ชื่อสุดท้าย ที่ผมจะเขียนถึงในตระกูลผานนี้ก็คือ ผานหวาง (盘王) ครับ
王 หวาง แปลว่า กษัตริย์, เจ้า หรือจะเรียกแบบไทยเก่ายุคสุโขทัยหรืออยุธยาตอนต้นว่า ขุน ก็ไม่น่าจะผิดกติกาแต่อย่างใด ดังนั้นถ้าใครจะเรียกผานหวางว่า ขุนผาน หรือขุนแผ่น ก็เชิญเลยครับ แต่ผมจะขอเรียกว่าผานหวาง เพื่อไม่ให้ดูเป็นการชี้นำจนเกินงามครับ

ชาวเย้าในจีนจะมีงานเทศกาลสำคัญงานหนึ่งที่เรียกว่าเทศกาลผานหวาง (盘王节 ผานหวางเจี๋ย) ที่มาของเทศกาลนี้ ก็เช่นเดิมครับ มีหลายฉบับปลีกย่อย แต่เล่าสัก 3 เรื่อง เพื่อจะพอเห็นภาพรวมได้ดังนี้ครับ
เรื่องแรก เป็นภาคต่อจากผานฮู่ ว่ากันว่าหลังจากผานฮู่แต่งงานแล้ว พาเจ้าหญิงไปอยู่บนเขา จักรพรรดิ์เกาซินทรงอวยยศผานฮู่ให้เป็นขุนผาน เอ๊ย... ผานหวาง ผานหวางตั้งแซ่ต่างๆ 12 แซ่ให้ลูกๆสืบสกุลเป็นชาวเย้าต่อมา ทั้งหมดอาศัยอยู่บนภูเขา อยู่มาวันหนึ่งผานหวางเกิดนึกอยากกินเนื้อเลียงผา ลูกๆก็ไม่มีใครอยู่สักคน ผานหวางจึงออกไปล่าเลียงผาด้วยตนเอง โชคร้ายพลาดท่าร่วงตกหน้าผา ถึงตอนนี้ถ้าเป็นนิยายกำลังภายในผานหวางคงต้องได้วิชาอะไรดีๆเป็นแน่ แต่ผานหวางไม่โชคดีอย่างนั้น ผานหวางถึงฆาตในคราวนี้ ร่างของผานหวางไปติดอยู่บนต้นไม้ที่ขึ้นอยู่กลางหน้าผานั้น เมื่อลูกๆนำร่างของผานหวางลงมาได้ จึงตัดต้นไม้ต้นนั้นมาทำโครงของกลองยาว แล้วถลกหนังเลียงผาตัวต้นเหตุมาทำหน้ากลอง และใช้ตีพร้อมกับร้องเพลงในเทศกาลนี้เพื่อแสดงความอาลัยต่อผานหวาง
เรื่องที่สอง ว่ากันว่าในอดีตกาลนานมา มีภูเขา 2 ลูกที่สูงทัดเทียมกัน ลูกแรกมีชื่อว่า 布洛西 ปู้ลว่อซี (แปลตามตัวอักษร ปู้แปลว่าเสื้อผ้า ลว่อเป็นแซ่ๆหนึ่ง และเป็นชื่อแม่น้ำสายหนึ่งในจีน ส่วนซีแปลว่าทิศตะวันตก แปลรวมๆไม่เป็นภาษามนุษย์ครับ) รูปร่างของภูปู้ลว่อซีจะคล้ายชายหนุ่มภูมิฐาน ในขณะที่ภูเขาอีกลูกหนึ่งที่มีรูปร่างเหมือนหญิงงามนั้นจะมีชื่อว่า 密洛陀 มี่ลว่อทว่อ (แปลตามตัวอักษร มี่ แปลว่าความลับ ลว่อ ตัวเดียวกับในชื่อปู้ลว่อซี ส่วนทว่อเป็นแซ่ๆหนึ่งเหมือนกัน แน่นอนว่ามี่ลว่อทว่อ แปลรวมกันไม่เป็นภาษามนุษย์เช่นกัน) ถึงตรงนี้บางท่านอาจถึงบางอ้อแล้ว แต่สำหรับท่านที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ขอให้รอสักครู่ เดี๋ยวผมจะขยายความให้ฟังหลังจากเล่าเรื่องนี้ก่อนครับ
ภูปู้ลว่อซี กับภูมี่ลว่อทว่ออยู่ห่างกัน 1,000 เชียะ ทุกๆปี ภูเขา 2 ลูกนี้จะเคลื่อนเข้าใกล้กัน 1 เชียะ เมื่อผ่านไป 995 ปี ภูเขา 2 ลูกนี้ก็เขาใกล้กัน 995 เชียะ เหลืออีกแค่ 5 เชียะก็จะชนกันแล้ว อยู่มาวันหนึ่งเกิดเสียงฟ้าร้องดังสะเทือนเลื่อนลั่น ภูทั้งสองกลับเคลื่อนออกจากกันไปยังตำแหน่งเดิม พลันมีชายร่างสูงเดินออกมาจากภูปู้ลว่อซี ในเวลาเดียวกันมีหญิงร่างกำยำเดินออกมาจากภูมี่ลว่อทว่อเช่นกัน ทั้งสองคนนี้แต่งงานกันและเป็นผู้สร้างโลกและสรรพสิ่งขึ้นมา สามีภรรยาคู่นี้เป็นที่รู้จักในนามปู้ลว่อซีและมี่ลว่อทว่อ
ทั้งสองมีบุตรีรวม 3 นาง เมื่อเติบโตขึ้นต่างก็แยกออกไปใช้ชีวิตของตน บุตรีคนโตนำคันไถติดตัวไปด้วย และไปบุกเบิกที่ราบทำนา เป็นบรรพบุรุษของชาวฮั่น บุตรีคนรองนำตำรับตำราติดตัวไปศึกษาเป็นอันมาก เป็นบรรพบุรุษของชาวจ้วงในเวลาต่อมา ส่วนบุตรีคนเล็กนำตะกร้าใส่ข้าวโพดติดตัวไป แถมด้วยฆ้องทองแดงที่มารดา(มี่ลว่อทว่อ) มอบให้ติดตัวไป นางขึ้นไปบุกร้างถางพงบนภูเขา กลายเป็นบรรพบุรุษของชาวเย้าในเวลาต่อมา
ต่อมา มี่ลว่อทส่อได้เรียกบุตรีทั้ง 3 คนกลับมาสั่งว่า ทุกวันที่ 16 เดือน 10 ของทุกปี (ตามปฏิทินสุริยจันทรคติของจีน - หลังๆผมเห็นคนปฏิทินแบบนี้กันว่าปฏิทินจันทรคติ แล้วพลอยเข้าใจว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการโคจรของดวงอาทิตย์ ซึ่งไม่ถูกต้อง ถ้ามีโอกาสผมจะเขียนถึงเรื่องนี้อีกทีครับ) ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของมี่ลว่อทว่อ ให้ลูกๆนำอาหารมาเติมยุ้งฉางของมารดา ไม่ต้องนำของขวัญล้ำค่าใดมา เพียงนำสุราข้าว(สาโท?)มาให้ทุกคนได้ดื่มกัน โดยให้นำฆ้องมาเริ่มตีสร้างบรรยากาศตั้งแต่วันที่ 15 เดือน 10 นับแต่นั้น ชาวเย้าทั้งหลายจึงจัดงานฉลองตั้งแต่วันที่ 15 ถึงวันที่ 17 ของเดือน 10 ของทุกปี
** ขอขยายความที่ว่าไว้ข้างต้นตรงนี้นิดหนึ่งครับ ชื่อปู้ลว่อซีและมี่ลว่อทว่อน่าจะทำให้ท่านที่เคยอ่านตำนานของชาวจ้วงนึกถึงพระผู้สร้างของวัฒนธรรมจ้วงกระแสหลักรู้สึกคุ้นๆ เพราะพระผู้สร้างของชาวจ้วงมีชื่อว่าปู้ลว่อทว่อ 布洛陀 เหมือนเอาชื่อปู้ลว่อซีกับมี่ลว่อทว่อมารวมกัน (หรือไม่ก็สองชื่อนี้มาจากชื่อปู้ลว่อทว่อ) แล้วชื่อนี้ก็แปลเป็นไม่เป็นภาษาเช่นกัน หากแต่ถ้าเทียบคำอ่านกับคำในภาษาจ้วง แต่ละตัวมีความหมายดังนี้
ปู้ 布 เป็นคำเรียกชายสูงอายุที่เป็นที่นับถือ
ลว่อ 洛 แปลว่า รู้
ทว่อ 陀 แปลว่า ทุกสิ่ง
พอรวมกันคนไทยก็ถึงบางอ้อ ปู้ลว่อทว่อ คือคำทับศัพท์ของ “ปู่รู้ทั่ว” อย่างแน่นอน
ผมไม่รู้ว่าภาษาเย้าสามารถแปลคำเหล่านี้ได้หรือไม่ และยังค้นไม่เจอว่ามีใครแปลชื่อ ปู้ลว่อซีและมี่ลว่อทว่อไว้ แต่ผมเชื่อว่าชาวเย้า(กลุ่มที่ยึดถือเรื่องนี้) น่าจะต้องได้อิทธิพลมาจากต้นทางเดียวกับเรื่องของชาวจ้วงแน่)
เรื่องที่สาม เล่ากันว่าครั้งหนึ่งชาวเย้าทั้งหลายเดินทางไปบนเรือท่ามกลางพายุใหญ่ เวลาผ่านไปถึง 49 วันก็ไม่สามารถกลับขึ้นฝั่งได้ ชาวเย้าจึงได้อธิษฐานขอพรต่อผานหวาง ทันใดนั้นคลื่นลมสงบ เรือนำชาวเย้าทั้งหลายกลับขึ้นฝั่งได้ปลอดภัย วันนั้นเป็นวันคล้ายวันเกิดของผานหวางพอดี คือวันที่ 16 เดือน 10 (ปฏิทินจีน) ชาวเย้าทั้งหลายดีใจที่รอดชีวิต จึงนึ่งข้าวเหนียวมานวดเป็นขนม และร้องเพลงเต้นระบำเฉลิมฉลองทั้งชีวิตใหม่ของตนเองและอวยพรวันเกิดแด่ผานหวางด้วย หลังจากนั้นวันนี้ของทุกปีจึงเป็นวันเทศกาลผานหวางครับ
จบ 3 เรื่องดังนี้ โปรดสังเกตว่าเรื่องที่ 2 ไม่เห็นจะมีผานหวางอยู่ตรงไหน ในขณะที่เรื่องที่ 3 มีผานหวางก็จริง แต่สามารถตัดตอนออกจากเรื่องของผานฮู่ได้อย่างสิ้นเชิง แล้วทั้งสามเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผานกู่เลย แต่สิ่งที่มีร่วมกันคือ ทั้งสามเรื่องเล่าถึงผู้สร้าง(หรือให้ผู้ให้ชีวิตใหม่) และโยงไปถึงวันที่ 16 เดือน 10 ซึ่งเป็นงานเฉลิมฉลองวันเดียวกันครับ