ถูกต้องครับ ผมเคยกล่าวถึงเรื่องการขึ้นทะเบียนในลักษณะนี้กับผู้ที่เกี่ยวข้องเมื่อครั้งยังไม่เกษียณ (ไม่ทราบว่าในปัจจุบันนี้มีการขึ้นทะเบียนไปกี่รายการ กี่เรื่องแล้ว) เคยยกตัวอย่าง เช่น เรื่องของ Scotch Whisky และส้ม Sunkist ของ California เรามีของเราตั้งเยอะแยะที่ควรมีการขึ้นทะเบียน เช่น ทุเรียนนนท์ (แทบจะไม่มีแล้ว) ทุเรียนระยอง (ส่งออกไปทั่วโลกแล้ว) เงาะโรงเรียน ลองกองตันหยงมัส ส้มบางมด (ไม่มีไปแล้ว) มวยไทย ฤๅษีดัดตน (นวดแผนไทย) ส้มโอขาวแตงกวาชัยนาท สัปะรสภูแล (แม่จัน) ข้าวเสาให้ (สระบุรี) ข้าวหอมมะลิ (สุรินทร์,ศรีสะเกษ)ข้าวสังข์หยดหรือหยอด (พัทลุง) ข้าวเหนียวเขี้ยวงู (แม่จัน) ฯลฯ
เรื่องของเรื่อง ผู้ที่จะต้องดำเนินการในเรื่องนี้ คงมิใช่ชาวบ้าน จะต้องเป็นส่วนราชการไม่ว่าจะเป็นกระทรวงเกษตรหรือกระทรวงพาณิชย์ ชาวบ้านหรือชุมชนเขาไม่รู้วิธีการและความสลับซับซ้อนของกระบวนขึ้นทะเบียนการหรอก แถมไม่มีค่าใช้จ่ายอีกต่างหาก จะอ้างว่าส่วนราชการทำเองไม่ได้ก็ใช่ ก็ Lobby ให้ใครยื่นขอก็ได้มิใช่หรือ
เกิด AEC แล้วจะเป็นเช่นไร หากเราไม่มีกระบวนการคุมเข้มในเรื่องเหล่านี้ ความตกลงพื้นฐานทั้งหลายที่เป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือทางการค้าการลงทุน ก็คือ ความร่วมมือทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งผลก็คงพอจะได้เห็นกันอยู่แล้ว ดังกรณ๊เช่น ชื่อข้าวหอมมะลิก็ไปแล้ว ลิ่นจี่ในตลาดโลกก็ไปจากอัฟริกาแล้ว (แม้ต้นตอจะมาจากจีน แต่ไทยทำให้มันดังไปทั่วโลก) มังคุดก็รู้เป็นเลาๆว่ามีการพัฒนาอยู่ในออสเตรเลีย ข้าวเมล็ดป้อมสั้นที่ญี่ปุ่นเขากินกัน (สายพันธุ์ Japonica) ก็ไม่ต่างไปจากข้าวที่ปลุกกันโดยชาวเขาในบ้านเรา ที่เรียกกันว่าข้าวไร่ (ของดีอยู่ที่บ้านไร่ อุทัยธานี) ฯลฯ
หากไม่ค้นให้รู้ว่าตนเองมีอะำไรดีบ้าง แล้วคนไทยและชาวบ้านจะเหลือให้ไปต่อสู้ในสังคมที่เปิดมากขึ้น