เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 2 [3] 4
  พิมพ์  
อ่าน: 15441 แม่หยั่วเมือง
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 30  เมื่อ 09 พ.ย. 24, 16:08

 " แม่หยัว" เป็นข่าวขึ้นมาอีกครั้ง   คราวนี้ไม่เกี่ยวกับแม่หยัวศรีสุดาจันทร์  หรือตัวละครตัวไหน แต่เกี่ยวกับแมว (น่าสนใจสำหรับคนรักสัตว์)
  มีเหตุการณ์ว่าแมวน้อยตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นตัวประกอบในเรื่อง ถูกวางยา    ทำออกมาได้สมจริงว่าแมวที่เข้าฉากนั้นมีอาการชักกระตุก แล้วขย้อนออกมา อย่างสมจริงมาก    จึงมีผู้ชมจำนวนหนึ่งเกิดสงสัยว่ากำกับกันอย่างไรถึงทำให้แมวเล่นบทนี้ได้แนบเนียนจนเหมือนจะตายจริง
   คนในกองถ่ายโพสไขข้อข้องใจว่า แมวไม่ได้ตาย  แค่ถูกวางยาสลบ  แล้วก็ฟื้นเป็นปกติในที่สุด
   การไขข้อข้องใจนี้เลยกลายเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะกับคนรักแมว    ว่าเป็นการทารุณสัตว์หรือเปล่า


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 31  เมื่อ 09 พ.ย. 24, 16:09

ร้อนถึงผู้กำกับการแสดงต้องออกมาชี้แจง


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 32  เมื่อ 09 พ.ย. 24, 16:10

แต่สงสัยว่าจะช้าไปหน่อยแล้ว


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 33  เมื่อ 09 พ.ย. 24, 16:14

ผลก็คือ....


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 34  เมื่อ 09 พ.ย. 24, 16:18

ปฏิกิริยาจากคนรักแมว


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8425


ความคิดเห็นที่ 35  เมื่อ 11 พ.ย. 24, 14:38

จากนสพ.มติชน (ตัดทอนบางส่วน)

                ประวัติศาสตร์เปลี่ยนแน่ รศ.ดร.รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล เปิดฉากทัศน์ ‘ถ้าศรีสุดาจันทร์ไม่ใช่ผู้แพ้’

วันที่ 10 พฤศจิกายน 2567
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.matichon.co.th/prachachuen/news_4890256

            “ผู้ที่บอกว่า แม่หยัว มาจากคำว่า แม่อยู่หัว คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ แต่เดิม
มีพ่อเมือง ส่วนนางเมือง คือ ชายาเจ้าเมือง เพราะฉะนั้น เมื่อพ่ออยู่หัว คือพระเจ้าอยู่หัว แม่อยู่หัว ก็คือ พระเทวี อัครมเหสี”
             มุมมองของนักประวัติศาสตร์ ที่ย้ำว่า “พระราชพงศาวดาร คือวรรณคดียอพระเกียรติ ประวัติศาสตร์ คือวรรณกรรมที่แต่งโดยผู้ชนะ”

ในละคร  แม่หยัว ออกนาม ‘อโยธยา’ โดยสื่อความถึงอยุธยา ตามประวัติศาสตร์คือยังมีการตกค้างมาของชื่อนี้ในความทรงจำ?

             คือจริงๆ แล้ว ชื่ออโยธยาในกรุงมันเปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว แต่เอกสารที่อยู่นอกกรุง เช่นพวกจารึกที่พบในเขตนครสวรรค์ขึ้นไป
ยังคุ้นชินกับการเรียกชื่อเก่า คือ อโยธยา หรือแม้กระทั่งตำนานที่แต่งขึ้นในแถบลำน้ำปิง ก็ยังเรียกอโยธยาอยู่ หรือในตำนานอุรังคธาตุ
เรียกอโยธยา แต่ชื่อในกรุง เรียกอยุธยาแล้ว อย่างไรก็ตาม นักวิชาการกลุ่มกระแสหลัก ยังเชื่อว่า คำว่าอโยธยา ถูกใช้มาจนถึงช่วง
เสียกรุงครั้งที่ 1 เพราะฉะนั้น เมื่อแม่หยัวในซีรีส์ ออกนาม อโยธยา ก็ถือว่าไม่ผิด
            ตัวเมืองอโยธยาเกิดขึ้นเมื่อไหร่ อย่างน้อยปรากฏในพระไอยการลักษณะเบ็ดเสร็จ ราวปี 1776 ซึ่งระบุถึงพระราชาที่ทรงนามว่า
รามาธิบดีแล้ว แม้ว่าหลักฐานในพระราชพงศาวดารเองไม่พูดถึงอโยธยา แต่มีหลักฐานในพระอัยการทั้งหลายที่พูดถึงการบริหารบ้านเมือง
ก่อน พ.ศ.1893 ซึ่งเป็นปีที่ถูกระบุว่าสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) สถาปนากรุงศรีอยุธยา
            สำหรับผู้ที่ชี้ว่าอโยธยาเป็นเมืองก่อนการสถาปนาอยุธยา และสมเด็จพระรามาธิบดีเสด็จมาจากที่นั่น คือรัชกาลที่ 5 และ
พระยาโบราณราชธานินทร์ แต่หลังจากที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเชื่อเรื่องสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 มาจากเมืองอู่ทอง
การศึกษาเรื่องราวของอโยธยาก็เงียบหายไปเกือบ 30 ปี จนกระทั่งธนิต อยู่โพธิ์ อธิบดีกรมศิลปากรในขณะนั้นฟื้นเรื่องอโยธยาขึ้น
แล้วตามมาด้วยงานของอาจารย์มานิต วัลลิโภดม และจิตร ภูมิศักดิ์ ที่เป็นตัวปลุกว่าเมืองอโยธยาอยู่ฝั่งตะวันออกของลำน้ำป่าสัก
คือบริเวณสถานีรถไฟอยุธยาในปัจจุบัน
             สำหรับ อโยธยา กับ อยุธยาคือ สำนวนกวี ความหมายสื่อถึงเมืองของพระราม ผู้ครองเมืองจึงมีพระนามว่าสมเด็จพระรามาธิบดี
             ชื่ออโยธยาที่หายไป เดิมศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร ตีความว่าอโยธยาเป็นชื่อที่หลังจากเสียกรุงครั้งที่ 1 ไปแล้ว
กลายเป็นชื่อไม่มงคล เพราะฉะนั้นพอสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช จากเมืองพระพิษณุโลกมาครองอยุธยา เลยเปลี่ยนชื่อจากอโยธยา
เป็นอยุธยา แต่ประเด็นนี้มีข้อสงสัยว่าจริงๆ แล้ว เปลี่ยนเมื่อครั้งสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ย้ายศูนย์กลางจากฝั่งตะวันออก
ของลำน้ำป่าสักมาตั้งวังใหม่บริเวณหนองโสนหรือเปล่า เพราะในอัยการกฎหมายโบราณเรียกอยุธยาหมดเลย ที่สำคัญคือ ถ้าเปลี่ยนใน
รัชกาลสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชจริง สำเนียงที่เรียกกรุงศรีอยุธยาที่ปรากฏในหมิงสือลู่ในเอกสารก่อนหน้าเสียกรุงครั้งที่ 1 และ
เอกสารจีนหลังเสียกรุง การออกชื่ออยุธยาต้องเปลี่ยนไปด้วย แต่ปรากฏว่าไม่เปลี่ยน
             เพราะฉะนั้น ส่วนตัวจึงเชื่อว่าอโยธยาเปลี่ยนตอนย้ายศูนย์กลางมาที่หนองโสน ดังนั้น อโยธยาจบไปตั้งแต่ตอนที่เกิดโรคระบาดแล้ว
ย้ายเมือง

แม่หยัวที่วัดแร้ง


บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8425


ความคิดเห็นที่ 36  เมื่อ 11 พ.ย. 24, 14:43

           ทีนี้ การเมืองก่อนการเสียกรุงครั้งที่ 1 มีลักษณะ สามเส้า คือ สุพรรณ ชิงกับละโว้ ซึ่งการชิงกันครั้งเด็ดขาด เกิดขึ้นในสมัย
สมเด็จพระนครินทราธิราชที่สามารถขจัดพวกวงศ์ละโว้ไปได้
           ในขณะเดียวกัน พวกวงศ์พระร่วง ทางภาคกลางตอนบนเป็นคลื่นใต้น้ำ และลงมารับราชการที่อยุธยาอยู่เสมอ ที่สำคัญคือ
พวกวงศ์พระร่วงกะดองญาติกับพวกวงศ์สุพรรณ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ขุนพิเรนทรเทพจะมาเกี่ยวกับพวกวงศ์สุพรรณ และก็ไม่ใช่
เรื่องแปลกที่แม่หยัวซึ่งเป็นคนฝั่งละโว้จึงมาชิงอำนาจคืนกลับไปให้วงศ์ตัวเอง

            โครงสร้างหลักตามประวัติศาสตร์ พูดถึงเรื่องการชิงกันระหว่าง 2 วงศ์ คือ สุพรรณกับละโว้ โดยท้ายสุด พวกวงศ์พระร่วง
มาร่วมวงกับวงศ์สุพรรณด้วย
            ท้าวศรีสุดาจันทร์ ปัญหาคือ เราไม่รู้ว่าหลังจากที่พระเธียรราชาขึ้นเสวยราชย์เป็นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิแล้ว มีการแก้
ประวัติศาสตร์กันมากน้อยเพียงใด ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่า ศรีสุดาจันทร์ เป็นผู้แพ้ แน่นอนว่า พงศาวดารถูกเขียนโดยผู้ชนะ
            แต่ถ้าศรีสุดาจันทร์ชนะ ประวัติศาสตร์ย่อมถูกเขียนโดยขุนวรวงศาธิราช ศรีสุดาจันทร์จะเป็นตัวเอกทันที เธอจะเป็นผู้เสียสละ
ให้แก่วงศ์ละโว้ เป็นวีรสตรีที่กู้วงศ์ละโว้ แล้วสุริโยทัยจะเงียบไปเลย ศรีสุริโยทัยจะไม่ใช่นางเอก
            สิ่งที่สร้างความชอบธรรมให้แก่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ คือบอกว่า ศรีสุดาจันทร์ เลว ความเลวสุดของผู้หญิงยุคนั้นคือ มีชู้
แล้วนี่ยังฆ่าผัว ฆ่าลูกอีก

            คำให้การชาวกรุงเก่าระบุเองว่าเมื่อขุนวรวงศาขึ้นเสวยราชย์ พระราชพงศาวดารเก่าๆ ถูกทิ้งน้ำหมด ความในพระราชพงศาวดาร
จะเริ่มละเอียดตั้งแต่แผ่นดินสมเด็จพระจักรพรรดิ ก่อนหน้านั้นคือ รัชกาลสมเด็จพระไชยราชาขึ้นไป จะขาดเป็นท่อนๆ เหตุการณ์จะเป็นปีๆ
ไม่มีความละเอียด ในรัชกาลพระไชยราชาเองก็ไม่ได้มีความละเอียดอะไรมาก เอาง่ายๆ ว่าเรื่องพระไชยราชาขุดคลองลัดบางกอก ก็เป็น
ความทรงจำของคนอยุธยาตอนปลาย ไม่ได้เขียนขึ้นในสมัยพระไชยราชา แต่พอมาถึงสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิปุ๊บ มีดีเทลเยอะ
ตั้งแต่การคล้องช้าง, พระเจ้าแปรเสด็จ, ตะเบงชเวตี้มา แม้กระทั่งพระศรีศิลป์จะก่อกบฏก็มีดีเทล
           เพราะฉะนั้น คำให้การชาวกรุงเก่า ที่ว่าขุนวรวงศาเอาพงศาวดารไปถ่วงน้ำ ถือว่าพอมีมูล เพราะมันหายไปเลยจริงๆ แล้วถ้าไปดู
มหาชาติคำหลวง บอกว่า พงศาวดารเริ่มตั้งแต่พระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ จบที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ คือเล่มที่ 15 แสดงว่าเดิม
มันต้องเยอะกว่านี้ ที่เหลืออยู่คือความสั้นๆ เท่านั้น

           ประวัติศาสตร์บ้านเราพึ่งจากพระราชพงศาวดารเป็นส่วนใหญ่ ฐานข้อมูลที่จะใช้บิดซ้ายบิดขวา มีน้อย เดี๋ยวบิดแล้วจะโดนหา
ว่าบิดเบือนประวัติศาสตร์ ซวยอีก

ประวัติศาสตร์ในรัชสมัยพระไชยราชา ส่วนตัวมีประเด็นไหนที่สนใจ นอกเหนือจากแม่หยัว หรือ ศรีสุริโยทัย?

           เรื่องคลองขุดสมัยพระไชยราชา (คลองลัดบางกอก) ที่ไม่ได้ปรากฏหลักฐานในสมัยพระไชยราชา แต่ปรากฏใน
พระราชพงศาวดารกรุงสยามฉบับบริติชมิวเซียมที่ชำระในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น กล่าวถึงเกียรติยศพระเจ้าเสือขุดคลองมหาไชย
และอ้างครั้งแผ่นดินเก่าๆ ว่ามีใครทำอะไรไว้บ้าง โดยบอกว่า พระไชยราชาขุดคลองลัดบางกอก ซึ่งเดิมลำน้ำเข้าไปทางบางกอกน้อย
คลองชักพระ คลองบางกอกใหญ่
           คลองลัดบางกอกนี้ ขุดแล้วไม่ได้ใหญ่ทันที เข้าใจว่ามาใหญ่ตอนสมเด็จพระเจ้าปราสาททองขุดคลองอ้อม แถวเมืองนนท์
กระแสน้ำเลยเปลี่ยน ไหลพุ่งตรง พอพุ่งตรงปุ๊บ ลำน้ำเจ้าพระยาข้างวัดโพธิ์เลยกว้างขึ้น สมเด็จพระนารายณ์ จึงย้ายธนบุรีมาตั้งอยู่ตรงนี้เลย
           นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่พระไชยราชาสวรรคตระหว่างทางกลับจากรบเชียงใหม่ โดยมีการปลงศพนอกเมือง เราเคยคิดหรือเปล่าว่า
มันเป็นธรรมเนียมเรื่อง คนตายนอกเมือง ไม่เอาเข้าเมือง อย่างพญากือนา (กษัตริย์ล้านนา) ก็เช่นกัน คือไม่เชิญพระศพเข้าเมือง แม้กระทั่ง
พระสุริโยทัย มีการนำพระศพตั้งที่สวนหลวงสบสวรรค์ ซึ่งตอนนั้นยังไม่ถือว่าอยู่ในเขตเมือง

จากเว็บผจก.


บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8425


ความคิดเห็นที่ 37  เมื่อ 11 พ.ย. 24, 14:47

           ถ้ามองอยุธยาตอนต้นว่ามีแค่วงศ์เดียว โดยปราศจากวงศ์สุพรรณ นั่นจะเป็นประวัติศาสตร์กระแสหลักไป เพราะจริงๆ แล้ว
มี 2 วงศ์ที่ชิงอำนาจกันในช่วงต้นกรุงศรีอยุธยา คือละโว้และสุพรรณ โดยมีวงศ์พระร่วงเป็นคลื่นใต้น้ำ ถ้าทำความเข้าใจประเด็นนี้
จะมองภาพได้กว้างขึ้น

          ประวัติศาสตร์อยุธยาหลังเสียกรุงครั้งที่ 1 ต้องดูเอกสารฝรั่ง ส่วนก่อนเสียกรุงครั้งที่ 1 ยุคต้นอยุธยา และช่วงเวลาร่วมสมัย
แม่หยัวศรีสุดาจันทร์ นอกจากดูเอกสารโปรตุเกส เราลืมเทียบขนบ ลืมสอบทานเอกสารรอบข้าง อย่างเขมร เชียงใหม่ ล้านช้าง
และพม่า โดยเฉพาะล้านช้าง เพราะพระโพธิสาลราช และสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช ทรงส่งพระสาส์นมาเจรจาความกับสมเด็จ
พระมหาจักรพรรดิด้วย แต่เรายังไม่ได้ศึกษาละเอียด

          ผมสนใจการเปลี่ยนแปลงครั้งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เพราะถ้าขบประวัติศาสตร์สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแตก
จะไขปริศนาในประวัติศาสตร์อยุธยาได้อีกหลายประการ รวมถึงถึงปมปัญหาในรัชกาลพระไชยราชาด้วย เนื่องจากสิ่งที่เกิดขึ้น
หลายอย่างเป็นผลจากระบบกฎมณเทียรบาลที่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงวางเอาไว้
         ผมยังอยากรู้ว่า ที่กล่าวกันว่า สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงเป็นลูกเทวีจากสุโขทัย จริงหรือไม่ และที่ทรงยกวังเป็นวัด
ใช่วัดพุทไธสวรรย์หรือเปล่า รวมถึงประเด็นที่ว่าทรงออกผนวชที่เมืองพิษณุโลก และเสด็จสวรรคตในผ้าเหลือง ก็ยังมีปัญหา
เพราะพระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) สับสนท่อนนี้
          ที่สำคัญคือ ทรงเป็นต้นเหตุในการชิงบัลลังก์ของสมเด็จพระไชยราชาหรือเปล่า เพราะทรงโปรดให้พระโอรสองค์โต คือ
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 เป็นกษัตริย์ เมื่อสึกแล้วก็คืนพระราชบัลลังก์ให้ ปรากฏว่าสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงชี้
สมเด็จพระเชษฐาธิราชเป็นพระอุปราช เมื่อสมเด็จพระบรมราชาที่ 3 สวรรคต พระเชษฐาธิราชจึงขึ้นเป็นสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
ปัญหาคือพระโอรสของสมเด็จพระบรมราชาที่ 3 คือ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 (สมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูร) หรือเปล่า
          และพระไชยราชาอาจเป็นโอรสของพระรามาธิบดีที่ 2 หรือไม่ ปัญหาคือ พระไชยราชานั้น ในแผ่นดินหน่อพุทธางกูร
ทรงเสวยราชย์อยู่ที่พิษณุโลกแล้ว ก็เหมือนเป็นแคนดิเดต ฉันอยู่ตรงนี้ ฉันต้องขึ้นเป็นกษัตริย์ ทำไมปล่อยให้สมเด็จพระรัษฎาธิราชขึ้น
เพราะฉะนั้นพระไชยราชาก็ต้องไม่ยอม

ถ้ากลับไปกระซิบอาลักษณ์ครั้งกรุงเก่าได้ ประวัติศาสตร์ช่วงไหน รายละเอียดใดที่จะไปย้ำว่า ต้องบันทึกไว้ ไม่ให้หลุด!

           ขอกระซิบขุนวรวงศาแทน ว่าอย่างน้อยพงศาวดารที่ว่าด้วยเรื่องกรุงอโยธยา ก่อนสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)
ช่วยเก็บไว้สักเล่มสองเล่มได้ไหม อย่าเอาไปถ่วงน้ำ

คำถามสุดท้าย แม้ประวัติศาสตร์ ไม่มี ‘ถ้า’ แต่อยากถามว่า ถ้าศรีสุดาจันทร์ชนะ จะส่งผลอย่างไร?

           วงศ์สุพรรณเหี้ยนเตียนแน่ ขุนวรวงศาธิราชคงจะเคลียร์หัวเมืองฝ่ายเหนือ (สุโขทัยเดิม) เมื่อวงศ์ละโว้ขึ้นมาคงจะไม่ปล่อยให้
วงศ์สุพรรณลอยนวล ดังนั้นจะต้องมีการสลายขั้วอำนาจเดิม ซึ่งในที่นี้ไม่ใช่แค่เชื้อพระวงศ์เท่านั้น มันต้องรวมไปถึงขุนนางผู้ภักดี
อย่างน้อยต้องมีการสำเร็จโทษเจ้านายฟากสุพรรณ
           หัวเมืองฝ่ายเหนือหรือพวกสุโขทัยเดิม คงจะถูกควบคุมมากยิ่งขึ้นเพราะตอนที่ขุนวรวงศาธิราชยังมีพระชนม์ชีพ ก็เริ่มให้ 7 พระยา
หัวเมืองเหนือมาเฝ้าเเล้ว
           ส่วนพระราชพงศาวดารจะต้องมีการแก้ใหม่ สมเด็จพระไชยราชาธิราช จะกลายเป็นตัวร้าย และวงศ์ละโว้น่าจะฟื้นวัฒนธรรมเขมร
มาใช้แทนวัฒนธรรมไท-ลาวของวงศ์สุพรรณภูมิ


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 38  เมื่อ 11 พ.ย. 24, 18:54

    ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการสันนิษฐานเกือบจะ 100 %   เพราะขาดหลักฐานมาสนับสนุนมากกว่านี้
ื   แต่ก็คงจะพูดได้อย่างเต็มปากว่า ขุนวรวงศาฯ ไม่ว่าเป็นใครมาจากไหนก็ตาม   ต้องเป็นคนละฝ่ายกับพระเทียรราชาและขุนพิเรนทรเทพแน่นอน   
    การนั่งเก้าอี้ประมุขไม่ว่าระบอบการปกครองแบบไหน จำเป็นต้องมีผู้สนับสนุนจำนวนมากกว่าผู้คัดค้าน  สมัยอยุธยา การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลแบบกะทันหันไม่มีการยุบสภาหรือลาออก    แต่เปลี่ยนด้วยวิธีล้มล้าง     เพราะฉะนั้นถ้าขุนพิเรนทรเทพไม่ชิงลงมือเสียก่อน     ขุนวรวงศาฯ ก็จะสะสมกำลังได้มากขึ้นจนยากแก่การกำจัด    ไปๆมาๆ ขุนพิเรนทรเทพอาจถูกกำจัดเสียเองในฐานะผู้สนับสนุนอำนาจเก่า   คือไม่ได้เป็นฝ่ายสนับสนุนอำนาจใหม่ก็ถูกอนุโลมเป็นฝ่ายอำนาจเก่าโดยปริยาย
   น่าสังเกตว่าขุนพิเรนทรเทพไม่มีกำลังในมือมากพอจะทำได้อย่างออกญากลาโหม(หรือพระเจ้าปราสาททอง)  ซึ่งบุกวังยึดอำนาจเอาง่ายๆ     ต้องใช้วิธีลอบสังหาร คือล่อขุนวรวงศาฯและแม่หยั่วเมืองศรีสุดาจันทร์ให้ออกห่างจากขุมกำลังในเมืองหลวง  มีคนติดตามไม่กี่คน    ถึงเวลาก็จู่โจมถึงตัว รีบสังหารเสียโดยเร็วที่สุด  ไม่เอาตัวกลับมาประหารในเมือง เสี่ยงกับสถานการณ์พลิกกลับ  พรรคพวกของขุนวรวงศาฯซึ่งน่าจะมีอยู่ในเมืองอาจชิงอำนาจกลับคืนได้
   ส่วนการอัญเชิญพระเทียรราชาขึ้นครองราชย์   ก็เป็นไปโดยเรียบร้อย   ไม่มีการกล่าวถึึงการสู้รบ    ลักษณะนี้บอกบ่งว่าพรรคพวกขุนวรวงศาฯ ไม่น่าจะมีมากนัก   ไม่ปรากฏว่ามีกำลังจากละโว้ หรือเมืองไหนที่สันนิษฐานกันว่าเป็นที่มาของแม่หยั่วเมืองและขุนวรวงศาฯ ลุกขึ้นมาหือมาอือ      ขุนนางทั้งหลาย passive  คือวางเฉยกันหมด   แบบใครมาเป็นเจ้าก็ได้ไม่ว่ากัน     ดิฉันก็เลยตั้งข้อสงสัยเรื่องเชื้อสายละโว้ของแม่หยั่วเมือง ว่าเป็นเรื่องละครล้วนๆ  ไม่ค่อยมีน้ำหนักรองรับเท่าไหร่
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 39  เมื่อ 12 พ.ย. 24, 08:23

ขุนวรวงศาฯครองราชย์น้อยจังเลย ทำไมถูกลอบสังหารเร็วมากไม่ระวังตัวบ้างหรืออย่างไร
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 40  เมื่อ 12 พ.ย. 24, 08:24

   ย้อนนึกถึงท่า "พับเป็ด" แล้วนึกได้ว่า เคยได้ยินผู้ใหญ่เรียกท่านั่งท่าหนึ่งว่า "พับเพียบเป็ด"   น่าจะสูญหายไปจากความทรงจำของคนไทยแล้ว
    ท่านั่งคุกเข่าที่ถูกต้องของคนไทยยุคก่อนคือนั่งคุกเข่าตั้งปลายเท้าทั้งสองยันพื้น ให้นิ้วเท้าพับลงราบกับพื้น เท้าทั้งคู่แนบชิดสนิทกัน นั่งทับลงบนส้นเท้าทั้งคู่   แยกหัวเข่าทั้งสองออกห่างกันประมาณ ๑ คืบ   เพื่อกราบพระรัตนตรัย   หรืออยู่ต่อหน้าเจ้านายและผู้ใหญ่ที่เคารพ
    แต่ถ้าเด็กๆนั่งแบบสบายๆที่บ้าน   ไม่ต้องตั้งปลายเท้า  เท้าคว่ำวางราบลงบนพื้น    แบบเดียวกับท่านั่งของชาวญี่ปุ่น
    ท่านี้ เรียกว่า พับเพียบเป็ด  


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 41  เมื่อ 12 พ.ย. 24, 08:40

ขุนวรวงศาฯครองราชย์น้อยจังเลย ทำไมถูกลอบสังหารเร็วมากไม่ระวังตัวบ้างหรืออย่างไร
ขุนนางฝ่ายตรงข้ามต้องรีบลงมือ   ทิ้งไว้นานไม่ได้ค่ะ   เพราะถ้าขุนวรวงศาฯ ยิ่งอยู่นานเท่าไรก็มีโอกาสสร้างสมขุมกำลังมากขึ้นเท่านั้น 
การล่อออกไปให้คล้องช้างเผือก  น่าจะเป็นเพราะขุนพิเรนทรเทพรู้จุดอ่อนของขุนวรวงศาฯ  ที่กำลังกระหายอยากสร้างบารมีอยู่แล้ว   เพราะเป็นความเชื่อว่าแผ่นดินไหนมีช้างเผือกมาสู่บารมี จะหนุนดวงกษัตริย์ให้เป็นจักรพรรดิ   ขุนวรวงศาฯก็คงดีใจว่าข่าวนี้แสดงว่าบารมีมาถึงแล้ว  เลยไม่ระแวง
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16060



ความคิดเห็นที่ 42  เมื่อ 17 พ.ย. 24, 18:35

ประวัติศาสตร์ พงศาวดารและบันทึกคำให้การของฝ่ายไทยอาจจะไม่นับ "ท้าวศรีสุดาจันทร์" เป็นกษัตริย์ แต่ศาสตราจารย์ ดร. สุเนตร ชุตินธรานนท์ ผอ.ศูนย์พหุวัฒนธรรมศึกษาและนวัตกรรมทางสังคม สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า

"ท้าวศรีสุดาจันทร์ ไม่ได้ขึ้นมาเป็นกษัตริย์ เพราะจารีตของอยุธยาไม่เป็นอย่างนั้น แต่เป็นเรื่องน่าแปลกที่ในพงศาวดารของพม่า ซึ่งได้เรื่องราวจากพงศาวดารไทย เขามาลิสต์รายชื่อของกษัตริย์อยุธยา ซึ่งมีตำแหน่งของ ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นตำแหน่งของท้าวศรีสุดาจันทร์ พม่านับเป็นกษัตริย์ให้ด้วย และผมเชื่อว่า เหตุการณ์ กรณีท้าวศรีสุดาจันทร์ เป็นเรื่องที่สำคัญมากจริง ๆ สร้างแรงสั่นสะเทือน ให้กับราชสำนักอยุธยา เพราะหลังจากนั้น เราไม่เห็นว่า มีผู้หญิงคนใดที่จะได้มีอำนาจ ขึ้นมาเทียบเท่าศรีสุดาจันทร์อีกแล้ว"

เรื่องของ "นางพระยาแม่อยู่หัว ท้าวศรีสุดาจันทร์" ผู้สำเร็จราชการ "พระยอดฟ้า" ยุวกษัตริย์ องค์ที่ ๑๔ แห่งอยุธยา มีหลักฐานน้อย เป็นเรื่องของการตั้งสมมติฐาน และตีความเป็นส่วนใหญ่



๐๐.๐๐ Intro
๐๑.๔๕ อธิบายคำว่า "แม่หยัว"
๐๙.๕๕ อู่ทอง-สุพรรณภูมิ ศึกชิงอำนาจ กรุงศรีอยุธยา
๑๒.๓๕ พระสนมสี่ทิศ
๑๕.๑๔ การมีอำนาจ ของท้าวศรีสุดาจันทร์
๑๖.๔๙ ท้าวศรีสุดาจันทร์ ร้ายจริงหรือไม่ ?
๒๐.๕๗ การยอมรับ ขุนวรวงศาธิราช เป็นหนึ่งในกษัตริย์อยุธยา
๒๓.๒๕ กรุงศรีอยุธยา แย่งชิงราชบัลลังก์ เป็นเรื่องปกติ
๒๖.๐๔ พงศาวดารพม่า ยกท้าวศรีสุดาจันทร์ เป็นหนึ่งในกษัตริย์
๒๗.๔๙ การถูกชิงราชสมบัติ ของขุนวรวงศาธิราช
๓๑.๔๓ การขึ้นสู่ราชบัลลังก์ของ พระเฑียรราชา
๓๙.๔๒ จุดเริ่มต้นความระหองระแหง กรุงศรีฯ กับ พระมหาธรรมราชา
๔๒.๐๔ ข้อมูลใหม่ ๆ ทางประวัติศาสตร์ ที่มีความเปลี่ยนแปลง
๔๕.๒๖ ประวัติศาสตร์กับคนรุ่นใหม่
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 43  เมื่อ 18 พ.ย. 24, 11:01

เท่าที่ตั้งข้อสังเกตได้ จากพงศาวดาร ไม่ใช่จากละครและบทความ
1   ศรีสุดาจันทร์ เป็นสามัญชน   ไม่ว่าจะมีเชื้อสายละโว้หรือเมืองไหน หรือไม่มีเชื้อสายเลย  ที่แนๆคือไม่ใช่เจ้านายสตรี   จึงเป็นได้เพียงพระสนม  ไม่มีการสถาปนาขึ้นเป็นพระมเหสี
2    เมื่อพระไชยราชาฯสวรรคต จะด้วยเหตุอะไรก็ตาม   ท้าวศรีสุดาจันทร์ขึ้นเป็นใหญ่ได้เพราะมีพระโอรส    ไม่ได้เป็นใหญ่เพราะยศตำแหน่งตัวเอง
3   ความเยาว์วัยของพระยอดฟ้า ทำให้อำนาจตกอยู่ในมือท้าวศรีสุดาจันทร์  แต่มีอุปสรรคหลายอย่างทำให้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จด้วยตัวเองไม่ได้ เช่นเป็นผู้หญิง /  เป็นคนละฝ่ายกับพระญาติของพระไชยราชา / ไม่มีขุมกำลังในมือ     จึงต้องอาศัยพลังของขุนชินราชช่วยค้ำอำนาจอีกทีหนึ่ง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 44  เมื่อ 21 พ.ย. 24, 08:24

(ต่อ)
      4  พระไชยราชานับว่าเป็นกษัตริย์นักรบผู้หนึ่ง    แสดงว่าต้องมีขุนนางที่เป็นนักรบอยู่จำนวนมาก  พูดอีกทีคือมีขุมกำลังในราชสำนัก    แต่หลังจากสวรรคต   ไม่ปรากฏว่ามีการคัดค้านหรือต่อต้านที่พระโอรสอายุน้อยจะขึ้นครองราชย์ ทั้งที่รู้ว่ามีพระสนมเอกกุมอำนาจอยู่เบื้องหลังอีกที
     5   พระไชยราชาไม่ได้ให้ขุมกำลังแก่พระญาติ     เห็นได้จากพระเทียรราชาไม่มีอำนาจใดๆ  จนต้องตัดปัญหาไปบวช เพื่อไม่ให้เป็นที่เพ่งเล็ง    จึงน่าคิดว่าในสมัยที่ครองราชย์  พระไชยราชารวบอำนาจเบ็ดเสร็จแต่ผู้เดียว  ขุนนางใหญ่ๆในตอนนั้นรวมตัวกันไม่ติด   จนกระทั่งขุนนางชั้นผู้น้อย ขุนพิเรนทรเทพตัดสินใจวางแผนลอบสังหารขึ้นมา
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.07 วินาที กับ 19 คำสั่ง