เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1] 2 3 4
  พิมพ์  
อ่าน: 15430 แม่หยั่วเมือง
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
 เมื่อ 27 ต.ค. 24, 09:13

ละคร"แม่หยัว" กำลังออกอากาศ ก็น่าจะหยิบยกมาพูดบ้างเหมือนกัน
คำว่า "แม่หยัว" สมัยโบราณสะกดหลากหลาย "แม่หยัวเมือง" "แม่หยั่วเมือง"  หรือ "แม่ยั่วเมือง" 
สมเด็จฯ กรมนริศรานุวัดติวงศ์ ทรงสันนิษฐานว่าชื่อ “ แม่หยัวเมือง” มาจาก “แม่อยู่เมือง” .
“แม่หยั่วเมือง เห็นจะเป็นแม่อยู่เมือง กลายเป็น ว มีตัวอย่าง เช่น ตู เป็น ตัว ผู้เป็น ผัว (เช่น ตัวผู้ตัวเมีย คู่ผัวตัวเมีย) ใช่คำอยู่หัว เป็นคำสูง อยู่เมืองเป็นคำรอง” (สาส์นสมเด็จ, 18 มิถุนายน 2476)

ในกฎมณเฑียรบาล กำหนดพระราชกฤษฎีกาไอยการ    ระบุคำว่า “แม่หยัวเมือง” ไว้ว่าเป็นตำแหน่งพระมเหสีรองจากตำแหน่งอัครมเหสี   ถ้ามีโอรส  โอรสจะได้เป็นพระมหาอุปราช  ส่วนรัชทายาทนั้นคือสมเด็จหน่อพุทธเจ้า
" ฝ่ายพระราชกุมารอันเกิดด้วยพระอัคมเหสีคือสมเด็จหน่อพระพุทธเจ้า อันเกิดด้วย แม่หยัวเมือง เป็น พระมหาอุปราช..



บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 27 ต.ค. 24, 09:50

ในพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ เรียบเรียงขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 2223 ราว 132 ปีหลังเกิดเหตุการณ์ เล่าไว้ว่า

ใน จ.ศ. 907 (พ.ศ. 2088) สมเด็จพระไชยราชาธิราช พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ทรงยกทัพขึ้นไปเมืองเชียงใหม่ และทรงตีได้เมืองลำพูนไชยในวันอังคาร ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 4[ข] ต่อมาในวันศุกร์ ขึ้น 13 ค่ำ เดือนเดียวกันเกิดนิมิตอุบาทว์ เห็นเลือดติดอยู่ ณ ประตูบ้านเรือนและวัดทุกแห่งทั้งในเมืองและนอกเมือง จึงทรงยกทัพกลับพระนครศรีอยุธยา หลังจากนั้นอีก 2 เดือน ตรงกับเดือน 6 จ.ศ. 908 (พ.ศ. 2089) พระองค์ก็สวรรคต
สมเด็จพระยอดฟ้า พระราชโอรส ทรงสืบราชสมบัติต่อ เกิดเหตุการณ์อุบาทว์ต่าง ๆ เช่น งาช้างพระยาไฟที่ให้เข้าชนช้างเกิดหักเป็น 3 ท่อน ช้างต้นชื่อพระฉัททันต์ร้องเป็นเสียงสังข์ และประตูไพชยนต์ร้องเป็นอุบาทว์ กระทั่งวันอาทิตย์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 8 จ.ศ. 910 (พ.ศ. 2091) สมเด็จพระยอดฟ้าทรง "เป็นเหตุ" ขุนชินราชจึงได้ราชสมบัติเป็นเวลา 42 วัน
ต่อมาขุนชินราชกับแม่หยัวศรีสุดาจันทร์ "เป็นเหตุ"พระเทียรราชาจึงทรงได้รับการอัญเชิญขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ สิ้นเรื่องราวของแม่หยัวศรีสุดาจันทร์เพียงเท่านี้
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16060



ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 27 ต.ค. 24, 11:35

ราชบัณฑิตยสถานอธิบายว่า

แม่หยั่วเมือง เป็นคำโบราณ ใช้เรียกพระสนมเอกครั้งโบราณ, เขียนว่า แม่ยั่วเมือง หรือ แม่อยั่วเมือง ก็มี

กฎมณเฑียรบาล กล่าวถึงตำแหน่งของพระมเหสีเทวีไว้โดยแบ่งเป็นลำดับชั้นดังนี้

พระอัครมเหสี
แม่อยั่วเมือง
พระภรรยาเจ้าชั้นลูกหลวง
พระภรรยาเจ้าชั้นหลานหลวง

ตำแหน่งแม่อยั่วเมือง หรือ แม่หยั่วเมือง มีผู้ตีความออกเป็น ๒ ความหมาย คือ ตำแหน่งพระสนมเอก และ ตำแหน่งพระอัครชายา เพราะตำแหน่งพระสนมเอกนั้น มียศปรากฏอยู่แล้ว เช่น ท้าวศรีสุดาจันทร์ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นต้น

ในระยะแรกของสมัยอยุธยาตำแหน่งพระมเหสีเทวีของพระเจ้าแผ่นดินก็คงปรากฎให้เห็น และเรียกตามกฎมณเฑียรบาล แต่อยู่มาพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ใคร่จะมีพระอัครมเหสี ที่จะยกย่องเหลือเกินกว่ากัน ลำดับชั้นของตำแหน่งพระมเหสีเทวีจึงเปลี่ยนแปลงไปดังนี้  

พระมเหสี (ถ้ามีพระมเหสีหลายองค์ พระองค์ใดเป็นใหญ่กว่าบางทีก็จะเรียกว่า "พระเสาวนีย์" หมายถึง พระอัครมเหสี)
พระอัครชายา
แม่อยั่วเมือง (บางรัชกาลก็มียศสูงกว่าพระอัครชายา)
พระภรรยาเจ้าชั้นลูกหลวง
พระภรรยาเจ้าชั้นหลานหลวง

อย่างไรก็ตาม ความเป็นไปได้ที่ตำแหน่งนี้จะหมายถึงพระสนมเอก (ตามที่ราชบัณฑิตอธิบาย) นั้นยังไม่ปรากฎ

จาก ตำแหน่งพระมเหสีเทวี ในสมัยรัตนโกสินทร์
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 28 ต.ค. 24, 10:20

    จะด้วยอะไรก็ตาม  ในรัชสมัยพระไชยราชา ไม่ปรากฏว่ามีพระอัครมเหสาี    จะเป็นเพราะพระไชยท่านเว้นตำแหน่งนี้เอาไว้ว่างๆ     หรือว่าพระมเหสีมีตัวตนแต่ว่าสิ้นพระชนม์ไปก่อนหน้าแล้วไม่ได้ตั้งองค์ใหม่     หรือว่ามีตัวตนอยู่ ยังไม่ตาย แต่ไม่มีปากมีเสียงอะไร เพราะไม่มีลูก     ก็สุดจะเดาได้
   เอาเป็นว่าผู้หญิงที่มีบทบาทมากที่สุดในราชสำนักคือท้าวศรีสุดาจันทร์ แม่หยั่วเมือง
    เรื่องของท้าวศรีสุดาจันทร์ ไม่ว่ารายละเอียดแตกต่างกันยังไงในพงศาวดารและบันทึกฝรั่งแต่ละฉบับ แต่สิ่งที่ตรงกันคือนางเป็นผู้หญิงที่มีบทบาทสูงมากด้านการเมืองการปกครอง มากกว่าผู้หญิงทุกคนใน 447 ปีของราชอาณาจักรอยุธยา
    แต่ว่าบทบาทนั้นไม่ได้รับการยกย่อง กลับถูกประณามหนัก
    เรื่องราวที่ตรงกันคือนางเป็นพระสนมม่ายของกษัตริย์อยุธยา ขณะที่ลูกชายยังเล็กแค่ 11 ขวบ เมื่อพระสวามีส้ิ้นพระชนม์ไปแล้ว   นางมีสามีอีกคนที่เป็นสามัญชน นางได้สนับสนุนให้เขาขึ้นครองบัลลังก์หลังจากลูกชายนางตาย
    แน่นอนกว่าการกระทำนี้ไม่เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล แม้ว่าในความเป็นจริงราชสมบัติอยุธยาก็ไม่ค่อยจะเป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลอยู่แล้ว อาฆ่าหลาน พี่น้องฆ่ากัน เพื่อชิงบัลลังก์มีอยู่เฉลี่ยแล้วเกือบทุกๆ 15 ปี แต่ผู้ชนะมักเป็นผู้มีกำลังแข็งแกร่งสุด จึงปักหลักอยู่ได้ ผิดก็กลายเป็นถูกไป
    ส่วนท้าวศรีสุดาจันทร์และสามีไม่ได้มีแรงสนับสนุนแข็งแกร่งพอ ก็เลยถูกโค่นไปตามระเบียบ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 29 ต.ค. 24, 09:35

     แม้ว่าอาณาจักรอยุธยามีระบบการสืบราชสมบัติที่ระบุเอาไว้ชัดเจนในกฎมณเฑียรบาล    แต่นั่นน่าจะเรียกว่าทางทฤษฎี   ในทางปฏิบัติใช้ระบบ Might is Right  คือใครมีกำลังมากกว่าก็ชนะไป    คล้ายกับพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ว่า
    "กำหมัดคือยุติธรรมจงจำไว้    ใครหมัดใหญ่ได้เปรียบเรียบเทียวเกลอ"
    ดูจากรูปการณ์แล้ว   แม่หยั่วเมืองศรีสุดาจันทร์น่าจะมีกำลังในราชสำนักพอสมควร   จึงสามารถขึ้นเป็นใหญ่ได้โดยเอาพระโอรสบังหน้า   ไม่มีใครคัดค้าน   ทั้งๆพระเทียรราชา อาของพระยอดฟ้า(หรือบางแห่งเรียกว่าพระแก้วฟ้า) ก็ยังอยู่ทั้งองค์  แต่อานอกจากไม่คิดชิงราชสมบัติหลาน ยังหลบลี้ราชภัยไปบวช   ก็แสดงว่ากำลังของพระเทียรราชามีน้อยมาก   นอกจากนี้พระนิสัยของพระองค์น่าจะไม่ทะเยอทะยานในราชบัลลังก์อีกด้วย
  การที่แม่หยั่วเมืองศรีสุดาจันทร์เชิดขุนชินราชขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ใหม่ หลังจากพระโอรสสิ้นพระชนม์  แบบฉีกกฎมณเฑียรบาลทิ้งเอาง่ายๆ ก็แสดงว่านางมีความมั่นใจในสถานภาพตัวเองและสามีมากเอาการ    เพราะไม่มีอาณาจักรไหนที่พ่อเลี้ยงขึ้นสืบราชสมบัติต่อจากลูกเลี้ยง   ขุนนางใหญ่ๆทั้งหลายมีอยู่ออกเต็มท้องพระโรง ก็ไม่เห็นมีใครคัดค้านสักคน   
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16060



ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 29 ต.ค. 24, 10:35

โครงเรื่องของละครเรื่องนี้ อิงตามความเห็นของ คุณสุจิตต์ วงษ์เทศ เป็นการแย่งชิงอำนาจของราชวงศ์ละโว้ โดยมีตัวแทนคือ แม่หยัวศรีสุดาจันทร์ คืนจากราชวงศ์สุพรรณภูมิ

ศรีสุดาจันทร์เป็น ๑ ใน ๔ ชื่อตำแหน่งสนมเอกทั้งสี่สมัยอยุธยา ในพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือน ซึ่งตราขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๑๙๙๘ ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถกำหนดว่า พระมหากษัตริย์มีพระสนมเอกสี่ตำแหน่ง คือ ท้าวอินทรสุเรนทร์ ท้าวศรีสุดาจันทร์ ท้าวอินทรเทวี และท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ทั้งสี่นี้ถือศักดินาคนละ ๑,๐๐๐  

ในละครเรียกทั้ง ๔ ตำแหน่งนี้ว่า "สนมสี่ทิศ" เสริมตามความเห็นของ คุณสุจิตต์ วงษ์เเทศ ว่ามาจากผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์ทั้ง ๔ ที่อยู่รายรอบกรุงศรีอยุธยา คือ ท้าวอินทรสุเรนทร์ จากราชวงศ์สุพรรณภูมิทางทิศตะวันตกของกรุงศรีอยุธยา, ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ จากราชวงศ์พระร่วงทางทิศเหนือของกรุงศรีอยุธยา, ท้าวอินทรเทวี จากราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราชทางทิศใต้ของกรุงศรีอยุธยา และท้าวศรีสุดาจันทร์ จากราชวงศ์ละโว้-อโยธยาทางทิศตะวันออกของกรุงศรีอยุธยา

บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16060



ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 29 ต.ค. 24, 19:35

ในละครเรียกทั้ง ๔ ตำแหน่งนี้ว่า "สนมสี่ทิศ" เสริมตามความเห็นของ คุณสุจิตต์ วงษ์เทศ ว่ามาจากผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์ทั้ง ๔ ที่อยู่รายรอบกรุงศรีอยุธยา คือ ท้าวอินทรสุเรนทร์ จากราชวงศ์สุพรรณภูมิทางทิศตะวันตกของกรุงศรีอยุธยา, ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ จากราชวงศ์พระร่วงทางทิศเหนือของกรุงศรีอยุธยา, ท้าวอินทรเทวี จากราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราชทางทิศใต้ของกรุงศรีอยุธยา และท้าวศรีสุดาจันทร์ จากราชวงศ์ละโว้-อโยธยาทางทิศตะวันออกของกรุงศรีอยุธยา

การประชันระหว่าง สนมเอกสี่ทิศ  ศรีสุดาจันทร์เข้าวังพร้อมกับสนมเอกอีก ๓ คน



ในเรื่อง "สุริโยไท" ก็มีการกล่าวถึงตำแหน่งทั้ง ๔ นี้เช่นกัน ไม่เรียกว่า "สนมเอกสี่ทิศ"  แต่กล่าวถึง "แม่หยัว" ที่สืบสายมาจาก ๔ ราชวงศ์ และในเวอร์ชั่นนี้ ศรีสุดาจันทร์เข้าวังตั้งแต่รัชกาลก่อน

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 30 ต.ค. 24, 09:55

  ดูจากประวัติของขุนวรวงศาฯ ในฐานะเป็นขุนชินราชมาก่อน   ดูจากบรรดาศักดิ์ยังไม่ใช่ขุนนางระดับสูง   แต่ในเมื่ออยู่ในวัง อยู่ใกล้ชิดแม่หยั่วเมือง คงจะมีบารมีเป็นที่เกรงใจของขุนนางใหญ่ๆอยู่บ้าง   จึงไม่ปรากฏว่ามีขุนนางใหญ่คนไหนโวยวายขึ้นมา เมื่อแม่หยั่วเมืองเลื่อนตำแหน่งเขาปรู๊ดเดียวจากขุนนางระดับล่างขึ้นเป็นกษัตริย์
   แม้แต่พระเทียรราชาน้องของพระไชยราชาซึ่งโดยฐานะแล้วเป็นเจ้านาย ใหญ่กว่าใครเพื่อน  ก็ยังต้องใช้วิธีหลบเลี่ยงไปผนวช     การไปผนวชแบบนี้เป็นแพทเทิร์นที่เจ้านายอยุธยาใช้เสมอ เพื่อหลบลี้จากราชภัย    เรียกง่ายๆว่าเอาผ้าเหลืองคุ้มกันไม่ให้หัวขาด
   ขุมกำลังของแม่หยั่วเมืองและขุนวรวงศาฯ จะว่าไม่มีก็ไม่ใช่  ต้องมี  จึงได้ขึ้นครองราชย์แบบไม่มีใครขัดขวาง    แต่มีไม่มากพอจะสยบขุนนางลงได้หมด  จึงมีขุนนางอย่างขุนพิเรนทรเทพ   ขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสน่หา (ในราชการ) และหลวงศรียศ ล้วนแต่เป็นขุนนางหนุ่มๆ ระดับกลางและล่าง   กล้าวางแผนรัฐประหาร  แต่ไม่คิดเป็นใหญ่เสียเอง  คงเดินรอยตามกฎมณเฑียรบาลคือเชิญเจ้านายที่ใกล้ราชบัลลังก์ที่สุดคือพระเทียรราชา ขึ้นครองราชย์อย่างที่ควรเป็น
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8425


ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 30 ต.ค. 24, 10:30

                ประวัติศาสตร์บันทึกโดยบุรุษ(ผู้ชนะ,อ่านออกเขียนได้) แต่ยังมีสองสตรีสมัยอยุธยาที่ได้พื้นที่จารึกเรื่องราว
สุดขั้วขาวดำ - พระสุริโยทัยและท้าวศรีสุดาจันทร์
                ล่วงถึงสมัยรัตนโกสินทร์เรื่องราวท้าวศรีสุดาจันทร์ก็ได้ถูกแต่งเติมจนบางเรื่องถึงระดับพิสดารและยังคงได้รับ
ความสนใจจากปวงประชา,นักสืบพงศาวดาร ตลอดจนสมเด็จพระมงกุฎเกล้าก็ทรงสนพระทัยมาก ดังปรากฏใน
พระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ความว่า

               “พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเคยตรัสแก่ฉันครั้งหนึ่งว่า เรื่องรัชกาลสมเด็จพระยอดฟ้าที่ปรากฏ
ในหนังสือพระราชพงศาวดาร ดูราวกับเรื่องละคร ให้ฉันพิจารณาดูสักทีว่าเรื่องที่จริงจะเป็นอย่างไร ฉันพิจารณาดูตามรับสั่ง
ที่แลเห็นเค้าเงื่อนที่จะเป็นความจริง ได้เขียนบันทึกทูลเกล้าฯ ถวายตามความคิดของฉัน ถึงมิใช่ท้องเรื่องของนิทานนี้ บางที
ผู้อ่านจะชอบตรวจวินิจฉัยเรื่องนั้น
                  จึงขอเรียนความฝากไว้ในนิทานเรื่องนี้ด้วย

              “เมื่อสมเด็จพระยอดฟ้าเสวยราชย์ พระชันษาได้เพียง ๑๒ ปี (บางแห่งว่า ๑๕ ปี) ยังว่าราชการบ้านเมืองไม่ได้
ข้าราชการทั้งปวงจึงขอให้พระเฑียรราชา ผู้เป็นพระเจ้าอาว์ว่าราชการบ้านเมืองแทนพระองค์ ส่วนท้าวศรีสุดาจันทร์ได้เป็น
พระชนนีพันปีหลวง ก็มีอำนาจสิทธิ์ขาดฝ่ายข้างใน
               แต่นางเป็นคนมักมากด้วยราคะจริต อยากได้พระเฑียรราชาเป็นสามีใหม่ ฝ่ายพระเฑียรราชาไม่ปรารถนาจะทิ้ง
พระ (สุริโยทัย) ชายาเดิม แต่จะปฏิเสธไมตรีของท้าวศรีสุดาจันทร์ก็เกรงภัย และบางทีพระชายาเดิมจะขึ้งเครียดด้วยเกรง
พระเฑียรราชาจะไปคบกับท้าวศรีสุดาจันทร์ ​พระเฑียรราชาได้ความรำคาญมิรู้ที่จะทำอย่างไร จึงใช้อุบายออกทรงผนวชเป็นภิกษุเสีย  
               ท้าวศรีสุดาจันทร์ไม่ได้พระเฑียรราชาเป็นสามีโดยเปิดเผย จึงลอบเป็นชู้กับพันบุตรศรีเทพ ชายหนุ่มซึ่งเป็นญาติกัน
เดิมก็หมายเพียงจะคบเป็นอย่างชายชู้ แต่เผอิญนางมีครรภ์ขึ้นเห็นจะเกิดภัยอันตราย จึงคิดป้องกันตัวด้วยตั้งพันบุตรศรีเทพเป็น
ขุนวรวงศาธิราช ตำแหน่งราชนิกูลให้มีหน้าที่เป็นผู้รับสั่งของนาง (เช่นเป็นเลขานุการ) ตั้งแต่ยังมีครรภ์อ่อน แล้วค่อยเพิ่มอำนาจ
ให้ขุนวรวงศาฯ บังคับบัญชาการงาน มีผู้คนเป็นกำลังมากขึ้นโดยลำดับ
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8425


ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 30 ต.ค. 24, 10:37

                กิติศัพท์ที่ท้าวศรีสุดาจันทร์มีชู้รู้ไปถึงเจ้าพระยามหาเสนาบดีที่สมุหพระกลาโหม ซึ่งทำนองจะได้เป็นผู้ว่าราชการแผ่นดิน
แทนพระเฑียรราชา ปรารภปรึกษาเพื่อนข้าราชการผู้ใหญ่ว่าควรทำอย่างไร ความนั้นรู้ไปถึงท้าวศรีสุดาจันทร์ก็ให้ลอบแทงเจ้าพระยา
มหาเสนาฯ ตาย แต่นั้นนางก็ยิ่งมีอำนาจด้วยไม่มีผู้ใดกล้าขัดขวาง ผู้คนก็ยิ่งครั่นคร้ามขุนวรวงศาฯ จึงเป็นผู้มีอำนาจขึ้นในแผ่นดิน

               “ฝ่ายสมเด็จพระยอดฟ้า แม้พระชันษาเพียง ๑๒ ปี เมื่อทรงทราบว่านางชนนีมีชู้ก็เดือดร้อนรำคาญพระหฤทัย แต่มิรู้ที่
จะทำประการใดด้วยยังทรงพระเยาว์ คงปรับทุกข์กับขุนพิเรนทรเทพ เจ้ากรมตำรวจซึ่งเป็นพระญาติและเป็นราชองครักษ์เคยอยู่ใกล้ชิด
มาตั้งแต่สมเด็จพระชัยราชาธิราชทรงไว้วางพระราชหฤทัยมาแต่ก่อน ขุนพิเรนทรเทพทูลรับจะคิดอ่านกำจัดขุนวรวงศาฯ ความคิดเดิม
คงจะอยู่เพียงว่ากำจัดขุนวรวงศาฯ เท่านั้นหาได้คิดกำจัดท้าวศรีสุดาจันทร์ด้วยไม่
              แต่รู้ไปถึงท้าวศรีสุดาจันทร์ว่าขุนพิเรนทรเทพเข้าเฝ้าสมเด็จพระยอดฟ้าบ่อย ๆ สงสัยว่าขุนพิเรนทรเทพจะยุยงให้คิดการร้าย
จึงให้ถอดเสียจากตำแหน่งในราชการ ขุนพิเรนทรเทพจึงต้องไปเที่ยวหาคนร่วมคิดในเหล่าข้าราชการชั้นต่ำที่ถูกถอดแล้วบ้าง ยังอยู่ใน
ตำแหน่งบ้าง เช่นหลวงศรียศ บ้านลานตากฟ้า และหมื่นราชเสน่หา เป็นต้น คงมีคนอื่นอีก แต่หากไม่ปรากฏชื่อ ความประสงค์ของ
ขุนพิเรนทรฯ เมื่อชั้นแรกเป็นแต่จะช่วยสมเด็จพระยอดฟ้า ยังมิได้คิดจะถวายราชสมบัติแก่พระเฑียรราชา
              ​ครั้นท้าวศรีสุดาจันทร์คลอดลูก ข่าวนั้นระบือแพร่หลาย ขุนวรวงศาฯ เห็นว่าจะปกปิดความชั่วไว้ไม่ได้ต่อไปก็คิดเอา
แผ่นดินไปตามเลย มิฉะนั้นก็จะเป็นอันตราย จึงลอบปลงพระชนม์สมเด็จพระยอดฟ้าโดยท้าวศรีสุดาจันทร์มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วย
สมเด็จพระยอดฟ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินอยู่เพียง ๒ ปี ก็ถูกปลงพระชนม์ ท้าวศรีสุดาจันทร์รู้ต่อเมื่อสมเด็จพระยอดฟ้าสวรรคตเสียแล้ว
จำต้องยกขุนวรวงศาฯ ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
             ฝ่ายพวกขุนพิเรนทรเทพก็ต้องคิดหาพระเจ้าแผ่นดินใหม่ จึงพร้อมใจกันเชิญพระเฑียรราชาครองราชสมบัติและเสี่ยงเทียนกัน
ในตอนนี้ไม่มีกำลังพอจะเข้าไปจับขุนวรวงศาฯ ถึงในวัง จึงไปซุ่มดักทาง จับขุนวรวงศาฯ กับท้าวศรีสุดาจันทร์และลูกที่เกิดด้วยกัน
ฆ่าเสียเมื่อลงเรือไปดูจับช้าง แล้วพวกข้าราชการทั้งปวงก็พร้อมใจกันเชิญพระเฑียรราชาขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อ พ.ศ. ๒๐๙๑
ทรงพระนามว่าสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ เรื่องที่จริงน่าจะเป็นดังว่ามา”
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16060



ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 30 ต.ค. 24, 11:35

เรื่องที่คุณศิลายกมา หาอ่าน (หรือฟัง) ได้ใน นิทานโบราณคดีเรื่องที่ ๑๙ พระนิพนธ์ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ แม่หยัวศรีสุดาจันทร์ในเวอร์ชั่นนี้ดูเป็นคนเลวยิ่ง มักมากในกามารมณ์ เห็นแก่ตัว ไร้สิ้นซึ่งอุดมการณ์

นาทีที่ ๕.๔๕ - ๑๑.๓๕



น่าตรงกันข้ามกับ แม่หยัวศรีสุดาจันทร์ ในเวอร์ชั่นละครเรื่องที่กำลังออกอากาศ อย่างน้อยก็มีอุดมการณ์จะกอบกู้ศักดิ์ศรีและอำนาจของราชวงศ์ซึ่งตนเองสังกัดคืนมา

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 31 ต.ค. 24, 09:13

  พระนิพนธ์สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ข้างบนนี้ ภาษาวิชาการเรียกว่า "สันนิษฐาน"  ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "คิดเอาเองว่า..." ภาษาวรรณกรรมวิจารณ์เรียกว่า "ตีความ"   อ่านดูแล้ว ขอตีความว่า ความคิดเห็นผู้เขียนขึ้นอยู่กับยุคสมัย    ในยุคของสมเด็จฯท่าน  บทบาทของผู้หญิงไทยทั่วไปยังจำกัดอยู่ในเรื่องบ้านช่องครัวเรือน   ไม่ได้คิดไกลไปถึงบริหารบ้านเมือง   ยิ่งคิดการใหญ่แล้วยิ่งไกลมากจริงๆ
  ศรีสุดาจันทร์ก็เลยถูกวางบทบาทให้จำกัดอยู่แค่คิดถึงเรื่องตัวเอง  ยิ่งถ้าในประวัติบอกว่ามีชู้   ก็เอาไปเลย ผู้หญิงคนนี้คิดแต่กามราคะ  
  ส่วนพระเทียรราชานั้น ถ้าจะบวชเพราะกลัวอำนาจพระสนมเอกก็ดูจะอ่อนแอเกินไปหน่อย    สมเด็จฯท่านก็เลยสมมุติให้บวชเพื่อหลีกลี้กามราคะของนางมาร   ดูจะมีศีลธรรมมากกว่า
  อีกเรื่อง  สมเด็จฯท่านคงเห็นว่าแม่ฆ่าลูกเพื่อยกชู้ขึ้นเป็นใหญ่เป็นเรื่องสั่นคลอนพระคุณแม่ที่คนไทยยึดถือมากไป   ท่านก็เลยส่งความผิดข้อนี้ไปให้พ่อเลี้ยงรับไปแทนเรื่องกำจัดลูกชาย  แม่ไม่รู้เรื่องด้วย
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 31 ต.ค. 24, 10:27

   แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป  ค่านิยมของคนก็เปลี่ยนไปด้วย ทำให้เกืดความคิดใหม่ขึ้นมาไม่ขาดสาย    ขบวนการเฟมินิสต์ในทศวรรษ 1970s  ส่งผลมาถึงประเทศไทยให้เกิดการตื่นตัวในสิทธิและเสรีภาพของผู้หญิง   
   ตัวอย่างเช่นบทกวี  "อหังการของดอกไม้" ในหนังสือ "ใบไม้ที่หายไป"ของ จิระนันท์ พิตรปรีชา เป็นตัวอย่างการปลุกความคิดแบบเฟมินิสต์
            สตรีมีสองมือ                       มั่นยึดถือในแก่นสาร
เกลียวเอ็นจักเป็นงาน                          มิใช่ร่านหลงแพรพรรณ
สตรีมีสองตีน                                   ไว้ป่ายปีนความใฝ่ฝัน
ยืดหยัดอยู่ร่วมกัน                              มิหมายมั่นกินแรงใคร
สตรีมีดวงตา                                   เพื่อเสาะหาชีวิตใหม่
มองโลกอย่างกว้างไกล                        มิใช่คอยชม้อยชวน
สตรีมีดวงใจ                                    เป็นดวงไฟไม่ผันผวน
สร้างสมพลังมวล                               ด้วยเธอล้วนก็คือคน
สตรีมีชีวิต                                       ล้างรอยผิดด้วยเหตุผล
คุณค่าเสรีชน                                    มิใช่ปรนกามารมณ์
ดอกไม้มีหนามแหลม                            มิใช่แย้มคอยคนชม
บานไว้เพื่อสะสม                              ความอุดมแห่งแผ่นดิน!
   เดาว่าคนเขียนบทและผู้กำกับเป็นคน generation X  เข้าใจสิทธิของสตรีได้ดี   จึงไม่แปลกที่ท้าวศรีสุดาจันทร์ใน "แม่หยัว" จึงเป็นวีรสตรีคิดกอบกู้อาณาจักรเดิมของตนที่ตกอยู่ในอำนาจของอยุธยา  พระสนมอีกคนก็มีความทะเยอทะยานในแบบเดียวกัน   บทบาทนี้ทันสมัยกว่าจะสร้างให้ผู้หญิงพวกนี้ตบตีกันแย่งพระไชยราชา
    นอกจากนี้  การสร้างขุนชินราชให้เป็นคนรักเก่าของท้าวศรีสุดาจันทร์ก็ทำให้นางพ้นมลทินเรื่องคบชู้ไปได้อีกด้วย
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16060



ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 01 พ.ย. 24, 10:35

ประวัติท้าวศรีสุดาจันทร์ มีอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง เป็นของ ก.ศ.ร. กุหลาบ  คุณเทาชมพูเคยเล่าไว้ในเรือนไทย

ประวัติเรื่องหนึ่งที่สีสันน่าสนุกก็คือเรื่องของท้าวศรีสุดาจันทร์ อ้างว่าได้จากแผ่นหินที่หม่อมไกรสร (กรมหมื่นรักษ์รณเรศ) ได้มาจากกรุงเก่า  แต่เมื่อหม่อมไกรสรถูกสำเร็จโทษในรัชกาลที่ ๓ แผ่นหินนี้ก็ถูกถ่วงน้ำไป( ทำไมก็ไม่ทราบ) เลยไม่มีหลักฐานเหลือให้เห็น นอกจากในคำบอกเล่าของ ก.ศ.ร.กุหลาบ

นายกุหลาบเล่าว่า แผ่นหินนั้นจารึกประวัติของท้าวศรีสุดาจันทร์ว่าเดิมชื่อ บัวผัน เป็นลูกสาวชาวบ้านยากจน แต่เวลาเกิด มีแผ่นดินไหว ไฟไหม้หมู่บ้านหมด ๕๐ หลังคาเรือน พออายุ ๑ เดือนโกนผมไฟ  ฟ้าผ่าถูกต้นไม้ใหญ่ล้มบ้านเรือนพัง อายุ ๓ เดือน มีผึ้ง แมลงต่าง ๆ มาตอมเสมอ เพราะเกิดมาผิดคน มีกลิ่นตัวหอมหวานเหมือนดอกชำมะนาด รูปร่างหน้าตาก็สวยมาก บรรยายไว้เหมือนนางเอกในวรรณคดี

เจ้าเมืองรู้เรื่องเข้าเห็นประหลาดจึงทำเรื่องเล่าถวายเข้าไปในวัง พระอัครมเหสีก็นำตัวไปเลี้ยงไว้ จนอายุ ๑๒ วิ่งแก้ผ้าเล่นน้ำฝนพระไชยราชาธิราชเห็นเข้าจึงนำไปเลี้ยงเป็นนางพนักงาน แล้วได้เป็นเจ้าจอมเมื่ออายุ ๑๕-๑๖   นางไม่เหมือนคนธรรมดา เวลามีประจำเดือน ตากผ้าไว้ จะมีแมลงผึ้งมาตอมเพราะกลิ่นโลหิตนางหอมเหมือนเกสรดอกไม้

ส่วนขุนชินราช ในเรื่องนี้บอกว่าเป็นนักเทศน์ ร้องกล่อมถวายพระไชยราชาถึงพระแท่นที่บรรทม  จึงมีโอกาสพบท้าวศรีสุดาจันทร์ผู้เป็นอัครมเหสีฝ่ายซ้าย พอพระไชยราชาบรรทมหลับไป  ขุนชินราชก็เลยถือโอกาสเข้าไปในห้องของนาง แล้วได้เป็นชู้กัน

เรื่องราวของท้าวศรีสุดาจันทร์ บรรยายไว้ยาวมากหลายหน้ากระดาษ ถ้านำมาจากแผ่นหินจริงคิดว่าแผ่นหินนั้นคงใหญ่มากทีเดียว สำนวนเล่าก็เป็นสมัยรัชกาลที่ ๕ หรือ ๖ นี่เองค่ะ

จากกระทู้ ก.ส.ร.กุหลาบ  

ในเวอร์ชั่นนี้ มีการบรรยายถึงลักษณะเรือนกายของนางอย่างละเอียด

นาทีที่ ๑๑.๒๕ - ๑๘.๑๐



บัวผัน มีนามพระราชทานว่า "นางศรีจันทร์"

บัวผันรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทจนวัยล่วงเข้า ๑๔-๑๕ สมเด็จพระไชยราชาจึงยกขึ้นเป็นเจ้าจอม อยู่งานพระสนมเอก พระราชทานชื่อใหม่ว่า "นางศรีจันทร์" เพราะผิวเนื้อของนางละเอียดนวลเป็นสีเหลืองเหมือนสีผลจันทร์สุก ทั้งกลิ่นกายก็ยังหอมรัญจวนพระราชหฤทัย จึงโปรดปรานนางศรีจันทร์ยิ่งกว่าพระสนมองค์อื่น ๆ

เวอร์ชั่นนี้ ถ้าพูดอย่างเป็นทางการต้องว่า "เป็นการปลอมแปลงประวัติศาสตร์" แต่ถ้าอย่างชาวบ้านต้องว่า "เป็นนิยายประโลมโลกเรื่องหนึ่ง"
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 14  เมื่อ 01 พ.ย. 24, 11:48

ลอกที่เคยโพสไว้ในอดีต มาให้อ่านกันอีกที

ประวัติของท้าวศรีสุดาจันทร์ไม่มีบอกไว้ว่าก่อนขึ้นมานี้เป็นใครมาจากไหน
แต่เคยอ่านพบว่า  ตำแหน่งพระสนมเอกทั้งสี่ตำแหน่ง มาจากตำแหน่งธิดาเจ้าเมืองหรือแคว้นต่างๆส่งเข้ามาถวาย
ก็น่าจะเป็นไปได้  เพราะตามกฎมณเฑียรบาลสมัยพระบรมไตรโลกนาถ  เราก็มีประเพณีในราชสำนักที่มีระเบียบละเอียดถี่ถ้วนเอาการ
การรับลูกสาวเจ้าบ้านผ่านเมืองมาเป็นพระสนมเอก ยังมีมาถึงจนรัตนโกสินทร์ ซึ่งต่อเนื่องวัฒนธรรมจากอยุธยาตอนปลาย 
ส่วนเรื่องเป็นชู้กัน  ในพงศาวดารบอกว่า มาเป็นตอนพระไชยราชาสวรรคตแล้ว  แต่ในนี้บอกว่าลักลอบกันก่อน
ดูๆก็แปลก เพราะพระไชยราชาไม่น่าจะอนุญาตให้ผู้ชายเข้าไปกล่อมคำร้องถวายถึงห้องพระบรรทมได้   ไม่มีประเพณีจะทำเช่นนั้น   คนที่จะกล่อมพระบรรทมคือพวกผู้หญิงในวัง เสียงดีๆ
ไม่มีผู้ชาย เพราะเสี่ยงกับอันตรายมาถึงองค์อย่างหนึ่งละ  และทางฝ่ายใน ไม่มีผู้ชายคนไหนจะเข้าไปได้ถึงขนาดนั้นด้วย 
แม้แต่แพทย์หลวงเข้าไปรักษาพระอาการ ก็ต้องมีคนคุมทุกก้าว กลางคืนยังต้องนอนข้างนอกตามพระระเบียง หรือท้องพระโรง   แถมห้ามกางมุ้งเสียอีก เพื่อไม่ให้แอบหลบซ่อนทำอะไรผิด
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3 4
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.058 วินาที กับ 19 คำสั่ง