เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41639
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 45 เมื่อ 04 ต.ค. 25, 11:04
|
|
ดูแล้วค่ะ จูลี่ คริสตี้เหมาะกับบทนี้มาก เห็นแล้วเข้าใจว่าทำไมสามชายถึงรุมกันรักเธอ ส่วนสามชายที่ว่านั้นผู้กำกับเขาเข้าใจคัดเลือกมาแสดง เหมือนที่ฮาร์ดี้สร้างเป๊ะๆเลย คือดูด้วยสายตาคนในศตวรรษที่ 21 ไม่มีคนไหนน่าจะให้นางเอกเลือกสักคน แต่ย้อนไปศตวรรษที่ 19 ก็คงจะมีแต่ผู้ชายประเภทนี้ละที่หาได้ในยุคนั้น ป.ล. 1 ฟังสำเนียงพูดของตัวละคร โดยเฉพาะเกเบรียล แล้วฟังเกือบไม่ออก น่าจะพูดสำเนียงท้องถิ่นWessex (พื้นที่ทางตอนใต้และตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ) 2 วิวในเรื่องนี้สะท้อนภาพท้องถิ่น Wessex ที่ฮาร์ดี้นำมาบรรยายไว้ในนิยายหลายเรื่องของเขา ได้สมจริงมาก ดูท้องทุ่งในเรื่องนี้สัมผัสลมหนาวถึงกระดูก พัดออกมานอกจอเลยค่ะ มาดูถึงความสำคัญของเรื่องนี้สักหน่อย ตัวเนื้อเรื่อง โดยพื้นฐานคือ Romance หรือเรื่องรักนี่เอง แต่สีสันที่ทำให้เรื่องนี้ประสบผลสำเร็จมาก คือฮาร์ดี้บรรยายชีวิตชาวชนบทใน Dorset ที่เขากำเนิดมาได้งดงามและเห็นจริงเห็นจังมาก ถ้าจะเทียบกับนวนิยายไทย ก็คงพอจะเทียบได้กับชีวิตในบ้านสวนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ 'ทมยันตี' บรรยายไว้ใน คู่กรรม หรือชีวิตในวังหลวงผ่านสายตาของแม่พลอย ใน สี่แผ่นดิน ของม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นอกจากนี้ ฮาร์ดี้ยังสร้างตัวละครเด่น โดดออกมาจากนางเอกนิยายสมัยเดียวกัน คือตัวบาธชีบา เอเวอร์ดีน ที่แหวกขนบธรรมเนียมของผู้หญิงร่วมสมัย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41639
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 46 เมื่อ 04 ต.ค. 25, 11:05
|
|
ผู้หญิงในยุควิกตอเรียนถูกกำหนดให้เป็นแม่ศรีเรือน ตอนเด็กๆเธอต้องเรียบร้อยอยู่ในโอวาทพ่อแม่ พอเป็นสาวก็จะต้องแต่งงานไปกับ 'ผู้ชายดีๆ' (หมายความว่ามีฐานะหรืองานการดีพอจะเล้ียงเธอได้ เพราะสมัยนั้น ผู้ชายเป็นฝ่ายหาเลี้ยงลูกเมียแต่ผู้เดียว) มีลูกหลายๆคน (ยุคนั้นชอบมีครอบครัวขนาดใหญ่ เช่นลูก 8-12 คน ควีนวิกตอเรียมีพระราชโอรสธิดาถึง 9 องค์) เธอต้องซื่อสัตย์และเคารพความเห็นของสามี ไม่ว่าเกิดอุปสรรคหนักหนาขนาดไหนเธอต้องอดทน จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงที่ดี แต่ฮาร์ดี้สร้างบาธชีบาให้เป็นผู้หญิงหัวรั้น ดื้อดึง มีความคิดของตนเอง แม้มีผู้ชายมาขอแต่งงาน ถ้าเธอไม่ชอบเธอก็ไม่ตกลงด้วย เธออยากอ่อยผู้ชายเธอก็อ่อยสนุกๆ แต่ไม่ได้จริงจังด้วย เธอเลือกแต่งงานกับผู้ชายที่เธอรักรูปร่างหน้าตาบุคลิกของเขา ไม่ได้เอาความเหมาะสมเป็นมาตรฐาน ชีวิตของบาธชีบาจึงขึ้นๆลงๆ ไม่ได้ราบเรียบเป็นเส้นตรงอย่าง ' ผู้หญิงดีๆ' สมัยนั้นควรจะเป็นกัน เมื่อปรากฏตัวในวงการหนังสือ เรื่องที่มีรสชาติแปลกไปจากนิยายเรื่องอ่ื่นๆ จึงประสบผลสำเร็จล้นหลาม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 47 เมื่อ 05 ต.ค. 25, 11:45
|
|
เพราะ Julie Christie และงานกำกับภาพชนบทที่งดงามทำให้ชอบ"ภาพ"ยนตร์ Far from มากมาย จนเมื่อนึกถึงเนื้อเรื่องแล้วอดคิดไม่ได้ว่า หากอ่าน หนังสือ โดย ไม่ได้ดู หนัง ไม่เห็นภาพ อาจจะไม่ปลื้มมากเพราะขัดใจ นางเอกที่มีภาพเป็นสาวสมาร์ทมั่น น่าจะฉลาดคิดแต่กลับพลาดผิดเลือกแบดบอยมาเป็นคู่เพราะใช้หัวใจวูบไหวมากกว่า หัวสมอง จนเมื่อรู้ความจริง,เมื่อฝ่ายชายตายจากก็ยังอาลัยรัก อีกจุดขัดใจคือการใช้กระสุนนัดเดียวกำจัดตัวละครชายสองตัวไปจากชีวิตนางเอกให้เหลือเพียงหนึ่ง น่าจะให้สามีเก่า ตายจากไปด้วยหญิงอื่นที่โดนหลอกทำร้าย แล้วเหลือสองชายให้นางเลือก, คราวนี้นางก็จะได้ใช้หัวคิดและหัวใจตัดสินเลือกคู่ วิลเลียมที่หากแต่งไปแล้วนางต้องสูญเสียความเป็นหญิงมั่น ที่สำคัญนางไม่มีใจรัก กับ เกเบรียล ที่รักนางและน่าจะ ยอมให้นางยังคงความเป็นหญิงมั่นได้เต็มที่ กับนางเริ่มมีใจรักบ้างคือคำตอบสุดท้าย แต่ถ้านางเลือกวิลเลียมไปก่อนแล้วทนไม่ไหวเลิกร้างมาหากาเบรียล ก็จะกลายเป็นนางเอกมาลัยสามชายแห่งชนบทอังกฤษ
ป.ล. เรื่องนี้ ท่านฮาร์ดี้เมตตาตัวเอกหญิงอย่างมากในขณะที่อีกสองนางต่างทนทุกข์ทรมานสาหัสใน Tess กับ Jude
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41639
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 48 เมื่อ 05 ต.ค. 25, 14:22
|
|
คนอ่านชาวอังกฤษ "อิน" กับเรื่องนี้มากตั้งแต่ลงเป็นตอนๆ พอรวมเป็นเล่ม เลยขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ส่งให้ชื่อเสียงฮาร์ดี้โด่งดังขึ้นมาในพริบตา หลังจากนั้นเมื่อปล่อยงานหนักสมองมาอีก 2 เรื่อง เขาก็กลายเป็นยักษ์ใหญ่ในวงวรรณกรรม กระซิบเบื้องหลังการแต่งให้คุณหมอ SILA และท่านอื่นๆฟังนิดหน่อย ฮาร์ดี้ตั้งใจนำเสนอตัวละครที่แหวกแปลกแยกไปจากวรรณกรรมดังๆก่อนหน้านี้ นอกจากนางเอกที่เฮ้วเอาการ(เมื่อเทียบกับยุคหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน) สามชายที่เข้ามามีบทบาท ไม่มีอะไรเหมือนพระเอกหรือพระรองในเรื่องรักเลย ใครย้อนไปเปิดเทปดูจะเห็นว่าผู้กำกับเลือกดาราได้สมจริงมาก ฮาร์ดี้ไม่ยอมเลือกหนุ่มผู้ดีงามสง่าแบบสุภาพบุรุษจุฑาเทพ อย่างพระเอกของเจน ออสเตน หรือชาล็อตต์ บรอนเต้ เกเบรียลก็คือหนุ่มบ้านนอกเชยๆ บื้อๆ โบลด์วู้ดเป็นหนุ่มวัยดึกที่เกิดมาไม่เคยพบผู้หญิง เจอสาวสวยมาทอดสะพานเข้าหน่อยก็หมกมุ่นกับนางจนถอนตัวไม่ขึ้น ส่วนสิบเอกทรอยก็ตัวร้ายในนิยายนั่นเอง แต่กลับชนะใจนางเอก ในเมื่อตัวละครมีความสมจริง สอดคล้องกับฉากชนบทที่นักเขียนบรรยายได้ละเอียดลออจนมีลมหายใจ มีเลือดเนื้อให้สัมผัสได้ คนอ่านก็เลยตื่นตาตื่นใจกับรสชาติใหม่ของนิยาย แต่ฮาร์ดี้ก็ฉลาดพอจะไม่แหวกประเพณีการแต่งออกไปไกลสุดกู่ เพราะแบบนั้นคนอ่านจะรับไม่ได้ เขายอมให้นางเอกทำตัวโลดโผนผิดประเพณี แต่ในที่สุดเธอก็แฮปปี้เอนดิ้งกับชายผู้มีรักแท้ เพื่อให้คนอ่านไม่ผิดหวัง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41639
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 49 เมื่อ 05 ต.ค. 25, 14:36
|
|
การเขียนที่ผสมผสานระหว่างการแหวกธรรมเนียมการแต่ง กับการคล้อยตามรสนิยมของคนอ่าน เป็นการท้าทายนักเขียนมาทุกยุุคทุกสมัย ฮาร์ดี้เองก็เผชิญข้อนี้ไม่ต่างจากนักเขียนอื่นๆ เขาสร้างบาธชีบาแบบแหวกธรรมเนียมสาวยุควิกตอเรียน แต่เขาก็ต้องยอมให้เธอจบแบบความนิยมสมัยนั้น คือยังไงก็ต้องเจอรักแท้จากชายที่จริงใจแท้แน่นอน อีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อผูกปมอุปสรรคขึ้นในเรื่อง ฮาร์ดี้ก็จำเป็นต้องขจัดอุปสรรคให้หมดไปจากนางเอก ถ้าเป็นเรื่องรักทั่วไป นางร้ายก็ต้องถอยไปเองจากพระเอก หรือพระรองก็ต้องเสียสละ แต่เรื่องนี้ฮาร์ดี้ตัดสินใจยิงกระสุนนัดเดียวได้นก 2 ตัวคือให้โบลด์วู้ดยิงทรอย สามีนางเอกตาย ตัวเองติดคุก เป็นอันว่าขจัดทั้งคู่ในคราวเดียวกัน แต่มันก็กลับเป็นการแก้ปัญหาแบบง่ายๆ เหมือนในนิยายเมโลดราม่าทั่วไป คือกำจัดตัวละครไปดื้อๆ จากเวที เพื่อเปิดให้นางเอกได้ลงเอยกับอีกหนึ่งชายที่เหลืออยู่ ในเมื่อจำเป็นต้องให้จบแฮปปี้เอนดิ้ง เกเบรียลจึงเลื่อนฐานะเป็นพระเอก ฮาร์ดี้ให้ใบรับรองคุณสมบัติด้วยการยืนยันว่าเขาเป็นคนซื่อสัตย์มีรักแท้ให้นางเอก แต่ฮาร์ดี้ก็ไม่สามารถแก้ปมที่ผูกไว้ตั้งแต่ต้นเรื่องได้ว่า นายคนนี้มันบื้อเหลือทน จนไม่น่าเชื่อว่าสาวปราดเปรียวหัวรั้นอย่างบาธชีวาจะใช้ชีวิตคู่ด้วยได้ตลอดรอดฝั่ง อย่างไรก็ตาม เรื่องมันจบแค่แต่งงานกัน คนอ่านก็ควรจะพอใจแค่นี้ ส่วนชีวิตคู่หลังจากนั้น จะเป็นยังไงนักเขียนไม่รับผิดชอบด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41639
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 50 เมื่อ 06 ต.ค. 25, 13:05
|
|
ทีนี้ก็จะกัดฟันเล่านิยายเรื่องยิ่งใหญ่สุดของโธมัส ฮาร์ดี้ มีอยู่ด้วยกัน 2 เรื่อง คือ Jude the Obscure อีกเรื่องคือ Tess of the d'urbervilles (แปลเป็นไทยในชื่อ เทสส์ผู้บริิสุทธิ์ โดย "จูเลียต" (คุณชนิด สายประดิษฐ์) ภรรยาของกุหลาบ สายประดิษฐ์ (ศรีบูรพา)) ทั้งสองเรื่องนี้ทรมานจิตใจคนอ่านอย่างเท่าเทียมกัน เพราะฮาร์ดี้เขียนแบบต่อยตีความเชื่อและค่านิยมของคนอ่านยุคนั้นแตกกระจายไม่มีชิ้นดี เขาแสดงอย่างหมดเปลือกถึงการต่อสู้ของชนชั้นแรงงานในยุควิกตอเรียน การไม่ยอมรับประเพณีทางศาสนาตลอดจนขนบธรรมเนียม พูดถึงแง่มุมของการแต่งงานและเรื่องเพศสัมพันธ์ตามความจริง ไม่ใช่ตามความนิยม ผลคือสาธารณชนคนอ่านแสดงปฏิกิริยาต่อต้าน ด่าเขาสาดเสียเทเสีย ประณามงานแบบยอมรับไม่ได้ จนถึงขั้นฮาร์ดี้เองก็ทนไม่ไหวตัดสินใจวางปากกานับแต่นั้น หันไปเขียนบทกวีแทน ตลอด 30 กว่าปีต่อมา แต่ก็เช่นเดียวกับวรรณกรรมอีกหลายเรื่องที่มาดังเอาเมื่อนักเขียนอำลาเวทีไปแล้ว Jude The Obscure กลายเป็นเรื่องคลาสสิกในศตวรรษที่ 20 ให้ชาวเรือนไทยได้มาอ่านกันในศตวรรษที่ 21 ตามนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 51 เมื่อ 06 ต.ค. 25, 13:59
|
|
ตะลุยอ่านเอาเรื่องนิยายมืดมนของท่านฮาร์ดี - Tess ตามด้วย Jude Tess ยังมีแสงสว่างรำไรในตอนจบ ส่วน Jude มืดสนิท
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41639
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 52 เมื่อ 08 ต.ค. 25, 11:00
|
|
เริ่มเรื่อง Jude the Obscure obscure แปลว่า ไม่เป็นที่รู้จัก ไม่รู้ที่มาที่ไป คลุมเครือ กำกวม คำนี้เมื่อบรรยายตัวเอกของเรื่อง หมายถึงจูดผู้ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ปัจจุบันเรียกว่าคนโนเนม เพราะชีวิตของพระเอกเรื่องนี้เป็นแบบนี้จริงๆ จูดเป็นเด็กกำพร้า โตขึ้นมาเพราะป้าซึ่งเป็นชนชั้นแรงงานเลี้ยงไว้ พอโตเป็นหนุ่มก็ทำงานแบบชนชั้นกรรมาชีพคือเป็นช่างก่อหิน (ในสมัยนี้คือช่างก่ออิฐ) แต่หนุ่มน้อยมีความใฝ่ฝันอยากจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในอังกฤษ คือมหาวิทยาลัยคริสต์มินสเตอร์ (ฮาร์ดี้หมายถึงมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด) ทั้งนี้เขาได้รับแรงบันดาลใจจากริชาร์ด ฟิลลอตสัน ครูใหญ่ในโรงเรียนประจำเมือง ซึ่งจบจากคริสต์มินสเตอร์ ด้วยความเป็นหนุ่ม จูดเกิดหลงรักสาวชาวบ้านชื่ออราเบลลา จนต้องตกกระไดพลอยโจนแต่งงาน เมื่อมีึครอบครัวแล้วก็ต้องปักหลักทำมาหาเลี้ยง ไม่สามารถย้ายจากหมู่บ้านบ้านเกิดไปไหนได้ ชีวิตสมรสของสองคนนี้ลุ่มๆดอนๆ จนพังทลายลง อราเบลลาเดินทางไปตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ออสเตรเลีย จูดจึงตัดสินใจออกจากบ้านเกิดไปคริสต์มินสเตอร์ในที่สุด แต่เมื่อพยายามสมัครเข้ามหาวิทยาลัย ก็ได้รับการตอบปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย จูดพบญาติสาวชื่อซู ไบรด์เฮด เขารักเธอ แต่ก็รู้ตัวว่าไม่อาจแต่งงานกันได้ เขาจึงจัดการให้เธอทำงานร่วมกับครูใหญ่ฟิลลอตสันเพื่อให้เธออยู่ในคริสต์มินสเตอร์ต่อไป แต่ก็ต้องผิดคาดเมื่อทั้งคู่เกิดหมั้นหมายกัน เมื่อทั้งคู่แต่งงานกัน จูดไม่แปลกใจที่พบว่าซูไม่มีความสุขกับสามี จนทนไม่ไหวและทิ้งสามีไปอยู่กับจูด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41639
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 53 เมื่อ 08 ต.ค. 25, 11:09
|
|
ต่อมาทั้งจูดและซูหย่าร้างจากคู่สมรสของตน ทั้งๆอยู่กับจูด ซูก็ไม่ต้องการแต่งงานใหม่ พอใจกับการอยู่ด้วยกันเฉยๆโดยไม่มีพันธะทางกฎหมาย อราเบลลาเผยความจริงว่าเมื่อเธอย้ายไปออสเตรเลีย เธอมีลูกติดท้องไปด้วย ไปคลอดลูกชายที่นั่น จูดจึงขอรับเด็กชายมาอยู่ด้วย ซูและจูดทำหน้าที่เป็นพ่อแม่ของเด็กชายตัวน้อย ต่อมามีลูกด้วยกันสองคน วันหนึ่งจูดล้มป่วย และเมื่อเขาหายดี เขาจึงตัดสินใจกลับไปคริสตมินสเตอร์กับลูกเมีย แต่ไปพบปัญหาในการหาที่พัก เพราะทั้งสองอยู่ด้วยกันโดยไม่ได้แต่งงานอย่างถูกต้อง ถือว่าผิดกฎหมายและศีลธรรมประเพณีในยุคนั้น เด็กๆก็กลายเป็นเด็กนอกกฎหมาย จูดจึงพักอยู่ในโรงแรม แยกจากซูและลูกๆ ตอนกลางคืน ซูพาลูกชายของจูดออกไปหาที่พัก เด็กชายมองเห็นความลำบากยากจนของพ่อแม่ จึงตัดสินใจว่าพ่อแม่น่าจะสบายขึ้นถ้าไม่ต้องแบกภาระหาเลี้ยงอีกสามปากสามท้อง ตอนเช้า ซูไปที่ห้องของจูดและรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน ทิ้งเด็กๆไว้ที่ที่พักตามลำพัง พอกลับไปหา ก็พบว่าลูกชายของจูดได้แขวนคอเด็กอีกสองคน แล้วผูกคอตัวเองตายตามไป ซูประณามตัวเองว่าพระเจ้าลงโทษเธอ เพราะเธอบังอาจมีความสัมพันธ์ผิดศีลธรรมกับจูด คือทิ้งสามีมาอยู่กับเขา เธอจึงกลับไปอยู่กับฟิลลอตสัน ส่วนจูดก็จำต้องกลับไปอยู่กับอราเบลลาอีกครั้ง ชีวิตที่อาภัพมาตั้งแต่ต้นจบฉากลงเมื่อจูดเสียชีวิตหลังจากนั้นไม่นาน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 54 เมื่อ 08 ต.ค. 25, 15:57
|
|
เป็นนิยายที่หนักหน่วงหดหู่มืดสนิทอ่านถึงจูดตายแล้วก็คิดในใจว่า จบสิ้นใจเสียที แต่ท่านฮาร์ดีก็ได้ทำการวิพากษ์สังคมอย่างแรงสมกับความรุนแรงของเนื้อเรื่อง ตัวละคร Jude มีส่วนมาจากตัวท่านเองที่มีบิดาเป็นช่างหิน มารดาเป็นนักอ่าน เข้าเรียนในรร.ท้องถิ่น และศีกษาหาความรู้เอง ฐานะทางบ้านไม่อำนวยให้เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย ตอนอายุ 16 จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์สถาปนิก
ถูกใจ Jude รูปนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ภศุสรร อมร
|
ความคิดเห็นที่ 55 เมื่อ 08 ต.ค. 25, 18:42
|
|
เป็นเรื่องที่น่าหดหู่จริงๆครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41639
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 56 เมื่อ 09 ต.ค. 25, 09:49
|
|
ถ้าจะให้เข้าใจว่าทำไมเรื่องนี้กลับมาดังในศตวรรษที่ 20 หลังจากถูกสาปส่งจนฮาร์ดี้วางมือจากนวนิยายไปเลย ก็ต้องเข้าใจภูมิหลังของสังคมสมัยวิกตอเรียนด้วยค่ะ ฮาร์ดี้เขียนเรื่องนี้ขึ้นเพื่อต่อต้าน-หรือเรียกเบาลงหน่อยว่าวิจารณ์เชิงคัดค้าน สถาบันหลักๆในสมัยนั้น เช่นสถาบันสมรส สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา กระทู้เก่าๆในเรือนไทยเล่าถึงความเข้มงวดของค่านิยมสมัยวิกตอเรียนมาบ้างแล้ว เช่นถ้าบ่าวสาวแต่งงานกันก็ต้องกล่าวคำปฏิญาณต่อหน้าบาทหลวงหรือนักเทศน์ผู้ประกอบพิธี ว่าจะรัก ดูแล ไม่ทอดทิ้งทั้งในยามยากจนและเจ็บไข้ จนกว่าความตายจะพรากจากกัน ผู้หญิงต้องกล่าวว่า จะเคารพเชื่อฟังสามี อีกด้วย นอกจากนี้การอยู่กันเฉยๆไม่แต่งงาน สมัยนั้นถือว่าเป็นความเลวร้ายอย่างรุนแรง เพราะนอกจากทำให้ผู้หญิงอยู่ในฐานะหญิงชั่วแล้ว ลูกที่เกิดมาก็นอกกฎหมายอีกด้วย ไม่มีสิทธิ์ในมรดกของพ่อ ส่วนทางด้านการศึกษา การเรียนสูงๆจำกัดไว้แต่ในหมู่ชนชั้นสูงและชนชั้นกลาง ส่วนชนชั้นล่างคือพวกใช้แรงงานอย่างดีก็อ่านออกเขียนได้ แต่จะเผยอขึ้นไปเรียนมหาวิทยาลัยชั้นเลิศนั้นอย่าหวัง หน้าที่พวกเขาคือใช้แรงงานรองรับความเจริญของประเทศ อย่าเปลี่ยนหน้าที่ให้สังคมเสียระเบียบ ค่านิยมเหล่านี้มีเหตุผลรองรับในตัวของมันเอง ไม่ใช่ว่าถูกสร้างขึ้นมาลอยๆ โดยผู้มีอำนาจ แต่สืบเนื่องมาจากระบบฐานันดร ตั้งแต่ยุคกลางของยุโรป คือทุกชนชั้นแบ่งกันทำหน้าที่ของตนต่อสังคม สังคมก็จะดำเนินต่อไปได้ราบร่ื่น แต่ถ้าประชาชนไม่ทำตามหน้าที่ หรือทุกคนอยากทำอะไรก็ทำ ไม่อยากทำอะไรก็ไม่ทำ สังคมก็จะล่มลง เดินหน้าต่อไปไม่ได้ ฮาร์ดี้มองเห็นช่องโหว่ของค่านิยมเหล่านี้ จึงสร้างตัวละครขึ้นแสดงให้เห็นความเลวร้ายที่สังคมกระทำย่ำยีและหยามเหยียดต่อบุคคลที่แสวงหาอิสระในการเลือกชีวิตของตนเอง ไม่ทำตามแบบแผนของสังคม อย่างเช่นจูด ที่พยายามจะแหวกออกจากบทบาทของชนชั้นล่างสุดคือชนชั้นแรงงาน ขึ้นไปเป็นปัญญาชน ด้วยการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย พบว่านี่คือขั้นแรกของความล้มเหลวในชีวิต
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41639
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 57 เมื่อ 09 ต.ค. 25, 14:21
|
|
ส่วนซู ฮาร์ดี้สร้างให้เป็นผู้หญิงรุ่นใหม่ ผิดแผกไปจากผู้หญิงร่วมสมัยที่เห็นว่า บทบาทผู้หญิงคือเป็นลูกที่ดี เมียที่ดีและแม่ที่ดี เมื่อแต่งงานแล้วก็ต้องอดทนต่ออุปสรรคทุกชนิดให้ถึงที่สุด เพื่อจะประคองครอบครัวให้ได้ตลอดรอดฝั่ง จึงจะได้ชื่อว่าทำหน้าที่ได้ครบถ้วน สมกับคำปฏิญาณที่ให้ไว้กับพระเจ้าในวันวิวาห์ โดยมีบาทหลวงหรือนักเทศน์เป็นตัวแทนของพระองค์ แต่ฮาร์ดี้กลับเห็นว่า ถ้าชีวิตคู่มันแย่ ก็จะไปทนมันทำไม เดินออกมาเลย แสวงหาเส้นทางใหม่ให้ชีวิต เพราะผู้หญิงยังเหลืออีกหลายสิบปีที่จะมีโอกาสสร้างชีวิตใหม่ให้ตนเอง ไม่ต้องจมปลักอยู่ในนรกที่มีสามีเป็นพญามาร อีกอย่าง ถ้าไม่อยากแต่งงานก็ไม่ต้องแต่ง อยู่ด้วยกันเพราะรักเท่านั้นก็พอ ซูเป็นผู้หญิงที่พบว่าตัวเองแต่งงานผิด แต่ไม่เชื่อแนวคิดว่า "มีผัวผิด คิดจนตัวตาย" เธอก็เลยเดินออกมาจากสามี แล้วมาใช้ชีวิตร่วมกับจูด แต่ซูก็ไม่ต้องการบทบาทเมียและชีวิตสมรสอีกแล้ว เธอจึงปฏิเสธที่จะคิดแต่งงานให้ถูกต้องตามกฎหมายและหลักศาสนา ความประพฤติของซู เป็นเรื่องผิดบาปเกินกว่าคนอ่านจะทนได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41639
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 58 เมื่อ 12 ต.ค. 25, 10:14
|
|
ฮาร์ดี้ตั้งใจแสดงให้เห็นว่า ความเข้มงวดในสถาบันต่างๆของสังคมที่ไม่ยอมยืดหยุ่นให้ปัจเจกบุคคล ก่อผลร้ายให้คนตัวเล็กๆอย่างตัวละครที่เขานำมาแสดง ดังนั้นชีวิตของจูดก็ดี ของซูก็ดี เมื่อพยายามแหวกออกจากระเบียบประเพณี ก็เจอแต่ความวิปโยคจนถึงขั้นหายนะ เพื่อเพิ่มเติมความเข้มข้นให้เรื่อง และสร้างตัวละครขึ้นมาเป็นอีกหนึ่งแรงที่กดดันตัวเอง ฮาร์ดี้จึงสร้างอราเบลลาเมียคนแรกของจูดขึ้นมาเป็น "นางมาร" ในเรื่อง เธอเป็นผู้หญิงที่ล่อหลอกให้จูดจำต้องแต่งงานด้วย ด้วยการหลอกเขาว่าตั้งครรภ์ ชีวิตสมรสไปไม่รอด เธอเดินออกจากชีวิตจูดไปอยู่ในถิ่นใหม่ที่ออสเตรเลีย แต่แล้วก็หวนกลับมาทำความเดือดร้อนให้เขาอีกด้วยการจูงเด็กชายคนหนึ่งมามอบให้ บอกว่าเป็นลูกเขาที่ติดท้องไปเมื่อแยกทางกัน จูดไม่มีทางอื่นนอกจากรับเลี้ยงไว้ รวมกับลูกที่มีกับซูอีก 2 คน ฮาร์ดี้สร้างจุดจบของเด็กน้อยทั้งสามเพื่อย้ำความส้ิ้นหวังของคนจนในสังคม ให้เด็กคนนี้ก่อโศกนาฏกรรม ด้วยการฆ่าตัวตาย และฆ่าน้องต่างแม่ เพื่อพ่อแม่จะได้สบายขึ้น ไม่ต้องแบกภาระพวกเขา เหตุร้ายนี้นำความพังพินาศมาสู่ชีวิตของซู เธอมองว่าเป็นเพราะเธอทำผิด ก่อบาปที่ละทิ้งหน้าที่ภรรยามาอยู่กับชายชู้ จึงลงโทษตัวเองด้วยการกลับไปทนทุกข์ทรมานกับสามีคนแรก ส่วนจูดเองอยู่มาอีกไม่นานก็ตายไปอย่างคนสิ้นหวังในชีวิต
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41639
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 59 เมื่อ 12 ต.ค. 25, 10:33
|
|
คนอ่านยุคนั้นทนไม่ได้ เพราะพวกเขารู้สึกว่ากฎระเบียบของสังคมและศาสนาถูกตราขึ้นเพื่อความสงบเรียบร้อยในสังคม ทุกคนต่างทำหน้าที่ที่ควรทำ ในเมื่อมีนักเขียนคนหนึ่งเขียนบรรยายตัวละครทำผิดสังคม และทำบาปทางศาสนาตลอดทั้งเรื่อง อ่านแล้วมันน่ารังเกียจ โสโครก อุบาทว์ สลดหดหู่ เกินกว่าจะทนได้ ทำไมไม่เขียนอะไรดีๆที่จรรโลงใจผู้คนให้คิดดีทำดีกันบ้าง เสียงสาปส่งจึงกึกก้องจากทุกสารทิศ เป็นเหตุให้ฮาร์ดี้เข็ด วางปากกาอำลานวนิยายนับแต่นั้น ทำไมเรื่องนี้จึงกลายเป็นงานยิ่งใหญ่ในยุคต่อมา? สังคมหลังยุควิกตอเรียนเปลี่ยนไปมากเกินกว่าผู้คนจะคาดคิด สงครามโลกครั้งที่ 1 ระเบิดขึ้นมาทำให้ผู้คนได้ปรัะจักษ์ถึงความโหดร้ายของมนุุษย์กระทำต่อมนุษย์ สังคมที่เคยมีระเบียบและดีงามต้องแหลกสลายลง ความเชื่อของมนุษย์เริ่มคลอนแคลนจากประสบการณ์เลวร้ายของใหม่ ความคิดของฮาร์ดี้จึงถูกมองว่า "ล้ำยุค" เขามองเห็นล่วงหน้าว่าโลกไม่ได้สวยงามอย่างที่คนรุ่นก่อนเชื่อกัน ต่อมาเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นแบบไม่มีใครคาดคิด ยุโรปและเอเชียแหลกยับลงยิ่งกว่าเก่า ความเชื่อมั่นในระเบียบสังคมแบบเก่าก็สูญสลายโดนสิ้นเชิง งานของฮาร์ดี้จึงถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาแนวคิดอีกครั้ง ว่ามันสอดคล้องกับสังคมยุคใหม่ในศตวรรษที่ 20 มากกว่า งานของเขากลายเป็นแรงบันดาลใจของนักเขียนยุคหลัง ที่โด่งดังขึ้นมาในศตวรรษที่ 20 เช่นเอมิล โซล่า (Emile Zola) และอัลแบรต์ กามูส์ (Albert Camu) นักอ่านไทยหลายคนโดยเฉพาะปัญญาชนที่รู้จักระบอบสังคมนิยม คงเคยอ่านงานของสองคนนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|