เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11
  พิมพ์  
อ่าน: 10019 คุยกันถึงวรรณกรรมระดับโลก
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41828

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 135  เมื่อ 13 พ.ย. 25, 10:12

  เนาื่องจากวิลสันเป็นนักวิจารณ์คนดัง   การตีความแบบนี้จึงเป็นที่ฮือฮาและจุดประกายให้คนรุ่นหลังๆตีความตามแบบเขากันเป็นทิวแถว  แล้วยังแยกซอยขยายเส้นทางกันไปอีกมาก   หนัง 2 เรื่องที่คุณหมอ SILA ยกมาก็คือแตกแขนงตีความออกไปจากเรื่องเดิม
  วิลสันตีความได้เป็นฉากๆ เช่นตีความครูพี่เลี้ยงว่า อาการประสาทหวาดหวั่นของเธอนั้นไม่ใช่เพราะกลัวผีอย่างที่เราอ่านเผินๆตามนั้น แต่เป็นเพราะบุคลิกเธอเป็นคนอารมณ์แปรปรวนต่างหากเล่า (เรียกง่ายๆว่า ยัยนี่ประสาท)    เด็กน้อยทั้งสองที่ดูเก็บกดมีความลับ ไม่ใช่เพราะซ่อนเร้นอะไรเอาไว้  แต่เพราะอารมณ์ครูทำความกดดันเด็กอย่างหนัก
   ที่ครูพี่เลี้ยงเป็นเช่นนี้เพราะเธอมีความเก็บกดในเรื่องเพศ (ทฤษฎีของฟรอยด์ เปี๊ยบเลย) เธอหลงรักนายจ้างหนุ่ม(ที่ไม่มีบทบาทในเรื่อง)  แต่เธอก็รู้ว่าเธอมีฐานะต่ำต้อยกว่าเขามาก จนไม่อาจครองคู่กันได้  มันจึงระเบิดออกมารูปของภาพหลอน  สร้างเรื่องขึ้นเป็นคุ้งเป็นแคว    ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอจึงเป็นผู้เดียวที่มองเห็นปีศาจ คนอื่นๆมองไม่เห็น
    ยังมีการตีความของคนอื่นๆที่หลากหลายจากนี้มาก  แต่ยิ่งอ่านก็คงจะยิ่งงง  เลยยกมาแค่นี้ก่อน
    ประเด็นสำคัญในการตีความของวิลสัน  คือเขาไม่เชื่อถ้อยคำของผู้เล่าเรื่อง (narrator)  ในที่นี้คือตัวครูพี่เลี้ยง  ไม่ใช่เจมส์    เขาเห็นว่าเหมือนมองผ่านแว่นที่บิดเบี้ยว เพราะฉะนั้นจะเชื่อถือสิ่งที่เธอบอกไม่ได้   เรื่องจริงเป็นยังไงแล้วแต่คนอ่านจะตีความ
    คิดอย่างนี้ก็สบายนักวิจารณ์เลย    เรื่องจะเป็นยังไงฉันไม่เชื่อซะอย่าง  ฉันก็สามารถมองเห็นไปอีกทางได้
    -ถ้าฉันไม่เชื่อว่าแอนน์ แฟร้งค์เขียนบันทึกประจำวันตามความเป็นจริง    ชีวิตที่เธอและครอบครัวหลบภัยนาซีอยู่ก็อาจเป็นอีกแบบก็ได้  
    -ถ้าฉันไม่เชื่อบันทึกของหมอวัตสัน   คดีต่างๆของเชอร์ล็อค โฮล์มส์ก็อาจไม่ได้คลี่คลายออกมาตามนั้น  จริงๆแล้ว โฮล์มส์อาจไม่ค่อยสืบอะไรได้มากนัก  หมอวัตสันต่างหากที่สืบจริง แต่ยกเครดิตให้เพื่อน
   ฯลฯ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41828

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 136  เมื่อ 13 พ.ย. 25, 12:46

  อย่างที่บอกมาแต่ต้นคือฝรั่งชอบ Ambiguity   เรื่องไหนคลุมเครือ เท่ากับเปิดโอกาสได้ถกเถียง โต้แย้ง  สนับสนุน ริเริ่มความเห็นใหม่ๆ  ได้มาก หรือไม่มีที่สิ้นสุดเลยก็ว่าได้      สิ่งนี้เกิดจากความเป็นไปได้ 2 ทาง
  1  สติปัญญาจากมันสมองอันปราดเปรื่องของนักเขียน  ที่มองอะไรได้ลึกซึ้งกว่ามนุษย์ทั่วไปจะมองเห็น   เขาจึงสามารถเสนอเรื่องที่่คนอ่านต้องตีความทำความเข้าใจเอาเอง  ถ้าสติปัญญญาพอจะใกล้เคียงกันก็จะเข้าใจได้   ถ้าห่างชั้นกันนักก็เข้าใจไม่ได้   ดังนั้นเรื่องที่อ่านหรือดูได้ยากเย็นจึงเป็นจานโอชะของโต๊ะอาหารวรรณกรรม
  2  เป็นงานที่ลงมือเขียนแล้วหาทางออกไม่ได้   อาจจะเป็นเพราะติดพรรณนาเยิ่นเย้อ วกวนนานเกินไป    หรือเขียนไปๆ แล้วเริ่มงง  ไม่สามารถทำความกระจ่างให้กับตัวเองได้   ก่อนจะจบแบบตัวเองก็ไม่รู้จะคลี่คลายยังไง  เลยไม่คลี่คลาย   ทิ้งความคิดเอาไว้ครึ่งๆกลางๆ แบบนั้น   
   งานเขียนแบบนี้ พอจะเปรียบเทียบได้กับภาพ abstract  ดังที่นำมาลงให้ดูกัน
   ภาพที่ 1
   ภาพซ้ายเป็นผลงานของศิลปินระดับโลกชื่อ Henri Matisse   ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์    ภาพขวาเป็นภาพการสอนเด็กประถมให้หัดวาดแจกันดอกไม้
   ภาพที่ 2 
   ภาพซ้ายเป็นงานศิลปะตัดแปะ (collage arts) ของ Henri Matisse เช่นกัน   ส่วนภาพขวาเป็นการบ้านเรียนภาพตัดแปะในชั่วโมงศิลปะของเด็กชั้นประถม



บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8561


ความคิดเห็นที่ 137  เมื่อ 14 พ.ย. 25, 11:25

         พูดถึง อาการปวดตับกับนางเอกของปู่เฮนรี่ ใน The Portrait of a Lady กับความกำกวมใน The Turn of the Screw  แล้ว
         พาไปให้นึกถึงอีกสองเรื่องขึ้นหิ้งของนักเขียนอังกฤษอีกท่านที่มีความละม้ายใกล้เคียงกัน นั่นคือ

            Howards End และ A Passage to India ของ Edward Morgan Forster นักเขียนรุ่นหลัง,ร่วมศตวรรษ

         นางเอกของปู่เอมในเรื่องแรกก็ตกลงปลงใจแต่งงานแบบขัดใจคนอ่าน แต่ยังดีกว่าตรงที่ในที่สุดเธอได้ตระหนักรู้และกลับใจ
ถึงแม้ไม่หย่าขาดจากกันแต่ลดความสัมพันธ์เป็นอดีตภรรยาช่วยดูแลอดีตสามีที่ป่วยด้วยปัญหาทางจิตใจแล้วกลับใจได้คิด,ทำตัวดีขึ้น
น่าสงสาร,พอน่าให้อภัย (ของปู่เฮนรี่ สามี ไม่มีดี, ไม่มี down fall และนางเอกก็ทนรับสภาพต่อไป แบบขัดใจคนอ่าน,นักสตรีนิยม
น่าจะทนไม่ได้)
        เรื่องที่สอง มีความกำกวมของเหตุการณ์ในถ้ำปริศนา เป็นปมชนวนหลักของเรื่อง นางเอกพานพบประสบสิ่งใดในถ้ำ ทำไมจึงได้
เตลิดเพริดสะพรึงสติแตกจนแจ้งความกล่าวหาผู้บริสุทธิ์(?) มีการขึ้นโรง,ขึ้นศาล ที่มีการตัดสินแต่ยังไม่ได้คำตอบแน่ชัด คนอ่าน,คนดูเติม
ข้อความในช่องว่างเอง ทว่ายังพอมีที่ทางให้ลงท้าย พอจะคลายปม,ได้ข้อสรุป(แม้ยังไม่แน่ชัดแจ้ง) เป็นความกำกวมที่อยากจะเรียกว่า
พอดี,พองาม (ไม่เกินงามอย่างปู่เฮนรี่ รูดซิบปาก)


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41828

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 138  เมื่อ 14 พ.ย. 25, 11:36

     โดยส่วนตัวแล้ว เห็นว่าเฮนรี่ เจมส์เขียนเรื่องนี้ขึ้น เพื่อพลิกโฉมนิยายโกธิคที่กำลังฮิทติดลมบนกันอยู่ในยุคนั้น   นิยายพวกนี้จะมีสูตรสำเร็จ
    1  นางเอกเป็นครูพี่เลี้ยง  หรือพยาบาล หรือเลขาส่วนตัว
    2  ถูกจ้างให้ไปทำงานที่คฤหาสน์ใหญ่ ห่างไกลผู้คน  บรรยากาศอึมครึมลึกลับ
    3  นายจ้างเป็นหนุ่มใหญ่รูปหล่อ   จะโสดหรือม่ายก็ได้
    4  มีเด็กชายหญิงอยู่ในเรื่อง ให้นางเอกดูแล
    5  มีเหตุการณ์ประหลาดน่ากลัวเกิดขึ้น  อาจจะเป็นเรื่องลึกลับแบบนักสืบ หรือเรื่องผีปีศาจ
    6  นางเอกเผชิญหน้าเหตุการณ์  ไขปัญหาได้ คลี่คลายความลึกลับ
    7  คฤหาสน์กลับสู่ความโปร่งใส
    8  พระเอกแต่งงานกับนางเอก
    เจมส์ก็เลยพลิกเรื่องเป็นตรงกันข้าม  
    - นางเอกเรื่องนี้เจอผี ที่ดูคลุมเครือ  ตั้งแต่ต้นจนจบ
    - เหตุการณ์สะสางไม่ออกจนเรื่องจบว่าผีมาทำอะไรกันแน่   ไม่อธิบายที่มาที่ไป
    -  นายจ้างรูปหล่อที่เป็นอาของเด็กก็ไม่ยักใช่พระเอก  แต่เป็นชายที่ไม่มีบทบาทใดๆในเรื่องอีกนอกจากจ้างนางเอก
     -  เด็กๆในเรื่องก็ไม่ใช่เด็กน้อยไร้เดียงสา  แต่เป็นเด็กที่มีความประหลาดซ่อนเร้นในตัว (แต่ไม่ไขปัญหาว่าอะไร)  
     - แทนที่จะไขปัญหาออก ประสบชัยชนะและแฮปปี้เอนดิ้ง  นางเอกเรื่องนี้พ่ายแพ้ผี สูญเสียเด็กน้อย  และตัวเธอเองก็ดูจะมีอนาคตมืดมน
      - ผีในเรื่องเป็นผีแบบที่เจมส์สร้างสรรค์ใหม่    ไม่ใช่ผีเฝ้าสมบัติ   ไม่ใช่ผีที่ถูกฆ่าแล้ววิญญาณมาร้องทุกข์   ไม่ใช่ผีอาละวาดไล่ฆ่าคน หรือผีดิบดูดเลือด   แต่เป็นผีที่มาปรากฏตัวเฉยๆ แต่ก็ทำให้รู้ว่าร้าย  
      ความคลุมเครือแบบนี้ นักวิชาการไม่ได้เห็นว่าเจมส์แต่งเรื่องไม่ถึงขั้น ผูกปมเรื่องแล้วแก้ไม่ได้ (อย่างที่ดิฉันแอบคิดตอนเรียนเรื่องนี้) แต่เห็นว่าเป็นนักเขียนฝีมือเยี่ยมที่เข้าใจสร้างความคลุมเครือตั้งแต่ต้นจนจบ
      ที่จริง ความคิดสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมกับแต่งเรื่องไม่เป็น มันก็มีเส้นบางๆคั่น แค่นั้นเอง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41828

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 139  เมื่อ 14 พ.ย. 25, 11:38

  คุณหมอจะให้ดิฉันเล่าถึง A Passage to India เลยไหมคะ   เรื่องนี้เรียนตอนอยู่ปี 4  ค่ะ   
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8561


ความคิดเห็นที่ 140  เมื่อ 14 พ.ย. 25, 12:21

           ขอเรียกว่า แนว antigoromanthic จัดให้โดยปู่เฮนรี่ นักเขียนชายฝ่ายค้านต่อนักเขียนหญิงฝ่ายเสนอ romantigothic
       
  คุณหมอจะให้ดิฉันเล่าถึง A Passage to India เลยไหมคะ   เรื่องนี้เรียนตอนอยู่ปี 4  ค่ะ   

          แล้วแต่ที่อ. เลือกจะนำมาเล่าเลย ครับ

A Passage to India (1984) ภาพยนตร์ผลงานสร้างชื่อชิ้นสุดท้ายของท่าน Sir David Lean

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41828

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 141  เมื่อ 15 พ.ย. 25, 12:07

      เรื่องย่อ A Passage to India
      นวนิยายเรื่องนี้ใช้ฉากหลังคืออินเดียขณะเป็นอาณานิคมของอังกฤษในช่วงทศวรรษ 1920    ตีแผ่ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างชาวอินเดียที่ถูกปกครอง และชาวอังกฤษผู้ปกครอง เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในเมืองสมมติชื่อ "จันทรปูร์" (Chandrapore หรือจันทรปุระ) ที่นี่ ช่องว่างทางวัฒนธรรมระหว่างอังกฤษและอินเดียมีอยู่ลึกล้ำ—เป็นสองโลกที่ดำเนินไปเคียงข้างกัน แต่ไม่เคยบรรจบกัน
      ตัวเอกของเรื่องคืือ อาซิซ แพทย์หนุ่มชาวมุสลิมอินเดียผู้มีอารมณ์อ่อนไหว  หยิ่งทระนงในตนเองและใฝ่หามิตรภาพกับชาวอังกฤา   ครั้งหนึ่ง เขาได้พบกับอาจารย์ฟีลดิง ครูใหญ่ชาวอังกฤษที่ปฏิบัติต่อชาวอินเดียอย่างเท่าเทียม   เกิดความประทับใจ   ทั้งสองจึงเริ่มต้นมิตรภาพโดยหารู้ไม่ว่ามันก็แค่ผิวเผิน 
     ตัวละครต่อมา คือคุณนายมัวร์สตรีชาวอังกฤษที่ใจดีใจกว้าง อารีอารอบ และอะเดลา เควสเต็ด ว่าที่ลูกสะใภ้ของเธอ  ทั้งคู่มาที่อินเดียเพื่อดูลาดเลาว่าอะเดลาควรแต่งงานกับ รอนนี ฮีสล็อป ลูกชายของคุณนายมัวร์ ซึ่งเป็นผู้พิพากษาท้องถิ่นหรือไม่
     คุณนายมัวร์และอะเดลาเกิดอยากสัมผัส "อินเดียที่แท้จริง" ไม่ใช่แค่มองเห็นภาพภายนอกจากสโมสรของชาวอังกฤษ ที่มองอินเดียด้วยสายตาของนักล่าอาณานิคมและดูถูกเหยียดหยามชาวพื้นเมือง ดังนั้น อาซิซจึงเอื้อเฟื้อ เสนอตัวพาพวกเขาไปยังถ้ำมาราบาร์ (Marabar Caves)  ซึ่งเป็นสถานที่โบราณแปลกตา  ภายในมีเสียงสะท้อนก้องไปมาชวนหลอน
    ฉากสำคัญที่สุดในเรื่องคือ ถ้ำ เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นที่เป็นความลึกลับมืดมนของนิยายเรื่องนี้มาจนถึงปัจจุบัน
    คือคุณนายมัวร์เกิดเปลี่ยนใจไม่เข้าไปสำรวจ  รออยู่ข้างนอก  อะเดลาลองเดินเข้าไปคนเดียว  อาซิซอยู่อีกทางหนึ่ง   จู่ๆ อะเดลาวิ่งเตลิดออกมาด้วยความตื่นตระหนก สับสน และตัวสั่นงันงก     เธอกล่าวหาว่าอาซิซพยายามล่วงละเมิดเธอในถ้ำ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41828

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 142  เมื่อ 15 พ.ย. 25, 12:52

   อาซิซถูกนำตัวขึ้นศาล แม้ว่าเขายืนกรานปฏิเสธ   คดีนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งกว่าการทำร้ายร่างกายกันธรรมดาๆ   เพราะเป็นเรื่องระหว่างหญิงชาวอังกฤษถูก 'ชายพื้นเมือง' ลบหลู่เกียรติ     ความตึงเครียดเพิ่มสูงขึ้นระหว่างชุมชนชาวอังกฤษและชาวอินเดีย     แต่ในระหว่างการดำเนินคดี  จู่ๆอะเดลาก็เปลี่ยนใจ   ถอนคำกล่าวหาอย่างกะทันหัน เพราะเธอสับสนไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นจริง ๆในถ้ำ
    แม้ว่าอาซิซจะถูกปล่อยตัวพ้นข้อหา   แต่ความเสียหายก็ได้เกิดขึ้นแล้วกับอาชีพและอนาคตของเขา มิตรภาพระหว่างเขากับชาวอังกฤษล่มลง   ความไว้เนื้อเชื่อใจสูญสลาย  รวมทั้งความฝันของเขาว่ามิตรภาพกับชาวอังกฤษจะสร้างความเป็นเอกภาพของมนุษย์ที่ต่างผิวพรรณได้ ก็พังทลายลงไปด้วย
      ตัวละครแยกย้ายกันไปตามวิถีทางของตน   อะเดลากลับอังกฤษหลังจากการหมั้นหมายกับรอนนี่เลิกล้มไป   เพราะเธอถอนข้อกล่าวหานายแพทย์    หลายปีต่อมา ฟีลดิงและอาซิซได้กลับมาพบกันอีกครั้ง—แต่มิตรภาพของพวกเขาก็ไม่อาจต้านทานแรงกดดันของชนชั้นต่างผิว และความระแวงแคลงใจระหว่างกัน 
     นวนิยายปิดฉากลง ทิ้งความแปลกแยกระหว่างโลกตะวันออกและตะวันตกให้คนอ่านได้ขบคิดกันต่อไป 
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8561


ความคิดเห็นที่ 143  เมื่อ 16 พ.ย. 25, 11:59

           งานมโน เกิดอะไรในถ้ำ, ทำไมอะเดลาตื่นผวาวิ่งออกมา

         ความกดดันจากภายนอก - อากาศร้อน,ชื้นไม่สบายตัว,อาการขาดน้ำ(เกลือแร่ในร่างกายแปรปรวน) และที่สำคัญ คือ
สภาพถ้ำที่มืดสนิททึบอึดอัดและก้องเสียงสะท้อนหลอนขวัญ ก่อนหน้านั้นว่าที่แม่สามีก็มีอาการจนทนไม่ไหวต้องถอยออกมาก่อน
         ความเก็บกดดันในตัวเธอ จากความขัดแย้งเมื่ออะเดลาได้ประจักษ์ใจว่าตัวเองไม่ได้รัก,ไม่ได้อยากแต่งงานกับคู่หมาย
อยากจะหนีไปจากงานแต่ง และในขณะเดียวกัน ลึกๆ แล้วตัวเธอเองอาจจะเผลอมีความชื่นชมพอใจในตัวดร. อาซิส อยู่บ้าง เริ่มจาก
ทัศนคติของเธอเองที่เปิดใจเป็นมิตรกับชาวอาณานิคมอยู่แล้ว ได้มาเจอกับชายหนุ่ม หน้าตาท่าทางน่าจะดูดีอยู่บ้าง มีการศึกษา
อัธยาศัยไมตรีมีเสน่ห์น่าคบหาสนทนา เธอคงจะหวั่นไหวไปบ้างอย่างน้อยก็เป็นตัวเปรียบเทียบ(ถ้าคู่หมายนิสัยละม้ายแบบนี้ ก็น่าจะดี ฯ)
แต่.. แค่คิดเธอก็รู้สึกผิดอย่างมากที่เผลอใจไปกับเรื่องนี้ที่น่าอาย,น่าประณามในสังคมยามนั้น เมื่อมาสมทบกับปมแรกในใจ กับเมื่อมาอยู่
ในสถานที่แคบกดดันจนลั่นไก, แรงดันก็ปะทุทะลุออกมา ส่งผลให้เธอเตลิดวิ่งออกมาจากถ้ำจากความรู้สึกขัดแย้ง...ตามนั้น และ
ดร.อาซิสคือ คนโชคร้ายที่ต้องกลายเป็นคนผิด


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41828

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 144  เมื่อ 16 พ.ย. 25, 17:39

     คำว่า Ambiguity หรือคุณศัพท์ใช้ว่า ambiguous  คือความคลุมเครือ อมพะนำ ถูกฟอสเตอร์นำมาใช้อย่างได้ผลสำเร็จมากในเรื่องนี้   อันได้แก่เหตุการณ์ในถ้ำ   จนป่านนี้  ก็ยังไม่มีใครรูู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆในนั้น    ผู้เขียนฉลาดพอจะอมพะนำรายละเอียดเอาไว้ ให้นักวิชาการได้โอกาสตีความ  เขียนตำราเป็นเล่มๆ   นักศึกษาทำวิจัยหรือรายงานกันหลายสิบหน้า   ผู้สร้างหนังเอามาทำซ้ำแล้วซ้ำอีก   แสดงมุมมองกันตามใจชอบ
     ถ้าใครอดรนทนไม่ไหว ไปถามฟอสเตอร์   เขาก็คงส่ายหน้ายิ้มๆ ตอบว่า "ผมไม่ได้อยูู่ในถ้ำ ก็เลยไม่รู้เหมือนกัน"
    เสน่ห์อย่างหนึ่งของเรื่องนี้คือความลึกลับที่ฟอสเตอร์จงใจ "อุบ" เอาไว้    หากเขียนบรรยายจนหมดเปลือก เรื่องนี้ก็ไม่สะดุดความสนใจมากเท่ากับไม่บอก
  นักวิชาการส่วนใหญ่ตีความว่า อะเดลาเห็นภาพหลอนไปเองจากความตึงเครียดในจิตใจ  บวกกับบรรยากาศในถ้ำ ที่มืดและมีเสียงสะท้อนสั่นประสาทอยู่ตลอดเวลา  
  แต่ในฐานะที่ฟอสเตอร์เองเปิดโอกาสให้ตีความได้   ดิฉันก็เลยขอตีความเสียใหม่ ว่า..อะเดลาไม่ได้เกิดภาพหลอนหรอก   เพราะในเรื่องบรรยายว่า เธอถูก attack  โดยชายผู้ที่เธอเข้าใจว่าเป็นอาซิซ
   คำนี้ แสดงถึงการมีตัวตนสัมผัสได้ระหว่าผู้ attack กับผู้ถูก attack     ถ้าหากว่าคุณเดินอยู่ในที่มืดๆ แล้วเห็นเงาคนวูบวาบอยู่ใกล้ๆ เคลื่อนเข้ามาทุกที   คุณวิ่งหนีกระเจิง  อย่างนี้ยังไม่ถึงขั้น attack  เพราะยังไม่ประชิดตัว
   ภาพหลอนอาจทำให้ขวัญหนีดีฝ่อได้  แต่ภาพหลอนไม่มีตัวตนให้สัมผัส
   อาซิซเห็นกล้องส่องทางไกลของอะเดลาตกอยู่ นอกถ้ำ  เขาหยิบขึ้นมา  ข้อนี้ทำให้อะเดลาคิดว่าคนที่ทำร้ายเธอคือเขา  เพราะเธอเหวี่ยงกล้องส่องทางไกลใส่คนนั้น  
   ทำไมกล้องจึงมาตกอยู่ตรงที่อาซิซเก็บได้  ก็เพราะเส้นทางนั้นคือเส้นทางที่คนร้ายใช้  
   มีใครอยู่แถวนั้นอีก
   คำตอบคือไกด์ท้องถิ่น ที่เข้าไปในถ้ำนั้น
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41828

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 145  เมื่อ 17 พ.ย. 25, 11:20

   แต่อย่างไรก็ตาม(อย่างน่าโมโหสำหรับคนอ่าน)  ฟอสเตอร์ทำเหมือนไม่ให้ความสำคัญกับไกด์ชาวพื้นเมืองคนนั้น ทั้งๆเขาเป็นอีกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุ      ไม่มีการสอบสวนไกด์เพิ่มเติมจากบรรยายว่าอาซิซไปเจอเขาอยู่นอกถ้ำก่อนอะเดลาวิ่งเตลิดออกมา   ไม่มีฉากไกด์ถูกนำตัวขึ้นศาลเพื่อให้การ     นายคนนี้หายจากหนังสือไปเฉยๆเหมือนถูกลืม
   มีแต่คำให้การของอะเดลาว่าอาซิซพยายามข่มขืนเธอ  แต่ก็เป็นคำให้การที่สับสนใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว  ถึงกระนั้นศาลก็เชื่อ   ข่าวก็แพร่สะพัดออกไปว่าสุภาพสตรีชาวอังกฤษถูกชายพื้นเมืองพยายามล่วงละเมิดทางเพศ  เป็นเรื่องอื้อฉาวที่ทำลายอนาคตของอาซิซลงไปพริบตา
   ฟอสเตอร์ยังผูกปมเรื่องให้มันคลุมเครือเข้าไปอีก   ด้วยการที่อะเดลาเกิดเปลี่ยนคำให้การ   บอกว่ามันอาจเป็นแค่ภาพหลอนในถ้ำ  เธอกำลังรู้สึกตึงเครียด สับสน  และมีเสียงสะท้อนกึกก้องในถ้ำเขย่าประสาทเธอมากขึ้น   เธอก็เลยถอนข้อหาจากอาซิซ  คดีก็เลยหยุดกึก จบลงแค่นั้น   เขาถูกปล่อยตัว   แม้กระนั้นชาวบ้านอินเดียก็เชื่อกันหมดไปแล้วว่าเขาทำร้ายเธอจริงๆ     ส่วนชาวอังกฤษก็โกรธที่อะเดลาเปลี่ยนคำให้การ ปล่อยให้ผู้ร้าย(ตามความเข้าใจ)รอดตัวไป  เลยพากันบอยคอตเธอ   รวมทั้งรอนนี่ลูกคุณนายมัวร์ คู่หมั้นของอะเดลาก็ถอนหมั้นทันที    แต่ข้อหลังนี้เธอคงไม่เสียใจเท่าไหร่ เพราะไม่ได้ต้องการแต่งงานกับเขาอยู่แล้ว
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41828

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 146  เมื่อ 17 พ.ย. 25, 11:27

  คนเดียวที่พยายามเข้าใจอะเดลาคืออาจารย์ฟิลด้ิ้ง   เขาซักถามรายละเอียด แต่อะเดลาก็ตอบอะไรไม่ได้มากไปกว่าที่ให้การในศาล    มีแต่คำว่า "อาจจะ"  อาจจะสับสนตึงเครียด...อาจจะเป็นนายไกด์ก็ได้  ไม่รู้ซี....อาจจะภาพหลอนในถ้ำประหลาดที่เต็มไปด้วยเสียงสะท้อน...ฯลฯ
  แต่ฟิลดิ้งก็เข้าใจความสับสนขวัญเสียของเธอ  เขาจึงให้ความเป็นมิตรด้วยดี  จัดการช่วยเหลือให้เธอเดินทางกลับอังกฤษไป   มิตรภาพที่เขามีต่ออะเดลาทำความผิดหวังให้หมออาซิซเป็นอย่างมาก    เขาไม่เข้าใจว่าทำไมฟิลดิ้งผู้ที่เขาให้คุณค่าอย่างสูงในฐานะมิตร จึงดันไปเข้าข้างสนับสนุนยัยผู้หญิงเฮงซวยที่ทำลายอนาคตเขาลงในพริบตา ด้วยข้อหาโกหกทั้งเพ   ความรู้สึกยกย่องในมิตรภาพระหว่างเขากับฟิลดิ้งก็เลยสั่นคลอนไปนับแต่นั้น
   หลายปีต่อมา  อาซิซพบอาจารย์ฟิลดิ้งอีก  ทักทายกันอย่างสุภาพ แต่ก็ตระหนักว่ามิตรภาพที่เคยคิดว่าดีงามนั้นลดลงเหลือแค่คนรู้จักกันธรรมดาๆ
   ตะวันตกกับตะวันออก จึงไม่มีวันเอื้อมถึงกัน   จนกว่าเหตุการณ์ในโลกจะเปลี่ยนแปลงให้วันนั้นมาถึง  (แต่จะมาถึงหรือเปล่าก็ไม่มีใครรู้)
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41828

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 147  เมื่อ 17 พ.ย. 25, 11:52

 หนังปี 1965
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8561


ความคิดเห็นที่ 148  เมื่อ 17 พ.ย. 25, 15:36

google + AI
 
         ในนิยาย, ก่อนถึงถ้ำอาถรรพณ์ อซิสเซ็งกับคำถามของอเดลลาเรื่องการมีหลายภรรยาจึงแยกตัวไปสูบบุหรี่ปรับอารมณ์
อเดลลาไปกับไกด์ สักพักเขาจึงเดินไปตามหาอเดลลาแต่พบเพียงไกด์, ทั้งสองได้ยินเสียงรถที่แล่นมา, อซิสต่อว่าและตบไกด์
ที่ปล่อยอเดลลาไปลำพัง ไกด์เผ่นหาย เมื่อเขามองลงไปอซิสรู้สึกโล่งใจที่ได้เห็นอเดลลาอยู่ที่รถเบื้องล่าง และพบกล้องส่อง
ของนางตกอยู่หน้าถ้ำ
         นิยายไม่ได้เล่าเหตุการณ์,เรื่องราวของอเดลลาในถ้ำ
         ภายหลังคดีสิ้นสุด, อเดลลาบอกกับฟีลดิ้งว่า อาจจะเป็นไกด์ที่เข้าหาเธอ หรือเป็นภาพหลอน

E. M. Forster's A Passage to India: What Really Happened in the Caves
Jo Ann Hoeppner Moran
MFS Modern Fiction Studies
Johns Hopkins University Press
Volume 34, Number 4, Winter 1988
          
          ปริศนาที่ปู่เอมไม่คลี่คลายให้กระจ่างทำให้นักวิจารณ์บางคนต่อว่า "unfair"

          Goldsworthy Lowes Dickinson wrote to Forster in 1924, complaining that what happened in the caves
was puzzling and that Forster should have been more explicit, Forster replied:

          In the cave it is either a man, or the supernatural, or an illusion. And even if I know! My writing mind
therefore is a blur here—i.e. I will it to remain a blur, and to be uncertain, as I am of many facts in daily life.
This isn't a philosophy of aesthetics. It's a particular trick I felt justified in trying because my theme was India.
It sprang from my subject matter. I wouldn't have attempted it in other countries, which though they contain
mysteries or muddles, manage to draw rings round them.
(Furbank 2: 125)

          Later, in 1934, in a review of a novel by William Plomer, Forster reflected that he had "tried to show that
India is an unexplainable muddle by introducing an unexplained muddle—Miss Quested's experience in the cave.
When asked what happened there, I don't know" (Furbank 2: 125)
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41828

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 149  เมื่อ 17 พ.ย. 25, 16:08

  เห็นมั้ยคะ คุณปู่คนนี้แกเหลี่ยมแพรวพราวรอบตัว
  เรื่องอะไรแกจะบอกว่าเกิดอะไรขึ้นจริงๆในถ้ำ  ในเมื่อหัวใจของเรื่อง-ที่แกเติมความอยากรู้เป็นยาเสน่ห์ให้คนอ่านจนเต็มปรี่-คือความ"ไม่รู้" ต่างหาก     ลองแกไขปริศนาออกมาในภาค 2  หรือบทสุดท้าย ว่า
   " ในที่สุดหลายสิบปีผ่านไป  นายแพทย์อาซิซซึ่งใกล้เกษียณแล้วถูกตามไปรักษาคนไข้ป่วยหนักคนหนึ่ง  เขาจำคนไข้ไม่ได้ แต่คนไข้จำเขาได้
    คนไข้จับมือเขาบีบไว้แน่น กระซิบแหบเครือ
    " คุณหมอ   ผมขอสารภาพบาปที่อยู่ในใจผมมานานหลายสิบปี   ถ้าไม่พูดความจริงผมคงลงนรกแน่  คุณหมอครับ  ผมคือคนนำทางที่พาคุณหมอกับแหม่มชาวอังกฤษไปชมถ้ำมาราบาร์    ผมเห็นแหม่มเข้าไปคนเดียว  คุณหมออยู่อีกทาง  ผมก็เลยตามเข้าไปเพราะเป็นห่วง  มันมืด แหม่มสะดุดหินหกล้ม  ผมคว้าตัวเธอไว้   เธอกรีดร้อง ผลักผมออก   ผมตกใจสุดขีดกลัวว่าเธอจะคิดว่าผมลวนลาม  ผมเลยวิ่งหนีไปอีกทางที่เป็นทางลัด  โผล่ออกมานอกถ้ำได้  ตอนนั้นละครับที่คุณหมอเดิินมาเจอผม   แหม่มวิ่งกรีดร้องออกจากถ้ำ  ไปขึ้นรถ    พอผมรู้ว่าแหม่มเข้าใจผิดว่าเป็นคุณหมอ  ผมตกใจมาก แต่ผมก็ไม่กล้าบอกความจริง เพราะกลัวจะติดคุกแทน   เคราะห์ดีไม่มีใครติดใจสงสัยหรือเอาใจใส่ผมเลย    ผมก็เลยรอดปลอดภัยมาจนวันนี้  โผรดยกโทษให้ผมด้วย"
     พอเร่ื่องกระจ่าง   เท่านั้นแหละ  ก็จะไม่มีงานวิจัย ไม่มีบทความวิชาการ  ไม่มีวิทยานิพนธ์ ไม่มีตำราเขียนกันมากมายมหาศาล    เพราะเรื่องมันกระจ่างหมดแล้วไงคะ   ไม่รู้จะปุจฉาวิสัชนากันทำไมให้เปล่าเปลืองเวลา
งานของคุณปู่แกก็จะเป็นเรื่องจืดๆเรื่องหนึ่ง ไม่มีประเด็นให้ขบคิด 
     ของไทยเราก็มีไม่น้อยหน้านะคะ   จนป่านนี้ก็ยังเป็นความลับดำมืดว่า ถ้านางวันทองฟื้นขึ้นมาได้ ถูกถามคำเดิมว่าจะอยู่กับขุนช้าง หรือขุนแผน หรือลูกชาย  นางจะตอบว่าอย่างไร
     ถ้าท้าวพรหมทัตเปิดโอกาสให้นางกากีมีทนายความดีๆสักคนแก้ต่างให้นาง    คนเข้าคุกแทนอาจจะเป็นพญาครุฑกับคนธรรพ์ก็ได้  แต่เราก็ไม่มีทางรู้ว่าใจจริงนางรักใครกันแน่     
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.042 วินาที กับ 19 คำสั่ง