ไม่ว่าจะเป็น Gunboat policy หรือ Gunboat diplomacy หรือ Big stick diplomacy ดูเหมือนจะมีญี่ปุ่นกับสยามเท่านั้น ที่รอดตัวเพราะเข้าใจฝรั่ง มันก็เพียงแต่จะเข้ามาหาเงินไปใช้ของมัน ถ้าไม่ได้จากกำไรในการค้าขาย ก็จะปล้นเอาดื้อๆ
จีนไม่เข้าใจตรงนี้ หรืออาจจะปรับตัวไม่ทันนึกว่าตัวเป็นมหาอำนาจที่สุดในโลก ผลก็คือถูกปืนเรือถล่มยับก่อนเข้าปล้นจนของมีค่าหมดพระราชวัง พม่ากับญวนเป็นชาติที่ยอมตายแบบผึ้งหวงรัง ซึ่งก็ได้ทั้งตายทั้งเสียทรัพย์ไปเยอะมากในเวลาหลายสิบทศวรรษก่อนจะไล่ฝรั่งออกไปได้ ดีที่เมืองร้อนอย่างบ้านเราฝรั่งไม่ชอบ มาตายเพราะไข้มากกว่าโดนฆ่า หาไม่แล้วคนพื้นเมืองเจ้าของประเทศแถวนี้คงต้องชะตากรรมเหมือนพวกอินเดียนแดง ที่ถูกฝรั่งปล้นฆ่า เอาแผ่นดินไปเป็นถิ่นอาศัยแห่งใหม่ของตัวอย่างสง่าผ่าเผย
มาขยายความจากที่ท่านนวรัตนเกริ่นไว้ข้างบนค่ะ
ญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ต้องกลืนเลือดเป็นลิ่มๆ จากถูกอเมริกาขวิดเอาไว้ พี่ยุ่นเขาอยู่ของเขาดีๆ วันร้ายคืนร้าย อเมริกาก็ส่งกองทัพเรือประกอบด้วยเรือรบ 4 ลำติดอาวุธหนักจนเพียบ มีผู้บัญชาการชื่อพลเรือจัตวาแมทธิว ซี เพอร์รี่ มาโผล่ที่อ่าวอีโด (Edo Bay ) หรืออีกนัยหนึ่งอ่าวโตเกียว(Tokyo Bay) เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1853 ตรงกับพ.ศ. 2396 ในรัชกาลที่ 4 ของเรา
ผู้สำเร็จราชการญี่ปุ่นถูกยื่นคำขาดให้เปิดประเทศค้าขายกับพี่กัน จะมามัวปิดหน้าร้าน นั่งแล่ปลาดิบกินกับลูกเมียพี่น้องอยู่เงียบๆเหมือนเดิมไม่ได้ ไม่อยากเปิดร้านก็ต้องเปิดเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่เปิดประเทศเรอะ นี่แน่ะ ยูเอาธงขาวในมือไอไป ถ้ายูต้องการให้ไอหยุดถล่มเมืองยูด้วยกระสุุนปืนใหญ่เป็นห่าฝนจากเรือเมื่อไหร่ ก็โบกธงขาวเป็นสัญญาณนะ ง่ายๆ ทำไม่ยาก
ว่าแล้ว นายพลเพอร์รี่ก็สาธิตแสนยานุภาพให้ดู ด้วยการออกคำสั่งกองเรือของเขาให้ระดมยิงปืนใหญ่ถล่มบ้านเรือนริมอ่าวให้ชมเป็นขวัญตา เพราะมาคราวนี้เรือรบอเมริกันแบกปืนใหญ่ชนิดใหม่เรียกว่า new Paixhans shell guns มาด้วย ดิฉันไม่รู้ว่าภาษาไทยเรียกอะไรเจาะจงลงไปหรือเปล่านอกจากคำว่าปืนใหญ่ ต้องขอแรงท่านผู้รู้ในเรือนไทย รู้แต่มีคำอธิบายว่าลูกกระสุนกระทบที่ไหนก็ระเบิดตูมที่นั่น อานุภาพการทำลายล้างสูง ถล่มอาคารบ้านเรือนได้ไม่มีชิ้นดี
สรุปว่าญี่ปุ่นก็ต้องเปิดประตูต้อนรับแขกที่ตัวเองไม่อยากจะได้ แลกกับชีวิตพลเมือง