เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1] 2 3 4
  พิมพ์  
อ่าน: 19010 ขุนแผนกับวันลอยกระทง
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 2055



เว็บไซต์
 เมื่อ 15 พ.ย. 24, 22:57

ว่าจะตั้งกระทู้เรื่องขุนแผนแยกจากกระทู้พิมพิลาไลยนานแล้ว ติดขัดทั้งเรื่องข้อมูลที่รู้สึกว่ายังค้นได้ไม่สุดสักที และปัญหาส่วนตัว

คิดว่าเริ่มเลยแล้วกันครับ ถือฤกษ์วันลอยกระทง ลองโยงความสัมพันธ์ของขุนแผนกับวันลอยกระทงดูสักที ถ้าจะเป็นกระทู้จับแพะชนแกะขั้นสุดที่เคยตั้งมาก็ขออภัยไว้ล่วงหน้าก็แล้วกันนะครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41291

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 16 พ.ย. 24, 07:19

ยกเก้าอี้มานั่งรออยู่แถวหน้าค่ะ
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 2055



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 16 พ.ย. 24, 22:30

ขออภัยที่ปล่อยให้ท่านผู้มีเกียรติคอยนานครับ

ขุนแผนที่จะกล่าวถึงนี้ไม่ใช่ตัวเอกในเรื่องขุนช้างขุนแผน แต่ขุนแผนนั้นจะเกี่ยวกับขุนแผนนี้หรือไม่ อันนี้ผมยังไม่ทราบครับ คนที่จะตอบคำถามนี้ได้ต้องมีบัญชีรายชื่อราชทินนามในช่วงต้นอยุธยาครับ

ขุนแผนนี้เป็นขุนแผนที่อยู่มาก่อนหน้านั้น นานเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ชัดเจน เป็นขุนแผนที่จริงๆแล้วจะว่ามีคนรู้จักไม่มากก็คงไม่ใช่ เพียงแต่ว่ามักจะอ่านผ่านตาแล้วก็ลืมไปเฉยๆ ปรากฏเพียงแวบเดียวในโองการแช่งน้ำ ดังที่คุณเพ็ญชมพูเคยได้ยกมาไว้ในกระทู้พิมพิลาไลยว่า

๏ กล่าวถึงน้ำฟ้าฟาดฟองหาว   ดับเดโชฉ่ำหล้า
ปลาดินดาวเดือนแอ่น        ลมกล้าป่วนไปมา ฯ
๏ และเป็นแผ่นเมืองอินทร์   เมืองธาดาแรกตั้ง
ขุนแผนแรกเอาดินดูที่        ทุกยั้งฟ้าก่อคืน ฯ
๏ แลเป็นสี่ปวงดิน           เป็นเขายืนทรง้ำหล้า
เป็นเรือนอินทร์ถาเถือก      เป็นสร้อยฟ้าคลี่จึงบาน ฯ

แน่นอนว่าขุนแผนในนี้หมายถึงพระพรหม เพราะบริบทการสร้างโลกเอามาจากคัมภีร์ทางฮินดูชัดเจน แต่ชื่อขุนแผนนี้แรกเริ่มไม่น่าจะเป็นพระพรหม แต่หมายถึงพระผู้สร้างในความเชื่อของบรรพชนคนไทย...อย่างน้อยก็คนที่เขียนโองการแช่งน้ำนี่แหละครับ

ที่ว่าอย่างนี้เพราะโองการแช่งน้ำ ถึงแม้จะอ้างถึงพระเจ้าในศาสนาฮินดูเป็นหลัก แต่ภาษาที่ใช้นั้นแปลกจากวรรณกรรมอื่นๆมาก เพราะเลือกใช้คำไทยมาบรรยายเทพเจ้าฮินดู และภาษาที่ใช้นั้นมีการเจือภาษาเขมรเป็นส่วนน้อย ไม่เหมือนวรรณกรรมอื่นๆในสมัยอยุธยาตอนต้นอย่างกำสรวลสมุทรหรือยวนพ่าย ซึ่งชื่อขุนแผนนี้ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งครับ

แล้วขุนแผนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร? ผมจะลองพางมหาชื่อนี้ในห้วงประวัติศาสตร์อันล้ำลึก กรุณากลั้นหายใจไว้ให้ดี เรากำลังจะดำน้ำกันยาวแล้วครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 2055



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 16 พ.ย. 24, 22:55

ผมขอเริ่มจากตำนานผานกู่ (เขียนแบบเดิมคือ 盤古 หรืออย่างย่อแบบจีนแผ่นดินใหญ่ในปัจจุบันว่า 盘古) ผู้สร้างในตำนานของจีน ผมไม่อยากจะไปโฟกัสที่เนื้อเรื่องในตำนานมากนัก เพราะตำนานที่ไหนๆก็ไม่ต่างกันตรงที่ยิ่งเก่าก็จะยิ่งมีความแผกแตกต่างกันยิ่งหลากหลายมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นจะขอสรุปความจาก wiki มาดังนี้ครับ

ในตอนเริ่มต้นนั้นมีเพียงความว่างเปล่า จักรวาลอยู่ในสภาพดั้งเดิมที่ไม่มีรูปร่างหรือลักษณะเฉพาะใดๆ สภาพดั้งเดิมนี้รวมตัวกันกลายเป็นไข่จักรวาลเป็นเวลาประมาณ 18,000 ปี ภายในไข่นี้ ผานกู่ได้ถือกำเนิดขึ้น

เขาเริ่มสร้างโลก โดยแยกหยินออกจากหยางด้วยการแกว่งขวานยักษ์ของเขาในแนวนอน แยกพื้นดิน (หยินที่ขุ่นมัว) และท้องฟ้า (หยางที่ใสกระจ่าง) ออกจากกัน เพื่อรักษาระยะห่างระหว่างสองสิ่งนี้ ผานกู่ยืนอยู่ระหว่างกลางและผลักท้องฟ้าให้สูงขึ้น ในแต่ละวัน ท้องฟ้าสูงขึ้นสิบเชียะ พื้นดินหนาขึ้นสิบเชียะ และผานกู่ตัวสูงขึ้นสิบเชียะ

เมื่อเวลาผ่านไปครบ 18,000 ปี ผานกู่เสียชีวิตในที่สุด ลมหายใจของเขากลายเป็นลม หมอก และเมฆ เสียงของเขากลายเป็นสายฟ้า ดวงตาซ้ายของเขากลายเป็นดวงอาทิตย์ ดวงตาขวากลายเป็นดวงจันทร์ ศีรษะของเขากลายเป็นภูเขาและขอบสุดของโลก เลือดของเขากลายเป็นแม่น้ำ กล้ามเนื้อกลายเป็นแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ หนวดเครากลายเป็นดวงดาวและทางช้างเผือก ขนของเขากลายเป็นพุ่มไม้และป่า กระดูกกลายเป็นแร่ธาตุล้ำค่า ไขกระดูกกลายเป็นอัญมณีล้ำค่า เหงื่อของเขากลายเป็นสายฝน และเห็บหมัดที่อยู่บนขนของเขาซึ่งถูกลมพัดไปกลายเป็นสัตว์ต่างๆ

ในฉบับดั้งเดิมมนุษย์ก็เป็นหนึ่งในสรรพสัตว์ที่เกิดจากผานกู่ (เป็นเห็บเป็นหมัด อนิจจา อาเมน) ในขณะที่ฉบับปรับปรุงใหม่ พระแม่หนวี่วา (女娲) ลงมาปั้นเหล่ามนุษย์ขึ้นจากดินโคลนในภายหลัง

ครับ อ่านจบแล้วท่านทั้งหลายคงอดคิดไม่ได้ว่าไม่เห็นจะมีอะไรเกี่ยวกับตำนานสร้างโลกที่เคยได้ยินได้ฟังมาเลย แถมตำนานการสร้างโลกของจีนมันจะมาเกี่ยวกับไทยได้อย่างไร ใจเย็นๆครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16059



ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 17 พ.ย. 24, 08:35

อย่างที่คุณม้าว่า ตำนานการสร้างโลกของจีนมีหลายเวอร์ชั่น  เวอร์ชั่นนี้ ผานกู่เป็นผู้สร้างโลก (แยกแผ่นดินและแผ่นฟ้า) เหลือบไรจากขนบนร่างกายของผานกู่กลายเป็นสรรพสัตว์ ส่วนเจ้าแม่หนี่วาเป็นผู้ซ่อมแผ่นดินแผ่นฟ้า และสร้างมนุษย์ขึ้นจากดินอ่อนจากชายฝั่งแม่น้ำเหลือง

บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 2055



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 18 พ.ย. 24, 13:15

ขอบคุณครับคุณเพ็ญชมพู

ลองพิจารณาตำนานการสร้างโลกของผานกู่และหนวี่วา จะสังเกตเห็นได้ว่าสามารถแยกเป็นตำนานการสร้างโลก 2 เรื่องที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันได้ คือผานกู่สร้างทุกสิ่งอย่าง รวมทั้งมนุษย์ กับ หนวี่วาซ่อม(สร้าง)โลก และสร้างมนุษย์ หรือถ้าตัดต่อเล็กน้อยก็จะได้อย่างที่เห็นคือ ผานกู่สร้างโลก ไม่สร้างมนุษย์ แล้วหนวี่วามาซ่อมโลกกับสร้างมนุษย์อีกที จริงๆยังมีตำนานอื่นอีก ที่อยู่ในกระแสหลักร่วมกับผานกู่กับหนวี่วาอย่างแนบแน่นก็จะมีฝูซี 伏羲 อีก แต่ผมจะขอไม่เอ่ยถึง เพราะโดยหลักการไม่ได้ทำให้ได้ความเข้าใจอะไรเพิ่มขึ้น จะรุงรังเกินไปเสียมากกว่า

พิจารณาที่ชื่อ ผานกู่ 盘古 เป็นชื่อที่แปลก ผาน 盘 แปลว่า จาน ถาด กระดาน หรืออะไรก็ตามที่มีลักษณะเป็นแผ่น นัยว่าคำนี้เป็นคำร่วมรากกับคำว่า แผ่น และ พาน ในภาษาไทย ส่วน กู่ 古 แปลว่าเก่า เป็นคำร่วมรากกับคำว่าเก่าในภาษาไทยครับ ถ้าพยายามจะแปลชื่อผานกู่ก็จะยิ่งปวดหัว เพราะภาษาจีนเอาคำขยายคำนามไว้หน้านาม ตรงข้ามกับภาษาไทยเราที่เอาไว้ข้างหลัง ดังนั้นอยากจะแปลว่าแผ่นเก่า (อย่างที่พยายามแปลกันว่าแผ่นโลกเก่า ซึ่งภาษาจีนปัจจุบันก็ยืมชื่อผานกู่มาใช้เรียก Pangea มหาทวีปโบราณในพากย์จีนด้วย) ก็จะฝืนๆ ไวยากรณ์อยู่สักหน่อย หากจะแปลว่าเก่าแผ่นตามไวยากรณ์จีนจะยิ่งต้องเกาแผ่นหนังศีรษะหนักเข้าไปใหญ่ ในความรู้สึกผมเอง อยากจะบอกว่าผานกู่เป็นชื่อที่แปลเป็นภาษาจีนไม่ค่อยจะได้ความเท่าไหร่ครับ

ส่วนชื่อหนวี่วา 女娲 คำแรกหนวี่ 女 แปลว่าสตรีไม่มีอะไรซับซ้อน ส่วนวา 娲 เป็นชื่อเฉพาะ ไม่มีความหมายอื่น ซึ่งเท่มาก มีคำแบบนี้ในภาษาจีนไม่มากนัก ส่วนมากก็จะเป็นชื่อบุคคลในตำนานครับ ถ้าจะคิดว่า 娲 เป็นแค่ชื่อเฉพาะแล้วปล่อยผ่านไปก็ได้ แต่มันไม่สนุกครับ ผมจะพาเข้ารกเข้าพงเสียหน่อยเพื่อความตื่นเต้น อย่างที่รู้กันว่าภาษาจีนมีคำพ้องเสียงอยู่มาก คำที่ออกเสียงว่า วา ก็มีอีกหลายตัว ยกตัวอย่างเช่น 娃 แปลว่าตุ๊กตา หรือเด็กน้อยก็ได้ น่าสนใจอยู่นะครับพระแม่ผู้ปั้นดินโคลน ผู้สร้างมนุษย์ มีชื่อที่พ้องเสียงกับตุ๊กตาหรือเด็ก หรืออีกคำว่า 蛙 คำนี้แปลว่ากบครับ ทำให้นึกถึงตำนานบางเวอร์ชั่นว่าก่อนหน้าพระแม่จะปั้นมนุษย์ ได้เผลอสะบัดเศษดินตกลงไปในน้ำกลายเป็นลูกอ๊อดว่ายน้ำออกไป พระแม่เลยนึกสนุกเอาโคลนมาปั้นเป็นมนุษย์ต่างๆ อืม... ชักจะได้กลิ่นอายที่คุ้นเคยหรือยังครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8424


ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 18 พ.ย. 24, 14:39

         ลองรับชม รับฟัง เรื่องราวพร้อมภาพและเพลงประกอบ ครับ




บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 2055



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 19 พ.ย. 24, 21:08

ขอบคุณครับคุณ SILA

บันทึกที่เก่าแก่ที่สุดที่กล่าวถึงตำนานผานกู่สร้างโลก เป็นหนังสือของสวีเจิ่ง 徐整 ที่เป็นขุนนางของง่อก๊ก(ก๊กของซุนกวน) ในยุคสามก๊กในช่วงปี ค.ศ. 200 เศษ แต่ก็มีร่องรอยของเค้าเรื่องจากยุคที่เก่ากว่านั้น

เว่ยจวี้เสียนนักวิชาการจีน เสนอว่ามีบันทึกเรื่องราวในยุคราชวงศ์โจวตะวันตก (สิ้นสุดที่ปี 771 ก่อน ค.ศ.) เป็นบทสนทนาของจ้าวอ๋องกษัตริย์แคว้นฉู่กับขุนนางของพระองค์ ถึงเนื้อหาจะไม่ใช่ตัวละครที่ชื่อผานกู่ แต่เรื่องราวนั้นเป็นเรื่องการแยกฟ้าดินคล้ายกับที่ปรากฏในตอนต้นของตำนานผานกู่

บางท่านอาจจะคุ้นเคยชื่อของแคว้นฉู่มาแล้ว ทั้งจากประวัติศาสตร์จีนยุคสารทวสันต์(ชุนชิว) และยุครัฐศึก(จ้านกว๋อ) ที่จบลงด้วยการรวมแผ่นดินของจักรพรรดิ์จิ๋นซี แต่แคว้นฉู่นี่แหละที่เป็นต้นเรื่องเพลงคนแจวเรือชาวเยว่ที่หลายท่านอาจจะเคยผ่านตามาแล้ว ดังนั้นผมขอสรุปอย่างย่อๆอย่างนี้ก็แล้วกันนะครับ

เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าจากช่วงศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล บันทึกเหตุการณ์ที่จื่อชีน้องชายของกษัตรย์แคว้นฉู่ไปล่องเรือ คนแจวเรือชาวเยว่ (ปกติหมายถึงคนกลุ่มน้อยสารพัดชาติพันธุ์ทางตอนใต้ของจีน) ได้ร้องเพลงขึ้นมาเป็นภาษาพื้นเมือง จื่อชีฟังแล้วรู้สึกยินดีจึงถามความหมายจากล่าม ล่ามแปลให้ฟังว่าเป็นเพลงรักที่คนแจวเรือผู้นั้นร้องเพื่อชื่นชมความงามธรรมชาติและความประทับใจต่อจื่อชี เรื่องนี้จบลงด้วยฉากรัก LGBT ยุคดึกดำบรรพ์ของจีน

ที่น่าสนใจคือมีบันทึกเนื้อเพลงที่คนแจวเรือผู้นี้ร้องเอาไว้ด้วย แต่เดิมนั้นไม่มีใครอ่านรู้เรื่องครับ คือเขียนด้วยตัวอักษรจีนก็จริง แต่แปลไม่เป็นภาษามนุษย์ จนมีนักภาษาศาสตร์ชาวจีนชื่อเหวยชิ่งเหวิ่นลองอ่านโดยเทียบเสียงกับคำในภาษากลุ่มไท ประกฏว่ายูเรก้าครับ ถึงจะอ่านไม่รู้เรื่องทั้งหมด แต่ก็พอถอดความได้เป็นเรื่องเป็นราว

เรื่องนี้จะว่าไปก็ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะในบันทึกเก่าแก่ของแคว้นฉู่ว่ากันว่ามีคำที่ไม่ใช่คำจีนโบราณอยู่จำนวนมาก และเกือบทั้งหมดนั้น อะแฮ่ม... เป็นคำจากภาษาตระกูลไทครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8424


ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 20 พ.ย. 24, 09:34


เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าจากช่วงศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล บันทึกเหตุการณ์ที่จื่อชีน้องชายของกษัตรย์แคว้นฉู่ไปล่องเรือ คนแจวเรือชาวเยว่ (ปกติหมายถึงคนกลุ่มน้อยสารพัดชาติพันธุ์ทางตอนใต้ของจีน) ได้ร้องเพลงขึ้นมาเป็นภาษาพื้นเมือง จื่อชีฟังแล้วรู้สึกยินดีจึงถามความหมายจากล่าม ล่ามแปลให้ฟังว่าเป็นเพลงรักที่คนแจวเรือผู้นั้นร้องเพื่อชื่นชมความงามธรรมชาติและความประทับใจต่อจื่อชี เรื่องนี้จบลงด้วยฉากรัก LGBT ยุคดึกดำบรรพ์ของจีน

ที่น่าสนใจคือมีบันทึกเนื้อเพลงที่คนแจวเรือผู้นี้ร้องเอาไว้ด้วย แต่เดิมนั้นไม่มีใครอ่านรู้เรื่องครับ คือเขียนด้วยตัวอักษรจีนก็จริง แต่แปลไม่เป็นภาษามนุษย์ จนมีนักภาษาศาสตร์ชาวจีนชื่อเหวยชิ่งเหวิ่นลองอ่านโดยเทียบเสียงกับคำในภาษากลุ่มไท ประกฏว่ายูเรก้าครับ ถึงจะอ่านไม่รู้เรื่องทั้งหมด แต่ก็พอถอดความได้เป็นเรื่องเป็นราว

เรื่องนี้จะว่าไปก็ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะในบันทึกเก่าแก่ของแคว้นฉู่ว่ากันว่ามีคำที่ไม่ใช่คำจีนโบราณอยู่จำนวนมาก และเกือบทั้งหมดนั้น อะแฮ่ม... เป็นคำจากภาษาตระกูลไทครับ

            อ่านแล้วนึกถึง "เพลงรักชาวเรือ"  หนังจีนดังในอดีต



บางส่วนจาก https://readthecloud.co/zhuang-song-festival/

            บอกว่า - Songfest (1963) ซึ่งมีบทเพลงแปลกหู ไม่เหมือน ‘หนังชอว์’ เรื่องก่อน ๆ ทำนองเหมือนเพลงชาวเขา
มักลงท้ายวรรคด้วยเสียง ‘เอ’ และเวลาพระ-นางร้องโต้ตอบกัน จะต้องขึ้นต้นด้วย “เฮ…” อยู่เสมอ
            ชื่อไทยของหนังเรื่องนี้คือ เพลงรักชาวเรือ
            เพลงพวกนี้มีชื่อเรียกว่า ‘ซันเกอ’ แปลว่า เพลงภูเขา ขับร้องกันบนยอดเขาและหุบเหวเป็นหลัก หาใช่เหนือท้องทะเลหรือ
บนเรือ และต้นตำรับของการร้องซันเกออย่างที่ได้ยินในหนังก็ไม่ใช่ชาวจีน แต่เป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีนอย่าง
‘ชาวจ้วง’ ซึ่งมีบรรพบุรุษร่วมกับชนชาติไทย
            ชาวจ้วงอาศัยอยู่ในดินแดนหุบเขาของกว่างซี หรือ กวางสี มาแต่โบราณนานครัน ยืนยันได้จากหลักฐานโครงกระดูกยุคหินเก่า
ที่ขุดพบในดินแดนนี้ พวกเขาเป็นกลุ่มชนที่พูดภาษาในตระกูลไท ถือได้ว่าเป็นญาติห่าง ๆ สายหนึ่งของคนไทย
            ภาษาจ้วงหลายคำออกเสียงคล้ายกับภาษาไทยมากจนฟังกันรู้เรื่อง เป็นต้นว่า ‘แม่’ ในภาษาไทย ภาษาจ้วงบางสำเนียงก็ออกว่า ‘แม่’
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16059



ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 20 พ.ย. 24, 09:35

ที่น่าสนใจคือมีบันทึกเนื้อเพลงที่คนแจวเรือผู้นี้ร้องเอาไว้ด้วย แต่เดิมนั้นไม่มีใครอ่านรู้เรื่องครับ คือเขียนด้วยตัวอักษรจีนก็จริง แต่แปลไม่เป็นภาษามนุษย์ จนมีนักภาษาศาสตร์ชาวจีนชื่อเหวยชิ่งเหวิ่นลองอ่านโดยเทียบเสียงกับคำในภาษากลุ่มไท ประกฏว่ายูเรก้าครับ ถึงจะอ่านไม่รู้เรื่องทั้งหมด แต่ก็พอถอดความได้เป็นเรื่องเป็นราว

คุณหาญปิง เคยบันทึกเนื้อเพลงที่คนแจวเรือร้อง ไว้ในกระทู้ บทเพลงของชาวเย่ว์ (越人歌:yue ren ge) – คำไทยโบราณที่สุดที่เคยบันทึก

หลิวเซี่ยง (刘向)  (๗๗ - ๖ ปีก่อนคริสตกาล) นักวิชาการและนักเขียน รับราชการในหอสมุดหลวง สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ได้ใช้ตัวอักษรจีนเขียนเนื้อร้องต้นฉบับเดิมที่เป็นภาษาเย่ว์ไว้ ดังนี้

“滥兮抃草滥予昌枑泽予昌州州〈飠甚〉州焉乎秦胥胥缦予乎昭澶秦逾渗惿随河湖”。

ในปี ๑๙๙๑ มีนักวิชาการชื่อ เจิ้งจางซางฟาง (郑张尚芳) ได้การนำตัวอักษรจีนนี้ไปอ่านด้วยภาษาท้องถิ่นของมณฑลฟูเจี้ยน โดยใช้ภาษาในตระกูลหมิ่นหนาน ด้วยสันนิษฐานว่าเป็นภาษาที่ใกล้เคียงกับภาษาจีนโบราณ ทั้งเป็นภาษาที่ใช้ในแถบนั้นแต่โบราณ แล้วนำมาเทียบกับภาษาไทยปัจจุบัน เพราะเห็นว่าภาษาเย่ว์เป็นพื้นฐานของภาษาไทยส่วนหนึ่ง และภาษาไทยก็มีการเขียนบันทึกใช้อักษรของตนถ่ายทอดเสียงมา ทำให้สันนิษฐานได้ง่าย เทียบกับคำอ่านภาษาไทยปัจจุบัน (จากบทความใน มติชน) ได้ดังนี้

๏ คล้ำแฮเพลิน       เจอะคล้ำ
ราช่างกระดากรา      ช่างแจว
แจวข้ามแจวเยิ่น       ฮาชื่น สะสา
มอมราฮาเจ้าท่าน     ชินรู้
ซุ่มใจเรื่อย            ใคร่คะ๚๛


คุณ Paphmania แห่ง พันทิป ลองวิเคราะห์และแก้บางคำ ได้ดังนี้

๏ ค่ำแฮเพลิน          ชู้ค่ำ
ราช่างหวั่นจากรา       ช่างแจว
แจวฃ้ามแจวฃาน        ฮาชื่น  สะสะ
หมั่นราฮาเกี่ยวท่าน     ชื่นแล้ว
ฉ่ำใจห้วย               ใคร่คะ๚๛
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 2055



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 20 พ.ย. 24, 13:52

ผมก็คิดอยู่ว่าเรือนไทยไม่น่าพลาด น่าจะเคยคุยกันเรื่องเพลงคนแจวเรือนี้มาก่อนแล้วครับ  ยิงฟันยิ้ม

เพลงนี้มีคนเอาเนื้อร้องมาเรียบเรียงเขียนเป็นเพลงใหม่ขึ้นมา ใช้ชื่อ 越人歌 หาฟังได้หลายฉบับใน youtube ลองฟังฉบับนี้ก็ได้ครับ มี subtitle ให้เรียยร้อย

https://youtu.be/PLnHVvC-ehE?si=mGXnnqnNYOSJExx1

จะว่าไปภาษาจ้วงบางถิ่นมีคำที่ใช้สื่อสารกับคนไทยเข้าใจได้มากทีเดียว โดยเฉพาะกับคนเหนือหรือคนอีสานที่ยังมีคำเขมรและบาลีสันสกฤตเข้าไปปนไม่มากอย่างภาษาไทยกลาง

ว่ากันทางพันธุกรรม ช่วงหลายปีนี้มีนักวิจัยชาวไทยศึกษาเรื่อง DNA คนไทย น่าจะเรียกได้ว่ามีความก้าวหน้ามาก โดยเฉพาะทีม ดร.วิภู กุตะนันท์

ข้อสรุป (ตามความเข้าใจของผม) อาจจะช่วยตอบคำถามหลายๆข้อของประวัติศาสตร์ไทยได้
- คนไทยในภาคเหนือมีพันธุกรรมใกล้เคียงกับชาวจ้วงในจีน
- คนอีสานตอนบนมีพันธุกรรมเป็นจ้วงปนเขมร
- คนไทยอีสานตอนล่างคือคนเขมรที่พูดไทย
- คนไทยภาคกลางมีพันธุกรรมใกล้เคียงกับคนมอญ (เป็นมอญที่เจือไทเข้าไปเล็กน้อย แต่รับภาษาไทเข้าไปเต็มๆ?)
- คนไทยภาคใต้คล้ายคนภาคกลาง แต่เจือพันธุกรรมจากอินเดียเข้าไปด้วย

บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16059



ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 20 พ.ย. 24, 16:35

คนไทยในภาคเหนือมีพันธุกรรมใกล้เคียงกับชาวจ้วงในจีน

ตรงกับการสรุปผลงานวิจัย ถิ่นกำเนิดของบรรพบุรุษไทย โดยศึกษาจากหลักฐานทางพันธุกรรม เรื่อง Genetic history of Southeast Asian populations as revealed by ancient and modern human mitochondrial DNA analysis ตีพิมพ์ปี ๒๐๐๘ ใน American Journal of Physical Anthropology ฉบับ ๑๓๗ หน้า ๔๒๕-๔๔๐  โดย ศาสตราจารย์เสมอชัย พูลสุวรรณ อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในทีมวิจัย

"เมื่อเทียบกับกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลไทในไทย อย่างไทยจากภาคเหนือ ไทยขอนแก่น ไทยเชียงใหม่ ผู้ไทย กลับมีความใกล้ชิดกันทางพันธุกรรมกับคนจ้วง จากมณฑลกว่างซีประเทศจีน และชาวฮั่นจากภาคใต้ของจีนได้แก่ ชาวฮั่นยูนนาน ชาวฮั่นกวางตุ้ง ชาวฮั่นอู่ฮั่น มากกว่ากับประชากรสมัยก่อนประวัติศาสตร์ของพื้นที่ประเทศไทย จากเนินอุโลก และบ้านหลุมข้าว แต่ประชากรสมัยก่อนประวัติศาสตร์จากเนินอุโลกและบ้านหลุมข้าว มีความใกล้ชิดกับมอญ-เขมร โดยเฉพาะพวกชอง

รูปแบบความสัมพันธ์ที่พบ สนับสนุนทฤษฎีที่ว่าบรรพบุรุษของคนพูดภาษาไทยในเอเชียอาคเนย์ โดยทางเชื้อสายน่าจะเป็นพวกที่อพยพลงมาจากตอนใต้ของจีน และเป็นคนละกลุ่มกันกับประชากรสมัยก่อนประวัติศาสตร์ของพื้นที่

ยังมีข้อสังเกตบางอย่างจากรูปแบบความสัมพันธ์ที่พบ คือกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลไทในประเทศไทย (ไทยภาคเหนือ ไทยขอนแก่น ไทยเชียงใหม่ ผู้ไทย) มีความใกล้ชิดกันทางพันธุกรรมค่อนข้างมาก แสดงว่ามีความเป็นไปได้ว่าเพิ่งแยกตัวออกจากกันเป็นประชากรกลุ่มย่อย ๆ ไม่ช้านานมากจึงสะสมความหลากหลายทางพันธุกรรมไม่มาก"

จากกระทู้ ขออนุญาตเรียนถามถึงกลุ่มชาติพันธ์ในพื้นที่ภาคกลางของไทยหน่อยค่ะ
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 2055



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 21 พ.ย. 24, 22:41

อีกตำนานหนึ่งซึ่งมีชื่อที่อาจเป็นที่มาของชื่อผานกู่อีกที คือตำนานของผานฮู่ 盘瓠 ซึ่งย่อจักรวาลลงมาเป็นตำนานกำเนิดชนชาติเย้า

เรื่องมีอยู่ว่าในสมัยจักรพรรดิ์เกาซิน (จักรพรรดิ์ในตำนานจีนที่ว่ากันว่าครองราชย์อยู่ในช่วงประมาณปี 2400 ก่อน ค.ศ.) มีหญิงชราคนหนึ่งในราชสำนักของพระองค์มีอาการได้ยินเสียงในหู อยู่ตลอดเวลา แพทย์ได้มาตรวจอาการและพบต้นเหตุว่ามาจากดักแด้สีทองตัวหนึ่งที่อยู่ในหูของเธอ ก็ไม่รู้ว่าคุณยายท่านนี้จะคิดอะไรอยู่นะครับ เพราะท่านจับเอาเจ้าดักแด้ตัวนี้ใส่ไว้ในผลน้ำเต้า แล้วเอาแผ่นสำริดปิดฝาไว้ ซึ่งสุดท้ายแล้ว ดักแด้ตัวนี้ก็ฟักออกมาเป็นหมา 5 สี ซึ่งเมื่อจักรพรรดิ์เกาซินทราบเรื่องแล้ว ก็พระราชทานนามให้หมาตัวนี้ว่าผานหู เพราะผาน 盘 แปลว่า แผ่น(ที่เอามาปิดฝาไว้) ส่วน หู 瓠 แปลว่าน้ำเต้า ซึ่งเมื่อดูจากการพยายาม “โยง” ขนาดนี้แล้ว ผมว่าชื่อนี้ก็ต้องมีที่มาจากอะไรอย่างอื่นอีกทีหนึ่ง

ในช่วงเวลานั้นจักรพรรดิ์เกาซินมีศึกติดพันอยู่กับ... อ้า เพื่อไม่ให้มีชื่อเยอะเกินไป ผมขอเรียกว่าศัตรูของพระองค์ละกันนะครับ พระองค์จึงตั้งรางวัลใหญ่ให้ใครก็ตามที่สามารถสังหารศัตรูของพระองค์ได้ จะได้อภิเษกกับเจ้าหญิง แถมครัวอีก 10,000

รางวัลจูงใจขนาดนี้ แต่ภาระงานตึงมือเกินไป ข้าราชบริพารของพระองค์จึงไม่มีใครกล้ารับ สุดท้ายพระเอกของเรานี่แหละครับจัดให้เอง ผานหูบุกไปสังหารศัตรูของเกาซินเรียบร้อย แล้วคาบหัวกลับมารับรางวัล

ทีนี้ก็เกิดสถานการณ์ชวนกระอักกระอ่วนสิครับ เพราะว่าที่ราชบุตรเขยดันเป็นหมา ถึงจักรพรรดิ์เกาซินจะอยากรักษาสัญญา แต่พวกขุนนางรับไม่ได้ที่เจ้าหญิงจะต้องแต่งงานกับหมา

เมื่อเจ้าหญิงทราบเรื่อง จึงว่า เมื่อพระบิดาได้ทรงสัญญาไว้ก็ต้องทรงรักษาคำพูด ผานหูสามารถสังหารศัตรูของพระองค์ได้ นี่เป็นเจตจำนงของสวรรค์ พระองค์ไม่สามารถปฏิเสธได้

จักรพรรดิ์เกาซินจึงให้ผานหูอภิเษกกับเจ้าหญิงแล้วย้ายไปอาศัยอยู่บนภูเขา ผานหูกับเจ้าหญิงมีบุตร 6 คนธิดาอีก 6 คน จักรพรรดิ์เกาซินให้หลานๆย้ายมาอยู่ในเมือง แต่ลูกๆของผานหูกับเจ้าหญิงไม่ชอบชีวิตวุ่นวายจึงขอย้ายกลับไปอยู่ในป่าเขาดังเดิม กลายเป็นบรรพบุรุษของชาวเย้าทั้งหลาย

แน่นอนว่าตำนานนี้มีฉบับความแผกแตกต่างไปอีกหลายฉบับ บางฉบับว่าแรกเริ่มผานหูเป็นแมลงในหูพระมเหสีของเกาซิน บางฉบับว่าเจ้าหญิงนี่แหละเป็นคนเลี้ยงหมาผานหู ตัดท่อนที่ผานหูเคยเป็นแมลงและอยู่ในผลน้ำเต้ามาก่อน ในขณะที่บางฉบับก่อนจะได้แต่งงานกับเจ้าหญิง ผานหูทำพิธีแปลงร่างเป็นคนโดยไปปลีกวิเวกอยู่ในระฆังทองเป็นเวลา 7 วัน แล้วบางฉบับก็ว่าเจ้าหญิงเกิดเป็นห่วงผานหูเมื่อทำพิธีถึงวันที่ 6 การแปลงร่างจึงไม่สมบูรณ์ ผานหูก็เลยกลายเป็นมนุษย์ที่มีหัวเป็นหมา แต่ทุกตำนานก็จบอย่างเดียวกัน คือผานหูได้แต่งงานกับเจ้าหญิง

น่าสนใจว่าตำนานนี้มีองค์ประกอบที่น่าสนใจอยู่ 2 อย่าง คือหมากับน้ำเต้า
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 216


ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 22 พ.ย. 24, 13:04

น้ำเต้านี้ปรากฏในตำนานการสร้างโลกหลายเรื่องในแถบนี้ครับ โดยเฉพาะในกลุ่มชาติพันธุ์ไทกะได ซึ่งทั้งจ้วง ไทดำ และ ไทลาวต่างก็มีตำนานการสร้างโลกเป็นแนวเดียวกัน กล่าวคือ มนุษย์มาจากน้ำเต้า ในส่วนของไทลาวนั้นก็มีการแตกแยกเป็นตำนานขุนบรมขึ้นมาอีก เพื่ออธิกายประวัติความเป็นมาของหัวเมืองต่างๆเป็นต้น น่าสนใจคือ ชาวว้าในจีน(กลุ่มเดียวกับละว้าในไทย)  ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเก่าแก่ในภูมิภาคยูนนาน อยู่มานานก่อนที่กลุ่มคนไทจะอพยบลงใต้ ก็เชื่อกันว่ามนุษย์มีต้นกำเนิดมาจากน้ำเต้าเช่นกัน ว้าเป็นชาติพันธุ์มอญเขมร มิใช้ไทมาแต่ดั้งเดิม เป็นที่น่าสงสัยเหมือนกันว่าเรื่องของน้ำเต้านี้เริ่มมาจากชนกลุ่มไหน

แต่หากอธิบายตามเชิงนามธรรมแล้วก็น่าจะเป็นเพราะว่าน้ำเต้ามีลักษณะคล้ายคลึงกับอวัยวะเพศ คนโบราณจึงได้นับถือเป็นสิ่งศักสิทธิ์ในแนวเดียวกับศิวลึงศ์เป็นต้น
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 2055



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 14  เมื่อ 22 พ.ย. 24, 18:39

ครับ ตำนานในภูมิภาคนี้มีการแลกเปลี่ยนกัน ไม่ได้มีการผูกขาดอยู่กับชนชาติหนึ่งขนชาติใด ซึ่งผมจะยกขึ้นมาให้ดูต่อไปครับ

ขออภัยกับข้อความข้างบนครับ ผมเขียนชื่อผานฮู่ผิดเป็นผานหูเกือบตลอดทาง ที่ถูกคือผานฮู่นะครับ

เรื่องวัฒนธรรมร่วมของบนชาติแถบนี้ ลองดูความสัมพันธ์ของนิทานชาวจ้วงที่เป็นต้นแบบของซินเดอเรลล่ากับเรื่องปลาบู่ทองที่นี่ https://www.matichonweekly.com/column/article_137942

แถมด้วยนิทานพื้นบ้านของเวียดนามเรื่องนี้ดูนะครับ
https://so04.tci-thaijo.org/index.php/abc/article/view/53121/44124
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
หน้า: [1] 2 3 4
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.047 วินาที กับ 19 คำสั่ง