เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1] 2 3 4
  พิมพ์  
อ่าน: 1536 คุยกันเรื่องวิลเลียม ซอมเมอเซท มอห์ม (William Somerset Maugham)
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41305

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
 เมื่อ 24 มิ.ย. 25, 11:39

      ชื่อของวิลเลียม ซอมเมอเซท มอห์ม (William  Somerset Maugham)อาจเป็นชื่อไม่คุ้นหูคนอ่านชาวไทยเท่าไหร่   แต่ในวงวรรณกรรมอังกฤษ เขาได้ชื่อว่าเป็น "ยักษ์ใหญ่" คนหนึ่ง ประสบความสำเร็จทั้งผลงานด้านบทละคร  นวนิยายและเรื่องสั้น   รวมทั้ง 3 สาขา  อย่างที่นักเขียนน้อยคนนักจะทำได้อย่างเขา
      ดิฉันไม่ได้เรียนเรื่องของมอห์มในชั้นเรียน   แต่หามาอ่านเอาเองในภายหลัง    อ่านแล้วก็ "ติดหนึบ" ทั้งด้านภาษาที่ใช้  กลวิธีการนำเสนอเรื่อง  และเนื้อหาที่เขาสรรหามาเสนอผู้อ่าน    จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครมาแซงขึ้นหน้าไปได้
      ก็เลยตั้งกระทู้ เพื่อจะเล่าสู่กันฟังว่า นักเขียนที่ก้าวขึ้นสู่ระดับแถวหน้าของนานาชาติได้  เขาเขียนอย่างไร และที่สำคัญกว่านี้คือ เขาคิดอย่างไร
     สำคัญที่สุดคือเขาให้อะไรกับคนอ่านบ้าง


บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8428


ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 24 มิ.ย. 25, 15:26

         ชื่อนี้ คุ้นหูคู่กับโรงแรมโอเรียนเตล ทั้งห้องสวีทและเลานจ์ ตั้งเป็นเกียรติรำลึกถึงครั้งที่นักเขียนท่านนี้เคยมาพำนัก

Somerset Maugham Lounge  และ Suite


บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8428


ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 24 มิ.ย. 25, 15:39

          จากหนังสือ The Gentleman in the Parlour ท่านมอห์มเล่าประสบการณ์ป่วยหนักในห้องพักที่นี่จากไข้มาลาเรีย
จนเจ้าของโรงแรมบอกให้หมอย้ายออกไปโรงพยาบาล 
          ผลงานนิยายเคยเพียงผ่านตาเรื่อง Of Human Bondage และ The Moon and Sixpence  แต่ไม่เคยอ่านเลย


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41305

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 24 มิ.ย. 25, 17:28

หนังเรื่องนี้ คุณหมอน่าจะเคยผ่านตานะคะ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41305

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 25 มิ.ย. 25, 09:45

    มาทำความรู้จักกับชีวประวัติของมอห์มก่อนนะคะ ว่าชีวิตแบบไหนที่สร้างรากฐานและหล่อเลี้ยงเขาจนเติบโตขึ้นมาเป็นนักเขียนสำคัญคนหนึ่งของโลก
    (ก่อนอื่น ขอเพิ่มเติมนิดหน่อยว่า นามสกุลของเขา สะกดว่า  Maugham กูเกิล (หรือใครไม่ทราบ) ออกเสียงป็นไทย ว่า "มาวแฮม" ความจริงออกเสียงว่า "มอม" ค่ะ  ดิฉันสะกดว่า มอห์ม  เพื่อให้แตกต่างจากคำว่า mom)
     มอห์มเป็นชาวอังกฤษที่เกิดในฝรั่งเศส เพราะครอบครัวเขาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั่น    ภาษาแรกที่เขาพูดคือภาษาฝรั่งเศส   พ่อเป็นทนายความเกิดมาในตระกูลนักกฎหมาย   แต่ความอบอุ่นพร้อมหน้าพี่น้องก็จบลงเมื่อมารดาเสียชีวิตด้วยวัณโรคเมื่อมอห์มอายุเพียง  8 ขวบ    สองปีครึ่งต่อมาบิดาถึงแก่กรรมไปอีกคน  มอห์มจึงถูกส่งตัวมาอยู่กับลุงซึ่งเป็นบาทหลวงอยู่ในอังกฤษ
    แม้ว่าลุงเมตตาเขาด้วยดี แต่ก็มีความห่างเหินไม่อบอุ่นอย่างที่มอห์มเคยได้รับจากครอบครัว   ชีวิตในโรงเรียน King's School ในเมืองแคนเทอร์เบอรี ก็ยิ่งย่ำแย่หนักขึ้นไปอีก   เพราะเด็กชายมอห์มพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง  จนเป็นที่ล้อเลียนของเพื่อนๆ  ตัวก็เตี้ย แล้วยังไม่สนใจกีฬาซึ่งถือเป็นเรื่องมีหน้ามีตาของนักเรียน   แรงกดดันทำให้มอห์มกลายเป็นโรคติดอ่าง พูดตะกุกตะกัก ติดมาจนตลอดชีวิต
    มรดกจากพ่อที่ทิ้งไว้ให้ทำให้มอห์มไปเรียนที่มหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก ประเทศเยอรมนีได้ เมื่ออายุได้สิบหกปี  เขาศึกษาวรรณกรรม ปรัชญา และภาษาเยอรมัน ในช่วงเวลาที่เขาอยู่ที่ไฮเดลเบิร์ก   ในช่วงนี้เองมอห์มพบแรงบันดาลใจว่าอยากเป็นนักประพันธ์     เขาลองเขียนหนังสือเล่มแรก  แต่ไม่มีสำนักพิมพ์ไหนยอมตีพิมพ์   เขาก็เลยทำลายต้นฉบับทิ้งไป
    มอห์มกลับมายังอังกฤษเพื่อตัดสินใจว่าอนาคตจะไปทางไหน  เขาไม่อยากเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์อย่างพี่ชาย  แต่จะประกอบอาชีพเป็นนักเทศน์ หรือทนายความ  ก็เจออุปสรรคใหญ่คือการพูดติดอ่าง   ในที่สุดลุงก็ตกลงใจว่าหลานคนนี้น่าจะไปเรียนเป็นแพทย์เห็นจะดีกว่า    ในตอนนั้นมอห์มรู้ตัวแล้วว่าต้องการเป็นนักเขียน แต่ไม่กล้าขัดใจผู้ใหญ่  เขาก็เลยไปเรียนวิชาแพทย์ที่โรงเรียนแพทย์โรงพยาบาลเซนต์โธมัสในแลมเบธ จนสำเร็จการศึกษา



บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41305

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 25 มิ.ย. 25, 11:15

    ช่วงเวลาที่เป็นนักศึกษาแพทย์นี่เอง  มอห์มมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับชนชั้นแรงงานประเภทยากจนค่นแค้นที่สุด  เป็นครั้งแรกที่เขาตระหนักว่าชีวิตเลวร้ายที่สุดเป็นแบบไหนอย่างไร   เขาเล่าประสบการณ์ลงในสมุดบันทึก  รวมทั้งแนวคิดทางวรรณกรรม ทำเป็นประจำทุกคืน จนกระทั่งเรียนจบได้ปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต
     ตอนนั้นเอง  นวนิยายเรื่องแรก เรื่อง Liza of Lambeth ก็ได้รับการตีพิมพ์ออกมา   เป็นเรื่องราวประสบการณ์ชีวิตหญิงสาวในชนชั้นแรงงาน ว่านางได้ทุกข์ได้สุข ได้ผิดพลาดและมีผลตามมาอย่างไร  อาศัยบันทึกที่จดไว้ด้านประสบการณ์กับคนไข้ยากจนเป็นพื้นฐาน ให้รายละเอียดสมจริง
     นิยายเรื่องแรกของนักเขียนหน้าใหม่ ได้รับความสนใจจากนักวิจารณ์อย่างล้นหลาม
     - Evening Standard ชื่นชมว่าไม่เคยมีเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตในสลัมที่ทรงพลังเท่านี้มาก่อน นับแต่ The Record of Badalia Herodsfoot (1890) ของ Rudyard Kipling   และยกย่องมอห์มในการสร้าง "ความมีชีวิตชีวาและความรู้ ... พรสวรรค์พิเศษในการตรงไปตรงมาและมีสมาธิ ... ตัวละครของเขามีชีวิตชีวาอย่างน่าอัศจรรย์"
      - Westminster Gazette ยกย่องการเขียนแต่ไม่ชอบเนื้อหา  
      - The Times ยังยอมรับทักษะของผู้เขียน ถึงขั้นเทียบกับ Emile Zola
       ด้านความนิยมจากประชาชน ก็น่าปลื้มใจสำหรับนักเขียนหน้าใหม่ เพราะพิมพ์ครั้งแรกขายหมดภายในสามสัปดาห์   ต้องพิมพ์ซ้ำอย่างรวดเร็ว
      หนึ่งเดือนหลังจากเรื่องนี้ออกสู่ประชาชน   มอห์มได้รับปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิต   ได้รับการรับรองเป็นแพทย์อย่างสมบูรณ์
     เขาตัดสินใจจบอาชีพแพทย์ตั้งแต่ยังไม่เริ่มลงมือทำงาน   หันมาสู่อาชีพนักเขียนตลอดเวลา 65 ปีหลังจากนั้น      
       เขาเทียบความรู้สึกของตนเองว่า
       " ผมเหมือนเป็ดที่ได้ลงน้ำ"
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8428


ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 26 มิ.ย. 25, 09:49

        
หนังเรื่องนี้ คุณหมอน่าจะเคยผ่านตานะคะ

         หนังภาพสวยเรื่องนี้ก็ไม่คุ้นครับ

         ท่องพบเว็บ https://www.bbc.com/news/uk-england-kent-27309968

บอกว่า ท่านมอห์มน่าจะเกลียด Whitstable, Kent ซึ่งท่านมอมห์มเคยเรียกว่า บ้าน ในวัยเยาว์
แต่ที่นี่ก็น่าจะเป็นที่ที่ท่านมอห์มได้พบกับโลกหนังสือ คือที่หลบพักใจและส่งผลให้ใฝ่เป็นนักเขียนในเวลาต่อมา  
        
There are no memorials or plaques dedicated to W. Somerset Maugham in Whitstable 


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41305

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 26 มิ.ย. 25, 10:16

     มอห์มอำลาประเทศอังกฤษ  เดินทางไปสเปน สู่ดินแดนแห่งแสงแดดและสีสันสดใสตรงกันข้ามกับอากาศมัวซัวของอังกฤษ   เขาหลงใหลดินแดนเมดิเตอเรเนียนมาก  จนถึงขั้นตัดสินใจลงหลักปักฐานที่เมืองเซบียา   มอห์มเร่ิ่มไว้หนวดแบบชาวสเปน   สูบบุหรี่ซิการ์ หัดเรียนกีตาร์   และชื่นชอบ "คนวัยหนุ่มสาวที่มีดวงตาสีเขียวและรอยยิ้มสดใส"
      เช่นเดียวกับนักเขียนอีกมาก ที่ความสำเร็จไม่ได้มาชั่วข้ามคืน  หรือมาแล้วก็จากไปเอาง่ายๆ  นวนิยายเรื่องที่สอง ชื่อ The Making of a Saint เป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ กลับไม่ดัง ยอดขายก็ไม่ดีนัก  แต่มอห์มก็ไม่ท้อถอย เขายังขะมักเขม้นผลิตงานออกมาสม่ำเสมอ  
    ภายในห้าปี เขาตีพิมพ์นวนิยายอีกสองเรื่องและรวมเรื่องสั้น   บทละครเรื่องแรกถูกนำไปแสดง    แต่ไม่มีเรื่องไหนโดดเด่นเท่าเรื่องแรก
     จนกระทั่งเดือนตุลาคม 1907  ดวงของมอห์มก็กลับมาพุ่งแรงอีกครั้ง  เมื่อละครตลกเรื่อง Lady Frederick ของเขาเปิดแสดงที่โรงละคร Court Theatre ในลอนดอน    ความจริงเขาแต่งเรื่องนี้ไว้ 4 ปีแล้ว แต่นักเขียนหน้าใหม่ย่อมไม่ได้รับความสนใจจากวงการละครเป็นธรรมดา     จนกระทั่งมีเจ้าของโรงละครคนหนึ่งตาแหลมขึ้นมา   ซื้อบทไปให้นักแสดงดังช่ื่อ Ethel Irving เล่น   ปรากฏว่าละครเกิดดังเปรี้ยงขึ้นมาอย่างไม่มีใครคาดฝัน  แสดงถึง  422 รอบในโรงละคร West End    พอดังขนาดนี้  ผู้สร้างก็กรูกันเข้ามาหา  จนมอห์มมีการแสดงละครอีกสามเรื่องที่ออกโรงพร้อมกันในลอนดอน
    มอห์มกลายเป็นนักเขียนบทละครคนดัง   ได้เขียนเรื่องทำละครอีกถึง 8 เรื่อง แต่ใจรักทางด้านนวนิยายก็ยังเข้มข้นอยู่   เขาจึงผลิตนวนิยายต่อมาอีกหลายเรื่อง  รวมทั้งเรื่องมีชื่อเสียงที่สุดคือ Of Human Bondage เขียนจบก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดเพียงไม่กี่วัน

    มองจากภายนอก มอห์มน่าจะเป็นคนเกิดมาโชคดีหลายด้าน   เกิดมาในครอบครัวที่ฐานะดี ไม่ต้องตีนถีบปากกัด  สติปัญญาก็เปรื่องปราด  เมื่อเริ่มอาชีพนักประพันธ์ก็ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังหนุ่ม  แต่เขาก็ไม่วายมีความลับที่ต้องหลบซ่อนจากสังคมในยุคนั้น คือเป็นคนรักร่วมเพศ  
   สังคมยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2  (หรือแม้แต่หลังสงครามก็เถอะ) ยังมองว่ารักร่วมเพศเป็นทั้งบาปมหันต์และอาชญากรรมฉกาจฉกรรจ์ถึงขั้นติดคุกติดตะราง พ้นโทษแล้วก็หมดอนาคตในสังคม   ออสคาร์ ไวลด์ นักเขียนบทละครช่ื่อดังต้องเจอชะตากรรมน่าสลดใจนี้เข้าอย่างจัง   เป็นตัวอย่างให้มอห์มรู้ว่าเขาจะเอาอนาคตไปเสี่ยงกับเรื่องนี้ไม่ได้เป็นอันขาด  
   มอห์มจึงเก็บความรู้สึกส่วนตัวไว้เป็นความลับตลอดชีวิต   เขาพยายามแม้แต่แต่งงานจนมีลูกด้วยกันกับหญิงสาวชื่อซีรี่ เวลคัม  แต่ในที่สุดก็ต้องหย่าร้างกันไป    ส่วนตัวเขาเองก็มี "คนรู้ใจ" ที่คบหากันยาวนานหลายสิบปี  คนแรกคือเฟรเดอริค เจอรัลด์ แฮกซตัน ซึ่งอยู่กันมาในฐานะเพื่อนสนิท จนแฮกซตันตายจากไป   คนที่สองคืออลัน เซิร์ล เลขานุการส่วนตัวของมอห์ม อยู่กันมาจนถึงมรณกรรมของมอห์ม
    ขอเล่าถึงประวัติไว้แค่นี้ค่ะ อาจจะแทรกให้เห็นอีกบ้างเป็นระยะ   แต่ต่อไปขอเริ่มถึงผลงานของเขาดีกว่า

  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41305

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 26 มิ.ย. 25, 19:57

  ขอปูพื้นไว้ก่อนว่า  มอห์มเขียนหนังสือด้วยสไตล์เรียบง่าย   ภาษาไม่ซับซ้อน  เล่าเรื่องอย่างตรงไปตรงมาไม่ยอกย้อน  ไม่เล่นคำประพันธ์ฟุ่มเฟือย   เขานำเสนอเรื่องเหมือนศิลปินที่วาดภาพประเภทดูง่าย เช่นภาพทิวทัศน์ หรือภาพบุคคล   ถ้ามองผิวเผินก็เหมือน อ้อ! นั่นวิว  หรือ อ๋อ! วาดผู้หญิงสาว น่ะเอง    แต่ที่มอห์มได้รับการยกย่องว่าเป็นนักประพันธ์ระดับโลก ก็คือภาพของเขามองให้ดีจะเห็นความลึก หลายซับหลายซ้อน แฝงอยู่ในความง่ายที่เอาเข้าจริงต้องใช้สมองขบคิดหนักไม่ใช่เล่น
   งานเขียนของมอห์มอ่านได้ทุกเพศทุกวัย    นักอ่านอายุน้อยหรือพวกที่ชอบอ่านเอาเรื่อง ใคร ทำอะไร ที่ไหน  ก็อ่านได้จนจบ  แล้วอาจบอกว่า "ก็สนุกดี"   แต่สำหรับคนอ่านที่ผ่านวันวานและผ่านหนาวผ่านร้อนมามาก จะสามารถมองเห็นความนัยที่มอห์มแฝงเอาไว้ให้คิด  ยิ่งคิดก็ยิ่งลึก ยิ่งลึกก็ยิ่งเข้าใจมนุษย์   ข้อนี้คือเสน่ห์ประจำตัวที่หาตัวเทียบได้ยาก โดยเฉพาะในเรื่องสั้นที่ทำให้เขามีชื่ออยู่แถวหน้านักเขียนทั้งหลายในบรรณโลก

   มาเริ่มด้วยเรื่องสั้น ที่ดุผิวเผินว่าง่าย และ ' ไม่เห็นมีอะไร' สำหรับคนที่ยังจับสไตล์ของเขาไม่ได้
   ชื่อ The Romantic Young Lady 
   ฟังชื่อเรื่องเหมือนนางเอกจะต้องเป็นหญิงสาวผู้อยู่ในนิยายสีลูกกวาด  มีศรัทธาในรักอย่างแน่นแฟ้น  ตอนจบก็ลงเอยกับพระเอกที่เป็นชายในฝันทุกกระเบียดนิ้ว 
    ความจริงเปล่า
   
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41305

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 26 มิ.ย. 25, 20:13

   เรื่องนี้เล่าผ่านสายตาของผู้เล่า (narrator) ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าของสตรีบรรดาศักดิ์สูงอายุ อ้วนเผละผละคนหนึ่งซึ่งเขามาเจอหน้าหลังจากไม่ได้เจอกันหลายสิบปี ในประเทศสเปน   เขาย้อนรำลึกถึงความหลังเกี่ยวกับเธอ สมัยเธอยังเป็นสาวน้อยคนสวยชื่อปิลาร์  เป็นธิดาของท่านดยุคและดัชเชสแห่งเมืองเซวิลล์   ประเทศสเปน 
   ด้วยความสวยสดและมียศศักดิ์สูง  ปิลาร์มีชายหนุ่มมาปองรักมากมายหลายคน   แต่เธอก็ปฎิเสธไม่ยอมรับคำขอแต่งงานของหนุ่มๆสูงศักดิ์ไม่ว่าคนไหนทั้งนั้น    เพราะหัวใจเธอมีหนุ่มครอบครองเสียแล้ว
   หนุ่มคนนั้นชื่อ โฮเซ่  เลออน  แม้ว่ามีชาติกำเนิดจากตระกูลสูง แต่พอมาถึงชั้นพ่อแม่และตัวเขา กลายเป็นผู้ดีตกยาก   โฮเซ่ทำงานเป็นสารถีขับรถม้าของสตรีบรรดาศักดิ์ผู้เลิศหรูแห่งเมืองชื่อเคานเตสเดอมาเบลล่า   ทั้งสองเห็นกันขณะที่นั่งรถม้าสวนกันไปมาในสวนสาธารณะ ตามธรรมเนียมการนั่งรถชมวิวในเมืองของเหล่าผู้ดีมีตระกูล
   โฮเซ่เป็นชายหนุ่มรูปงามโดดเด่น  พอๆกับปิลาร์เองก็เป็นสาวสวย   ทั้งคู่แอบลอบพบปะกัน จนกลายเป็นคนรัก    เมื่อปิลาร์ถูกครอบครัวกดดันให้สมรสกับผู้ดีมีตระกูลชื่อมาควิสเดอเอสเตบัน  เธอก็หนีออกจากบ้านมาหาคนรัก  โฮเซ่นำเธอไปฝากไว้ที่บ้านพ่อแม่เขา
   เรื่องนี้กลายเป็นข่าวอื้อฉาวไปทั่วเมือง ทำความอัปยศให้พ่อแม่วงศ์ตระกูลของฝ่ายหญิง   คนที่เดือดดิ้นมากที่สุดคือดัชเชสผู้เป็นแม่     ไม่ว่าจะขู่ จะปลอบ จะบังคับอย่างไร ปิลาร์ก็ไม่ยอมกลับมาบ้านท่าเดียว   ในที่สุดนางก็จนปัญญา ต้องบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากเคานเตสเดอมาเบลล่าผู้ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของดัชเชสมาก่อน   
   เมื่อศัตรูเก่ามาวิงวอนงอนง้ออย่างหมดประตูสู้   เคานเตสเดอมาเลล่าก็ยอมรับคำ     เธอเรียกโฮเซ่มาพบ สอบถามเขาว่าเรื่องราวเป็นอย่างที่ว่าจริงหรือ  เขาก็ยอมรับว่าจริง  เขารักปิลาร์  ในเมื่อเขามีอาชีพและเงินเดือนพอเลี้ยงครอบครัวได้ ก็ไม่มีปัญหาที่จะแต่งงานกัน
   เคานเตสเดอมาเบลล่าตอบคนขับรถของเธอว่า  เธอไม่ประสงค์จะจ้างคนขับรถที่มีครอบครัวแล้ว   ดังนั้นถ้าโฮเซ่แต่งงาน  เขาก็ต้องออกจากงานไปหางานใหม่
   โฮเซ่อึ้งไปเมื่อได้ยิน  ก่อนจะตอบนายหญิงว่า  ผู้หญิงหาเมื่อไหร่ก็ได้  แต่พาหนะดีๆอย่างล่อสองตัวที่เทียมรถม้า ซึ่งเขาบังคับได้ให้เชื่องที่สุด  เป็นงานดีที่หาไหนเหมือนไม่ได้   เขาตกลงใจจะส่งปิลาร์กลับไปหาพ่อม่ตามเดิม
    เรื่องก็จบลงด้วยโฮเซ่ก็ยังทำงานขับรถม้าให้เคานเตสมาเบลล่าต่อไปตามเดิม  ไปไหนมาไหนก็ยังมีสาวๆชะเง้อมองเขาเหมือนเดิม    ส่วนปิลาร์ หนึ่งปีต่อมาเธอก็แต่งงานกับมาควิสแห่งเอสเตบัน


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41305

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 27 มิ.ย. 25, 10:05

  ถ้าอ่านแบบเอาเรื่องเหมือนอ่านหนังสือนอกเวลาสมัยอยู่ชั้นมัธยม  คงเห็นว่าเรื่องไม่เห็นจะมีอะไรมาก    สาวสูงศักดิ์เกิดหลงรักหนุ่มต่ำต้อย   ส่วนเจ้าหนุ่มนั่นก็ทุเรศสิ้นดี  แค่กลัวตกงานถ้าเกิดมีลูกเมีย  ก็เลยสลัดสาวทิ้ง    ทั้งที่งานตัวเองก็แสนจะกระจอก  จบ
  ไม่น่าจะเป็นเรื่องของนักเขียนระดับโลกได้เลย
   ถ้างั้น มาดูฉากที่เป็นหัวใจของเรื่องนะคะ    เมื่อเคานเตสแห่งมาเบลล่าเรียกตัวโฮเซ่มาพบ เพื่อถามเรื่องของเขา
*********************
     รถม้าได้รับคำสั่งให้จอดรอนายตอนห้าโมงเย็น และเมื่อก่อนเวลาสิบนาที เคานเตสแต่งตัวเรียบร้อยเตรียมออกไปนั่งรถเล่น   เธอส่งคนไปตาามตัวโฮเซ่มาพบ  เมื่อเขาเดินเข้ามาในห้องรับแขก ในเครื่องแบบสีเทาอ่อนเรียบร้อยดูภูมิฐาน   เธอไม่อาจปฏิเสธกับตัวเองได้ถึงความสง่างามที่เห็น  
     นี่ถ้าหากไม่ได้เป็นคนขับรถม้าของเธอเองละก็...
     เอาละ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะคิดอะไรนอกเรื่องยังงั้น
    โฮเซ่เข้ามายืนอยู่ตรงหน้าเธอ   วางตัวสบายๆ แต่ก็สง่างามในบุคลิก  ไม่มีวี่แววนอบน้อมกลัวเกรงอย่างคนรับใช้พึงแสดงต่อนาย
    “เทพบุตรกรีก” เคาน์เตสพึมพำกับตัวเอง “มีแต่แคว้นอันดาลูเซียเท่านั้นที่สามารถผลิตชายแบบนี้ได้”
    จากนั้นเธอพูดออกมาดังๆ ว่า
    “ฉันได้ยินมาว่าแกจะแต่งงานกับลูกสาวของดัชเชสแห่งดอส ปาลอส หรือ?”
    “ถ้าคุณหญิงไม่ขัดข้องขอรับกระผม”
    เคานเตสยักไหล่
    “ แกจะแต่งงานกับใครก็เรื่องของแก  ไม่เกี่ยวกับฉัน  แต่รู้ใช่ไหมว่าถ้าแต่งงาน ปิลาร์จะไม่ได้รับทรัพย์สินจากทางบ้านเลยแม้แต่สตางค์เดียว”
    " ใช่ขอรับ ท่าน  แต่กระผมมีงานพอหาเลี้ยงเมียได้   กระผมรักเธอขอรับ"
    " ฉันไม่โทษแกหรอกที่คิดยังงั้น  ปิลาร์เองก็เป็นสาวสวย  แต่ฉันจะต้องบอกแกว่าฉันไม่จ้างสารถีที่มีลูกเมียแล้ว  วันไหนแกแต่งงาน  แกต้องออกจากงาน   เอาละ  ฉันมีเรื่องบอกแค่นี้   ไปได้แล้ว”
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41305

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 27 มิ.ย. 25, 10:25

   เคานเตสก้มลงอ่านหนังสือพิมพ์รายวันที่เพิ่งส่งมาถึงจากปารีส แต่โฮเซก็ไม่ขยับตัวเดินออกไปอย่างที่คาดไว้ เขาก้มลงมองพื้นห้อง   เธอจึงเงยหน้าขึ้น
   “ มีอะไรอีกรึเปล่า”
   “กระผมไม่เคยคิดเลยว่าท่านจะให้กระผมออกจากงาน” เขาตอบด้วยน้ำเสียงวิตกกังวล
   “ออกจากที่นี่   ก็หางานที่อื่นได้นี่นา ”
   “ก็ใช่ขอรับ  แต่...”
   “แต่อะไร” เธอถามเสียงเข้ม
   เขาถอนหายใจอย่างทุกข์ใจ
   “ไม่มีล่อ (mule) คู่ไหนในสเปนที่จะเทียบล่อที่กระผมขับอยู่ได้เลยขอรับ   มันสองตัวแสนรู้แทบจะเป็นมนุษย์ก็ว่าได้   มันเข้าใจทุกคำที่กระผมสั่งมัน”
    เคานเตสส่งยิ้มให้    เป็นยิ้มที่ชายใดผู้ที่ไม่ได้กำลังตกหลุมรักใครหัวปักหัวปำอยู่เสียก่อน จะต้องหวั่นไหวกับยิ้มของเธอ
    “ฉันเกรงว่าแกจะต้องเลือกเอาระหว่างฉันกับคนรักของแกเสียแล้วละ”
    โฮเซ่ขยับเท้า ทิ้งน้ำหนักจากข้างหนึ่งเป็นอีกข้างหนึ่ง    ล้วงมือไปที่กระเป๋าเพื่อหยิบบุหรี่ แต่พอนึกได้ว่าตนเองกำลังอยู่ตรงหน้านาย  ก็เลยยั้งท่านั้นเอาไว้
    เขาเหลือบมองเคาน์เตส   และรอยยิ้มคมเค็มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า เป็นรอยยิ้มประเภทชาวอันดาลูเซียด้วยกันต่างเข้าใจดี
    “ ถ้าอย่างนั้น กระผมก็ไม่อาจลังเลได้อีกขอรับ    ปิลาร์ต้องเข้าใจว่าถ้าเราแต่งงานกัน  กระผมต้องเปลี่ยนสถานภาพตนเองโดยสิ้นเชิง      เมียนั้นเราจะหาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ความเป็นอยู่อย่างกระผมมีเพียงครั้งเดียวในชีวิต  กระผมคงจะโง่มากถ้าปล่อยให้หลุดมือไป"
    นี้ก็คือจุดจบของเรื่อง   โฮเซ เลออนยังคงขับรถม้าของเคานเตสเดอมาร์เบลลาต่อไป     แต่เธอสังเกตเห็นว่าเมื่อรถม้าวิ่งขึ้นลงตามถนนสายที่เธอไปประจำ   สายตาของผู้หญิงจำนวนมากล้วนชะเง้อมองคนขับรถม้ารูปหล่อของเธอพอๆ กับที่มองหมวกทันสมัยใบล่าสุดที่เธอสวมอยู่
    และหนึ่งปีต่อมา ปิลาร์ก็แต่งงานกับมาร์ควิสเดอซานเอสเตบัน
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41305

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 27 มิ.ย. 25, 10:28

  หมายเหตุ  ท่านผู้อ่านบางคนอาจสงสัยว่า คนขับรถม้า ทำไมเขาพูดถึงตัวล่อ (mule) ไม่ยักใช่ม้า    ขออธิบายว่า ในเรื่องนี้ รถเปิดประทุนที่เทียมด้วยสัตว์สี่เท้า ที่เราเรียกว่า "รถม้า" นั้น  ในสเปนเขาเทียมด้วยตัวล่อ  ไม่ใช่ม้า
   จะแปลว่า รถล่อ  ก็จะยิ่งให้คนอ่านงงเข้าไปใหญ่ ก็เลยเรียกรถม้าที่คุ้นหูคนไทยมากกว่าค่ะ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41305

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 27 มิ.ย. 25, 10:40

  ทีนี้ เรามาดูกันว่าระหว่างบรรทัด มอห์มซ่อนอะไรเอาไว้บ้าง
  เขานำเสนอภาพให้คนอ่านเห็น  ด้วยการเล่าเหตุการณ์อย่างเรียบๆตรงไปตรงมา  คือคำสนทนาระหว่างนายจ้างและคนรับใช้  บอกเล่ากันง่ายๆ เป็นที่เข้าใจดี ว่านายขอเลิกจ้างสารถีคนนี้หากว่าเขามีครอบครัว   เขาก็เลยตัดสินใจเลือกงานแทนที่จะมีเมีย
  มาดูว่า   ถ้าหากว่าเราจะคิดลึกลงไปอีก 1 ชั้น    มอห์มทำให้เรามองเห็นตัวละครทั้ง 2 ตัวอย่างไรบ้าง มากกว่าคำบรรยายภายนอก  
  1  สารถีหรือคนขับรถม้าคนนี้ เป็นหนุ่มรูปหล่อระดับท็อป มากกว่าคนรับใช้หน้าตาดีทั่วไป ขนาดนายจ้างซึ่งเป็นสตรีสูงศักดิ์ พบเห็นหนุ่มผู้ดีมีตระกูลมามาก ยังรำพึงว่า เขาคือ "เทพบุตรกรีก"
   2  เธอถึงกับรำพึงกับตัวเองว่า
   นี่ถ้าหากไม่ได้เป็นคนขับรถม้าของเธอเองละก็...เอาละ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะคิดอะไรนอกเรื่องยังงั้น
     คำถามคือ "ถ้าหากเขาไม่ได้เป็นคนขับรถม้าของเธอ" และ "ในเวลาต่อไป ถ้าใช่เวลาที่เธออยากจะคิดให้จบประโยค" เธอจะคิดว่า เขาควรเป็นอะไรมากกว่าคนขับรถม้า หรือไม่  ถ้าถึงเวลาที่ "ใช่" เข้าจริงๆ
   3   เธอใช้คำพูดว่า " “ฉันเกรงว่าแกจะต้องเลือกเอาระหว่างฉันกับคนรักของแกเสียแล้วละ”
   แทนที่จะพูดว่า
   " ฉันเกรงว่าแกจะต้องเลือกเอาระหว่างงานกับคนรักเสียแล้วละ"
(ยังมีต่อค่ะ)  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41305

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 14  เมื่อ 27 มิ.ย. 25, 13:19

   4  คำตอบของโฮเซ่ในตอนแรกคือ รับว่าเขาคิดจะแต่งงานกับปิลาร์  แม้ว่าเธอไม่มีเงินติดตัวมาเลยก็ไม่เป็นไร เขาหาเลี้ยงเธอได้ เขารักเธอ
   แสดงให้เห็นว่าผู้ชายคนนี้ไม่คิดจะเกาะผู้หญิงกิน  เขาเต็มใจจะหาเลี้ยงลูกเมียอย่างลูกผู้ชายคนหนึ่ง
   แต่...เมื่อต้องเขาสละอาชีพ สละรายได้ สละความมั่นคงในปัจจุบัน ไปสู่อนาคตที่ไม่แน่นอน    เขาก็รู้ว่าความรักต่อปิลาร์คือความฟุ่มเฟือยเกินจำเป็น แม้ว่าเธอเป็นถึงลูกสาวท่านดยุคและดัชเชสผู้สูงศักดิ์  แต่ก็เหมือนกับคนงานโรงงานเกิดจับฉลากได้ชุดทักซีโดมา แลกกับต้องถูกหักเงินเดือนไป 1 ปี      เขาควรเก็บทักซีโดไว้แล้วหางานใหม่  หรือเลือกคืนชุดทักซีโด แล้วทำงานต่อไป
   (นี่คำเปรียบเทียบของดิฉันเองนะคะ  มอห์มไม่ได้เขียน)
   โฮเซ่ก็ต้องเลือกอนาคตของเขา  ส่วนปิลาร์เองยังไงก็กลับไปให้พ่อแม่ใส่ตะกร้าล้างน้ำได้เสมอ
    5  เคานเตสส่งยิ้มให้    เป็นยิ้มที่ชายใดผู้ที่ไม่ได้กำลังตกหลุมรักใครหัวปักหัวปำอยู่เสียก่อน จะต้องหวั่นไหวกับยิ้มของเธอ
    ทำไมเธอจะต้องส่งยิ้มหวานให้เขา  เมื่อเขาตอบว่าเขาไม่อยากไปจากเจ้าล่อที่เขาขับขี่อยู่  รำพันว่าเป็นล่อที่วิเศษสุดหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว พูดง่ายๆคือเขารักและอาลัยอาวรณ์ไม่อยากทิ้งมันไป
   จริงๆแล้วเธอไม่เห็นจะต้องยิ้มหวานฉ่ำเป็นพิเศษนะคะ แค่พยักหน้าน้อยๆว่าเข้าใจ ก็พอแล้วสำหรับคำตอบ หากว่าเธอรู้สึกเห็นใจคนขับรถม้า
   แต่ทั้งเธอและเขาเข้าใจดี ว่าเขาไม่ได้พูดถึงเจ้าสัตว์เลี้ยงเท่านั้น  แต่เขาบอกเธอถึงความผูกพันที่เขามีต่อสถานภาพทุกอย่างที่เขามีอยู่ในตอนนี้   ซึ่งก็ย่อมรวมทั้งรับใช้นายสาวคนงามด้วย  แต่เขาไม่อาจพูดได้ตรงๆ
   เธอเข้าใจความหมายที่ซ่อนเร้นอยู่   เธอจึงมียิ้มเป็นพิเศษตอบรับเขา แทนคำพูดที่ไม่อาจเปล่งออกมาได้ว่า
   " ฉันเข้าใจดี  ว่าเธอไม่ได้หมายถึงแค่เจ้าล่อเทียมรถเท่านั้น"  
  
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3 4
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.069 วินาที กับ 20 คำสั่ง