SILA
|
ความคิดเห็นที่ 30 เมื่อ 28 ก.ย. 25, 11:24
|
|
ขอแยกซอยหน่อยครับ เรื่องคำพูดสุดท้ายก่อนตาย กับ MacGuffin คำพูดก่อนตาย(ในหนัง) ที่โด่งดังยั่งยืนยาวนานจากศตวรรษก่อน คือ "ROSEBUD" ใน Citizen Kane (1941) - หนังที่ได้รับการยกย่องสูงส่งจากหลายสถาบัน,หลายสำนัก
หนังเปิดเรื่องด้วยคำพูดก่อนตายนี้ แล้วเล่าย้อนอดีตชีวิตของผู้ตาย - เจ้าพ่อสื่อยักษ์ใหญ่
ฉากสุดท้ายที่เฉลยว่าคือ "สิ่ง" ใด และสามารถบ่งบอกความหมายได้ค่อนข้างชัดเจน
ROSEBUD นี้ได้รับการยกย่องให้เป็น (the most) iconic film MacGuffin - อุปกรณ์ประกอบพล็อตที่มักเป็นวัตถุ เหตุการณ์ หรือ ไอเดีย ที่ขับเคลื่อนเนื้อเรื่องให้ดำเนินไปในฐานะ เป้าหมายที่ตัวละครค้นหา Kurtz ในเรื่อง Heart นี้ก็จัดเป็น MacGuffin ชนิดสิ่งมีชีวิต
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41639
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 31 เมื่อ 28 ก.ย. 25, 11:40
|
|
เคยได้ยินนักวิจารณ์หนังยกย่อง Citizen Kane กันมาก ว่าเป็นหนังยิ่งใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติการณ์ของภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด ความที่ได้ยินแบบนี้ เลยยังไม่ดูจนบัดนี้ค่ะ ขอตั้งสมาธิก่อน คุณหมอ พอจะเล่าให้ฟังได้ไหม ก่อนเราจะไปถึงวรรณกรรมเรื่องใหม่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 32 เมื่อ 29 ก.ย. 25, 09:58
|
|
ได้ยินเสียงลือเสียงเล่ายอยศ Citizen Kane(1941) มานานมากจนถึงยุควิดีโอจึงได้หามา แต่ ได้ดูแค่บางส่วนครับ เพราะสแกนดูแล้วพบว่าสรรพคุณสมคำร่ำลือล้นจอทีวี,ต้องดูในโรง แต่จนถึงปัจจุบัน ฝันนั้นก็ยังไม่เป็นจริง ชอบบทความนี้ ครับ https://www.bbc.com/culture/article/20150720-whats-so-good-about-citizen-kane ได้รับเลือกให้เป็นภาพยนตร์ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล จากการสำรวจความคิดเห็นของนักวิจารณ์และผู้กำกับ... เป็นภาพยนตร์อเมริกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลจากการสำรวจความคิดเห็นของ BBC Culture แฟนภาพยนตร์ทั่วไปไม่ได้ให้ความสำคัญกับ Citizen Kane มากเท่ากับนักวิจารณ์ ผู้กำกับ และนักศึกษา นั่นคือคนที่หลงใหลในแก่นแท้ของกระบวนการสร้างภาพยนตร์....คือ สารานุกรมเทคนิค: โรงเรียนสอนภาพยนตร์ ความยาว 114 นาที ที่มีบทเรียน ทั้งการโฟกัสลึก การฉายภาพจากด้านหลัง การโคลสอัพขั้นสูงสุด และบทสนทนา ที่ซ้อนทับกัน...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 33 เมื่อ 29 ก.ย. 25, 10:11
|
|
คั่นรายการ (ไม่ใช่รีเควสท์)ครับ
รู้จัก Thomas Hardy ครั้งแรกจากหนังเรื่อง Far from the Madding Crowd(1967) ดูแล้วชอบมาก จนซื้อหนังสือมาจะอ่าน (แต่ก็ยังไม่ได้อ่านเหมือนกับ Crime and Punishment และเล่มอื่นๆ) นางเอกของเรื่องรับบทโดย Julie Christie ที่งามมาาากเสน่ห์ล้นจอสมกับบทในหนังที่มีสามชายหมายปอง ฉากนี้ประทับใจที่สุด
ต่อมาหลายปี,บ้านเราจึงมีหนังสร้างจากนิยายของท่านฮาร์ดีตามเข้ามา นั่นคือ Tess และ Jude ทั้งสองเรื่องนี้ รันทดร้าวรานตรงข้ามกับเรื่องแรกที่รื่นรมย์ราวกับนรกและสวรรค์บนดินแดนชนบทอังกฤษ
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41639
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 34 เมื่อ 29 ก.ย. 25, 12:19
|
|
คนแรกที่คุณหมอ SILA เอ่ยมาคือ Victor Hugo (ฝรั่งเศสออกเสียงว่า วิกตอ อูโก อังกฤษออกเสียงว่า วิกเตอ ฮิวโก) เจ้าของเรื่อง Les Misérables คนที่สองคือโธมัส ฮาร์ดี้ (Thomas Hardy) ทั้งสองเป็นผู้แต่งเรื่องที่ดิฉันอ่านด้วยความทุกข์ทรมานใจเท่าเทียมกัน แต่ไม่อ่านไม่ได้ เพราะต้องเอาคะแนน อย่างไรก็ตาม Far from the Madding Crowd ไม่ได้รับเลือกให้มาทรมานนักเรียน จึงเช่ื่อว่าเป็นเรื่องที่พอจะสนุกอยู่บ้าง ขอเวลาไปอ่านก่อนนะคะ แล้วจะกลับมาเล่าให้ฟัง ช่วงนี้ขอคั่นโปรแกรมด้วยเรื่องสั้น ซึ่งวงวิชาการและวิจารณ์ถือกันว่าเป็นเรื่องสั้นชั้นยอดเรื่องหนึ่งของอเมริกา ชื่อ The Lottery แต่งโดยนักเขียนหญิงชื่อ Shirley Jackson ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร The New Yoke ฉบับ มิย. 26, 1948 ขอโปรยไว้หน่อยว่า เมื่อเรื่องนี้ได้รับการตัีพิมพ์ลงในนิตยสารที่ว่า คุณเชอร์ลี แจ๊คสันผู้เขียนคิดว่าเธอคงจะได้รับจดหมายแฟนๆหนังสือเขียนมาชมเชย สมกับที่เธอตั้งใจจะเขียนเพื่อกระตุ้นจิตสำนึกและปลูกฝังมโนธรรม ที่ไหนได้ ทั้งโทรศัพท์ถึงบก.และจดหมายด่าถึงเธอหลั่งไหลมาเป็นห่าฝน ประณามเธอที่เขียนงานโหดร้าย สยดสยอง เลวร้ายจนคนอ่านรับไม่ได้ จนเธอเองกลัวทุกครั้งที่เปืดจดหมาย เพราะรู้ว่าข้อความในนั้นน่าจะทำให้เธอนอนไม่หลับอีกแน่ๆ แต่พร้อมกับถูกด่ายับเยินจากประชาชนคนอ่านทั่วสารทิศที่รับเรื่องนี้ไม่ได้ เสียงสะท้อนจากนักวิจารณ์ จากวงวิชาการ และวงศิลปการแสดง กลับยกย่องเรื่องนี้อย่างสูง จนเรื่องสั้นเรื่องนี้ก้าวขึ้นสู่ทำเนียบเรื่องสั้นชั้นเอกของอเมริกา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41639
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 35 เมื่อ 30 ก.ย. 25, 13:32
|
|
เรื่องนี้ คุณแจ๊คสันสมมุติเมืองเล็กๆในอเมริกาขึ้นมาเมืองหนึ่ง เป็นเมืองบ้านนอก มีรายได้หลักจากเกษตรกรรม เราก็รู้กันว่าอาชีพนี้ขึ้นอยู่กับธรรมชาติ คือดินฟ้าอากาศในแต่ละปี ว่าจะปลูกพืชผลได้ผลดีหรือไม่ เมืองเล็กจนเรียกได้ว่าหมู่บ้านนี้มีประเพณีประจำปีอย่างหนึ่ง คือการทำพิธีกรรมประจำปีที่เรียกว่า "จับฉลาก" หรือ the lottery (ไม่ได้หมายถึงสลากกินแบ่ง หรือหวยใต้ดิน) เป็นพิธีที่ชาวบ้านมารวมตัวกันด้วยความตื่นเต้นระทึกใจ สำหรับงานในวันที่ 27 มิถุนายน เด็กๆไปหาก้อนหินมากองรวมกันกลางหมู่บ้าน ขณะที่ผู้ใหญ่รวมตัวกันจัดเตรียมงานพิธีประจำปี ซึ่งจัดขึ้นด้วยจุดมุ่งหมายว่าจะบันดาลให้ผลผลิตออกมาอุดมสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม หมู่บ้านใกล้เคียงบางแห่งได้ยกเลิกประเพณีนี้ไปแล้ว มีข่าวลือแพร่สะพัดว่าหมู่บ้านอื่นๆ กำลังพิจารณายกเลิกด้วย แต่ในเมืองนี้ยังอนุรักษ์ประเพณีจับสลากไว้อย่างเหนียวแน่น และเห็นพ้องกันว่าควรดำเนินการต่อไปทุกปี การเตรียมจับสลากเริ่มต้นในคืนก่อนหน้า คนเก่าแก่ของเมืองเช่นซัมเมอร์ส พ่อค้าถ่านหิน และเกรฟส์ นายไปรษณีย์ จัดทำรายชื่อคนในครอบครัวชาวบ้านทั้งหมด เตรียมใบเสร็จรับเงินหนึ่งใบต่อครอบครัว ใบเสร็จจะถูกพับและบรรจุในกล่องไม้สีดำเก่าแก่ เก็บไว้ในตู้เซฟที่ร้านของซัมเมอร์ส จนกว่าจะถึงเวลาเริ่มจับสลาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41639
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 36 เมื่อ 30 ก.ย. 25, 17:32
|
|
เช้าวันจับฉลาก ผู้แต่งบรรยายบรรยากาศไว้ว่าเป็นวันสดใสตามแบบของฤดูร้อน ต้นไม้เขียวทุกถนน ดอกไม้บานสะพรั่ง ผู้คนออกมาทำธุระนอกบ้าน ทักทายกันตามปกติ เด็กๆก็วิ่งเล่นกันเพราะเป็นช่วงปิดเทอมกลางปี ทุกอย่างดูสงบ เรียบง่ายและมีกลิ่นอายของความชื่นบานตามปกติของคนชนบท แต่... พิธีกรรมจับฉลากจะเริ่มอย่างเรียบง่ายตอนสิบโมงเช้า เสร็จไม่เกินเที่ยง หลังจากนั้นชาวบ้านก็แยกย้ายกันกลับไปกินอาหารกลางวันที่บ้านของตน ชีวิตก็ดำเนินต่อไปเหมือนเดิม เพียงแต่... เมื่องานเริ่ม ผู้ทำพิธีก็ยกหีบสีดำเก่าแก่นั้นออกมาวาง ในนั้นมีกระดาษชิ้นเล็กๆ เป็นกระดาษเปล่าเกือบเท่าจำนวนครอบครัวในหมู่บ้าน เว้นแต่ใบสุดท้าย ระบายจุดใหญ่สีดำไว้ตรงกลาง รวมกันแล้วเท่าจำนวนหมู่บ้านพอดี ต่อจากนั้นก็มีการขานชื่อหัวหน้าครอบครัวแต่ละครอบครัวออกมาจับฉลาก ใครได้ใบขาวว่างก็ถอยออกไปอย่างโล่งใจ ในจำนวนนี้จะมีครอบครัวเดียวที่ได้ใบที่มีจุดดำ ในที่สุด ก็พบว่าคนที่ล้วงได้กระดาษจุดดำ คือครอบครัวของบิล ฮัทชินสัน ประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูกอีก 3 คน ครอบครัวนี้ต้องจับฉลากอีกครั้ง หนึ่งในห้าใบ เพื่อจะเลือกคนหนึ่งออกมา ฝูงชนเข้ามามุงดูอย่างใจจดใจจ่อ ในที่สุด กระดาษที่มีจุดดำ ก็ตกอยู่ในมือของเทสซี่ ภรรยาของบิลล์- แม่ของเด็กๆ
ผู้ที่จับฉลากได้ ไม่ใช่ว่าได้รางวัลเงินหรือข้าวของ แต่เน่ื่องมาจากประเพณีของเมืองนี้และเมืองใกล้เคียง เป็นประเพณีเก่าแก่ดั้งเดิมเกินกว่าใครจะจำได้ว่ามันมาจากไหน เริ่มจากอะไร และทำไมถึงออกมาแบบนี้ ทุกคนจำได้แต่ว่ามันสืบทอดกันต่อมารุ่นแล้วรุ่นเล่าโดยไม่ขาดตอน กล่าวคือ เพื่อให้พืชผลในไร่นาได้ผลอุดมสมบูรณ์ เมื่อย่างเข้าฤดูร้อน ชาวบ้านจะต้องทำพิธีสังเวยชีวิตใครคนหนึ่งในหมู่บ้าน ด้วยการระดมใช้หินขว้างจนตาย พวกเขาใช้วิธีจับสลากว่าใครจะได้สลากใบนั้น ใบที่มีจุดดำตรงกลาง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41639
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 37 เมื่อ 01 ต.ค. 25, 10:40
|
|
ขอแปลข้อความตอนท้ายมาให้อ่านกัน เพื่อให้เข้าใจฝีมือการสร้างเรื่องและวิธีแต่งของผู้เขียน “เทสซี” นายซัมเมอร์สขานชื่อ ทุกคนเงียบไปครู่หนึ่ง นายซัมเมอร์สจึงมองไปที่บิล ฮัทชินสัน บิลจึงกางกระดาษของเขาออกและโชว์ให้ดู มันว่างเปล่า “งั้นก็เทสซีน่ะเอง” นายซัมเมอร์สกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เอากระดาษของเธอมาให้ดูสิ บิล” บิล ฮัทชินสันเดินไปหาภรรยาและดึงกระดาษแผ่นนั้นออกจากมือเธอ มันมีจุดสีดำอยู่ จุดสีดำที่นายซัมเมอร์ระบายไว้เมื่อคืนก่อนด้วยดินสอแท่งใหญ่ในสำนักงานบริษัทถ่านหิน บิล ฮัทชินสันยกมันขึ้น ฝูงชนก็ส่งเสียงโห่ร้อง “เอาละ ทุกคน” นายซัมเมอร์สตัดบท “รีบๆ ทำกันให้เสร็จเถอะ” ถึงแม้ว่าชาวบ้านจะลืมว่าพิธีกรรมมีที่มาที่ไปอย่างไร และเคยทำกล่องดำใบเดิมหาย แต่พวกเขาก็ยังจำได้แม่นยำว่าต้องใช้หินแบบไหนอย่างไร กองหินที่เด็กๆ ช่วยกันหามากองรวมกันก่อนหน้านี้บัดนี้ พร้อมแล้ว มันกองอยู่บนพื้นพร้อมกับเศษกระดาษจากกล่องปลิวกระจายอยู่โดยรอบ นางเดอลาครัวซ์เลือกก้อนหินก้อนใหญ่มากจนต้องยกขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วหันไปหานางดันบาร์ “มาสิเธอ” เธอพูด “เร็วเข้า” นางดันบาร์มีก้อนหินเล็กๆ อยู่ในมือทั้งสองข้าง เธอพูดพลาง หอบหายใจพลาง “ฉันไม่ไหวแล้ว เธอเริ่มก่อนเถอะ ฉันค่อยตามทีหลัง” เด็กๆ ล้วนมีก้อนหินในมือแล้ว ใครคนหนึ่งยื่นก้อนกรวดให้หนูน้อยเดวี่ ฮัทชินสัน ลูกของบิลและเทสซี่ ตอนนี้เทสซี ฮัทชินสันอยู่กลางพื้นที่โล่งแล้ว เธอยื่นมือออกไปข้างหน้าอย่างสิ้นหวังขณะที่ชาวบ้านกำลังเดินเข้ามาหาเธอ “มันไม่ยุติธรรม!” เธอร้องออกมา ก้อนหินก้อนใหญ่ถูกขว้าง กระแทกเข้าที่ข้างศีรษะของเธอ ตาแก่วอร์เนอร์พร่ำพูดซ้ำๆกัน “มาสิ มาสิ ทุกคน” สตีฟ อดัมส์ ยืนอยู่ข้างหน้าฝูงชนชาวบ้าน โดยมีนางเกรฟส์ยืนอยู่ข้างๆ เขา “มันไม่ยุติธรรม! มันไม่ถูกต้อง!” นางฮัทชินสันกรีดร้อง เมื่อฝูงชนค่อยๆเข้ามารุมล้อมเธอ จบ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41639
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 38 เมื่อ 01 ต.ค. 25, 13:12
|
|
โดยทั่วไป เรื่องสยองขวัญมักจะมีองค์ประกอบไม่ว่าฉาก ตัวละคร คำพูด ฯลฯ ลึกลับ คลุมเครือ สั่นประสาทตั้งแต่เริ่มแรก และในฉากต่อๆไป เช่นถ้าเริ่มที่บ้านก็ต้องเป็นบ้านเก่าโบราณ ดูลึกลับน่ากลัว หรือโรงแรมเก่าแก่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว ถ้าเป็นเวลาก็คือเวลาค่ำขมุกขมัว หรือกลางคืนที่มิดมิด มองไปทางไหนมีแต่ป่าหรือทุ่งร้าง ตัวละครก็ต้องดูประหลาด น่าพรั่นพรึง เพื่อสร้างบรรยากาศของความสยองตั้งแต่แรก ชั้นเชิงของเชอร์ลี่ แจ๊คสันในเรื่องนี้สูงกว่านั้น เธอแหวกออกจากความซ้ำซากจำเจ ด้วยการสร้างบรรยากาศเมืองเล็กที่ดูสงบ ในฤดูร้อนที่สดใส ผู้คนกำลังจัดงานฉลองกัน ตัวละครในเรื่องก็คือชาวบ้านธรรมดาๆนี่เอง มีผู้เฒ่าผุ้แก่ ผู้ชายหัวหน้าครอบครัว ผู้หญิงก็เป็นแม่บ้านอย่างที่เห็นทั่วไป มีเด็กน้อยน่ารักไร้เดียงสา ติดตามพ่อแม่มาร่วมงาน แต่ความสยองอยู่ในสิ่งที่คาดไม่ถึงในบรรยากาศง่ายๆ สบายๆ ในความรู้สึกปกติธรรมดาของชาวเมือง เหมือนสิ่งที่เขาเรียกว่า "สลาก" คือรางวัลชิงโชค ไม่ใช่ว่ามันคือ "การบูชายัญมนุษย์" ตามความเป็นจริง มิหนำซ้ำยังเป็นการบูชายัญที่โหดเหี้ยมที่สุด คือรุมระดมปาก้อนหินจนเหยื่อล้มลง เลือดอาบตัว แล้วขาดใจตายไปในกองเลือดจากเนื้อและกระดูกของตนเอง แจ๊คสันนำเสนอความคิดว่า "สิ่งที่โหดร้ายที่สุด ไม่จำเป็นต้องเกิดจากฆาตกรโรคจิต หน้าตาโหดเหี้ยม หรืออาวุธอานุภาพร้ายแรง หรือในสถานที่ลึกลับน่าสะพรึงกลัวเสมอไป มันเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวันธรรมดาๆ ในหมู่คนที่อยู่กันอย่างสงบสันติในชุมชน เหมือนคนทั่วไปนี่แหละ" ทีนี้เข้าใจหรือยังคะว่าทำไมจดหมายด่าจึงถาโถมเข้ามาหาผู้เขียนเป็นห่าฝน ถ้าเธอเขียนเสียใหม่ว่า จู่ๆก็มีโจรยกพวกเข้ามาปล้นหมู่บ้าน บังคับทุกคนให้ยอมจำนน แล้วเลือกเหยื่อจากการจับสลาก เพื่อนำมาประหารกลางลาน ส่วนชาวบ้านก็น่าสงสารมาก ที่ไม่มีทางป้องกันตัว ทั้งๆเรื่องมันก็จบด้วยความตายเหมือนกัน แต่รับรองว่าจะไม่มีจดหมายด่าผู้เขียนสักฉบับเดียว อย่างมากก็บ่นนิดหน่อยว่า "จบแบบหดหู่ใจจังเลยนะคุณแจ๊คสัน" ทำไม?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41639
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 39 เมื่อ 01 ต.ค. 25, 17:10
|
|
คำตอบคือ เพราะคนเราจำนวนมากยึดถือแบบเดียวกับชาวบ้านในเรื่อง คือยึดถือประเพณีเก่าแก่ ว่าเป็นของควรสืบทอดกันต่อไป ทั้งๆที่เราเองก็ไม่รู้ว่า "ทำไม" จะต้องยึดตามนั้น ทำไมเราต้องสรงน้ำพระพุทธรูป? ทำไมต้องจับแมวมาสาดน้ำในพิธีแห่นางแมว? ทำไมต้องทำพิธีผูกข้อมือหนุ่มสาว? ไม่ทำได้ไหม? ถ้าไม่ทำแล้วจะเสียหายอย่างไร เป็นความผิดทางด้านไหนบ้าง? ทั้งหมดนี้เป็นคำถามเกี่ยวกับประเพณีที่ไม่มีคำตอบชัดเจนนัก แต่ในเมื่อเป็นสิ่งที่ทำแล้ว ไม่ได้ก่อความเสียหายแก่ผู้ใด ผู้คนก็ตกลงจะทำกันต่อๆไป โดยไม่เห็นความจำเป็นจะต้องหาเหตุผล ในอเมริกาเองก็มีประเพณี หรือความเชื่อของผู้คน ตามท้องถิ่นต่างๆ ไม่ได้แตกต่างจากประเทศอื่นๆ แจ๊ดสันเป็นคนตั้งคำถามขึ้นมา ไม่ได้ถามว่าประเพณีดีหรือไม่ดีอย่างไร แต่ถามว่า " เราควรเชื่อเพราะเขาเชื่อสืบต่อๆกันมา หรือไม่" ชาวบ้านในเรื่องนี้ไม่มีใครรู้ว่าการจับสลากเลือกคนมาบูชายัญนั้นมีที่มาอย่างไร ทำไมถึงทำกันมายาวนาน และจะทำกันต่อไป แต่ผู้เขียนบอกใบ้ไว้นิดๆหน่อยๆจากปากคำของชายชราของหมู่บ้าน ว่าแกจำได้ถึงคำพังเพยเก่าแก่ได้ว่า " จับสลากเดือนมิถุนา ข้าวโพดออกมาอุดมสมบูรณ์" ทำให้คิดว่าประเพณีน่าจะเริ่มต้นจากการสังเวยเทพเจ้าแห่งธัญญาหารในสมัยโบราณ (คล้ายๆกับเราไหว้เจ้าด้วยเปิดไก่และอาหารหลายชนิด) แต่ชาวบ้านจะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่สำคัญเท่ามันเป็นประเพณี ต้องทำกันต่อไป การยึดมั่นถือมั่นในความเชื่อเก่าๆตกทอดกันมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันปีแบบนี้เกิดขึ้นในทุกสังคม โดยไม่มีใครตั้งคำถาม ว่าจริงหรือไม่ - ประเพณีบางอย่างต้องใช้หญิงสาวพรหมจารี ไม่ใช่หญิงที่สมรสแล้ว หรือแม่ม่าย - ลูกชายสำคัญกว่าลูกสาว - สถานที่บางแห่งห้ามผู้หญิงเข้าไป - แต่งกายสีตามวันเป็นเรื่องดีงาม ฯลฯ จนมาถึงเรื่องสั้นเรื่องนี้ ถ้าชีวิตของคนหนึ่งทำให้คนอื่นๆสบายใจ การจบชีวิตคนนั้นไปก็ถือว่าถูกต้องและยุติธรรมแล้วใช่หรือไม่?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41639
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 40 เมื่อ 02 ต.ค. 25, 10:02
|
|
คำถามต่อไปที่แจ๊คสันตั้งไว้ให้คนอ่านคิดก็คือ ชาวเมืองเล็กๆนี้คิดอย่างไรกับประเพณีนี้? ในเนื้อเรื่อง เราไม่เห็นการประท้วง ไม่มีแม้แต่ใครสักคนออกมาโวยวายว่าเรื่องนี้มันวิปริต มันป่าเถื่อน ยุติได้แล้ว ไม่มีการตั้งข้อสงสัยว่ามันควรทำหรือไม่ทำ แม้ว่าในเมืองอื่นๆใกล้เคียงยกเลิกประเพณีนี้ักันหมดแล้ว แต่เมืองนี้ก็ไม่มีท่าทีว่าสะดุ้งสะเทือน ทำไมหรือคะ? ดูตัวอย่างได้จากตัวละครสำคัญ คือ เทสซี่ แม่บ้านสาวคนหนึ่งในเมืองนี้ เธอรับรู้ประเพณีนี้มากเท่าคนอื่นๆ แต่เทสซี่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร จนกระทั่งเธอตกเป็น "เหยื่อ" ถูกฆ่าบูชายัญเสียเอง เธอจึงกรีดร้องออกมาว่า มันไม่ถูกต้อง มันไม่ยุติธรรม ขณะที่ฝูงชนระดมขว้างปาก้อนหินมาที่เธอ แจ๊คสันบอกเราทางอ้อมว่า คนเราจำนวนมากทำตัวเหมือนเทสซี่ คือเรื่องร้ายแรงทั้งหลาย ถ้าหากว่ามันไม่เข้ามาถึงตัว เราก็จะไม่เดือดร้อนกับมัน ถ้าเคราะห์กรรมตกอยู่ที่คนอื่น ก็เป็นเรื่องของคนอื่น จนเมื่อไหร่ถึงตัวเราเข้านั่นแหละ เราค่อยลุกขึ้นประท้วง ถ้าสงครามเกิดที่บ้านอื่นเมืองอื่นไกลคนละซีกโลก ต่อให้ผู้คนในบ้านเมืองนั้นตายลงไปเป็นแสนๆ คน ก็ไม่มีใครในอีกซีกโลกหนึ่งลุกขึ้นเดินขบวนประท้วงในบ้านเมืองเขา เพราะพวกเขาเห็นว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว แต่ถ้าสงครามเกิดขึ้นใกล้ๆตัว ทีนี้ละ ถึงจะเคลื่อนไหวต่อต้านเอาจริงเอาจัง ในเมืองเล็กๆนี้มีคนราว 300 คน เหยื่อมีคนเดียว เท่ากับ1/300 ดังนั้นเทสซี่จึงไม่เดือดร้อนในตอนแรก เพราะโอกาสมีต่ำว่า 1% เสียอีกที่เธอจะเป็นผู้ถูกสลาก เธอเริ่มเดือดร้อนจริงจังเมื่อตกเป็นผู้เคราะห์ร้ายคนนั้น เธอเริ่มเห็นความโหดร้ายของประเพณีนี้เมื่อเธอประสบเข้าเอง มนุษย์ส่วนใหญ่เป็นอย่างเทสซี่หรือเปล่า? แจ๊คสันตั้งคำถามไว้แบบนี้ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41639
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 41 เมื่อ 03 ต.ค. 25, 09:08
|
|
วรรณกรรมที่ได้รับการยกย่อง ไม่ว่านวนิยายเรื่องยาว เรื่องส้ันหรือบทกวี มักมีลักษณะตรงกันอย่างหนึ่ง คือแม้ว่าเล่าถึงเหตุการณ์เล็กๆ แต่ก็สามารถสะท้อนสังคมมนุษย์ที่กว้างไกลได้ เช่นการตั้งคำถามเกี่ยวกับความงมงาย และลักษณะตัวใครตัวมัน อย่างในเรื่อง The Lottery คนอ่านสามารถเอาไปประยุกต์ใช้กับเรื่องที่ใหญ่กว่านี้ได้ ส่วนใหญ่ก็เป็นความคิดที่เป็นสากล คือเกิดได้ทุกยุคสมัยและทุกสังคม การที่คนอ่านขว้างปาก้อนหินใส่แจ๊คสันผู้เขียนจากทุกสารทิศนั้น ส่วนหนึ่งอาจเกิดจาก "กระแทกใจ" มากไป เพราะคนจำนวนมากก็โง่งมคล้ายชาวบ้านในเรื่องนี้ คือหลงยึดถือความเชื่อบางอย่างไม่ลืมหูลืมตา เราคงเคยอ่านข่าวหลายปีก่อน ผู้นำลัทธิประหลาดๆบางอย่างสามารถเกลี้ยกล่อมให้สาวกฆ่าตัวเองและลูกเมียตายตามไปเป็นจำนวนมาก เพราะหลงเชื่อว่าโลกจะล่มสลาย หรือเศรษฐีทุ่มเทเงินทองให้นักบวชทุศีลไม่อั้น แทนที่จะนำไปใช้เพื่อการกุศลอย่างแท้จริง เพราะเชื่อว่านี่คือหนทางขึ้นสวรรค์ ลืมไปว่าพุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาที่สะสมเงินทองในการเผยแพร่ ในพระพุทธประวัติ พระพุทธองค์ไม่เคยรับบริจาคใดๆเพื่อประกาศศาสนา ทรงเห็นเงินทองว่าเปรียบเสมือนงูพิษด้วยซ้ำไป สิ่งที่คนเหล่านี้ขาดตรงกัน คือ การพิจารณาด้วยวิจารณญาณ หรือทางพุทธศาสนาเรียกว่า โยนิโสมนสิการ หมายถึง การคิดอย่างรอบคอบมีเหตุผล เป็นการใช้ปัญญาพิจารณาสิ่งต่าง ๆ หาเหตุปัจจัย ที่มา ที่ไปและการเกี่ยวโยงกัน จนเห็นความเป็นจริง โยนิโสมนสิการช่วยสกัดกั้นอวิชชา (ความไม่รู้) และตัณหา (ความอยาก) ทำให้เกิดปัญญา แก้ปัญหาได้ถูกจุด และส่งเสริมให้เกิดกุศลธรรม หรือคุณธรรมฝ่ายดีในชีวิต เรื่องสั้นของแจ๊คสันกระตุ้นให้คนหวนคิดทบทวนตัวเอง จึงถูกโจมตีมากมาย เพราะคนจำนวนมากรับความจริงที่ขัดหูตนเองไม่ได้ แต่นักวิชาการและนักวิจารณ์รับได้ เรื่องนี้จึงได้รับการยกย่องอยู่แถวหน้าของวรรณกรรมร่วมสมัยของอเมริกา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41639
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 42 เมื่อ 03 ต.ค. 25, 09:38
|
|
เทศนาส่งท้ายไปแล้ว คราวนี้มาถึง Far From the Madding Crowd เสียที นวนิยายเรื่องนี้เป็นผลงานชิ้นที่ 4 ของโธมัส แต่เป็นเรื่องแรกที่ประสบความสำเร็จล้นหลาม คนอ่านชื่นชอบ วางจำหน่ายเป็นเล่มเมื่อ ค.ศ. 1874 (พ.ศ. 2417 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5) เดิมทีตีพิมพ์เป็นตอนๆ ในนิตยสาร Cornhill ได้รับความนิยมมาก ก็เลยพิมพ์เป็นเล่มในเวลาต่อมา เนื้อเรื่องกล่าวถึง บาธชีบา เอเวอร์ดีน นางเอกของเรื่อง เป็นสาวนิสัยเด็ดเดี่ยวและหัวรั้น เธอได้รับมรดกเป็นบ้านนาและทุ่งเลี้ยงแกะ ที่เธอพยายามจะดำเนินธุรกิจด้านนี้ด้วยตัวเอง มีชายสามคนเข้ามาพัวพัน คนแรกคือเกเบรียล โอ๊ค คนงานผู้ซื่อสัตย์ วิลเลียม โบลด์วูด เศรษฐีเพื่อนบ้านผู้มั่งคั่ง เขาหลงรักแล้วไม่ยอมเลิกง่ายๆ และทหารหนุ่มรูปหล่อ แฟรงค์ ทรอย บาธชีบาปฏิเสธคำขอแต่งงานของเกเบรียล และไม่รับคำทาบทามจากโบลด์วูด เธอเห็นว่าทรอยต่างหากคือชายในฝัน จึงตัดสินใจแต่งงานกับเขา แต่ทรอยเป็นนักพนัน ชีวิตแต่งงานจึงลุ่มๆดอนๆ และหลังจากที่ทรอยหายไปในทะเล สันนิษฐานว่าเสียชีวิต โบลด์วูดก็มาขอแต่งงานกับบาธชีบา แต่ทรอยไม่ตายกลับมาทวงสิทธิ์ของตน โบลด์วู้ดยิงทรอยตาย ถูกตัดสินจำคุก บาธชีบาก็ตัดสินใจแต่งงานกับกาเบรียล ผู้ภักดีต่อเธอเสมอมา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 43 เมื่อ 03 ต.ค. 25, 10:23
|
|
ขออนุญาต ครับ, มาสาย คนแต่งเรื่อง Lottery กระตุกสำนึกและการตั้งคำถามต่อประเพณีความเชื่อที่ปฏิบัติมายาวนานได้อย่างแรงตามความรุนแรง ที่นำเสนอ ด้วยการเลือก Stoning การประหารโดยการขว้างหินในกลางศตวรรษที่ 20 ในเมกา ที่วิธีการประหารนี้มีในแถบแอฟริกาและ ตะวันออกกลาง ส่วนในเมกาจะมีเป็น Lynching ที่ยังคงพบได้ถึงช่วงกลางศตวรรษที่แล้ว เข้าใจว่าต้องการเสนอภาพความรุนแรงเต็มร้อย, ค่อยๆ ตายอย่างมีเลือดตก ได้ภาพตอนจบที่สยดสยอง ส่วนสภาพสังคมที่เกิดเหตุในชนบทห่างไกลแต่มีความ "ปกติ"อยู่ในเรื้่องนี้ ไม่มีลักษณะแบบเมืองลับแลหรือสังคมเฉพาะกลุ่มคนนอก แปลกแยกแตกต่างที่ยังคงความเชื่อ,ประเพณีเหนียวแน่น (เช่น ชาว Amish ที่จะไม่มีเรื่องรุนแรงแบบนี้) และ การดำรงคงอยู่ของสังคมที่ เปราะบางเช่นนี้เป็นที่น่าสงสัยว่าน่าจะเป็นเมืองร้างไปแล้วเพราะคนที่เหลือรอดจะย้ายออกไปหรือไม่เช่นนั้นทางการก็ยื่นมือมาจับกุมจัดระเบียบ ....ยกให้เป็นอภิสิทธิ์ทางวรรณกรรม ประเทศขว้างหิน ลินชิ่ง คนนอก
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 44 เมื่อ 03 ต.ค. 25, 10:33
|
|
รับชม Far from ได้ที่ยูทูบ ครับ กำกับภาพ, Julie Christie และ ชนบทงดงามมาก ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|