แม่หยัวศรีสุดาจันทร์ : ‘แม่หยัวเมือง’ ผู้ก้าวมาจากพระสนมเอก 4 ท้าว
ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ
https://www.matichonweekly.com/column/article_810911 “แม่หยัวเมือง” โดยชื่อตำแหน่งนี้เป็นคำที่กร่อนมาจาก “แม่อยู่หัวเมือง” หรือที่บางท่านเช่น สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ทรงระบุว่าเพี้ยนมาจากคำว่า “แม่อยู่เมือง” (เสียงสระอู เพี้ยนเป็นเสียงสระอัวได้ เช่น ผู้-ผัว) ซึ่งก็คือ หญิงผู้มีอำนาจ “อยู่หัว” ของ “เมือง”
ในทำนองเดียวกันกับคำว่า “พระเจ้าอยู่หัว” เพราะเป็นพระราชมารดาของยุวกษัตริย์ผู้สืบทอดราชบัลลังก์จากพระไชยราชา คือ “พระยอดฟ้า”
กฎมณเทียรบาล ซึ่งตราขึ้นเมื่อ พ.ศ.1903 ในรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือที่มักจะเรียกกันว่า พระเจ้าอู่ทอง
โดยมีข้อความระบุเอาไว้ว่า “(พระราชกุมาร) อันเกิดด้วยแม่หยัวเมือง เปนพระมหาอุปราช”
(บางทีในกฎมณเทียรบาลจะเรียกตำแหน่งนี้ว่า แม่หยัวเจ้าเมือง)
ดูตามลำดับศักดิ์ของพระชายาที่ระบุอยู่ในกฎมณเทียรบาลแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นตำแหน่งของพระชายาที่เป็นรองเพียงแค่
พระอัครมเหสี และพระอัครชายาเท่านั้น โดยเป็นใหญ่กว่าพระสนมทั้งหมด
ชื่อ “ศรีสุดาจันทร์” นี้ไม่ใช่ชื่อตัว แต่เป็นชื่อตำแหน่งของพระสนมสำคัญในสมัยกรุงศรีอยุธยา
ตําแหน่งท้าวศรีสุดาจันทร์นี้ มีระบุอยู่ใน “พระไอยการนาพลเรือน” ซึ่งตราขึ้นเมื่อ พ.ศ.1998 อันเป็นช่วงที่ห่างจากยุค
แม่หยัวท้าวศรีสุดาจันทร์มีชีวิตอยู่ไม่ถึง 100 ปีดีนัก โดยปรากฏร่วมอยู่กับตำแหน่งพระสนมอื่นๆ อีก 3 ตำแหน่งศักดิ์ศรีเสมอกัน ดังข้อความที่ว่า
“ท้าววรจันที่สมเด็จพระพี่เลี้ยง นา 1000 แม่เจ้า แม่นาง แลนางท้าวพระสนมเอกทั้ง 4 คือ อินทรสุเรนทร 1 ศรีสุดาจัน 1 อินทรเทวี 1
ศรีจุลาลักษ 1 นาคละ 1000”
ข้อความข้างต้นระบุว่า “ท้าวศรีสุดาจันทร์” นั้น เป็นหนึ่งในพระสนมเอกทั้ง 4 ท้าว ซึ่งต่างก็มีมีศักดินา 1,000 เท่ากันกับกับ ท้าววรจัน
ที่สมเด็จพระพี่เลี้ยง ซึ่งมากกว่า “นางพระสนมสัตรีกำนัล” ทั้งหลาย ที่ในพระไอยการนาพลเรือนเล่มเดิม ระบุว่ามีศักดินา 800 โดยเขียนเป็น
ข้อความอยู่ต่อจากที่ระบุถึง พระสนมเอกทั้ง 4 ท้าว
คุณดิเรก กุลสิริสวัสดิ์ อธิบายถึงที่มา และความหมายของ “สนม” ไว้ในหนังสือที่มีชื่อว่า “ความสัมพันธ์ของมุสลิม ทางประวัติศาสตร์ และวรรณคดีไทย”
“สนม จากศัพท์เปอร์เซีย ซัน -Zun- แปลว่า ผู้หญิง ซะนานะฮฺ -Zananah- แปลว่า อย่างผู้หญิง เทียบกับคำไทยก็ตรงกับ ‘ฝ่ายใน’
ที่เรียกในกฎมณเทียรบาลว่า ‘ประเทียบ’ ในทำเนียบศักดินาสมัยพระบรมไตรโลกนาถมีกรมหนึ่งเรียกว่า ‘กรมสนมพลเรือน’ อยู่ในพวกราชสำนัก
(กระทรวงวัง) มีตำแหน่งสมุห์บัญชีเป็นที่ ‘หมื่นฉะนานัน’ ถือศักดินา 600 คำ ‘ฉะนานัน’ น่าจะเป็นคำเดียวกับ ซะนานะฮฺ’ คำเปอร์เซีย”
หมายความว่า ทั้งท้าววรจันที่สมเด็จพระพี่เลี้ยง และพระสนมเอกทั้ง 4 ท้าว จึงควรจะเป็นหัวหน้าของพระสนมทั้งหลาย ที่มีศักดินาต่ำกว่า
จากข้อความในพระไอยการนาพลเรือน จะเห็นได้ว่า ตำแหน่ง “ท้าวศรีสุดาจันทร์” นี้ควรจะมีฐานันดรศักดิ์ต่ำกว่าตำแหน่ง “แม่หยัว”
ซึ่งในกฎมณเทียรบาลให้ความสำคัญมากกว่าบรรดาพระสนมทั้งหลาย โดยเป็นรองเพียงแค่พระอัครมเหสี และพระอัครชายา เท่านั้น
ดังนั้น ท้าวศรีสุดาจันทร์ในสมัยพระไชยราชาธิราชนั้น จึงควรจะดำรงตำแหน่งเป็นหนึ่งในสนมเอกทั้ง 4 ท้าวมาก่อน จนเมื่อประสูติพระโอรส
คือ พระยอดฟ้า จึงได้พระราชทานตำแหน่งที่ใหญ่โตขึ้น คือให้เป็น “แม่หยัวเมือง” ตามที่ในกฎมณเทียรบาลระบุไว้ว่า คือตำแหน่งมารดาของพระมหาอุปราช
ตามปรัมปราคติในศาสนาพุทธแบบเถรวาทนั้น มีความเชื่อว่า “พระอินทร์” ราชเหนือทวยเทพมีพระชายาอยู่ 4 องค์
คติเรื่องพระอินทร์มีชายา 4 องค์ ดูจะไม่เป็นที่แพร่หลายนักในอินเดีย หรือในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู แต่กลับเป็นที่นิยมในกรุงศรีอยุธยา
และกรุงรัตนโกสินทร์เป็นพิเศษ
ดังนั้น จึงชวนให้คิดไปได้เช่นกันว่า ความนิยมเรื่องพระอินทร์มีชายา 4 องค์ในสยามนั้น เป็นผลสะท้อนมาจากธรรมเนียมในการอภิเษกชายา
หรือพระสนม 4 คน ที่เกี่ยวข้องกับการบรมราชาภิเษก หรือความเป็นจักรพรรดิราช (คือการเป็นราชาเหนือหมู่เทพทั้งหลาย เหมือนกับพระอินทร์)
ตำแหน่งพระสนมเอก 4 ท้าว จึงมีบทบาทสำคัญอย่างน้อยก็ในแง่ของอุดมคติ และความเชื่อ ซึ่งจะมีอิทธิพลเป็นอย่างยิ่งในเชิงพิธีกรรมต่างๆ
ดังนั้น ถึงแม้ว่าตำแหน่ง “ท้าวศรีสุดาจันทร์” จะเป็นตำแหน่งที่เล็กกว่า “แม่หยัวเมือง” แต่ก็เป็นตำแหน่งสำคัญตามพิธีการความเชื่อของกรุงศรีอยุธยา
โดยเฉพาะในช่วงก่อนการเสียกรุง ครั้งที่ 1 (มีต่อ)