เรียนคุณศิลา ครับ
น้องเคลียแก้มเกลือกไว้ก่อนให้พี่
ซ้ำกราบที่กลางหมอนเคยนอนหนุน
ยามพี่แนบหน้านอนหมอนละมุน
จงหอมกรุ่นแก้มและกราบกำซาบทรวง
บทกวีนี้ถูกแต่งขึ้นโดย คุณ สวัสดิ์ ธงศรีเจริญ ครับ
แล้วถูกนำไปใช้แต่งเป็นเพลงสุนทราภรณ์
ในภายหลังครับ อย่างที่คุณกล่าวมา
ส่วนกลอนนี้เป็นตอนที่ จินตหรารำพันถึงอิเหนาว่า
โอ้ว่าอนิจจาความรัก เพิ่งประจักษ์ดังสายน้ำไหล
ตั้งแต่จะเชี่ยวเป็นเกลียวไป ที่ไหนจะไหลคืนมา
จากข้อมูลที่หาได้ลองดูตามนี้นะครับ ผมไม่แน่ใจว่าส่วนนี้จะมาจากอิเหนาเล็กหรือไม่
ขออนุญาตยกข้อความมาจาก สกุลไทย
http://www.sakulthai.com/dsakulcolumnDetail.asp?stcolumnid=1623&stissueid=2497&stcolcatid=2&stauthorid=13 ประวัติเรื่องที่มาแพร่หลายในเมืองไทยปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศกษัตริย์พระองค์ที่ ๓๑ เป็นที่รู้กันอยู่ว่าพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศนั้น ทรงมีพระมเหสี พระสนม และพระราชโอรสธิดามากมายกว่ากษัตริย์พระองค์ใด พระมเหสีองค์หนึ่งคือเจ้าฟ้าสังวาลย์ (เจ้าฟ้าสังวาลย์ซึ่งนัยว่ามีความสัมพันธ์ชู้สาวกับเจ้าฟ้ากุ้งหรือเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ และพระอัครมเหสีนั่นแหละ) เจ้าฟ้าสังวาลย์มีพระราชธิดาสององค์ คือเจ้าฟ้ากุณฑลกับเจ้าฟ้ามงกุฎ ทั้งสองพระองค์มีพระพี่เลี้ยงเป็นแขกมลายู พระพี่เลี้ยงได้เล่าเรื่องอิเหนาให้ฟังแต่เล่ากันเป็นทำนองนิทานหลายอย่าง บ้างก็ว่าอิเหนาไปหลงนางชาวป่า บ้างก็ว่าอิเหนาไปหลงธิดาเมืองอื่น ดังนั้น สองพระองค์จึงทรงพระนิพนธ์บทละครกันพระองค์ละเรื่อง เจ้าฟ้ากุณฑลทรงพระนิพนธ์เรื่อง “ดาหลัง” หรืออิเหนาใหญ่ เจ้าฟ้ามงกุฎทรงพระนิพนธ์เรื่อง “อิเหนา” หรือ อิเหนาเล็ก
ปรากฏว่าคนชอบเรื่องอิเหนามากกว่าเรื่องดาหลัง เรื่องอิเหนาเล็กจึงแพร่หลายมากกว่า
เมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาบทละครเรื่องอิเหนากระจัดพลัดพราย แต่มีผู้จำเอาไว้ได้บ้างต้นฉบับเหลืออยู่บ้าง ถึงสมัยกรุงธนบุรี ระยะนั้นมิได้มีการชำระหรือนิพนธ์ขึ้นใหม่ มีแต่เจ้าพระยาพระคลัง (หน) แต่ครั้งยังเป็นหลวงสรวิชิตแต่งเป็นอิเหนาคำฉันท์ไว้เพียงบางตอน
จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ได้ทรงพระราชนิพนธ์ เข้าใจว่าคงจะทรงพระราชนิพนธ์จากที่จำๆ กันมาบ้างจากต้นฉบับเดิมสมัยกรุงศรีอยุธยาบ้าง ทว่าไม่จบเรื่อง ทรงพระราชนิพนธ์ไว้เพียงบางตอนเท่านั้น
ถึงรัชกาลที่ ๒ จึงทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นใหม่ทั้งหมดแต่ต้นจนจบเรื่อง ทว่าบางตอนนั้นก็มีที่คัดมาจากของเก่าอันเป็นพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑ บ้าง บางตอนซึ่งมักเป็นตอนที่ไม่สู้สำคัญนักก็มีที่โปรดฯให้ผู้อื่นช่วยแต่งบ้าง เช่น ตอนบุษบาเล่นธารที่ทำให้เป็นเหตุเล่ากันมาว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวครั้งยังเป็นพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทรงมีเรื่องขัดเคืองกับสุนทรภู่ เรื่องสุนทรภู่ “หักหน้า” หน้าพระที่นั่ง เรื่องนี้เคยเล่าไว้แล้วในเวียงวัง
http://www.nuanphun.com/no102.htmlคืออย่างนี้นะครับ ถูกแล้วครับที่ท่านผู้รู้กล่าวว่าเป็นของรัชกาลที่ 2 เพียงแต่จากแหล่งข้อมูลข้างบนกล่าวว่ารัชกาลที่ 2 ทรงพระราชนิพนธ์ใหม่ทั้งหมดเป็นส่วนใหญ่ บางส่วนเอาจากของร.1 บางส่วนโปรดให้ผู้อื่นแต่งขึ้น
คือผมคิดว่ากลอนบทนี้อาจจะมีโอกาสที่รัชกาลที่2 ทรงนำมาจากของเก่าต้นซึ่งรัชกาลที่ 1 ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ แล้วรัชกาลที่ 1 ก็ทรงพระราชนิพนธ์จากที่จำๆ กันมาบ้างจากต้นฉบับเดิมสมัยกรุงศรีอยุธยาบ้าง โดยส่วนที่จำมา(ก็คือกลอนบทนี้)อาจจะเป็นของเจ้าฟ้ามงกุฏ(จากอิเหนาเล็กเพราะอิเหนาเล็กได้รับความนิยมมากกว่าอิเหนาใหญ่ โอกาสที่คนจำกันได้น่าจะมีมากกว่า)ก็เป็นได้ ใช่ไหมครับ
คือผมไม่ยืนยันหรอกนะครับว่าเจ้าฟ้ามงกุฏเป็นผู้แต่ง เพราะผมเองก็ไม่ทราบเช่นกัน เพียงแต่แสดงความคิดเห็นว่าทำไมแหล่งของกลอนที่ผมนำมาจึงเขียนว่าเป็นของพระมงกุฏ ซึ่งก็อาจจะผิดก็เป็นได้ครับ
ท่านไหนพอจะมีแหล่งข้อมูลที่เท็จจริงมาช่วยยืนยันหรือแย้งอย่างไรโปรดมาแปะทีครับ