เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 2 3 [4] 5
  พิมพ์  
อ่าน: 5620 คุยกันถึงวรรณกรรมระดับโลก
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41639

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 45  เมื่อ 04 ต.ค. 25, 11:04

     ดูแล้วค่ะ จูลี่ คริสตี้เหมาะกับบทนี้มาก   เห็นแล้วเข้าใจว่าทำไมสามชายถึงรุมกันรักเธอ   ส่วนสามชายที่ว่านั้นผู้กำกับเขาเข้าใจคัดเลือกมาแสดง  เหมือนที่ฮาร์ดี้สร้างเป๊ะๆเลย  คือดูด้วยสายตาคนในศตวรรษที่ 21  ไม่มีคนไหนน่าจะให้นางเอกเลือกสักคน    แต่ย้อนไปศตวรรษที่ 19  ก็คงจะมีแต่ผู้ชายประเภทนี้ละที่หาได้ในยุคนั้น
    ป.ล. 1  ฟังสำเนียงพูดของตัวละคร โดยเฉพาะเกเบรียล แล้วฟังเกือบไม่ออก   น่าจะพูดสำเนียงท้องถิ่นWessex (พื้นที่ทางตอนใต้และตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ)
   2   วิวในเรื่องนี้สะท้อนภาพท้องถิ่น Wessex ที่ฮาร์ดี้นำมาบรรยายไว้ในนิยายหลายเรื่องของเขา  ได้สมจริงมาก  ดูท้องทุ่งในเรื่องนี้สัมผัสลมหนาวถึงกระดูก พัดออกมานอกจอเลยค่ะ
 
   มาดูถึงความสำคัญของเรื่องนี้สักหน่อย
   ตัวเนื้อเรื่อง โดยพื้นฐานคือ Romance หรือเรื่องรักนี่เอง  แต่สีสันที่ทำให้เรื่องนี้ประสบผลสำเร็จมาก คือฮาร์ดี้บรรยายชีวิตชาวชนบทใน Dorset ที่เขากำเนิดมาได้งดงามและเห็นจริงเห็นจังมาก    ถ้าจะเทียบกับนวนิยายไทย ก็คงพอจะเทียบได้กับชีวิตในบ้านสวนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2  ที่ 'ทมยันตี' บรรยายไว้ใน คู่กรรม    หรือชีวิตในวังหลวงผ่านสายตาของแม่พลอย ใน สี่แผ่นดิน ของม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช
   นอกจากนี้ ฮาร์ดี้ยังสร้างตัวละครเด่น  โดดออกมาจากนางเอกนิยายสมัยเดียวกัน คือตัวบาธชีบา  เอเวอร์ดีน ที่แหวกขนบธรรมเนียมของผู้หญิงร่วมสมัย
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41639

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 46  เมื่อ 04 ต.ค. 25, 11:05

  ผู้หญิงในยุควิกตอเรียนถูกกำหนดให้เป็นแม่ศรีเรือน  ตอนเด็กๆเธอต้องเรียบร้อยอยู่ในโอวาทพ่อแม่  พอเป็นสาวก็จะต้องแต่งงานไปกับ 'ผู้ชายดีๆ'  (หมายความว่ามีฐานะหรืองานการดีพอจะเล้ียงเธอได้   เพราะสมัยนั้น ผู้ชายเป็นฝ่ายหาเลี้ยงลูกเมียแต่ผู้เดียว) มีลูกหลายๆคน (ยุคนั้นชอบมีครอบครัวขนาดใหญ่  เช่นลูก  8-12 คน  ควีนวิกตอเรียมีพระราชโอรสธิดาถึง 9 องค์)  เธอต้องซื่อสัตย์และเคารพความเห็นของสามี   ไม่ว่าเกิดอุปสรรคหนักหนาขนาดไหนเธอต้องอดทน จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงที่ดี
   แต่ฮาร์ดี้สร้างบาธชีบาให้เป็นผู้หญิงหัวรั้น ดื้อดึง  มีความคิดของตนเอง    แม้มีผู้ชายมาขอแต่งงาน ถ้าเธอไม่ชอบเธอก็ไม่ตกลงด้วย    เธออยากอ่อยผู้ชายเธอก็อ่อยสนุกๆ   แต่ไม่ได้จริงจังด้วย      เธอเลือกแต่งงานกับผู้ชายที่เธอรักรูปร่างหน้าตาบุคลิกของเขา   ไม่ได้เอาความเหมาะสมเป็นมาตรฐาน  
   ชีวิตของบาธชีบาจึงขึ้นๆลงๆ  ไม่ได้ราบเรียบเป็นเส้นตรงอย่าง ' ผู้หญิงดีๆ' สมัยนั้นควรจะเป็นกัน    เมื่อปรากฏตัวในวงการหนังสือ   เรื่องที่มีรสชาติแปลกไปจากนิยายเรื่องอ่ื่นๆ จึงประสบผลสำเร็จล้นหลาม
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8490


ความคิดเห็นที่ 47  เมื่อ 05 ต.ค. 25, 11:45

                 เพราะ Julie Christie และงานกำกับภาพชนบทที่งดงามทำให้ชอบ"ภาพ"ยนตร์  Far from มากมาย
จนเมื่อนึกถึงเนื้อเรื่องแล้วอดคิดไม่ได้ว่า หากอ่าน หนังสือ โดย ไม่ได้ดู หนัง ไม่เห็นภาพ อาจจะไม่ปลื้มมากเพราะขัดใจ
นางเอกที่มีภาพเป็นสาวสมาร์ทมั่น น่าจะฉลาดคิดแต่กลับพลาดผิดเลือกแบดบอยมาเป็นคู่เพราะใช้หัวใจวูบไหวมากกว่า
หัวสมอง จนเมื่อรู้ความจริง,เมื่อฝ่ายชายตายจากก็ยังอาลัยรัก
              อีกจุดขัดใจคือการใช้กระสุนนัดเดียวกำจัดตัวละครชายสองตัวไปจากชีวิตนางเอกให้เหลือเพียงหนึ่ง น่าจะให้สามีเก่า
ตายจากไปด้วยหญิงอื่นที่โดนหลอกทำร้าย แล้วเหลือสองชายให้นางเลือก, คราวนี้นางก็จะได้ใช้หัวคิดและหัวใจตัดสินเลือกคู่
              วิลเลียมที่หากแต่งไปแล้วนางต้องสูญเสียความเป็นหญิงมั่น ที่สำคัญนางไม่มีใจรัก กับ เกเบรียล ที่รักนางและน่าจะ
ยอมให้นางยังคงความเป็นหญิงมั่นได้เต็มที่ กับนางเริ่มมีใจรักบ้างคือคำตอบสุดท้าย      
              แต่ถ้านางเลือกวิลเลียมไปก่อนแล้วทนไม่ไหวเลิกร้างมาหากาเบรียล ก็จะกลายเป็นนางเอกมาลัยสามชายแห่งชนบทอังกฤษ

ป.ล. เรื่องนี้ ท่านฮาร์ดี้เมตตาตัวเอกหญิงอย่างมากในขณะที่อีกสองนางต่างทนทุกข์ทรมานสาหัสใน Tess กับ Jude


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41639

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 48  เมื่อ 05 ต.ค. 25, 14:22

      คนอ่านชาวอังกฤษ "อิน" กับเรื่องนี้มากตั้งแต่ลงเป็นตอนๆ   พอรวมเป็นเล่ม เลยขายดีเป็นเทน้ำเทท่า    ส่งให้ชื่อเสียงฮาร์ดี้โด่งดังขึ้นมาในพริบตา  หลังจากนั้นเมื่อปล่อยงานหนักสมองมาอีก 2 เรื่อง เขาก็กลายเป็นยักษ์ใหญ่ในวงวรรณกรรม
    กระซิบเบื้องหลังการแต่งให้คุณหมอ SILA และท่านอื่นๆฟังนิดหน่อย
     ฮาร์ดี้ตั้งใจนำเสนอตัวละครที่แหวกแปลกแยกไปจากวรรณกรรมดังๆก่อนหน้านี้  นอกจากนางเอกที่เฮ้วเอาการ(เมื่อเทียบกับยุคหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน)  สามชายที่เข้ามามีบทบาท  ไม่มีอะไรเหมือนพระเอกหรือพระรองในเรื่องรักเลย     ใครย้อนไปเปิดเทปดูจะเห็นว่าผู้กำกับเลือกดาราได้สมจริงมาก
     ฮาร์ดี้ไม่ยอมเลือกหนุ่มผู้ดีงามสง่าแบบสุภาพบุรุษจุฑาเทพ อย่างพระเอกของเจน ออสเตน หรือชาล็อตต์ บรอนเต้   เกเบรียลก็คือหนุ่มบ้านนอกเชยๆ  บื้อๆ   โบลด์วู้ดเป็นหนุ่มวัยดึกที่เกิดมาไม่เคยพบผู้หญิง  เจอสาวสวยมาทอดสะพานเข้าหน่อยก็หมกมุ่นกับนางจนถอนตัวไม่ขึ้น   ส่วนสิบเอกทรอยก็ตัวร้ายในนิยายนั่นเอง  แต่กลับชนะใจนางเอก
   ในเมื่อตัวละครมีความสมจริง สอดคล้องกับฉากชนบทที่นักเขียนบรรยายได้ละเอียดลออจนมีลมหายใจ มีเลือดเนื้อให้สัมผัสได้     คนอ่านก็เลยตื่นตาตื่นใจกับรสชาติใหม่ของนิยาย    แต่ฮาร์ดี้ก็ฉลาดพอจะไม่แหวกประเพณีการแต่งออกไปไกลสุดกู่  เพราะแบบนั้นคนอ่านจะรับไม่ได้  เขายอมให้นางเอกทำตัวโลดโผนผิดประเพณี  แต่ในที่สุดเธอก็แฮปปี้เอนดิ้งกับชายผู้มีรักแท้   เพื่อให้คนอ่านไม่ผิดหวัง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41639

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 49  เมื่อ 05 ต.ค. 25, 14:36

    การเขียนที่ผสมผสานระหว่างการแหวกธรรมเนียมการแต่ง กับการคล้อยตามรสนิยมของคนอ่าน เป็นการท้าทายนักเขียนมาทุกยุุคทุกสมัย    ฮาร์ดี้เองก็เผชิญข้อนี้ไม่ต่างจากนักเขียนอื่นๆ     เขาสร้างบาธชีบาแบบแหวกธรรมเนียมสาวยุควิกตอเรียน  แต่เขาก็ต้องยอมให้เธอจบแบบความนิยมสมัยนั้น  คือยังไงก็ต้องเจอรักแท้จากชายที่จริงใจแท้แน่นอน 
    อีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อผูกปมอุปสรรคขึ้นในเรื่อง   ฮาร์ดี้ก็จำเป็นต้องขจัดอุปสรรคให้หมดไปจากนางเอก  ถ้าเป็นเรื่องรักทั่วไป นางร้ายก็ต้องถอยไปเองจากพระเอก   หรือพระรองก็ต้องเสียสละ   แต่เรื่องนี้ฮาร์ดี้ตัดสินใจยิงกระสุนนัดเดียวได้นก 2 ตัวคือให้โบลด์วู้ดยิงทรอย สามีนางเอกตาย ตัวเองติดคุก   เป็นอันว่าขจัดทั้งคู่ในคราวเดียวกัน
    แต่มันก็กลับเป็นการแก้ปัญหาแบบง่ายๆ เหมือนในนิยายเมโลดราม่าทั่วไป  คือกำจัดตัวละครไปดื้อๆ จากเวที  เพื่อเปิดให้นางเอกได้ลงเอยกับอีกหนึ่งชายที่เหลืออยู่
    ในเมื่อจำเป็นต้องให้จบแฮปปี้เอนดิ้ง   เกเบรียลจึงเลื่อนฐานะเป็นพระเอก  ฮาร์ดี้ให้ใบรับรองคุณสมบัติด้วยการยืนยันว่าเขาเป็นคนซื่อสัตย์มีรักแท้ให้นางเอก     แต่ฮาร์ดี้ก็ไม่สามารถแก้ปมที่ผูกไว้ตั้งแต่ต้นเรื่องได้ว่า  นายคนนี้มันบื้อเหลือทน  จนไม่น่าเชื่อว่าสาวปราดเปรียวหัวรั้นอย่างบาธชีวาจะใช้ชีวิตคู่ด้วยได้ตลอดรอดฝั่ง
    อย่างไรก็ตาม  เรื่องมันจบแค่แต่งงานกัน   คนอ่านก็ควรจะพอใจแค่นี้   ส่วนชีวิตคู่หลังจากนั้น จะเป็นยังไงนักเขียนไม่รับผิดชอบด้วย
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41639

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 50  เมื่อ 06 ต.ค. 25, 13:05

   ทีนี้ก็จะกัดฟันเล่านิยายเรื่องยิ่งใหญ่สุดของโธมัส ฮาร์ดี้ มีอยู่ด้วยกัน 2 เรื่อง คือ Jude the Obscure อีกเรื่องคือ Tess of the d'urbervilles (แปลเป็นไทยในชื่อ เทสส์ผู้บริิสุทธิ์  โดย "จูเลียต" (คุณชนิด สายประดิษฐ์) ภรรยาของกุหลาบ สายประดิษฐ์ (ศรีบูรพา))
   ทั้งสองเรื่องนี้ทรมานจิตใจคนอ่านอย่างเท่าเทียมกัน   เพราะฮาร์ดี้เขียนแบบต่อยตีความเชื่อและค่านิยมของคนอ่านยุคนั้นแตกกระจายไม่มีชิ้นดี   เขาแสดงอย่างหมดเปลือกถึงการต่อสู้ของชนชั้นแรงงานในยุควิกตอเรียน  การไม่ยอมรับประเพณีทางศาสนาตลอดจนขนบธรรมเนียม  พูดถึงแง่มุมของการแต่งงานและเรื่องเพศสัมพันธ์ตามความจริง ไม่ใช่ตามความนิยม
  ผลคือสาธารณชนคนอ่านแสดงปฏิกิริยาต่อต้าน ด่าเขาสาดเสียเทเสีย  ประณามงานแบบยอมรับไม่ได้   จนถึงขั้นฮาร์ดี้เองก็ทนไม่ไหวตัดสินใจวางปากกานับแต่นั้น   หันไปเขียนบทกวีแทน ตลอด 30 กว่าปีต่อมา
   แต่ก็เช่นเดียวกับวรรณกรรมอีกหลายเรื่องที่มาดังเอาเมื่อนักเขียนอำลาเวทีไปแล้ว   Jude The Obscure กลายเป็นเรื่องคลาสสิกในศตวรรษที่ 20      ให้ชาวเรือนไทยได้มาอ่านกันในศตวรรษที่ 21  ตามนี้


บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8490


ความคิดเห็นที่ 51  เมื่อ 06 ต.ค. 25, 13:59

           ตะลุยอ่านเอาเรื่องนิยายมืดมนของท่านฮาร์ดี - Tess ตามด้วย Jude
           Tess ยังมีแสงสว่างรำไรในตอนจบ ส่วน Jude มืดสนิท 
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41639

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 52  เมื่อ 08 ต.ค. 25, 11:00

    เริ่มเรื่อง Jude the Obscure
    obscure แปลว่า  ไม่เป็นที่รู้จัก  ไม่รู้ที่มาที่ไป  คลุมเครือ กำกวม   คำนี้เมื่อบรรยายตัวเอกของเรื่อง หมายถึงจูดผู้ไม่มีหัวนอนปลายเท้า   ปัจจุบันเรียกว่าคนโนเนม    
   เพราะชีวิตของพระเอกเรื่องนี้เป็นแบบนี้จริงๆ
   จูดเป็นเด็กกำพร้า โตขึ้นมาเพราะป้าซึ่งเป็นชนชั้นแรงงานเลี้ยงไว้   พอโตเป็นหนุ่มก็ทำงานแบบชนชั้นกรรมาชีพคือเป็นช่างก่อหิน (ในสมัยนี้คือช่างก่ออิฐ)    แต่หนุ่มน้อยมีความใฝ่ฝันอยากจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในอังกฤษ คือมหาวิทยาลัยคริสต์มินสเตอร์  (ฮาร์ดี้หมายถึงมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด)  ทั้งนี้เขาได้รับแรงบันดาลใจจากริชาร์ด ฟิลลอตสัน ครูใหญ่ในโรงเรียนประจำเมือง ซึ่งจบจากคริสต์มินสเตอร์  
     ด้วยความเป็นหนุ่ม   จูดเกิดหลงรักสาวชาวบ้านชื่ออราเบลลา จนต้องตกกระไดพลอยโจนแต่งงาน   เมื่อมีึครอบครัวแล้วก็ต้องปักหลักทำมาหาเลี้ยง   ไม่สามารถย้ายจากหมู่บ้านบ้านเกิดไปไหนได้    ชีวิตสมรสของสองคนนี้ลุ่มๆดอนๆ จนพังทลายลง
     อราเบลลาเดินทางไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ออสเตรเลีย จูดจึงตัดสินใจออกจากบ้านเกิดไปคริสต์มินสเตอร์ในที่สุด  แต่เมื่อพยายามสมัครเข้ามหาวิทยาลัย  ก็ได้รับการตอบปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย  
     จูดพบญาติสาวชื่อซู ไบรด์เฮด  เขารักเธอ แต่ก็รู้ตัวว่าไม่อาจแต่งงานกันได้  เขาจึงจัดการให้เธอทำงานร่วมกับครูใหญ่ฟิลลอตสันเพื่อให้เธออยู่ในคริสต์มินสเตอร์ต่อไป แต่ก็ต้องผิดคาดเมื่อทั้งคู่เกิดหมั้นหมายกัน เมื่อทั้งคู่แต่งงานกัน จูดไม่แปลกใจที่พบว่าซูไม่มีความสุขกับสามี  จนทนไม่ไหวและทิ้งสามีไปอยู่กับจูด
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41639

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 53  เมื่อ 08 ต.ค. 25, 11:09

    ต่อมาทั้งจูดและซูหย่าร้างจากคู่สมรสของตน  ทั้งๆอยู่กับจูด ซูก็ไม่ต้องการแต่งงานใหม่  พอใจกับการอยู่ด้วยกันเฉยๆโดยไม่มีพันธะทางกฎหมาย   อราเบลลาเผยความจริงว่าเมื่อเธอย้ายไปออสเตรเลีย เธอมีลูกติดท้องไปด้วย   ไปคลอดลูกชายที่นั่น   จูดจึงขอรับเด็กชายมาอยู่ด้วย
    ซูและจูดทำหน้าที่เป็นพ่อแม่ของเด็กชายตัวน้อย  ต่อมามีลูกด้วยกันสองคน   วันหนึ่งจูดล้มป่วย และเมื่อเขาหายดี เขาจึงตัดสินใจกลับไปคริสตมินสเตอร์กับลูกเมีย   แต่ไปพบปัญหาในการหาที่พัก  เพราะทั้งสองอยู่ด้วยกันโดยไม่ได้แต่งงานอย่างถูกต้อง   ถือว่าผิดกฎหมายและศีลธรรมประเพณีในยุคนั้น     เด็กๆก็กลายเป็นเด็กนอกกฎหมาย   จูดจึงพักอยู่ในโรงแรม แยกจากซูและลูกๆ
    ตอนกลางคืน ซูพาลูกชายของจูดออกไปหาที่พัก    เด็กชายมองเห็นความลำบากยากจนของพ่อแม่  จึงตัดสินใจว่าพ่อแม่น่าจะสบายขึ้นถ้าไม่ต้องแบกภาระหาเลี้ยงอีกสามปากสามท้อง    ตอนเช้า ซูไปที่ห้องของจูดและรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน  ทิ้งเด็กๆไว้ที่ที่พักตามลำพัง    พอกลับไปหา ก็พบว่าลูกชายของจูดได้แขวนคอเด็กอีกสองคน  แล้วผูกคอตัวเองตายตามไป
    ซูประณามตัวเองว่าพระเจ้าลงโทษเธอ  เพราะเธอบังอาจมีความสัมพันธ์ผิดศีลธรรมกับจูด  คือทิ้งสามีมาอยู่กับเขา   เธอจึงกลับไปอยู่กับฟิลลอตสัน ส่วนจูดก็จำต้องกลับไปอยู่กับอราเบลลาอีกครั้ง   ชีวิตที่อาภัพมาตั้งแต่ต้นจบฉากลงเมื่อจูดเสียชีวิตหลังจากนั้นไม่นาน
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8490


ความคิดเห็นที่ 54  เมื่อ 08 ต.ค. 25, 15:57

              เป็นนิยายที่หนักหน่วงหดหู่มืดสนิทอ่านถึงจูดตายแล้วก็คิดในใจว่า จบสิ้นใจเสียที
              แต่ท่านฮาร์ดีก็ได้ทำการวิพากษ์สังคมอย่างแรงสมกับความรุนแรงของเนื้อเรื่อง
              ตัวละคร Jude มีส่วนมาจากตัวท่านเองที่มีบิดาเป็นช่างหิน มารดาเป็นนักอ่าน เข้าเรียนในรร.ท้องถิ่น
และศีกษาหาความรู้เอง ฐานะทางบ้านไม่อำนวยให้เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ตอนอายุ 16 จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์สถาปนิก

ถูกใจ Jude รูปนี้


บันทึกการเข้า
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 219


ความคิดเห็นที่ 55  เมื่อ 08 ต.ค. 25, 18:42

เป็นเรื่องที่น่าหดหู่จริงๆครับ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41639

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 56  เมื่อ 09 ต.ค. 25, 09:49

  ถ้าจะให้เข้าใจว่าทำไมเรื่องนี้กลับมาดังในศตวรรษที่ 20  หลังจากถูกสาปส่งจนฮาร์ดี้วางมือจากนวนิยายไปเลย ก็ต้องเข้าใจภูมิหลังของสังคมสมัยวิกตอเรียนด้วยค่ะ
  ฮาร์ดี้เขียนเรื่องนี้ขึ้นเพื่อต่อต้าน-หรือเรียกเบาลงหน่อยว่าวิจารณ์เชิงคัดค้าน สถาบันหลักๆในสมัยนั้น เช่นสถาบันสมรส  สถาบันการศึกษา  สถาบันศาสนา    กระทู้เก่าๆในเรือนไทยเล่าถึงความเข้มงวดของค่านิยมสมัยวิกตอเรียนมาบ้างแล้ว   เช่นถ้าบ่าวสาวแต่งงานกันก็ต้องกล่าวคำปฏิญาณต่อหน้าบาทหลวงหรือนักเทศน์ผู้ประกอบพิธี ว่าจะรัก ดูแล ไม่ทอดทิ้งทั้งในยามยากจนและเจ็บไข้ จนกว่าความตายจะพรากจากกัน   ผู้หญิงต้องกล่าวว่า จะเคารพเชื่อฟังสามี  อีกด้วย
     นอกจากนี้การอยู่กันเฉยๆไม่แต่งงาน สมัยนั้นถือว่าเป็นความเลวร้ายอย่างรุนแรง    เพราะนอกจากทำให้ผู้หญิงอยู่ในฐานะหญิงชั่วแล้ว  ลูกที่เกิดมาก็นอกกฎหมายอีกด้วย  ไม่มีสิทธิ์ในมรดกของพ่อ
     ส่วนทางด้านการศึกษา  การเรียนสูงๆจำกัดไว้แต่ในหมู่ชนชั้นสูงและชนชั้นกลาง   ส่วนชนชั้นล่างคือพวกใช้แรงงานอย่างดีก็อ่านออกเขียนได้   แต่จะเผยอขึ้นไปเรียนมหาวิทยาลัยชั้นเลิศนั้นอย่าหวัง   หน้าที่พวกเขาคือใช้แรงงานรองรับความเจริญของประเทศ   อย่าเปลี่ยนหน้าที่ให้สังคมเสียระเบียบ
     ค่านิยมเหล่านี้มีเหตุผลรองรับในตัวของมันเอง   ไม่ใช่ว่าถูกสร้างขึ้นมาลอยๆ โดยผู้มีอำนาจ  แต่สืบเนื่องมาจากระบบฐานันดร ตั้งแต่ยุคกลางของยุโรป  คือทุกชนชั้นแบ่งกันทำหน้าที่ของตนต่อสังคม   สังคมก็จะดำเนินต่อไปได้ราบร่ื่น   แต่ถ้าประชาชนไม่ทำตามหน้าที่ หรือทุกคนอยากทำอะไรก็ทำ ไม่อยากทำอะไรก็ไม่ทำ สังคมก็จะล่มลง  เดินหน้าต่อไปไม่ได้   
    ฮาร์ดี้มองเห็นช่องโหว่ของค่านิยมเหล่านี้ จึงสร้างตัวละครขึ้นแสดงให้เห็นความเลวร้ายที่สังคมกระทำย่ำยีและหยามเหยียดต่อบุคคลที่แสวงหาอิสระในการเลือกชีวิตของตนเอง     ไม่ทำตามแบบแผนของสังคม
    อย่างเช่นจูด ที่พยายามจะแหวกออกจากบทบาทของชนชั้นล่างสุดคือชนชั้นแรงงาน ขึ้นไปเป็นปัญญาชน  ด้วยการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย
    พบว่านี่คือขั้นแรกของความล้มเหลวในชีวิต
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41639

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 57  เมื่อ 09 ต.ค. 25, 14:21

   ส่วนซู ฮาร์ดี้สร้างให้เป็นผู้หญิงรุ่นใหม่    ผิดแผกไปจากผู้หญิงร่วมสมัยที่เห็นว่า บทบาทผู้หญิงคือเป็นลูกที่ดี เมียที่ดีและแม่ที่ดี   เมื่อแต่งงานแล้วก็ต้องอดทนต่ออุปสรรคทุกชนิดให้ถึงที่สุด เพื่อจะประคองครอบครัวให้ได้ตลอดรอดฝั่ง       จึงจะได้ชื่อว่าทำหน้าที่ได้ครบถ้วน   สมกับคำปฏิญาณที่ให้ไว้กับพระเจ้าในวันวิวาห์ โดยมีบาทหลวงหรือนักเทศน์เป็นตัวแทนของพระองค์ 
   แต่ฮาร์ดี้กลับเห็นว่า  ถ้าชีวิตคู่มันแย่  ก็จะไปทนมันทำไม    เดินออกมาเลย  แสวงหาเส้นทางใหม่ให้ชีวิต  เพราะผู้หญิงยังเหลืออีกหลายสิบปีที่จะมีโอกาสสร้างชีวิตใหม่ให้ตนเอง   ไม่ต้องจมปลักอยู่ในนรกที่มีสามีเป็นพญามาร   อีกอย่าง ถ้าไม่อยากแต่งงานก็ไม่ต้องแต่ง   อยู่ด้วยกันเพราะรักเท่านั้นก็พอ
   ซูเป็นผู้หญิงที่พบว่าตัวเองแต่งงานผิด    แต่ไม่เชื่อแนวคิดว่า "มีผัวผิด คิดจนตัวตาย"   เธอก็เลยเดินออกมาจากสามี แล้วมาใช้ชีวิตร่วมกับจูด   แต่ซูก็ไม่ต้องการบทบาทเมียและชีวิตสมรสอีกแล้ว    เธอจึงปฏิเสธที่จะคิดแต่งงานให้ถูกต้องตามกฎหมายและหลักศาสนา   
   ความประพฤติของซู  เป็นเรื่องผิดบาปเกินกว่าคนอ่านจะทนได้
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41639

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 58  เมื่อ 12 ต.ค. 25, 10:14

  ฮาร์ดี้ตั้งใจแสดงให้เห็นว่า ความเข้มงวดในสถาบันต่างๆของสังคมที่ไม่ยอมยืดหยุ่นให้ปัจเจกบุคคล  ก่อผลร้ายให้คนตัวเล็กๆอย่างตัวละครที่เขานำมาแสดง   ดังนั้นชีวิตของจูดก็ดี ของซูก็ดี  เมื่อพยายามแหวกออกจากระเบียบประเพณี ก็เจอแต่ความวิปโยคจนถึงขั้นหายนะ   
     เพื่อเพิ่มเติมความเข้มข้นให้เรื่อง และสร้างตัวละครขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งแรงที่กดดันตัวเอง    ฮาร์ดี้จึงสร้างอราเบลลาเมียคนแรกของจูดขึ้นมาเป็น "นางมาร" ในเรื่อง      เธอเป็นผู้หญิงที่ล่อหลอกให้จูดจำต้องแต่งงานด้วย ด้วยการหลอกเขาว่าตั้งครรภ์    ชีวิตสมรสไปไม่รอด  เธอเดินออกจากชีวิตจูดไปอยู่ในถิ่นใหม่ที่ออสเตรเลีย  แต่แล้วก็หวนกลับมาทำความเดือดร้อนให้เขาอีกด้วยการจูงเด็กชายคนหนึ่งมามอบให้   บอกว่าเป็นลูกเขาที่ติดท้องไปเมื่อแยกทางกัน    จูดไม่มีทางอื่นนอกจากรับเลี้ยงไว้ รวมกับลูกที่มีกับซูอีก 2 คน
     ฮาร์ดี้สร้างจุดจบของเด็กน้อยทั้งสามเพื่อย้ำความส้ิ้นหวังของคนจนในสังคม  ให้เด็กคนนี้ก่อโศกนาฏกรรม ด้วยการฆ่าตัวตาย และฆ่าน้องต่างแม่  เพื่อพ่อแม่จะได้สบายขึ้น ไม่ต้องแบกภาระพวกเขา    เหตุร้ายนี้นำความพังพินาศมาสู่ชีวิตของซู   เธอมองว่าเป็นเพราะเธอทำผิด ก่อบาปที่ละทิ้งหน้าที่ภรรยามาอยู่กับชายชู้    จึงลงโทษตัวเองด้วยการกลับไปทนทุกข์ทรมานกับสามีคนแรก   ส่วนจูดเองอยู่มาอีกไม่นานก็ตายไปอย่างคนสิ้นหวังในชีวิต
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41639

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 59  เมื่อ 12 ต.ค. 25, 10:33

    คนอ่านยุคนั้นทนไม่ได้   เพราะพวกเขารู้สึกว่ากฎระเบียบของสังคมและศาสนาถูกตราขึ้นเพื่อความสงบเรียบร้อยในสังคม   ทุกคนต่างทำหน้าที่ที่ควรทำ    ในเมื่อมีนักเขียนคนหนึ่งเขียนบรรยายตัวละครทำผิดสังคม และทำบาปทางศาสนาตลอดทั้งเรื่อง  อ่านแล้วมันน่ารังเกียจ  โสโครก   อุบาทว์  สลดหดหู่ เกินกว่าจะทนได้     ทำไมไม่เขียนอะไรดีๆที่จรรโลงใจผู้คนให้คิดดีทำดีกันบ้าง   เสียงสาปส่งจึงกึกก้องจากทุกสารทิศ  เป็นเหตุให้ฮาร์ดี้เข็ด วางปากกาอำลานวนิยายนับแต่นั้น 
   ทำไมเรื่องนี้จึงกลายเป็นงานยิ่งใหญ่ในยุคต่อมา?
   สังคมหลังยุควิกตอเรียนเปลี่ยนไปมากเกินกว่าผู้คนจะคาดคิด   สงครามโลกครั้งที่ 1 ระเบิดขึ้นมาทำให้ผู้คนได้ปรัะจักษ์ถึงความโหดร้ายของมนุุษย์กระทำต่อมนุษย์   สังคมที่เคยมีระเบียบและดีงามต้องแหลกสลายลง   ความเชื่อของมนุษย์เริ่มคลอนแคลนจากประสบการณ์เลวร้ายของใหม่      ความคิดของฮาร์ดี้จึงถูกมองว่า "ล้ำยุค" เขามองเห็นล่วงหน้าว่าโลกไม่ได้สวยงามอย่างที่คนรุ่นก่อนเชื่อกัน
   ต่อมาเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นแบบไม่มีใครคาดคิด  ยุโรปและเอเชียแหลกยับลงยิ่งกว่าเก่า  ความเชื่อมั่นในระเบียบสังคมแบบเก่าก็สูญสลายโดนสิ้นเชิง     งานของฮาร์ดี้จึงถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาแนวคิดอีกครั้ง  ว่ามันสอดคล้องกับสังคมยุคใหม่ในศตวรรษที่ 20 มากกว่า
   งานของเขากลายเป็นแรงบันดาลใจของนักเขียนยุคหลัง ที่โด่งดังขึ้นมาในศตวรรษที่ 20  เช่นเอมิล โซล่า (Emile Zola) และอัลแบรต์ กามูส์ (Albert Camu)  นักอ่านไทยหลายคนโดยเฉพาะปัญญาชนที่รู้จักระบอบสังคมนิยม คงเคยอ่านงานของสองคนนี้   
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 3 [4] 5
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.038 วินาที กับ 15 คำสั่ง