เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7
  พิมพ์  
อ่าน: 8967 ทะแกล้วทหารสามเกลอกับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 75  เมื่อ 16 ก.พ. 25, 08:42

        เปิดร้านขนมไทยได้ไม่นานผู้สำเร็จราชการอินโดจีนส่งคนมาเชิญพระยาทรงสุรเดชไปพบ พลเรือเอกญัง เดอกูซ์ (Admiral Jean Decoux) ชวนคุยผ่านล่ามเรื่องทั่วไปสักพักหนึ่ง จากนั้นจึงย้อนกลับมาเรื่องไฟสงครามที่กำลังร้อนระอุ และยื่นข้อเสนอเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลอิสระของประเทศไทยขึ้นมา ตัวเองจะช่วยสนับสนุนอีกแรงโดยแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เพื่อต่อต้านอิทธิพลญี่ปุ่นซึ่งกำลังแผ่กระจายเข้าสู่ทวีปเอเชีย

       พระยาทรงสุรเดชรับฟังจนจบก่อนเดินทางกลับบ้านไปทำขนมขาย

       กิจการร้านขนมกล้วยสร้างรายได้เพียงวันละสองบาท อยากเพิ่มยอดผลิตมากขึ้นคนญวนก็ไม่นิยมขนมไทยเหมือนคนเขมร บังเอิญในห้องแถวแคบๆ มีผู้พักอาศัยรวมกันมากถึง สิบชีวิต เพื่อความประหยัดพระยาทรงสุรเดชจึงได้ริเริ่มนโยบายงดกินอาหารกลางวัน ส่งผลให้ตัวเองน้ำหนักลงห้ากิโลกรัมภายในครึ่งเดือนสุขภาพไม่แข็งแรงดังเดิม

       ร้อยเอกสำรวจ กาญจนสิทธิ์เห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี เขาตัดสินใจไปทอดแหจับกุ้งจับปลาในคลองใช้เป็นอาหาร วันไหนมีเวลาว่างพระยาทรงสุรเดชมักติดสอยห้อยตามมาอีกคน อาหารหลักจึงเปลี่ยนจากข้าวคลุกน้ำปลากับกุ้งแห้งป่นหรือ ‘ยำโบ้’ เป็นเนื้อปลาเนื้อกุ้งสดๆ ใช้ในการต้มยำทำแกง นี่คือการดิ้นรนเอาตัวรอดในช่วงเวลาที่ชีวิตตกต่ำมากที่สุด
   
   ทุกครั้งที่มีเวลาว่างพระยาทรงสุรเดชมักคิดถึงเรื่องการก่อตั้ง ‘ไทยอิสระ’ เขารู้ดีว่าพลเรือเอกญัง เดอกูซ์พูดเรื่องนี้เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ฝรั่งเศส แต่ถ้าเกิดขึ้นจริงประเทศไทยอาจได้รับผลประโยชน์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ถ้าอยากจัดตั้งรัฐบาลอิสระเขาต้องติดต่อคนไทยในต่างแดนให้ได้เสียก่อน จึงตั้งใจเดินทางไปฟิลิปปินส์ก่อนเปลี่ยนเป็นประเทศจีน ที่นั่นเขามีเพื่อนชาวจีนฐานะร่ำรวยให้ความช่วยเหลือเรื่องทุนทรัพย์ได้

   แต่แล้วความหวังเล็กๆ ของพระยาทรงสุรเดชได้พลันเลือนหาย กองทัพญี่ปุ่นส่งกำลังพลจำนวนมากโอบล้อมภาคเหนืออินโดจีน การเดินทางเข้าสู่ประเทศจีนถือเป็นเรื่องยากจนถึงยากที่สุด แผนการก่อตั้งไทยอิสระในดินแดนหลังม่านไม้ไผ่ก็เลยพังพาบไม่ได้ไปต่อ

       ภาพประกอบคนกลางคือพลเรือเอกญัง เดอกูซ์ ผู้สำเร็จราชการอินโดจีน ขนาบสองข้างด้วยนายทหารญี่ปุ่นในอินโดจีน

       

บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 76  เมื่อ 16 ก.พ. 25, 08:43


       ญี่ปุ่นบีบบังคับให้ความขัดแย้งระหว่างไทยกับฝรั่งเศสสิ้นสุดลง มีการปักปันเขตแดนใหม่ตามข้อตกลง ประเทศไทยได้ดินแดนมากขึ้น หลวงพิบูลสงครามถูกแต่งตั้งเป็นจอมพล พ่อแม่พี่น้องชาวไทยมีรอยยิ้มกันโดยถ้วนหน้า ต่อมาไม่นานพระยาทรงสุรเดชเริ่มมีรอยยิ้มครั้งแรกในรอบหลายปี หลังได้รับคำสั่งจากพลเรือเอกญัง เดอกูซ์ผู้สำเร็จราชการอินโดจีน ให้เดินทางจากไซ่ง่อนกลับมาอยู่พนมเปญตามคำร้องขอตั้งแต่เมื่อสามปีที่แล้ว

      ตำรวจอินโดจีนนำรถบรรทุกมาช่วยขนของกลับพนมเปญ ถึงจุดหมายปลายทางพระยาทรงสุรเดชเช่าบ้านหลังเล็กในสวนใช้เป็นที่คุ้มหัว เนื่องจากไม่มีทุนรอนในการหาที่พักย่านการค้าใจกลางเมือง เขาเริ่มทำขนมขายหารายได้เลี้ยงปากท้องคนในครอบครัว เพราะความสะอาดรสชาติดีคนเขมรจำนวนมากทยอยเข้ามาอุดหนุน ใช้เวลาไม่นานขนมไทยร้านนี้พลันมีชื่อเสียงในวงกว้าง รายได้ดีกว่าสมัยอยู่ไซ่ง่อนรวมทั้งทำให้เจ้าของร้านมีชื่อเสียงตามกัน

       ชะตาชีวิตที่คล้ายดั่งละครของพระยาทรงสุรเดช บังเอิญลอยละล่องเข้าหูสมเด็จกรมพระวรจักร์ซึ่งเป็นพระโอรสของพระเจ้านโรดม ในหลวงในพระบรมโกศ พระองค์ทรงเมตตาให้เช่าตึกหลังหนึ่งในราคาเดือนละ 15 เหรียญ ตึกหลังนี้เป็นตำหนักร้างสมเด็จพระนางเจ้าสุมาวดี ซึ่งเป็นสมเด็จพี่นางของสมเด็จกรมพระวรจักร์ เป็นอาคารหลังใหญ่มีพื้นที่ค่อนข้างกว้างขวาง เหมาะสมกับการตกแต่งเป็นร้านอาหารหรือร้านขนมไทย
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 77  เมื่อ 16 ก.พ. 25, 08:47

       หลังย้ายที่อยู่พระยาทรงสุรเดชขยายกิจการใหญ่โตกว่าเดิม เขาทำขนมเพิ่มเป็นวันละ 7-8 อย่าง มีโต๊ะเก้าอี้ไว้บริการลูกค้าจำนวน 3 โต๊ะ ผลกำไรเพิ่มขึ้นจากวันละห้าเหรียญเป็นสิบกว่าเหรียญ ทุกชีวิตในครอบครัวได้กินอาหารครบถ้วนวันละสามมื้อ ถือเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุดหลังเดินทางออกจากเมืองไทยช่วงต้นปี 2482

       ขนมไทยร้านนี้โด่งดังเป็นพลุแตกลูกค้าติดอกติดใจรสชาติ พระยาทรงสุรเดชเล็งเห็นช่องทางรวยจึงซื้อจักรยานเก่ามาปรับปรุงให้สวยงาม ก่อนขายต่อให้กับผู้สนใจโดยเอากำไรคันละ 5-10 เหรียญ เริ่มมีนายหน้าซื้อขายจักรยานเข้ามาติดต่อถึงบ้าน สามารถทำกำไรได้ถึงเดือนละประมาณ 210 เหรียญ มีรายได้แซงร้านขนมไทยถือเป็นช่วงขาขึ้นที่แท้จริง

       เมื่อมีรายได้มากขึ้นพระยาทรงสุรเดชจึงหางานอดิเรกทำ เขาเลี้ยงสุนัขพันธุ์พื้นเมืองกระทั่งมีลูกหลานเต็มบ้านถึง 9 ตัว และดูแลสุนัขด้วยตัวเองทั้งเรื่องอาหารการกินหรือการทำความสะอาด สุนัขหลายตัวนอนใต้เตียงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขร่วมกับเจ้านาย บางครั้งอาจดื้อไปบ้างตามประสาลูกสุนัขบังเอิญเจ้านายไม่ถือโกรธสักนิด

       พระยาทรงสุรเดชใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่ที่พนมเปญ เวลาเดียวกันบ้านเกิดเมืองนอนกลับร้อนระอุเพราะไฟสงคราม หลังมีทหารญี่ปุ่นจำนวนมากเข้ามาพักอาศัยอยู่ในเมืองไทย หนำซ้ำรัฐบาลจอมพลแปลก พิบูลสงครามยังประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ

       ภาพประกอบคือเมืองพนมเปญในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มีความทันสมัยเทียบเท่าพระนครพระยาทรงสุรเดชจึงอยากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่

     

     
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 78  เมื่อ 16 ก.พ. 25, 09:31

ผมมีข้อมูลเพิ่มเติมเล็กน้อย บุคคลผู้ช่วยพระยาทรงสุรเดชติดต่อแม่ค้าเพื่อขายขนมกล้วยที่ไซ่ง่อน ก็คือ 'นายร้อยโทผล ทวีวิทย์' ทหารม้าคณะกู้บ้านกู้เมือง ต่อในภายหลังได้เดินทางกลับประเทศไทย มาประกอบอาชีพอยู่ที่ท่าเรือคลองเตยแต่ไม่รู้ตำแหน่งอะไร
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 79  เมื่อ 17 ก.พ. 25, 08:51


       ช่วงเวลาที่พระยาทรงสุรเดชไร้สิ้นวาสนาเป็นพ่อค้าขนมไทย ช่วงเวลาที่สงครามมหาเอเชียบูรพาลุกลามเข้าสู่พื้นที่กว้างไกล เชษฐบุรุษคนแรกและคนเดียวของเมืองไทยยังได้รับยศถาบรรดาศักดิ์อย่างไม่หยุดหย่อน เส้นทางเดินของพระยาพหลพลพยุหเสนาผมสามารถรวบรวมและเรียบเรียงได้ดังนี้

   วันที่ 12 มีนาคม 2485 ได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาการทหารสูงสุดอีกครั้ง

   วันที่ 20 เมษายน 2485 เป็นหัวหน้าคณะทูตฉลองกติกาสัญญาพันธไมตรี เดินทางจากพระนครไปเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติที่ประเทศญี่ปุ่น

   ตำแหน่งนี้ถูกคัดเลือกโดยจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ผู้ถือคติพจน์ส่วนตัวว่า ‘คิดอะไรไม่ออกให้บอกพจน์’ (ชื่อจริงพระยาพหลพลพยุหเสนา) เชษฐบุรุษจึงได้เดินทางออกนอกประเทศโดยมีตำแหน่งใหญ่โตโก้หรูพ่วงท้าย ส่วนผลงานคงไม่มีเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไร ทั้งไทยและญี่ปุ่นแค่อยากสร้างภาพว่าเป็นเพื่อนรักกันจริงๆ นะให้คนทั่วโลกรับรู้

   เรามาชมผลกระทบอันเกิดจากสงครามมหาเอเชียบูรพากันสักนิด

   เดือนมีนาคม 2485 กองทัพญี่ปุ่นยึดเมืองร่างกุ้งประเทศพม่าได้อย่างเด็ดขาด ทหารอังกฤษกับเนเธอร์แลนด์พากันถอยร่นเข้าสู่อินเดีย ญี่ปุ่นยังวางแผนใช้กำลังพลบางส่วนเปิดฉากบุกทิศตะวันตก เพื่อยึดครองพื้นที่สำคัญๆ ในเมืองอิมปาลและโคฮิมาของอินเดีย และบีบบังคับให้รัฐบาลไทยส่งกองทัพพายัพบุกเข้ายึดเมืองเชียงตุงดินแดนพม่า คล้ายเป็นการประกาศก้องให้คนทั่วโลกรับรู้ว่า ประเทศไทยทำสงครามกับอังกฤษและฝ่ายสัมพันธมิตร ส่วนจะยิงกันด้วยกระสุนจริงหรือเล่นลิงหลอกเจ้าเรื่องนี้ค่อยว่ากันในภายหลัง

          
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 80  เมื่อ 17 ก.พ. 25, 08:54

        สถานการณ์ประเทศไทยถือว่าไม่ค่อยดี ทว่าสถานการณ์เชษฐบุรุษกลับดียอดเยี่ยม

   วันที่ 2 ธันวาคม 2485 ได้รับพระราชทานยศเป็นพลเอก
   
   วันที่ 20 พฤศจิกายน 2486 ได้รับพระราชทานยศเป็นพลเรือเอก และพลอากาศเอก

   ปี 2480 พระยาพหลพลพยุหเสนาลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยยศนายพันเอก นั่งๆ นอนๆ อยู่บ้านสลับกับเป็นประธานตัดริบบิ้นงานเลี้ยงเพียง 6 ปี กลับได้ขึ้นเป็นพลเอก พลเรือเอก และพลอากาศเอก ใหญ่โตเหนือใครไม่ว่าจะแก๊งสามทหารเสือหรือสี่ทหารเสือ นี่แหละที่พ่อแก่แม่แก่เคยบอกว่า ‘แข่งอะไรก็แข่งได้…แต่แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งกันไม่ได้’

   ดวงที่แข็งปั๋งของพระยาพหลพลพยุหเสนาเริ่มสำแดงฤทธิ์เดชมากกว่าเดิม

   วันที่ 20 กรกฎาคม 2487 รัฐบาลไทยเสนอพระราชกำหนดระเบียบราชการบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อขออนุมัติเป็นพระราชบัญญัติ โชคร้ายสภาผู้แทนราษฎรลงมติไม่อนุมัติด้วยคะแนนเสียง 48 ต่อ 36 จอมพลแปลก พิบูลสงครามก็เลยลาออกเปิดช่องให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และคาดการณ์ว่าสภาผู้แทนราษฎรจะเลือกตัวเองกลับคืนสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง

จอมพลแปลกวางแผนการไว้อย่างแยบยล โชคร้ายเกิดคดีพลิกระดับโลกที่พระนคร

   วันที่ 1 สิงหาคม 2487 นายควง อภัยวงศ์ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ จอมพลแปลกพร้อมลูกน้องคนสนิทรีบเดินทางไปเก็บตัวที่ลพบุรี แม้ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแต่เขายังดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด จึงมีนายทหารตำแหน่งสูงจากกองทัพบก กองทัพอากาศ และกองทัพเรือ แวะเวียนมาชุมนุมที่บ้านพักจังหวัดลพบุรีตลอดเวลา ส่งผลให้เกิดความอึมครึมทางการเมืองระดับร้ายแรง นายกรัฐมนตรีมีตำแหน่งแต่ไม่มีอำนาจสั่งการเหนือทหาร ส่วนทหารได้รับคำสั่งจากผู้ไม่มีอำนาจในคณะรัฐมนตรี ไม่ว่าประเทศไทยจะก้าวเดินไปยังทางทิศทางใด ล้วนเป็นเส้นทางอันตรายอาจสูญเสียอธิปไตยตลอดกาล

       ภาพประกอบคือนายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่

     

 
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 81  เมื่อ 17 ก.พ. 25, 08:58

       ท่ามกลางความมืดประหนึ่งหลงทางในคืนเดือนดับ ยังมีบุคคลผู้มีอำนาจวาสนาท่านหนึ่งเป็นที่พึ่งสุดท้าย นายควง อภัยวงศ์ก็เป็นอีกคนที่มีคติพจน์ส่วนตัวว่า ‘คิดอะไรไม่ออกให้บอกพจน์’ ฉะนั้นปัญหาน้อยใหญ่ของการเมืองไทยต้องถูกแก้ไขโดยฝีมือพจน์

   วันที่ 2 สิงหาคม 2487 พระยาพหลพลพยุหเสนาถูกแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ เชษฐบุรุษยอมผิดคำพูดกลับคืนสู่การเมืองไทยอีกครั้ง ผลงานชิ้นแรกของอดีตนายกรัฐมนตรี 5 สมัยก็คือ บุกเข้าถ้ำเสือที่ค่ายทหารจังหวัดลพบุรีอย่างห้าวหาญ เพื่อเจรจาให้รุ่นน้องร่วมคณะราษฎรยอมปล่อยอำนาจในมือ โดยมีแรงกดดันจากนายพลนากามูระผู้บัญชาการกองทัพญี่ปุ่นประจำประเทศไทยเป็นกำลังเสริมชั้นดี

   วันที่ 25 สิงหาคม 2487 พระยาพหลพลพยุหเสนาได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดคนใหม่ กลายเป็นแม่ทัพใหญ่มีสิทธิ์บังคับบัญชาแม่ทัพบก แม่ทัพเรือ แม่ทัพฟ้า ตลอดจนหน่วยงานต่างๆ และตำรวจสนามตามกฎอัยการศึก เขายังได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารบกอีกหนึ่งตำแหน่งใหญ่โตที่สุดในประเทศ

   ถ้ามีหมอดูชื่อดังเอ่ยปากทำนายทายทักว่า พระยาพหลพลพยุหเสนาจะได้ครองยศพลเอกได้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด คาดว่าเจ้าตัวคงหัวเราะไม่หยุดต้องช่วยกันหามไปโรงหมอ บังเอิญเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อของประเทศ นายทหารใจซื่อมือสะอาดกลับมาโดดเด่นในแวดวงการเมืองและการทหารอีกครั้ง

       เขาคือเพชรแท้แม้ถูกแช่อยู่ในโคลนตมหลายสิบปี นำมาขัดเงาเพียงไม่กี่นาทีก็พลันเปล่งประกายเย้ายวน ไม่แพ้แสงสว่างเหลืองนวลจากจันทร์เต็มดวงในคืนเดือนเพ็ญ

     

     
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 82  เมื่อ 17 ก.พ. 25, 08:59

อีก 2 ตอนกระทู้นี้ก็จะอวสาน จำนวนรวม 24 ตอนเยอะเหมือนกันแฮะ  ยิ้ม
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 83  เมื่อ 18 ก.พ. 25, 08:52

       ชีวิตอันสงบสุขของพระยาทรงสุรเดชแม้ไม่ถูกรบกวนจากไฟสงคราม แต่กลับมีทหารญี่ปุ่นในอินโดจีนแวะเวียนมาเยี่ยมถึงร้านขนมไทย อันเป็นผลสืบเนื่องจากชื่อเสียงโด่งดังตั้งแต่สมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยเฉพาะครั้งที่สามมีนายทหารญี่ปุ่นแวะมาเยี่ยมหลายนาย ทวีวงษ์ พันธุเสนบุตรชายคนเล็กต้องทำหน้าที่ล่ามแปลภาษาให้กับบิดา

   คำถามส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับจอมพลแปลก พิบูลสงคราม หลวงอดุลเดชจรัส หลวงสินธุสงครามชัย และผู้สำเร็จราชการหลวงประดิษฐ์มนูธรรม พระยาทรงสุรเดชให้คำตอบตรงไปตรงมาโดยไม่ลงรายละเอียดมากเกินไป ทหารญี่ปุ่นพยายามทาบทามให้กลับเข้าสู่การเมืองไทยอีกครั้ง ทว่าเจ้าของร้านขนมไทยบอกปัดอ้างว่าใช้ชีวิตแบบเดิมก็ดีอยู่แล้ว

   นอกจากไม่ยอมรับไมตรีจิตจากนายทหารญี่ปุ่น พระยาทรงสุรเดชยังพยายามติดต่อคนในชาติเพื่อช่วยโค่นล้มญี่ปุ่นทางอ้อม เขาส่งคนลักลอบเข้าประเทศหวังติดต่อผู้มีอำนาจวาสนา ได้รับคำตอบว่ามีผู้ใหญ่สองคนยินดีให้ความร่วมมือ บังเอิญผู้ใหญ่สองคนนั้นอุปนิสัยใจคอและแนวคิดต่างกันพอสมควร เขาตัดสินใจรอฟังข่าวไม่ยอมทำอะไรที่อาจนำภัยร้ายมาสู่ครอบครัว นั่งรออยู่หลายเดือนไม่ได้รับการติดต่อจากผู้ใหญ่ทั้งสองเสียที เป็นอันว่างานนี้ต้องถูกยกเลิกเพราะมีความเสี่ยงว่าตัวเองอาจถูกหลอกมากเกินไป
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 84  เมื่อ 18 ก.พ. 25, 08:53

       สลับมาฟังเรื่องลึกลับกันบ้างนะครับ คืนหนึ่งพระยาทรงสุรเดชนั่งเล่นใต้ต้นขนุนติดต้นกระท้อนสูงใหญ่ กิ่งกระท้อนมักครูดกระเบื้องตำหนักสมเด็จพระนางเจ้าสุมาวดีบ่อยครั้ง คืนนั้นทางร้านหยุดขายขนมยกข้าวของขึ้นเรือนแล้ว นั่งเล่นได้ไม่นานพลันได้ยินเสียงอะไรสักอย่างจากต้นกระท้อน เป็นเสียงร้องสั่นระรัวและเยือกเย็นดังกึกก้องเหนือต้นไม้หลายครั้ง จากนั้นไม่นานทุกคนในบ้านได้ยินเสียงอะไรสักอย่างกระพือปีกโบยบินจากไป

   พระยาทรงสุรเดชหันมาถามคนงานว่าตัวอะไร แต่ไม่ได้รับคำตอบทุกคนหวาดกลัวคล้ายต้องมนต์สะกด โดยเฉพาะพวกผู้หญิงพากันครุ่นคิดในใจว่าเป็นลางร้าย นับจากคืนนั้นเป็นต้นมาลางร้ายได้ปรากฏตัวบ่อยครั้ง ทูตแห่งความตายมักโบยบินมาจับกิ่งต้นกระท้อนในยามค่ำคืน เพื่อเปล่งเสียงร้องก้องกังวานท่ามกลางความเงียบสงบอันแสนวังเวง

   เจ้าของร้านขนมไทยไม่เชื่อเรื่องพวกนี้สักนิด บังเอิญเขาเปลี่ยนความคิดคนงานชาวเขมรในร้านไม่ได้ รวมทั้งไม่คาดฝันว่าลางร้ายจากทูตแห่งความตายจะกลายเป็นจริง

   เช้าวันที่ 17 พฤษภาคม 2487 พระยาทรงสุรเดชปั่นจักรยานฝ่าความร้อนกลับเรือน เขาทำความสะอาดจักรยานและพูดถึงของกินของใช้ซึ่งมีราคาแพงขึ้น คุณหญิงทรงสุรเดชผู้เป็นภรรยากับคนงานนั่งเย็บใบตองอยู่ไม่ไกล ต่อมาไม่นานอดีตสามทหารเสือเดินมานั่งบนเก้าอี้ ใบหน้าแดงจัดเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อจำนวนมาก รู้สึกหมดเรี่ยวแรงอยากยกมือขึ้นปาดเหงื่อกลับทำไม่ไหว สักพักหนึ่งจึงล้มคว่ำหน้าใส่จักรยานคันโปรดที่อยู่เคียงข้าง

   เสียงกรีดร้องจากบรรดาคนงานสาวดังกระหึ่ม บางคนได้สติรีบเข้ามาประคองร่างพระยาทรงสุรเดช แล้วเริ่มเอะอะโวยวายเรียกผู้ชายซึ่งกำลังวุ่นวายอยู่ในบ้าน นายร้อยเอกสำรวจ กาญจนสิทธิ์วิ่งพรวดออกมาประคองร่างเจ้าของบ้านรายแรก หลังช่วยกันบีบนวดและให้ดมแอมโมเนียพระยาทรงสุรเดชจึงกลับมามีสติดังเดิม

       ภาพประกอบคือคุณหญิงทรงสุรเดช (ห่วง) ภรรยาพระยาทรงสุรเดช

     


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 85  เมื่อ 18 ก.พ. 25, 08:54


       ทุกคนในบ้านเข้าใจว่าเป็นเรื่องความแก่ชรา ไม่น่าแปลกใจที่คนอายุห้าสิบกว่าจะเป็นลม ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่อาการที่เกิดขึ้นน่าจะหายสนิท รวมทั้งปัจจุบันพระยาทรงสุรเดชแข็งแรงกว่าสมัยอยู่ไซ่ง่อน จึงพลอยชะล่าใจไม่ตามแพทย์มาตรวจร่างกายให้ละเอียด

   วันที่ 19 พฤษภาคม 2487 พระยาทรงสุรเดชปั่นจักรยานได้ตามปรกติ ท่ามกลางความโล่งใจจากคนในครอบครัวและคนงาน กระทั่งเช้าวันที่ 25 พฤษภาคม 2487 เขาลุกจากเตียงไม่ไหวแขนสองข้างมีอาการกระตุก ต่อมาเริ่มไม่มีสติและอาเจียนออกมาเป็นน้ำ

นายแพทย์ Buffon ผู้มีความเชี่ยวชาญถูกตามตัวมาตรวจคนป่วย ก่อนสรุปว่าพระยาทรงสุรเดชเป็นโรคเกี่ยวกับโลหิตเป็นพิษ วิธีรักษาคือดูดโลหิตออกจากแขนท่อนบนประมาณสองหลอดใหญ่ เพียงเท่านี้คนป่วยบนเตียงก็กลับมาแข็งแรงลุกขึ้นนั่งได้อีกครั้ง

   เช้าวันรุ่งขึ้นพระยาทรงสุรเดชยังมีอาการหน้ามืดเวียนหัว รับประทานอาหารได้เพียงน้อยนิด เขาใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้านมีคนงานนั่งเฝ้าตลอดเวลา และกินยาถ่ายกับยาบำรุงเลือดที่นายแพทย์ Buffon จ่ายให้ทุกวัน แต่ถึงกระนั้นอาการป่วยยังไม่มีทีท่าว่าจะทุเลาเบาบาง

   คืนวันที่ 30 พฤษภาคม 2487 พระยาทรงสุรเดชได้เงินจากการขายขนมเกือบ 200 เหรียญ เขาดีใจมากพลอยทำให้หน้าตาสดชื่นและเดินเหินได้อย่างสะดวก บรรดาคนงานจึงขอตัวไปนอนหลับพักผ่อนไม่ได้อยู่เฝ้าเหมือนที่แล้วมา
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 86  เมื่อ 18 ก.พ. 25, 08:55

       เวลา 04.28 น.ของวันที่ 1 กรกฎาคม 2487 คุณหญิงทรงสุรเดชได้ยินเสียงประหลาด หล่อนเพ่งมองมาที่สามีเห็นอาการผิดปรกติอย่างชัดเจน ทุกคนในบ้านถูกตามตัวมาช่วยกันดูแลคนป่วย นายแพทย์ Buffon เดินทางมาถึงเวลา 05.17 น.เขาใช้วิธีรักษาเหมือนเดิมโดยใช้เข็มขนาดใหญ่ดูดโลหิต เห็นว่าไม่ได้ผลจึงเปลี่ยนมาใช้มีดโกนกรีดบนหลังหลายสิบแผล ต่อด้วยนำแก้วลนไฟมาครอบปากแผลเพื่อดูดโลหิตเป็นพิษออกจากร่างกาย
 
       โชคร้ายวิธีการรักษาทั้งหมดไม่ได้ผล คนป่วยมีอาการร้ายแรงมากเกินเยียวยา
 
       เวลา 07.31 น.พระยาทรงสุรเดชหมดสิ้นลมหายใจ บนเตียงไม้สภาพเก่าในตำหนักร้างแห่งหนึ่งของดินแดนเขมร ปลายเท้ามีสุนัขพันธ์ทางตัวเล็กตัวน้อยจำนวนหนึ่ง ทุกตัวพากันนอนหมอบสงบนิ่งเคียงข้างร่างไร้วิญญาณเจ้านายตัวเอง

       ทะแกล้วทหารสามเกลอเหลือพระยาพหลพลพยุหเสนาเพียงคนเดียว

       

     
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 87  เมื่อ 19 ก.พ. 25, 08:32

       วันที่ 1 กรกฎาคม 2487 พระยาทรงสุรเดชเสียชีวิตที่พนมเปญ ถัดมาหนึ่งเดือนวันที่ 2 สิงหาคม 2487 พระยาพหลพลพยุหเสนาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์ และในวันที่ 25 สิงหาคม 2487 เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด

   ชะตาชีวิตเพื่อนรักนักเรียนเยอรมันแตกต่างกันยิ่งกว่าละครน้ำเน่า

   เหตใดพระยาพหลพลพยุหเสนาถึงรักษาชื่อเสียงตัวเองได้อย่างยาวนาน?

   อาจเป็นเพราะเจ้าตัวไม่ยินดียินร้ายต่อตำแหน่งทางการเมือง เป็นผู้นำที่มีความไว้เนื้อเชื่อใจคนรอบตัว เขามักมอบหมายงานสำคัญให้กับคณะรัฐมนตรีโดยไม่หวงอำนาจ เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนไม่ยึดติดกับยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่วางอำนาจสนับสนุนฐานะทางการเมืองของตัวเอง พลอยได้รับความโปรดปรานจากผู้นำประเทศในทุกยุคทุกสมัย

   แม้ตัวเองจะมีข้อดีเรื่องเป็นคนใจซื่อมือสะอาด ทว่าข้อเสียพระยาพหลพลพยุหเสนาก็ค่อนข้างเด่นชัด เขาเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมทางการเมือง มักเพลี่ยงพล้ำกลยุทธ์ทางการเมืองฝ่ายตรงข้ามบ่อยครั้ง กระทั่งฝ่ายเดียวกันก็ยังแอบแทงข้างหลังอย่างสม่ำเสมอ โดยการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างน่าเกลียดไม่มีความเกรงใจผู้นำรัฐบาล และเป็นสาเหตุให้เขารู้สึกเบื่อหน่ายแวดวงการเมือง ทั้งที่ตัวเองคือตัวตั้งตัวตีอยากเปลี่ยนแปลงการปกครอง ด้วยเหตุผลค่อนข้างประหลาดคือไม่พอใจเรื่องกองทัพบกซื้อปืนครกจากฝรั่งเศส

   จุดเด่นมากที่สุดของพระยาพหลพลพยุหเสนาได้แก่ การสร้างภาพลักษณ์ผู้นำทางการเมืองที่เหมาะสม จนคนไทยทั้งประเทศให้ความยอมรับนับถือ โดยใช้ความซื่อสัตย์และความจริงใจเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันเพื่อทำคะแนน เสียดายก็แต่เวลา 5 ปี 182 วันที่ตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี กลับไม่มีผลงานเป็นรูปธรรมนามธรรมเทียบเท่าผู้นำคนถัดไป ที่น่าเสียดายมากที่สุดก็คือการวางรากฐานระบอบประชาธิปไตยไม่เป็นไปอย่างใจหวัง

   ผมตัดสินใจไม่ถูกเหมือนว่าสมควรให้คะแนน A+ หรือ D-

           

       
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 88  เมื่อ 19 ก.พ. 25, 08:34

      มาชมผลงานพระยาพหลพลพยุหเสนาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองกันบ้าง ปัญหาสำคัญอันดับหนึ่งคือกำลังทหารญี่ปุ่นในไทยภายใต้การนำนายพลนากามูระ ปี 2487 มีการจัดตั้งกองพลน้อยที่ 29 ขึ้นในประเทศไทย กำลังพลประกอบไปด้วยกองพันทหารราบอิสระที่ 158 159 160 161 และ 162 จำนวนทหารมากกว่าเดิมจึงออกอาละวาดได้มากกว่าเดิม โดยเฉพาะภารกิจกวาดล้างขบวนการเสรีไทยที่ลักลอบเข้าสู่ประเทศ

   ปัญหาสำคัญอันดับสองคือเรื่องมหันตภัยจากฟากฟ้า ระหว่างปี 2487 ประเทศไทยถูกฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดอย่างหนักเกิดความเสียหายทุกหย่อมหญ้า ทหารไทยทุกนายต้องหยิบอาวุธขึ้นมาต่อสู้กับเครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดใหญ่ B-29 Superfortress เท่ากับว่าพระยาพหลพลพยุหเสนาโชคร้ายรับเผือกร้อนแทนที่จอมพลแปลก พิบูลสงคราม

         

   วันที่ 13 ตุลาคม 2487 พระยาพหลพลพยุหเสนาพ้นจากตำแหน่งจเรทหารทั่วไป อาจเป็นการปรับหมากเพื่อรับมือภัยคุกคามได้ยิ่งขึ้น ประกอบกับเชษฐบุรุษอายุห้าสิบเจ็ดปีสุขภาพไม่แข็งแรงดังเดิม การแบกตำแหน่งสำคัญๆ มากเกินไปย่อมไม่เป็นผลดีต่อใคร

   วันที่ 15 สิงหาคม 2488 เวลา 12.00 น.มีพระราชกระแสของสมเด็จพระจักรพรรดิผ่านวิทยุ ต่อด้วยโอวาทของนายกรัฐมนตรีซูซูกิเกี่ยวข้องกับการสิ้นสุดสงคราม

   สงครามโลกครั้งที่สองหรือสงครามมหาเอเชียบูรพาได้พลันสิ้นสุดเป็นการถาวร

     
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 89  เมื่อ 19 ก.พ. 25, 08:34

        วันที่ 1 กันยายน 2488 พระยาพหลพลพยุหเสนาพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี เหตุผลก็คือคณะรัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์ตัดสินใจลาออก (ไม่ก็ถูกบังคับ) เพื่อเปิดช่องให้หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมชขึ้นเป็นผู้นำประเทศตามความต้องการสหรัฐอเมริกา

   วันที่ 24 พฤศจิกายน 2488 พระยาพหลพลพยุหเสนาพ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบก เหตุผลที่ลงจากหลังเสือเพราะประสบเคราะห์กรรมครั้งใหญ่ในชีวิต

   วันที่ 29 มีนาคม 2489 เป็นนายทหารนอกราชการเพื่อรับบำนาญ

   วันที่ 20 เมษายน 2489 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นนายทหารพิเศษประจำกองทัพบก

   พระยาพหลพลพยุหเสนาพักอาศัยอยู่ที่วังปารุสกวันพร้อมครอบครัว แม้ภายนอกจะดูสุขภาพแข็งแรงกว่าคนรุ่นเดียวกัน ทว่าข้อเท็จจริงเขามีอาการเจ็บป่วยมากบ้างน้อยบ้างตลอดเวลา ต่อมาในวันที่ 29 สิงหาคม 2488 เขาต้องประสบเคราะห์กรรมครั้งใหญ่ หลังล้มป่วยด้วยโรคอัมพาตเนื่องจากเส้นโลหิตในสมองแตก แต่ด้วยความสามารถของนายแพทย์บวกกำลังใจอันเข้มแข็ง คนป่วยจึงสามารถใช้ชีวิตต่อภายใต้การดูแลรักษาเป็นอย่างดี

       สภาพร่างกายพระยาพหลพลพยุหเสนาไม่ดีเอาเสียเลย เขาค่อนข้างซูบผอมมองเห็นชายโครง มือซ้ายงอพับตลอดเวลาใช้การไม่ได้ พูดไม่ค่อยถนัดสื่อสารกับคนทั่วไปลำบาก ความทรงจำค่อนข้างเลวร้าย การใช้ความคิดถือเป็นของแสลง แต่ถึงกระนั้นเขายังสามารถออกกำลังกายระยะทางสั้นๆ ได้ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มแววตาสดชื่นแจ่มใส และนิยมชมชอบสนทนาพูดคุยกับแขกผู้มาเยือนถึงเรื่องราวในครั้งอดีตกาล

     
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.077 วินาที กับ 19 คำสั่ง