส่วนใหญ่เป็นนักแสดงที่ช่ำชองจากบทที่เล่นบนเวทีละครมาร่วมเล่น

ผมดูหนังด้วยความสนุกสนาน  อาจเป็นเพราะได้ฟังบรรดาเพลงที่คุ้นหูมาตั้งแต่เด็ก ๆ  แต่ทางการตลาดหนังเจ๊ง  Rotten Tomatoes ให้ rate แค่ 5.9 จาก 10  พร้อมเหตุผลว่า "Jersey Boys is neither as inventive nor as energetic as it could be, but there's no denying the powerful pleasures of its musical moments."

In a 2021 interview with The Washington Post, Frankie Valli revealed his thoughts on the movie, saying that "I don’t think it was cast properly and I don’t think it was done properly. The whole entity was not put together properly. I think Clint Eastwood is a great director and actor. I don’t think this was right for him."

จบแล้น...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2226


ความคิดเห็นที่ 277  เมื่อ 19 ม.ค. 25, 17:59

ผมเรียกเพลงเหล่านี้ว่า one hit wonder ในบ้านเรา  จู่ ๆ พวกมันก็ทะยอยโผล่เข้ามา  ต่อจากนั้นวิทยุบ้านเราก็กระหน่ำเปิด  เปิดมันทุกวัน  ไม่คลื่นโน้นก็คลื่นนี้  แล้ววันหนึ่งพวกมันก็ทะยอยหายไปจากโลกแห่งเสียงเพลง  ไม่เหลือแม้แต่เค้า  เหลือแต่ความทรงจำ  ใครจำเพลงเหล่านี้ได้มากแค่ไหน

วง Eruption กับ 2 เพลง disco  ตอนแรกที่ได้ยินผมนึกว่าเป็นเพลงของ วง Boney M





วง Darts



วง Jigsaw



วง 5000 Volts

(สาวสวยที่ ‘เขย่า’ อยู่กลางเวทีนี่  ใครจำได้บ้าง  คำตอบคือ Tina Charles ไง  ก่อนจะแยกเป็นศิลปินเดี่ยว)


วง The Rubettes



วง Rosetta stone ... แตกมาจากวง boy band ของอังกฤษ The Bay City Rollers (ลงผลงานไปแล้วในกระทู้ก่อน)



เอาแค่นี้ก่อน...
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41493

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 278  เมื่อ 19 ม.ค. 25, 18:18

One Way Ticket  จำเพลงนี้ ได้ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ม.ต้น    นักร้องคือ Neil Sedaka  สองทศวรรษต่อมาก็มี Boney M เอาไปร้อง  ฮิทขึ้นมาใหม่ จนคนลืมว่าเป็นเพลงเก่าค่ะ

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2226


ความคิดเห็นที่ 279  เมื่อ 19 ม.ค. 25, 18:43

ขออีกนิด...

อย่างที่บอกว่าแม้วิทยุบ้านเราเปิดเพลงอิงจากเพลงดังจากฝั่งอเมริกาเป็นส่วนใหญ่  แต่เพลงดังจากฝั่งยุโรปและที่อื่นเราก็รับมาด้วย  ดังนั้นบ้านเราจึงได้เปรียบตรงที่รู้จักเพลงดังทั้ง 2 ฝั่งฟ้า  บางเพลงที่อเมริกาไม่เคยเปิด  บางเพลงที่ยุโรปก็ไม่เคยเปิด  บ้านเราเหมาหมด  บางเพลงไม่รู้มาจากไหน  แต่บ้านเราฮิต  นักฟังเพลงฝรั่งเช่นผม  ได้กำไรสูงสุด

ผมเคยเขียนถึงวง Duo คู่นี้ไปแล้วในกระทู้ของ อ. เทาชมพู  เอามาลงใหม่  เผื่อสมาชิกใหม่ยังไม่เคยได้อ่าน  เพลงนี้ดังในบ้านเรามากพอ ๆ กับที่ยุโรป  ต้นกำเนิดเพลง  นักฟังเพลงฝรั่งในยุคนั้นไม่มีใครลืมเพลงนี้ได้  ผมจำได้ว่ามีสถานีวิทยุคลื่นหนึ่งใช้เพลงนี้เป็นเพลงเปิดรายการ   ต้องขอบคุณยุค อตน.  ทำให้รู้ว่าที่มาที่ไปของเพลงนี้สนุกจริง ๆ  เสียดายที่ผมไม่มีเวลาว่างพอจะรวบรวมสมาธิทำอะไรนาน ๆ เช่น แปล ได้  ผมจะตัดต่อข้อมูลเอาเป็นคร่าว ๆ ดังนี้



The song was written and recorded in late 1967 for Gainsbourg's girlfriend, Brigitte Bardot (บ้านเราเรียกเธอว่าลูกแมวยั่วสวาท).




After a disappointing, witless date with Bardot, the next day, she "phoned and demanded as a penance" that he write, for her, "the most beautiful love song he could imagine" and that night he wrote "Je t'aime".
They recorded an arrangement of "Je t'aime" at a Paris studio in a two-hour session in a small glass booth; the engineer William Flageollet said there was "heavy petting".

However, news of the recording reached the press and Bardot's husband, German businessman Gunter Sachs, was angry and called for the single to be withdrawn.

Bardot pleaded with Gainsbourg not to release it. He complied but observed "The music is very pure. For the first time in my life, I write a love song and it's taken badly.”

In 1968, Gainsbourg and English actress Jane Birkin began a relationship when they met on the set of a film.




After filming, he asked her to record the song with him. Birkin had heard the Bardot version and thought it "so hot". She said: "I only sang it because I didn't want anybody else to sing it", jealous at the thought of his sharing a recording studio with someone else.

Gainsbourg asked her to sing an octave higher than Bardot, "So you'll sound like a little boy".

Birkin said she "got a bit carried away with the heavy breathing – so much so, in fact, that I was told to calm down, which meant that at one point I stopped breathing altogether. If you listen to the record now, you can still hear that little gap.”

There was media speculation, as with the Bardot version, that they had recorded live sex, to which Gainsbourg told Birkin, "Thank goodness it wasn't, otherwise I hope it would have been a long-playing record.”

Bardot regretted not releasing her version, and her friend Jean-Louis Remilleux persuaded her to contact Gainsbourg. They released it in 1986.

(นี่ถ้าไม่มี อตน. เราคงไม่มีทางรู้เรื่องและได้ฟังเพลงฉบับข้างบนนี้)


Single ฉบับของ JB&SG  เมื่อออกจำหน่ายถูกตีตราว่า ‘บัดสี’  แต่ในทางการตลาดมันประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในฝั่งยุโรป  แม้จะมีหลายประเทศต่างไม่เห็นดีเห็นงามกับงานชิ้นนี้  หลายประเทศห้ามเปิดเพลงนี้เช่น กรุง Vatican สั่งประณามและสั่ง ‘excommunicate’ ผู้บริหาร บ. แผ่นเสียงที่จัดจำหน่ายเพลงนี้ในอิตาลี ขณะที่บางประเทศเช่น ฝรั่งเศสอนุญาตให้เปิดได้หลัง 5 ทุ่ม

ที่อังกฤษยอดขาย single แผ่นนี้ไต่อันดับไปได้ถึงอันดับ 2 ก็ต้องถูกถอดออก  แต่หลังจากการเจรจา ‘ลับ’  แผ่นฯ นำออกขายใหม่  คราวนี้ขึ้นถึงอันดับ 1  เป็น single แผ่นเดียวที่มีความหยาบโลนที่ขึ้นอันดับ 1 ได้สำเร็จ  ส่วนที่อเมริกา  เสียงครวญครางเหมือนกำลังร่วมเพศกันอยู่ตลอดเพลงทำให้ไม่สามารถออกกระจายเสียงได้ทุกสถานีและทุกเวลาเหมือน single ทั่วไป  มันจึงขายได้ไม่ดี

ตอนทำเรื่องนี้  มีแค่ Serge Gainsbourg เท่านั้นที่ตาย  เมื่อวันที่ 16 ก.ค. 2023 ก็ได้ข่าวการตายของ Jane Birkin  นักร้อง/นักแสดงเลือดผสมอังกฤษ/ฝรั่งเศส ตกลง ณ บัดนาว ศิลปินเพลงนี้ตายแล้วทั้งคู่

สาว ๆ นักบริโภคสินค้า brand name คงเคยได้ยินผลิตภัณฑ์ยี่ห้อ Hermes แขนงกระเป๋ารุ่น Birkin  แต่อาจจะไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปว่าชื่อรุ่นตั้งขึ้นเป็นเกียรติแต่ JB  ประวัติมีดังนี้ (เอามาจาก Wikiฯ อีกนั่นแหละ  ทนแปลหน่อย  สนุกไม่แพ้ที่มาที่ไปเรื่องเพลง)




In 1984, Hermès chief executive Jean-Louis Dumas was seated next to Jane Birkin on a flight from Paris to London. Birkin had just placed her straw traveling bag in the overhead compartment for her seat, but the contents fell to the deck, leaving her to scramble to replace them. Birkin explained to Dumas that it had been difficult to find a leather weekend bag she liked.

Dumas took this encounter as inspiration to create a supple black leather bag, based on an earlier design, the Haut à Courroies, which Hermès had created around 1900. Birkin initially used the bag, but changed her mind because she was carrying too many things in it: "What's the use of having a second one?" she said laughingly. "You only need one and that busts your arm; they're bloody heavy. I'm going to have an operation for tendonitis in the shoulder."

Nevertheless, since the late 1980s, the bag quickly became a symbol of wealth and exclusivity due to its high price and assumed long waiting lists.  It has become much easier to purchase due to aftermarket resales.

Birkins are a popular item with handbag collectors, and were once seen as the rarest handbag in the world. The bag's value is a matter of its intentionally high price, which has led to its being described as a Veblen good.

In 2020, prices started at US$11,000 for a regular leather bag. Costs can vary widely according to the type of leather, if exotic skins are used, and if precious metals and jewels are part of the bag. A bag made of exotic skin and diamond was sold at auction by Christie's in Hong Kong for a record price of US$380,000 in May 2017. Birkins are distributed to Hermès boutiques on unpredictable schedules and in limited quantities, which creates artificial scarcity and exclusivity; however, the bags have also flooded the upscale resale market and are frequently sold in second-hand boutiques (resellers) and through social media.

In July 2015, Birkin asked Hermès to stop using her name for the crocodile version due to ethical concerns, as PETA alleged crocodile farms supplying the hide to Hermès for the manufacture of the bags crammed their animals into barren concrete pits. PETA said, "At just one year old, alligators are shot with a captive bolt gun or crudely cut into while they're still conscious and able to feel pain.” Birkin is quoted as having asked Hermès "to debaptise the Birkin Croco until better practices in line with international norms can be put in place".

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2226


ความคิดเห็นที่ 280  เมื่อ 20 ม.ค. 25, 18:16

ในยุคต้น 70s วง Jackson 5 กับวง The Osmonds  เป็นคู่แข่งกัน  ในฐานะที่เป็นวงกลุ่มพี่น้องเหมือนกัน  จากประสบการณ์  วง The Osmonds ดังกว่าในด้านความเป็นดารา ภาพของ Donny Osmond เดี่ยว ๆ หรือภาพหมู่พี่น้องปรากฏอยู่บนหนังสือ Starpics และหนังสือเพลง 3 หัว  เป็นประจำ  ในขณะที่ภาพเดี่ยวของ Michael Jackson หาแทบไม่มี  ยิ่งภาพหมู่พี่น้องวง The Jackson 5 อย่าไปหาเลย

แต่ถ้าวัดความดังในด้านเสียงเพลงแล้ว Jackson 5 นำโด่ง  ความดังของวงเริ่มมาตั้งแต่ปลาย 60s  และดังยาวนานกว่า  single ของวงนี้ข้ามฟาก (พื้นเพเป็นวง soul เพราะผิวสี  ซึ่งมีอันดับเพลงของตัวเองโดยเฉพาะ) มาขึ้นอันดับ 1 บนตารางเพลง pop เป็นว่าเล่น  แต่วิทยุบ้านเราไม่นิยมเปิด  สมัยนั้นผมรู้แต่ชื่อเพลง  ไม่เคยได้ยินเสียงทางวิทยุ  พอมาซื้อแผ่น cd รวมเพลงถึง (คาดว่า) เข้าใจว่าทำไม  ล้วนเป็นแนว funky แทบทั้งนั้น  คงไม่ถูกหูละมัง  ยกตัวอย่างเพลงอันดับ 1 สองเพลงนี้



ต่อมาวงเริ่มขยายแนวเพลง  เพลงนี้ค่อยเคยได้ยินหน่อย



มาเพลงนี้ที่ทางวงฯ ส่งมาให้ฟังซิ  สนั่นกรุงเทพฯ



ตั้งแต่ปี 1976 เป็นต้นไป  วงเปลี่ยนชื่อเหลือแค่ The Jacksons  ผมจำได้แค่ 2 เพลงนี้



แล้วก็เพลงแนว disco



จำได้แค่เนียะ...


อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนดีเจบ้านเราจะชอบเพลงเดี่ยวของ Michael Jackson มากกว่า  เริ่มมาตั้งแต่ single แรกของเธอมาเลย  ผมลงเพลงช่วงแรกของเธอคือในวัยเด็กไปหมดแล้ว  จำได้อีกว่า  ไม่ใช่ MJ เท่านั้นที่ออกผลงานเดี่ยว  พี่ชายของเธอที่ชื่อ Jermaine Jackson  ก็ออกผลงานเดี่ยวด้วย  เพลงนี้ดังในบ้านเรามาก  เป็นเพลงเก่าในยุคต้น 60s



ผมเช็คดู  เธอออก single มาหลายเพลง  แต่ไม่ดัง  ซึ่งบ้านเราไม่เอามาเปิดอย่างแน่นอน  เธอมีเพลงดังอีกเพลง  ออกมาในยุค disco (ตอนนั้นผมจำได้แค่ชื่อ)



อ้อ... แล้วก็เพลงนี้  ที่ผมเพิ่งรู้ว่าเป็นเสียงของเธอ



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2226


ความคิดเห็นที่ 281  เมื่อ 21 ม.ค. 25, 18:19

ก่อนอื่น  คั่นรายการนิดว่างานเหล่านี้  ผมเขียนด้วยใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความสุข  ขอขอบคุณที่ให้ความสนใจและติดตามครับ
 
อ้ะ  โม้ต่อ...

จำได้ว่าช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ  Michael Jackson ยังหาแนวของตัวเองไม่เจอ  เพลงช่วงนั้นเลยเซ็ง ๆ ไปแต่  แต่ก็ยังดังออกมาให้ได้ยิน

(ชอบท่าทางการนำเสนอของเธอจัง  ดูลื่นพริ้วไม่ติดขัด  เพลินตา)




MJ มาค้นพบแนวของตัวเองในปลายยุค 70s คือ album ชื่อ Off the wall   4 singles จาก album นี้ไม่ใช่ดังที่บ้านเขา  ดังที่บ้านเราด้วย  









หลังจากนั้นเธอก็ไปโลดดดด.. ทั้งผลงานและการแสดงออก







จำได้ว่า MV เพลงนี้ดังมาก ๆ  ดังมากกว่าตัวเพลงเสียอีก



เคยบอกไปนานแล้วว่า  ผมสนใจงานของ MJ แค่ในยุคเก่า  งานยุคใหม่นี่  แค่ได้ยินผ่าน ๆ ตามคลื่นวิทยุ  ที่ได้ยินส่วนใหญ่อยู่ในช่วงเวลาขับรถ  นี่เป็นบางเพลงในยุคหลังที่วิทยุชอบเปิดจนติดหูผม





ควันหลง...

ในปี 1984 มีเพลงหนึ่งเพลงดังออกมาจากลำโพงวิทยุ

คนร้องชื่อ Rockwell  ตอนแรกรู้แค่นี้  ต่อมาเพลงดังมาก  รายละเอียดก็ค่อย ๆ แพลมออกมา  Rw เป็นลูกของ Barry Gordy ผู้ก่อตั้ง บ. แผ่นเสียง Motown สถานที่รวบรวมนักร้องผิวสีที่ล้วนมีชื่อเสียงก้องโลก  ส่วนเสียงคนช่วยร้องฟังดูก็รู้ว่าเป็นเสียงของ Michael Jackson


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2226


ความคิดเห็นที่ 282  เมื่อ 22 ม.ค. 25, 18:17

ในปี 1985 Michael Jackson เรียกง่าย ๆ ว่า เป็นหนึ่งในตัวตั้งตัวตีในการชักชวนเพื่อนฝูงเหล่านักร้องชั้นนำของยุคมารวมตัวกันตั้งวงรวมการเฉพาะกิจชื่อ USA for Africa ออก single และ album การกุศลชื่อ We are the world เพื่อหาเงินสนับสนุนโครงการ African famine relief  ที่ก่อตั้งโดยนักร้องในยุค golden oldies ชื่อ Harry Belafonte

นี่คือเพลงดังของ HB



และนี่คือเพลงดังคับโลก We are the world  ในช่วงเวลานั้น  บ้านเราได้ยินเพลงนี้ทุกวัน



บรรดานักร้องที่ให้เสียงนำในเพลงนี้  ต่างมีเพลงดังของตัวเองมาเปิดในบ้านเราทั้งสิ้น  และผมก็นำผลงานของพวกเขามาเสนอไปแล้ว (ไม่ในกระทู้นี้ก็อีกกระทู้หนึ่งของ อ.เทาชมพู  แล้วก็ Steve Perry เป็นนักร้องนำของวง Journey ที่ผมนำเสนอเพลงแนว power ballad ของพวกเขาไปเมื่อครู่)  หรือกำลังรอคิวลง  ในจำนวนนี้มี 2 คนที่จะนำเสนอตรงนี้  เนื่องจากไม่มีอะไรให้พูดถึงมาก  แถมเพลงของเขาที่ออกอากาศทางวิทยุผมก็จำไม่ได้เสียอีก  น่าจะไม่ถูกหู  ไม่งั้นไม่พลาด

คนแรกก็ Bruce Springsteen  คนนี้เป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่คับโลกเลยละ  นักฟังเพลงฝรั่งร่วมยุคบ้านเราก็รู้จัก (ชื่อ) เป็นอย่างดี  แต่สำหรับผม  อนิจจา  หูข้าน้อยด้อยวาสนาจำเพลงของเธอไม่ได้เลยนอกจากเพลงนี้  ไม่ใช่ว่ามันเพราะสำหรับหูผมหรอกแต่เป็นเพราะโดนวิทยุจับกรอกหูทุกวี่ทุกวันเนื่องจากความดังของหนัง Philadelphia



นี่คือตัวอย่างหนัง



BS นี่มีเพลงดังในอันดับเพลงมากนะ  วิทยุต้องเปิดบ้างอย่างแน่นอน





(มาจาก album ที่ดังมาก  ผมเห็นแผ่นเสียงวางขายทั่วไป)


ศิลปินคนที่ 2 คือ Huey Lewis  คนนี้ยิ่งแบ๊ะ ๆ เข้าไปใหญ่  ผมจำได้แต่ชื่อเธอกับชื่อเพลงดัง  จำได้ว่าในยุครุ่งเรือง  เธอเป็นผู้นำของวง Huey Lewis & the News  มีเพลงดัง (ที่ผมได้ยินแต่ชื่อ  วิทยุต้องเปิดอย่างแน่นอน) คือ

(จากหนัง Back to the future ผมดูหนังเรื่องนี้ตั้ง 2-3 รอบ  แต่จำเพลงไม่ได้เลย)







ผมว่าเพลงจากเสียงของ HL ที่คุ้นหูนักฟังเพลงฝรั่งบ้านเรามากที่สุดก็จากเพลงนี้ที่เธอร้องคู่กับนักแสดงสาว Gwyneth Paltrow



เพลงนี้เป็นการนำมาร้องใหม่  ต้นฉบับเป็นเพลง soul ชั้นเลิศ



หมายเหตุ... วงรวมการเฉพาะกิจ USA (United Support of Artists) for Africa เพื่องานการกุศลนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากวงรวมการเฉพาะกิจจากอังกฤษชื่อ Band Aid ที่มี Bob Geldof และ Midge Ure เป็นตัวตั้งตัวตีออก single ชื่อ Do they know it’s Christmas ?  เพื่อหาเงินช่วยเหลือผู้ยากไร้ที่ Ethiopia ในปลายปี 1984



ผมเตรียมเรื่องไว้แล้ว  แต่เผอิญผูกเรื่องคนละแบบเลยเอามารวมไว้ตรงนี้ไม่ได้


มีต่อ..
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2226


ความคิดเห็นที่ 283  เมื่อ 23 ม.ค. 25, 18:26




(ภายในซองแผ่นบอกว่า  เงินที่จ่ายไปเพื่อซื้อ album นี้  จะหักออกส่วนหนึ่งเพื่อสมทบทุนฯ)

ในตอนนั้น  ถ้าใครไม่ได้ซื้อแผ่นเสียง We are the world จะไม่มีทางรู้ว่า  งานการกุศลครั้งนี้ไม่มาจากการร่วมมือของเหล่าศิลปินเพลงชาวอเมริกันด้วยกันเท่านั้น  ยังมีกลุ่มศิลปินเพลงอีกชุดหนึ่งที่รวมตัวกันตั้งวงรวมการเฉพาะกิจขึ้นเพื่อให้ความร่วมมือด้วย  กลุ่มศิลปินเพลงที่ว่านี้มาจากประเทศแคนาดา  วงรวมการเฉพาะกิจนี้ใช้ชื่อว่า Northern Lights  สำหรับ single การกุศลคือเพลงนี้ที่ไม่ได้ตัดออกเป็น single



ในยุคต้น ๆ  ผมไม่ได้พหูสูตขนาดรู้ว่านักร้องคนไหนเป็นใครมาจากไหน  แค่รู้ว่านักร้องพวกนี้เป็นฝรั่งก็ภูมิใจในความฉลาดล้ำของตัวเองแล้ว  กาลเวลาและประสบการณ์ช่วยสั่งสมให้ผมรู้มากขึ้น  และรู้เพิ่มในเวลาต่อมาว่าในยุคนั้นนักร้องที่ส่งเพลงดัง ๆ มาให้ผมฟังทางวิทยุนั้น  ไม่ได้มาจากอเมริกาทุกคนไป  มาจากเช่น ประเทศอังกฤษก็มี  ประเทศออสเตรเลียก็มี  ประเทศแคนาดาก็มากไม่น้อย

ใน single จากกลุ่มนักร้องชาวแคนาดานี้  นักร้องที่ร้องเดี่ยวล้วนมีผลงานมาดังในบ้านเราทั้งนั้น แต่ก่อนจะเริ่มที่ตัวนักร้อง  มาเริ่มที่ keyboarder คนเปิดฉากก่อน เธอคือ David Foster  เธอเป็นอีกหนึ่งศิลปินเพลงที่ยิ่งใหญ่ไม่เป็นรองใครในวงการเพลงฝรั่ง  ผมเพิ่งรู้ว่าแรกเริ่มเธอเป็นสมาชิกวง Skylark  วงนี้ส่งเพลงมาเปิดในบ้านเราคือเพลงนี้  ที่ดังมาก  ตอนนั้นนึกว่าเป็นวง 'เฮฟวี่' ที่เปลี่ยนบรรยากาศมาร้อง ballad  แบบที่วง เฮฟวี่ ๆ เค้าทำกัน  แต่เปล่า  ข้อมูล (ในยุค อตน.) บอกว่าแค่เป็นวง pop rock  แล้วก็มาจากแคนาดาด้วย

(นักร้องนำ Donny Gerrard ก็มาร่วมร้องในเพลงการกุศลนี้ด้วย)


ผมมารู้จัก DF ในเวลาต่อมาจากเพลงบรรเลงที่วิทยุเคยนำมาเปิด  ล้วนดัดแปลงมาจากเพลงในหนัง  ซึ่งทำได้เพราะจนต้องออกไปหาซื้อแผ่นเสียงมาฟังทั้งแผ่น





อ้ะ... ที่นี้ก็มาว่ากันถึงตัวนักร้อง  คนแรกที่โผล่โฉมมาให้เห็นคือ

Gordon Lightfoot
https://www.reurnthai.com/index.php?topic=7342.msg184275;topicseen#msg184275
(ความคิดเห็นที่ 43)


ต่อมาก็ Burton Cummings  ในยุคเริ่มต้นเธอเป็นสมาชิกของวง The Guess Who  ความดังของวงนี้อยู่ในปลาย 60s  ตอนนั้นผีเพลงยังสิงผมได้ไม่ถนัดถนี่ (แต่ยังไม่ถอดใจ)  ตอนตกเป็นทาสผีเพลงแล้ว  เพลงดัง ๆ ของวงนี้เข้ามาออกันอยู่ตามคลื่นเพลงฝรั่งเรียบร้อยแล้ว  เพลงนี้น่ะดังจนผมจุก 



ความจริงเพลงดังสุดของวงกลับเป็นเพลงนี้ที่ดังในบ้านเราน้อยกว่าเพลงแรก

(ตอนนั้นเด็ก  ไม่ชอบเลย  มันหนักหู  แต่ตอนนี้เพราะมาก)


แล้วก็เพลงเหล่านี้ 









ต่อมาในยุค 70s  Burton Cummings แยกออกมาเป็นศิลปินเดี่ยวออก single ของตัวเอง  มีหนึ่งเพลงที่ดังระดับแผ่นเสียงทองคำ  ช่วงท้ายของเพลงนี่กระหึ่ม (ตามประสาลำโพงวิทยุทรานซิสเตอร์) ติดหูมาตลอด



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2226


ความคิดเห็นที่ 284  เมื่อ 24 ม.ค. 25, 18:39

ความจริงยังมีเพลงการกุศลจากกลุ่มศิลปินรวมการเฉพาะกิจเนื่องในโอกาสนี้อีก  เป็นวงรวมการเฉพาะกิจของเพลงแนวอื่นเช่น  วงรวมการเฉพาะกิจของกลุ่มศิลปินแนวละติน ฯลฯ  แต่ 3 เพลงที่นำเสนอไปนั้นเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างที่สุด  อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาของมัน  ผมเองก็เพิ่งมารู้เพิ่มในยุค อตน.  

อย่างไรก็ตาม  ตอนนี้ท่านผู้อ่านก็ได้ฟังเพลงการกุศลที่ดังที่สุดครบทั้ง 3 เพลงแล้ว  ไม่รู้ว่าใครโปรดเพลงของวงรวมการเฉพาะกิจวงไหน  สำหรับผม  หลังจากฟังแล้วฟังเล่ามาตลอด 40 ปี (ความจริงไม่ต้องฟังนาน 40 ปีแล้วค่อยได้ข้อสรุปหรอก  ได้ฟังครบ 3 เพลงแล้วก็สรุปได้เลย)  ผมเทคะแนนให้เพลงของวง Band Aid เพราะที่สุด  ทำนองติดหู  ด้วยเหตุที่เขาทำออกมาแค่เป็น single  มันจึงไม่มีขายในบ้านเรา  อยากฟังเพลงก็ต้องรอความเมตตาจากดีเจวิทยุ  ตอนไหนที่หมุนคลื่นมาทันได้ยินช่วงต้นเพลงผมละขนลุก  พลางนึกดีใจที่โชคดีหมุนคลื่นมาเจอ  ในยุค อตน. พอเริ่มมีการ download เพลง  ผมรีบหาเพลงนี้มาครอบครองเป็นเพลงแรก ๆ    ยิ่งเอามาฟังจากเครื่องเสียงชั้นดีแล้ว  ฟังกี่ที ๆ ก็เพราะ (เมื่อคืนก่อนนอนก็ฟัง  เดี๋ยวจะฟังอีก)  เสียงกลองของ Phil Collins  สะใจจริง ๆ
 
กลับมาว่ากันด้วยศิลปินเพลงวงรวมการเฉพาะกิจจากประเทศแคนาดาในเพลง Tears are not enough กันต่อ

2 คนต่อมาใน clip คือ Anne Murray กับ Joni Mitchell... เก็บไว้ทีหลัง  เรื่องใหญ่

คนต่อมาก็ Dan Hill ...

ในปี 1977 ก็มีเพลงดังมากกระจายเสียงออกมาจากลำโพงวิทยุ



ชื่อ Dan Hill เข้ามาอยู่ในความทรงจำของผมทันที  แต่แล้วก็ไม่มีเพลงอื่นของเธอดังออกมาอีกเลย   อย่างไรก็ตามเพลงนี้อ้อยอิ่งอยู่ในบรรยากาศบ้านเรานานหลายปี  ระหว่างนี้ผมมีข้อมูลมากขึ้น  พบว่าเธอยังออก single มาอีก  แต่ไม่มีคลื่นวิทยุไหนเปิดให้ฟังเพราะมันไม่ดัง

ชื่อ DH เกือบเข้าไปอยู่ในทำเนียบ ศิลปิน one hit wonder แล้วถ้าเธอไม่มีเพลงติด top 10 อีกครั้งในอีก 10 ปีต่อมา

(บอกตามตรงว่า  เพลงนี้ไม่ติดหูเลย  ผมจำชื่อเพลงได้แต่จำทำนองไม่ได้)


ก่อนหน้านี้ DH ออกแผ่นรวมเพลงฮิต  มันวางขายอยู่ในห้างเซ็นทรัลสีลม  มันรวมเอา single ที่ไม่ดังเหล่านั้นด้วย  ผมฟังแล้วก็ไม่เลวเลยละ









ในปี 2023  ผมดูสารคดีเรื่อง Sometimes when we touch เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับช่วงเวลาหนึ่งที่เพลงแนว soft rock กรูกันขึ้นมาเด่นดังในวงการเพลง  มีตอนหนึ่งที่คณะผู้จัดทำสัมภาษณ์ DH ถึงที่มาที่ไปของเพลงดังของเธอที่เอามาเป็นชื่อสารคดี  สนุกดี


"Sometimes When We Touch" began as a song Hill wrote in 1973, at age 19, in an attempt to convince the woman he was dating to be his exclusive girlfriend; at the time, she was dating two other men. The lyrics were based on the relationship between Hill and the woman, and Hill's ambivalence at not being able to express his true feelings for her. After completing it, Hill sang the song for the woman, but his attempt was unsuccessful, as she had just recently decided to move to the United States with one of the other men she had been dating, an American football player.

นี่คือเนื้อเพลง
You ask me if I love you
And I choke on my reply
I'd rather hurt you, honestly
Than mislead you with a lie
And who am I to judge you
On what you say or do?
I'm only just beginning
To see the real you

And sometimes when we touch
The honesty's too much
And I have to close my eyes and hide
I wanna hold you 'til I die
'Til we both break down and cry
I wanna hold you
'Til the fear in me subsides

Romance and all its strategy
Leaves me battling with my pride
But through the insecurity
Some tenderness survives
I'm just another writer
Still trapped within my truth
A hesitant prize fighter
Still trapped within my youth

Sometimes when we touch
The honesty's too much
And I have to close my eyes and hide
I wanna hold you 'til I die
'Til we both break down and cry
I wanna hold you
'Til the fear in me subsides

At times I'd like to break you
And drive you to your knees
At times I'd like to break through
And hold you endlessly

At times I understand you
And I know how hard you've tried
I've watched while love commands you
And I've watched love pass you by
At times I think we're drifters
Still searching for a friend
A brother or a sister
But then the passion flares again

And sometimes when we touch
The honesty's too much
And I have to close my eyes and hide
I wanna hold you 'til I die
'Til we both break down and cry
I wanna hold you
'Til the fear in me subsides

เมื่อนักมวยกับนักร้อง (Manny Pacquiao and Dan Hill) ดวลเพลงกัน



หมายเหตุ – Sometimes when we touch ต่อมากลายเป็นสำนวนอย่างไม่เป็นทางการที่หมายถึง The difficulty of expressing true feelings for someone.


มีต่อ...

บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 17 18 [19] 20 21 ... 34
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.122 วินาที กับ 19 คำสั่ง