เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2] 3 4 5
  พิมพ์  
อ่าน: 5656 คุยกันถึงวรรณกรรมระดับโลก
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41639

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 23 ก.ย. 25, 18:55

   จะพยายามตอบคุณหมอ SILA เท่าที่นึกออกตอนนี้นะคะ 
   โธมัส ฮาร์ดี้เกิดมาในชนบทอังกฤษในยุควิกตอเรียน   แม้สหราชอาณาจักรก้าวขึ้นสู่ความเป็นมหาอำนาจ แต่ชีวิตชาวไร่ชาวนาในชนบทก็ยังทำงานหนัก หลังสู่ฟ้าหน้าสู้ดิน แทบไม่ต่างจากเดิม  ประสบการณ์ชีวิตเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขามองโลกในแง่สมจริงที่หนักไปทางขมขื่นอยู่มาก   
  นอกจากนี้ฮาร์ดี้ยังมีความเชื่อส่วนตัวว่าชะตากรรมของมนุษย์ถูกควบคุมด้วยพลังอำนาจภายนอก  คือจะเรียกว่าเบื้องบนหรืออะไรก็ตาม    แต่หมายความว่ามนุษย์ก็เหมือนเรือน้อยๆที่ถูกคลื่นซัดไปมาอยู่กลางทะเลกว้าง   จะรอดหรือจะล่มก็แล้วแต่ช่วงนั้นจะมีพายุเข้ามา หรือว่าคลื่นลมสงบลงเป็นอันดี
   แต่ส่วนใหญ่ตัวเอกของเขาไม่เจอทะเลเรียบ แต่จะเจอมรสุมหนัก  ในฐานะเหยื่อของชะตากรรม
   การมองโลกในแง่ร้ายของฮาร์ดี้สวนทางกับกระแสสังคมสมัยวิกตอเรียนที่มองโลกในแง่ดีกว่านี้   นักวิชาการก็เลยมองว่าเขามีสายตากว้างไกลกว่าชาวบ้านร่วมสมัยค่ะ
 
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41639

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 24 ก.ย. 25, 09:13

      ย้อนกลับมาที่คอนราด  เชิญเข้าไปสำรวจหัวใจทมิฬกันนะคะ

      ก่อนอื่น ขอเล่าถึงเคิร์ตซ์ (Kurtz)ที่มาร์โลว์เดินทางเข้าไปพบ
      เขาคือใคร?
      เคิร์ตซ์เป็นชายชาวยุโรปผู้มีชื่อเสียง โดดเด่นด้านความสามารถ    ในตอนเริ่มต้นชีวิต เขาก็เช่นเดียวกับลอร์ดจิม คือมีความฝันอันสูงส่ง   เขาเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าอารยธรรมยุโรปสามารถ “ทำให้โลกเจริญขึ้น” ด้วยการนำความรู้และศีลธรรมอย่างผู้เจริญแล้วไปสั่งสอนอบรมและพัฒนา “คนป่าเถื่อน” ในแอฟริกา เพื่อให้คนเหล่านั้นพัฒนาขึ้นมาเป็นมนุษย์ที่เจริญแล้วอย่างคนยุโรป
   เขาเก่งเรื่องการพูดจา เขียนหนังสือเก่ง และฉลาดปราดเปรื่องจนใคร ๆ ก็ยกย่อง
   เขาเคยเขียนบทความว่า “เราควรสร้างอารยธรรมให้คนพื้นเมือง  ด้วยความเมตตาและเห็นอกเห็นใจ”
        แต่…
        ทำไมเคิร์ตซ์เปลี่ยนไปเป็นผู้นำลัทธิแห่งความบ้าคลั่ง?
        เมื่อเขาถูกส่งไปยังป่าลึกของคองโก ห่างไกลจากกฎหมาย ศีลธรรม และสายตาของชาวโลก   เขาก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นคนละคน
   เริ่มด้วยการได้รับอำนาจเบ็ดเสร็จจากบริษัท ให้ทำทุกอย่างเพื่อเอางาช้างมาส่งขายยุโรป
        เมื่ออยู่ท่ามกลางคนพื้นเมืองผู้ซื่อและไม่ประสีประสาต่อโลกภายนอก เคิร์ตซ์กลายเป็นเหมือน “เทพเจ้า”   ไม่มีใครขัดขืนคำสั่งเขาได้  ทุกคนมีหน้าที่ต้องยอมตาม ศิโรราบกับความต้องการของนายผิวขาว
        ถ้าหากว่ามีผู้คัดค้าน  ขัดขืนหรือแย้งความเห็น    อาจส่งผลให้เรื่องยืดเยื้อ   วิธีรวบรัดตัดปัญหาที่ได้ผลที่สุดคือใช้ความรุนแรง ข่มขู่ วางอำนาจบาตรใหญ่    เขาจึงทำแม้แต่ประดับหัวกะโหลกของคนตายไว้รอบบ้านตนเอง (เพื่อแสดงอำนาจ)
         พอไม่มีใครควบคุมเขาได้ อุดมคติของเคิร์ตซ์ก็ละลายกลายเข้าสู่ความโลภ อำนาจ และด้านมืดในจิตใจตนเอง
         เคิร์ตซ์ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเพราะถูกใครล้างสมอง   ไม่มีใครบังคับหรือกดดันเขาให้เปลี่ยนเป็นคนละคน  เขาต่างหากที่เปิดโอกาสให้ตัวเองกลายเป็น “สัตว์ร้ายในคราบอารยธรรม” โดยสิ้นเชิง
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8490


ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 24 ก.ย. 25, 11:05

            มองเห็นท่านโจเขียนเรื่องนี้เพื่อเผยถึงด้านมืดของชาวตะวันตกที่มีแนวคิดดีแต่แรก แต่ต่อมาเปลี่ยนไปเพราะกิเลสคน
ราวกับว่าจะวิจารณ์ต้านกับแนวคิด - ภาระคนขาว The White Man’s Burden ของ Rudyard Kipling

           มาจากบทกวีซึ่งเขียนโดยรัดยาร์ด คิปลิง (Rudyard Kipling) นักประพันธ์ชาวอังกฤษเจ้าของวรรณกรรม The Jungle Book
มีเนื้อหาสนับสนุนการเข้ายึดครองหมู่เกาะฟิลิปปินส์ของสหรัฐอเมริกา ภายใต้ความคิดที่กล่าวถึงบทบาทหน้าที่อันกล้าหาญของชาติตะวันตก
ในฐานะของการเป็นผู้เจริญแล้วมีหน้าที่ต้องช่วยเหลือ รวมทั้งเผยแพร่ความเจริญนั้นไปยังผู้คนผิวสีในดินแดนต่างๆ ตลอดจนพัฒนาให้
ผู้ด้อยอารยะเหล่านั้นได้ก้าวเข้าสู่ความเจริญ
            คิปลิงเขียนในปี 1899 กลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างลัทธิจักรวรรดินิยมสมัยใหม่ และเป็นรากฐานความชอบธรรมให้อเมริกา
เพื่อที่จะได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทหน้าที่ในสังคมโลก
            แนวคิดในแบบที่คิปลิงเขียนนั้นเกิดขึ้นมาก่อนแล้วในยุโรปตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 เมื่อมหาอำนาจทั้งอังกฤษ อิตาลี สเปน
และฝรั่งเศส ต่างมุ่งขยายการปกครองของตนออกไปยังดินแดนใหม่อันห่างไกล ภายใต้กรอบคิดว่าทำอย่างไรถึงจะได้มาซึ่งอำนาจเหนือผืนดิน  
ผู้คน และทรัพยากรอย่างชอบธรรม
            ศาสนาคริสต์มีส่วนสำคัญในการปลูกฝังความเชื่อที่ว่าภาระหลักของคริสต์ศาสนิกชนคือการเผยแผ่ศาสนาอันประเสริฐไปยังคนป่าเถื่อน
เพื่อให้น้อมรับพระเจ้าผู้ที่จะนำพวกเขาไปสู่ความรุ่งเรือง


            บทความนี้ยังขยายต่อไปถึง  -  

            การเข้ายึดครองอาณานิคมกลายเป็นที่มาของการพัฒนาเครื่องแต่งกายชนิดใหม่ โดยเฉพาะยูนิฟอร์มสีกากีสำหรับพรางตัวของ
บรรดาทหารหน่วยลาดตระเวนบริติชอินเดียแห่งจักรวรรดิอังกฤษในสมัยพระนางเจ้าวิกตอเรีย ที่ต่อมาถูกนำไปประยุกต์ใช้ในบริเวณอาณานิคม
เขตร้อนในฐานะของเครื่องแต่งกายพลเรือนเพื่อการออกล่าสัตว์...
            เครื่องแต่งกายสีกากีสำหรับสวมใส่เข้าร่วมกีฬาล่าสัตว์ป่าในรูปแบบของเกมกีฬาแบบท่องซาฟารี ของผู้ปกครองผิวขาวที่แฝงด้วย
วัตถุประสงค์ในการแสดงแสนยานุภาพเหนือคนพื้นถิ่น จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิด Great White Hunter ในช่วงทศวรรษ 1930s....
            ธีโอดอร์ โรสเวลต์ (Theodore Roosevelt) ที่เมื่อลงจากตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 32 ของสหรัฐอเมริกา ก็เข้าร่วมกับสถาบัน
สมิธโซเนียนเพื่อออกเดินทางสู่แอฟริกาในโครงการที่มีจุดประสงค์สำหรับการสำรวจเก็บตัวอย่างพันธุ์สัตว์ป่าเพื่อนำไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์...

อ่านเต็มได้ที่ https://www.gqthailand.com/style/article/white-man-burden
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41639

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 24 ก.ย. 25, 11:31

  หัวใจทมิฬ ของคอนราด ตีพิมพ์แผยแพร่ ค.ศ. 1899
  ภาระคนขาว ของ รัดยาร์ด คีปลิง ก็ปี  1899 เหมือนกัน
   การล่าอาณานิคม ไม่ว่าจะมหาอำนาจในยุโรปแสดงความตั้งใจอย่างสวยหรูขนาดไหน  มันก็ไม่พ้นความจริงว่าเมื่อเข้าไปยึดดินแดนใหม่แล้ว  ผลประโยชน์ก็ต้องตามมา     ยังไม่เคยเห็นที่ไหนที่ชนผิวขาวเข้าไปยึดแล้วก็ช่วยชาวบ้านทำไร่ไถนา เป็นแรงงานเพิ่มเติมให้ปากท้องชาวบ้านค่อยดีขึ้น  โดยตัวเองไม่ได้อะไร  ขอแค่ทำตัวเป็นพ่อพระให้ชาวบ้านเท่านั้น
   แต่คนผิวขาวพวกนี้ก็ไปสร้างความเป็นอยู่ใหม่ๆ เช่นบ้านเรือนแบบยุโรป  ความสะดวกสบายแบบยุโรป แต่งกายแบบยุโรป  ตั้งระเบียบกฎเกณฑ์แบบยุโรป  หารายได้ให้ชาวบ้านด้วยการจ้างเป็นแรงงานรับใช้และแรงงานในสังคมของพวกเขา   เพื่อพวกเขาจะได้อยู่ไม่แตกต่างจากบ้านเดิมที่จากมา
    ทั้งหมดนี้คือภาพของการเผยแพร่ความเจริญ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41639

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 25 ก.ย. 25, 10:22

     เมื่อมาร์โลว์เดินทางไปพบเคิร์ตซ์   ชายผู้นั้นป่วยหนักกำลังจะตาย  วาจาสุดท้ายที่เขาเปล่งออกมา คือ "The horror! The horror!" ก่อนสิ้นใจ
    เรื่องก็จบลงตรงที่มาร์โลว์นำเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟัง
    เรื่องนี้เป็นนวนิยายขนาดสั้น (novella)  ถ้าอ่านเรื่องย่อแล้วอาจรู้สึกว่าไม่เห็นมีอะไรมาก  ไม่เห็นจะต้องเป็นวรรณกรรมเอก   แต่เชื่อหรือไม่  คำว่า horror ที่นายเคิร์ตซ์แกเปล่งออกมาก่อนตายนี่แหละ กลายเป็นหนึ่งในคำพูดสุดท้ายก่อนตาย ที่โด่งดังที่สุดคำหนึ่งในวรรณคดีอังกฤษ ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ดัดแปลงของฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา เรื่อง Apocalypse Now
    ขอแยกซอยไปอธิบายให้ท่านที่อาจไม่ได้เรียนวิชาวรรณคดีให้ทราบหน่อยว่า นักวรรณคดีตะวันตกเขานิยมยกย่องเรื่องที่ต้องตีความกันได้ลึกซึ้ง  ยิ่งลึกล้ำเหลือกำหนดชนิดตีความกันได้ร้อยปีไม่จบไม่สิ้น ยิ่งถือว่าแสดงถึงฝีมือไร้เทียมทานของผู้แต่ง     อะไรที่อ่านแล้วเข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้ง เขาถือว่าไม่ลึกซึ้ง  ไม่น่าเอามายกย่องในห้องเรียน   
    ดังนั้นครูผู้สอนวรรณคดีเรื่องเดียวกันก็อาจมองเรื่องนั้นได้คนละแบบ  นักศึกษาที่เรียนก็อาจมองเห็นคนละอย่างกับครูได้เช่นกัน    ไม่ใช่การเรียนแบบครูว่ายังไงก็ต้องเชื่อตามนั้น
   กลับมาที่คำพูดสุดท้ายของนายเคิร์ตซ์ จอมเผด็จการ   เมื่อร้องออกมาว่า horror ซ้ำกันแล้วแกก็ตายไป โดยไม่ทันไขปริศนาว่า คำนั้นแกตั้งใจจะให้หมายความว่าอะไร
   โจเซฟ คอนราดผู้แต่งก็ฉลาดพอจะไม่อธิบาย    ถึงแก่กรรมไปตามอายุขัยโดยไม่ปริปากเฉลยคำตอบ
   ก็เป็นหน้าที่ครูผู้สอนวรรณคดี  นักวิชาการที่แต่งตำรา นศ. ที่ต้องเรียนเอาคะแนน ตลอดจนผู้สร้างหนัง ละคร จะต้องมาตีความกันเอง
   งั้นเราก็ลองมาตีความกันในเรือนไทยนะคะ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41639

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 25 ก.ย. 25, 10:49

   ถ้าเปิดพจนานุกรม คำว่า horror แปลว่าน่ากลัว   ไม่ใช่น่ากลัวธรรมดาๆ  แบบ คนงานคนใหม่หน้าตาน่ากลัว   สะพานน่ากลัวจะหักถ้าเดินข้าม แต่เป็นความน่ากลัวแบบสยองขวัญ สั่นประสาท  น่าสะพรึงกลัว ทำให้หวาดผวา ขนหัวลุก   ถ้าเป็นวัตถุก็น่ากลัวแบบทำให้ช็อคหรือเป็นลมได้ง่ายๆ
   แต่ถ้าจะแปลคำนี้เป็นคำอุทานของชายป่วยหนักใกล้ตาย  จะแปลว่าอะไรดี
   1   เขาร้องออกมาว่า
   " น่าสะพรึงกลัว! น่าสะพรึงกลัว!
   2  เขาร้องออกมาว่า
   " สยดสยอง!  สยดสยอง!
   3  เขาร้องออกมาว่า
   " ระทึกขวัญ! ระทึกขวัญ!
   4  เขาร้องออกมาว่า
   " น่าหวาดผวา! น่าหวาดผวา!
   ฟังไม่เข้าท่าสักคำ  ทั้งเป็นความหมายที่ถูกต้อง
   ก็เลยไม่แปลดีกว่า   ค่อยตีความความหมายที่นายเคิร์ตซ์ร้อง แล้วให้ท่านผู้อ่านตัดสินใจเอาเองว่าจะเลือกคำไหน  
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8490


ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 25 ก.ย. 25, 11:03

คลิปตอนนี้จาก Apocalypse Now ครับ



ตอนเล็คเชอร์ Horror ก่อนหน้านั้น

บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8490


ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 25 ก.ย. 25, 15:20

            ส่วนตัวแล้วชอบแบบแลกกันไปเลย ครับ คือผู้แต่ง ไม่ต้องเฉลยโต้งๆ โจ่งแจ้ง แต่ imply หรือใช้สัญลักษญ์สื่อ
แล้วก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้อ่านว่า เห็นด้วย,เห็นตรงกันหรือแย้งตรงไหน
            เท่าที่ระลึกชาติได้จางๆ จาก Apocalypse Now เจ้า Horror ในหนัง Apo นี้ เริ่มจาก
            Horror 1 ความกลัวสุดขีดในสมรภูมิเวียดนามสุดโหดที่เหล่าทหารเมกันส่วนใหญ่วัยใส(หรือแม้ผ่านสนามรบอื่น
มาแล้วก็ยังต้อง) พรั่นสะพรึง พวกเขาจำต้องอยู่สู้เพราะหนีไม่ได้
            เหล่าทหารอยู่ต่อแบบต้องสู้หรือเอาชนะความกลัวให้ได้(ไม่งั้นก็จะตายหรือกลายเป็นเสียสติ) โดยใช้ความมืด,ด้านมืด
ในใจตนปิดกลบความกลัวให้มืดมิดจนสิ้นความเป็นมนุษย์ มีความโหดเหี้ยมราวสัตว์ป่า ฆ่าหมดทั้งศัตรูและผู้บริสุทธิ์โดยไม่รู้สึกรู้สา
และ นี่คือ Horror 2
            (ตอนจบคุณเคิร์ทซ์จึงพูด Horror 2 หน  ยิงฟันยิ้ม)

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41639

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 25 ก.ย. 25, 18:36

  กลับมาที่ Heart of Darkness   คำว่า horror, horror ที่คอนราดทิ้งเอาไว้เป็นระเบิดเวลา ให้นักวิชาการและนักวิชาการมาถอดชนวนเป็นระยะๆ  คือหัวใจของทั้งเรื่อง
   คำนี้จะแปลเป็นไทยว่าอะไรก็ตาม  แต่ความน่าสะพรึงกลัวที่เคิร์ตซ์ร้องออกมา ไม่ใช่แค่หมายถึง “สิ่งที่เขาเห็น” ในโลกภายนอก แต่น่าจะหมายถึง “สิ่งที่เขากลายเป็น"  กล่าวคือเขาเห็นตัวเองชัดเจนตอนใกล้ตาย เหมือนกระจกส่องมาให้เห็นชีวิตทั้งหมดที่ผ่านมา
    ข้อนี้ ทางพุทธศาสนาก็พูดถึงเหมือนกัน ว่าคนก่อนตาย จะเห็นนิมิตจากชีวิตที่ผ่านมาจะย้อนกลับมาฉายให้เขาเห็นทุกฉากทุกตอน  จึงมีเรื่องเล่ากันว่า คนฆ่าหมูก่อนตายก็ร้องเหมือนหมู   คนฆ่าวัวก่อนตายก็ร้องเหมือนวัวถูกเชือด   ถ้าอธิบายตามนี้มันก็คือประสบการณ์จากชีวิตพวกเขานั่นเอง
    เคิิร์ตซ์เริ่มต้นด้วยอุุดมการณ์อย่างดี ว่าจะมาทำความเจริญให้ท้องถิ่น   แต่เมื่อเขาขึ้นสู่ฐานะสูงส่งในสังคม  ชาวบ้านกลายเป็นผู้อยู่ต่ำกว่า   เขาก็เริ่มมีอำนาจจะทำตามใจตัวเองได้ไม่มีขอบเขต   ไม่มีใครสามารถตรวจสอบเขาได้
    อำนาจที่ไม่มีการตรวจสอบ ย่อมนำไปสู่ความหลงตน จากนั้นความเลวก็ขึ้นหน้าความดีได้ง่ายๆ   เคิร์ตซ์มาตระหนักในนาทีสุดท้ายว่า เขาไม่ได้ช่วยคนในท้องถิ่นให้มีชีวิตดีขึ้น  แต่กลับทำลายมันด้วยมือของตนเอง
    ถ้อยคำขอเขาเป็นการตระหนักรู้ถึงความจริง      ไม่ใช่การสารภาพแบบ “ขอโทษ”  แต่เป็นมากกว่านั้น
    เขาตระหนักรู้  และหวาดผวากับความจริงอันโหดร้ายที่เขาหลบเร้นเอาไว้มานาน
     เขาไม่ได้พูดว่า “I am a god” (ข้าคือเทพเจ้า)เพราะเขารู้แล้วว่าเขาไม่ใช่
    ไม่ได้พูดว่า “I repent”(ฉันรู้สึกผิด)เพราะมันไม่ใช่คำสารภาพแบบนักบวช เพราะเขาไม่ได้รู้สึกผิด
    แต่ “The horror!” คือเสียงร้องครั้งสุดท้ายของมนุษย์ผู้เผชิญกับความมืดทึ่สุดในใจตัวเอง   โดยไม่มีที่หลบเร้นหรือปฏิเสธอีกต่อไป
    คอนราดไม่ได้เสนอแค่ความมืดในทวีปแอฟริกา   แต่เป็น “จิตใจมนุษย์” ที่อาจจะมืดยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41639

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 26 ก.ย. 25, 09:08

   ที่สำคัญก็คือ  คอนราดไม่ได้นำเสนอแค่เรื่องราวส่วนตัวของเคิร์ตซ์เท่านั้น    แต่แนวคิดของเขาสะท้อนธีมที่ใหญ่กว่านี้   ข้อนี้เองที่ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ขึ้นมา  จนปรากฎในชั้นเรียนของนศ. วรรณคดีของอังกฤษ   
  แนวคิดนั้นคืออะไร
 1. วิพากษ์วิจารณ์ลัทธิจักรวรรดินิยม (Imperialism)
   คอนราดไม่ได้นำเสนอแค่ชีวิตของตัวละคร    ชีวิตของเคิร์ตซ์เป็นเพียงตัวอย่างการตั้งคำถามกับลัทธิล่าอาณานิคม
   เพราะในยุคของคอนราด   โลกยุโรปกำลังยกย่องเชิดชูการนำความเจริญไปให้ดินแดนอีกส่วนหนึ่งของโลก ที่ชาวยุโรปตัดสินว่า “ล้าหลัง”   เช่นเอเชียและแอฟริกา  พวกเขาเชื่อกันว่าคนขาวเข้าไปเพื่อพัฒนาประเทศให้พ้นจากป่าเถื่อน นำความเจริญไปให้แทนความด้อยพัฒนาที่มีมาแต่เดิม
     แต่งานของคอนรอดกลับเผยให้เห็นว่าแท้จริงแล้ว สิ่งที่ยุโรปนำเข้าไปคือความโลภในทรัพยากร   การใช้ความรุนแรงบังคับข่มขู่    และการเอาเปรียบคนที่ไม่มีทางสู้ 
     ข้อคิดที่เขานำเสนอคือ
     "อารยธรรมที่เราภูมิใจอาจเป็นเพียงหน้ากากบาง ๆ ปิดบังความป่าเถื่อนในใจมนุษย์"

2.    เปิดโปง “ความมืด” ในจิตใจมนุษย์
       นอกเหนือจากฉากป่าดงดิบและแม่น้ำ     เรื่องนี้พาเราไปสำรวจคือ “จิตใต้สำนึก” ของมนุษย์
   เคิร์ตซ์ คือสัญลักษณ์ของคนที่เชื่อตัวเองว่าเป็นคนดี มีอุดมคติสูง   แต่เมื่อก้าวขึ้นสู่การยกย่องนับถือ มีอำนาจที่ไม่มีใครติติงได้    ส่วนดำมืดในจิตใจก็กลับเผยออกมา
        นี่คือมุมมองของคอนราด ว่า มนุษย์ทุกคนมีความมืดซ่อนอยู่    และหากไร้กฎ ไร้ขีดจำกัด—ความมืดนั้นก็อาจผุดขึ้นมาครอบงำเรา  โดยที่ความดีไม่อาจต้านทานได้
3.     คอนราดท้าทายศีลธรรมปลอม ๆ ของอารยธรรม
        พฤติิกรรมของเคิร์ตซ์เป็นการเสียดสีอย่างเจ็บแสบว่าสิ่งที่เรียกว่าอารยธรรมของชาวยุโรป อาจไม่ได้มีคุณธรรมมากกว่าคนพื้นเมืองเลยสักนิด
        เพราะอะไร?
   เพราะคนที่อ้างว่าเจริญ อาจฆ่าคนได้ง่ายดายกว่าคนที่เรียกว่าป่าเถื่อนเสียอีก
   เพราะความศิวิไลซ์อาจเป็นเพียงคำสวยหรู  มีเอาไว้ฉาบหน้า ปิดบังความโหดร้ายกดขี่ข่มเหง ซึ่งเป็นของจริง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41639

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 25  เมื่อ 26 ก.ย. 25, 18:16

      ขอเล่าเกร็ดเล็กน้อยแถมให้ว่า  นวนิยายเรื่องนี้มาใหญ่เอาทีหลัง  ตอนที่คอนราดยังมีชีวิตอยู่  เรื่องนี้ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก   เมื่อตีพิมพ์ออกมา นักวิจารณ์อ่านแล้วก็ "งั้นๆ" ไม่สนใจเท่าไหร่   แถมบางคนยังเรียกว่าเป็น "งานระดับรอง" เล่าด้วยภาษาเข้าใจยาก   จนคนเขียนคือคอนราดเองก็พลอยคิดตามไปด้วยว่ามันไม่ใช่งานช้ิ้นเอกของเขา   
      อาจจะเป็นเพราะประชาชนคนอ่านยังเชื่อมั่นในทัศนะทางการเมืองว่า  การยึดครองอาณานิคมคือการเข้าไปพัฒนาความเจริญแก่บ้านเมืองที่ป่าเถื่อนทั้งหลาย   อย่างที่คุณหมอ SILA เล่าถึงรัดยาร์ด คิปลิง  การเขียนถึงความโหดร้ายของคนผิวขาวจึงไม่เป็นท่ีนิยม
      คอนราดถึงแก่กรรมเมื่อค.ศ. 1924 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึง 15 ปี   เขาไม่มีโอกาสเห็นว่าหลังสงครามโลกจบลงเมื่อปี 1945   ประเทศอาณานิคมทั้งหลายต่างก็ดิ้นรนยอมแลกเลือดเนื้อจนถึงชีวิต เพื่อให้ได้อิสรภาพจากมหาอำนาจ   แต่ชาวบ้านทั่วไปเริ่มเห็น   Heart of Darkness จึงถูกปัดฝุ่นขึ้นมาอีกครั้ง   จนในช่วงทศวรรษ 1960 มันก็กลายเป็นหนังสืออ่านในหลักสูตรภาษาอังกฤษระดับวิทยาลัยและมัธยมปลายหลายหลักสูตร


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41639

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 26  เมื่อ 27 ก.ย. 25, 09:42

     ทีนี้มาดูกันว่าทำไม Heart of Darkness จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นนวนิยายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคอนราด
    1. ชั้นเชิงในการสร้างโครงสร้างเรื่องที่ซับซ้อน
     เรื่องนี้ไม่เล่าเหตุการณ์ในเรื่องแบบตรง ๆ ซื่อๆ  แต่เป็นการเล่าเรื่องซ้อนเรื่อง  คอนราดไม่ได้เลือกที่จะให้นักเขียนเล่าเรื่องของเคิร์ตซ์ออกมาตรงๆ  แต่คนอ่านจะฟังจากคำบอกเล่าของมาร์โลว์ซึ่งเป็นตัวละครอีกตัวหนึ่งในเรื่อง  มองเห็นจากมุมมองของมาร์โลว์ ซึ่งชวนให้ตีความลึกลงไปได้อีก  ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเขา
     2. ภาษาที่คลุมเครือแบบต้องตีความซับซ้อน
     วรรณกรรมเอกที่ทางตะวันตกเชิดชูกัน ไม่ค่อยนำเสนออะไรออกมาแจ่มแจ้งให้คนอ่านเห็นกันโต้งๆว่าคนเขียนตั้งใจบอกอะไร   แต่จะบอกสั้นๆ หรือมีวิธีบอกให้คนอ่านไปคิดเอาเองได้อีกหลายตลบ  เช่นประโยคอมตะในเรื่อง อย่าง “The horror! The horror!” ถือกันว่าเป็นการสุดยอดของการใช้คำ  เพราะแฝงความหมายลึกหลายชั้น เปิดให้ตีความได้ไม่รู้จบ
    ถ้าคอนราดเขียนให้นายเคิร์ตซ์แกพล่ามออกมายาวๆว่า
    " ข้าพเจ้ารู้ตัวว่ากำลังจะตาย   ข้าฯจึงขอสารภาพว่าข้าฯได้ทำสิ่งเลวร้ายมามาก ข้าอาศัยความเป็นเจ้าอาณานิคมกดขี่ข่มเหงชาวบ้านให้ไปล่าช้างมาเอางาช้างส่งไปขายบริษัทจนข้าร่ำรวย แต่ชาวบ้านไม่ได้ค่าตอบแทนหรือได้ก็น้อยนิด  ใครขัดขืน  ข้าฯก็ฆ่ามันตัดหัวเสียบประจานรอบบ้าน ให้พวกมันเกรงกลัวได้ไม่ทำอีก   ข้าฯละทิ้งอุดมคติที่เคยคิดว่าจะนำความเจริญมาให้สังคมที่นี่ แต่ข้าฯกลับหลงอำนาจ ทำให้ชาวบ้านอยู่กันเลวร้ายมากกว่าที่เขาควรรับ  โอ้! ช่างน่าสะพรึงกลัวเหลือประมาณ   ทั้งตัวข้าและสิ่งที่ใครๆเรียกว่าอารยธรรม...."
    เรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องซื่อบื้อ ขาดฝีมือในการนำเสนอทันที  แม้ว่าโครงเรื่องเหมือนเดิมก็ตาม
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41639

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 27  เมื่อ 27 ก.ย. 25, 10:03

  3. แนวคิดของเรื่อง เป็นสากลและยั่งยืนไร้กาลเวลา
      หมายความว่าแม้เรื่องจะเกิดในยุคใดยุคหนึ่ง  ในสังคมแคบๆเช่นหมู่บ้านหนึ่ง หรือประเทศหนึ่ง แต่แนวคิดนั้นนำมาใช้กับสังคมกว้างได้  และแนวคิดจะไม่ล้าสมัยแม้เวลาผ่านไปนับสิบนับร้อยปี    เพราะนักเขียนเลือกนำเสนอสิ่งที่เป็นความจริงตลอดกาล  เช่นคอนราดเสนอ"ความดำมืดในใจมนุษย์" ซึ่งมีอยู่ในทุกยุคสมัยและทุกสังคม
  4. สร้างแรงบันดาลใจในศาสตร์และศิลป์ประเภทอื่น
   อย่างละครของเชกสเปียร์ เรื่อง Hamlet  เป็นแรงบันดาลใจให้ซิกมันด์ ฟรอยด์ตีความได้ว่า ความลังเลไม่ลงมือแก้แค้นที่แฮมเล็ตทำ เกิดจากเขามีปมอีดิปุสกับแม่ของเขาเอง
   ส่วนเรื่องของคอนราดก็ถูกนำไปดัดแปลงเป็นหนังระดับตำนาน Apocalypse Now และยังเป็นต้นแบบของงานวรรณกรรมแนวจิตวิทยาอีกมาก
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41639

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 28  เมื่อ 27 ก.ย. 25, 11:08

   นักเขียนที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง มักจะมี "คำคม" หรือ "ข้อคิด" แฝงอยู่ในเนื้อเรื่อง  ในคำพูดของตัวละคร  ในบทบรรยาย ฯลฯ  ส่วนใหญ่เป็นคำพูดสั้นๆ แต่กินใจ    ทำให้คนอ่านรู้สึกว่าตัวเองได้ "อะไร" จากเรื่องนี้มากไปกว่ารู้เนื้อเรื่อง   และ"อะไร" ที่ว่านั้นก็มักจะตราตรึงในใจต่อมาอีกยาวนาน
   คอนราดมีประโยคหนึ่งใน Heart of Darkness ที่เข้าข่ายนี้ คือ
   "We live, as we dream—alone."
   ("เราดำเนินชีวิต เหมือนกับเวลาที่เราฝัน… อย่างเดียวดาย"
   แปลอีกทีให้สละสลวยขึ้น คือ ไม่ว่าในชีวิตจริง หรือในความฝัน  มนุษย์อยู่เดียวดายเสมอ
    หมายถึงอะไร
    1. ความฝันคือสิ่งที่เกิดในใจของเราแต่เพียงผู้เดียว  เพราะ
    -   ตอนเราฝัน ไม่มีใครอื่นเข้าไปร่วมอยู่ในฝันของเราได้
    -  ไม่มีใครเข้าใจฝันของเราทั้งหมดได้
    -  แม้จะมีคนอยู่รอบตัว แต่ในฝัน... เราอยู่คนเดียว
    ชีวิตก็เป็นเช่นนั้น
    แม้เราจะมีครอบครัว เพื่อน คนรัก...
    แต่ ประสบการณ์ การรู้สึก การตัดสินใจในชีวิตจริงก็เกิดขึ้น “ภายในตัวเรา”
    ไม่มีใครเข้าใจได้ลึกถึงแก่นแท้เหมือนตัวเราเอง

2. ความสันโดษของมนุษย์เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
    คอนราดชี้ให้เห็นว่า ความโดดเดี่ยวคือธรรมชาติของมนุษย์
    -   แม้จะใกล้ชิดเพียงใด ก็ยังมีบางส่วนของใจเราที่ “ไร้ผู้ใดเข้าถึง”
    -   เพราะประสบการณ์ เป็นของเราแต่ผู้เดียว
    -   ต่อให้มีผู้ร่วมเดินทาง  ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเห็นอย่างที่เราเห็น  เขาจะเข้าใจเหมือนเราเข้าใจ

3. ชีวิต และความฝันอาจสวยงาม หรืออาจน่ากลัว แต่เราต้องเผชิญมันลำพัง
    เหมือนกับที่ เคิร์ตซ์ ต้องเผชิญกับ “The horror” ของตัวเองเพียงลำพังในวินาทีสุดท้าย
    เขาไม่สามารถแบ่งความกลัวนั้นให้ใครช่วยแบกได้
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41639

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 29  เมื่อ 28 ก.ย. 25, 11:08

อยากให้เล่าเรื่องอะไรต่อไปคะ?
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4 5
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.069 วินาที กับ 19 คำสั่ง