สถานการณ์ประเทศไทยถือว่าไม่ค่อยดี ทว่าสถานการณ์เชษฐบุรุษกลับดียอดเยี่ยม
วันที่ 2 ธันวาคม 2485 ได้รับพระราชทานยศเป็นพลเอก
วันที่ 20 พฤศจิกายน 2486 ได้รับพระราชทานยศเป็นพลเรือเอก และพลอากาศเอก
ปี 2480 พระยาพหลพลพยุหเสนาลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยยศนายพันเอก นั่งๆ นอนๆ อยู่บ้านสลับกับเป็นประธานตัดริบบิ้นงานเลี้ยงเพียง 6 ปี กลับได้ขึ้นเป็นพลเอก พลเรือเอก และพลอากาศเอก ใหญ่โตเหนือใครไม่ว่าจะแก๊งสามทหารเสือหรือสี่ทหารเสือ นี่แหละที่พ่อแก่แม่แก่เคยบอกว่า ‘แข่งอะไรก็แข่งได้…แต่แข่งบุญแข่งวาสนาแข่งกันไม่ได้’
ดวงที่แข็งปั๋งของพระยาพหลพลพยุหเสนาเริ่มสำแดงฤทธิ์เดชมากกว่าเดิม
วันที่ 20 กรกฎาคม 2487 รัฐบาลไทยเสนอพระราชกำหนดระเบียบราชการบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อขออนุมัติเป็นพระราชบัญญัติ โชคร้ายสภาผู้แทนราษฎรลงมติไม่อนุมัติด้วยคะแนนเสียง 48 ต่อ 36 จอมพลแปลก พิบูลสงครามก็เลยลาออกเปิดช่องให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และคาดการณ์ว่าสภาผู้แทนราษฎรจะเลือกตัวเองกลับคืนสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
จอมพลแปลกวางแผนการไว้อย่างแยบยล โชคร้ายเกิดคดีพลิกระดับโลกที่พระนคร
วันที่ 1 สิงหาคม 2487 นายควง อภัยวงศ์ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ จอมพลแปลกพร้อมลูกน้องคนสนิทรีบเดินทางไปเก็บตัวที่ลพบุรี แม้ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแต่เขายังดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด จึงมีนายทหารตำแหน่งสูงจากกองทัพบก กองทัพอากาศ และกองทัพเรือ แวะเวียนมาชุมนุมที่บ้านพักจังหวัดลพบุรีตลอดเวลา ส่งผลให้เกิดความอึมครึมทางการเมืองระดับร้ายแรง นายกรัฐมนตรีมีตำแหน่งแต่ไม่มีอำนาจสั่งการเหนือทหาร ส่วนทหารได้รับคำสั่งจากผู้ไม่มีอำนาจในคณะรัฐมนตรี ไม่ว่าประเทศไทยจะก้าวเดินไปยังทางทิศทางใด ล้วนเป็นเส้นทางอันตรายอาจสูญเสียอธิปไตยตลอดกาล
ภาพประกอบคือนายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่