jean1966
|
พระอุโบสถมหาเตงดอ-กยี(Ma Ha Thein Taw Gyi) อยู่ในบริเวณสำนักสงฆ์มหาเตงดอ-กยี เขตเมืองสะกาย สหภาพเมียนม่าร์(พม่า)เป็นพุทธสถานที่ยังคงใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนามาอย่างต่อเนื่อง และมีร่องรอยการบูรณะอย่างสมำเสมอ ความสำคัญของอุโบสถหลังนี้เป็นที่ประจักษ์จากบทความเรื่อง"An Ayutthayan Connection in Sagaing"ของRujaya Abhakorn จาก Myanmar Historical Commission Conference Proceedings part3 เมื่อพ.ศ.2548 และเป็นที่รู้จักแพร่หลายอีกครั้งผ่านหนังสือ พบหลักฐานสำคัญช่างอยุธยาฝากฝีมือไว้ในพม่าที่เมืองสะกาย โดย ม.ล.สุรสวัสดิ์ ศุขสวัสดิ์ และม.ร.ว.รุจนา อาภากร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 24 มิ.ย. 09, 21:20
|
|
อุโบสถหลังนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองสะกาย อันเป็นเมืองใหญ่คนละฝั่งแม่น้ำอิระวดีกับเมืองมัณฑเลย์ ชาวพื้นถิ่นมักเรียกอโบสถแห่งนี้ว่า"ยูน(ยวน)จองเตง(Yun Kyaung Theinx)ตั้งอยู่ในเขต"กา นา ดอ ยับ,กอนนยินตองยวา"(Ka Na Taw Yap,Gon Hnyin Htong Ywar) อันมีความหมายว่า"หมู่บ้านคุก,เขตคุกหรือที่อยู่เฉลย เห็นแล้วใกล้เคียงกับบ้านเราที่บริเวณที่ตั้งวัดสุวรรณารามในปัจจุบันเคยเป็นที่ประหารนักโทษพม่ามาก่อนในสมัยกรุงธนบุรี(รูปประกอยเป็นภาพบุษบกที่ประทับของพระพุทธเจ้าสประดับส่วนฐานด้วยลายกระจัง เทพพนม ครุฑและสิงห์ขนาบด้วยเครื่องสูง)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 24 มิ.ย. 09, 21:23
|
|
ตำแหน่งภาพดังกล่าวอยู่เหนือประตูทางเข้าพระอุโบสถ(ผนังด้านสกัดหน้า)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 24 มิ.ย. 09, 21:26
|
|
ลายประกอบฐานบุษบกชั้นต่างๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 24 มิ.ย. 09, 21:28
|
|
ภาพพระอดีตพุทธเจ้า ผนังด้านข้างทิศตะวันตก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 24 มิ.ย. 09, 21:34
|
|
ภาพหลังคาตัวอาคาร(ไม่ปรากฎตัวอาคาร)ใต้ภาพอดีตพุทธเจ้า จะเห็นว่าช่วงล่างของผนังก็ประสบปัญหาเดียวกับจิตรกรรมฝาผนังในเมืองไทย คือชำรุดทั้งสิ้น ส่วนนี้ผมคิดว่าน่าจะเขียนเรื่องพุทธประวัติ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 24 มิ.ย. 09, 21:38
|
|
ภาพส่วนยอดปรางค์และนภศูล ใต้ภาพอดีตพุทธเจ้า ส่วนนี้เองผมคิดว่าเป็นส่วนแสดงให้เห็นชัดเเจนว่าเป็นฝีมือช่างชาวไทย เพราะสถาปัตยกรรมแบบพระปรางค์นี้ไม่มีปรากฎมีในพม่าประเทศหมื่นเจดีย์เป็นแน่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 24 มิ.ย. 09, 22:10
|
|
ปิดท้ายด้วยรูปภาพบนผนังสกัดหลังลายก้านดอกคดโค้งคล้ายคลึงกับลวดลายที่ปรากฎในปรางค์ทิศวัดไชยวัฒนารามสมัยพระเจ้าปราสาททองมากๆ ข้อมูลและรูปภาพทั้งหมดจากบทความเรื่อง ตามรอยจิตรกรรมอยุธยาที่เมืองสะกายในพม่า โดย อรวินท์ ลิขิตวิเศษกุล นิตยสารเมืองโบราณปีที่33ฉบับที่3(กรกฎาคม-กันยายน 2550) วันนี้เดิมตั้งใจจะเข้าไปวัดราชสิทธารามแต่เนื่องด้วยช่วงเช้าได้เข้าไปที่เพาะช่างเพื่อขอความร่วมมือในการตั้งชมรมอนุรักษ์จิตรกรรมฝาผนังและศิลปะไทยโดยภาพถ่าย ได้พูดคุยในหลายๆเรื่องแลกเปลี่ยนทัศนคติกับอาจารย์บรรเจิดหัวหน้าแผนกจิตรกรรมไทยซึ่งเป็นรุ่นน้อง โดยอนาคตอันใกล้การทำชมรมของผมน่าจะสำเร็จด้วยดีครับ ใครสนใจจะเข้าร่วมชมรมกันบ้าง หรือมีแนวคิดดีๆอย่างไรจะนำเสนอก็เข้ามาพูดคุยกันครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 25 มิ.ย. 09, 10:40
|
|
ตั้งกระทู้ใหม่แล้วเงียบเหงาจังเลยครับ ผมว่าศิลปะไทย มีคนสนใจน้อยลงทุกวัน มิน่าคนที่ร่ำเรียนทุกวันนี้ จึงมีจำนวนน้อยลงมาก อีกทั้งผู้รู้แจ้งเห็นจริงก็เริ่มน้อยลงทุกวัน อีกหน่อยก็คงจะถูกวัฒนธรรมอื่นค่อยๆกลืนไปจนไม่สามารถหากระพี้ของศิลปะไทยได้อีกต่อไป คงจะคิดกันแค่ว่ามีเกิดก็มีเสื่อมเป็นสัจจธรรม เอาเป็นว่าผมบ้าอยู่คนเดียวก็แล้วกัน(รูปประกอบจิตรกรรมฝาผนังที่วัดเลียบ(ราษฎร์บูรณะ)ตรงข้ามเพาะช่าง สกุลช่างรัชกาลที่1ถูกระเบิดทำลายพระอุโบสถจนราบเป็นหน้ากลองเมื่อปี2488เหลือเพียงภาพถ่ายอยู่ในหอจดหมายเหตุแห่งชาติฝีมือจะเป็นรองก็เพียงแค่ที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์เล็กน้อยเท่านั้น ว่ากันว่าผนังบางตอนเป็นฝีมือพระอาจารย์นาคที่เขียนที่หอไตรวัดระฆังอยู่ด้วย)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jean1966
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 25 มิ.ย. 09, 10:44
|
|
อีกหน่อยรูปถ่ายที่ผมถ่ายก็คงมีคุณค่าเป็นภาพเล่าอดีตเหมือนรูปที่วัดเลียบชุดนี้แหละครับ ตอนนี้ก็มีอยู่หลายภาพแล้วที่ของจริงสิ้นสูญไปแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
yutthana
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 25 มิ.ย. 09, 20:37
|
|
ขอบคุณข้อมูลดีๆนะครับพี่ยินส์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
yutthana
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 25 มิ.ย. 09, 20:42
|
|
รูปวัดเลียบผมมีแค่รูปเดียวครับพี่ถ้าพี่ยีนส์มีรูปอื่นผมขอข้อมูลทางเมล์แบบละเอียดได้ไหมครับ เท่าที่เคยเห็นมีบางรูปเป็นรูปพระจันทร์และพระอาทิตย์ทรงรถแต่ผมหาที่หอจดหมายเหตุเจอรูปนี้รูปเดียวครับขอบคุณล่วงหน้าครับพี่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
virain
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 26 มิ.ย. 09, 01:42
|
|
เห็นภาพจากวัดเลียบแล้วน่าสะเทือนใจมากครับ ทำไมงานศิลปกรรมบ้านเราถึงมีกรรมเช่นนี้ การเขียนภาพเครื่องบนอาคารงดงามเป็นพิเศษมากครับ ถ้าไงก็ขอไฟล์ภาพเช่นกันนะครับ
วันนี้ผมลองเขียนภาพไทยดู ตามจริงก็เขียนเพื่อฝึกฝนแต่เขียนแล้วมองดูทำให้ผมนึกว่า ทำไมภาพเขียนเก่าๆนั้นถึงได้มีคุณค่าและมีความลึกล้ำมากมายนัก ทั้งๆที่ภาพเขียนไทยรุ่นใหม่ๆในสมัยนี้ ใช่ว่าฝีมือจะไม่ดี เท่าที่เห็นบางภาพก็มีความสวยงามไม่น้อย แต่เมื่อเอาไปวางเทียบกับภาพเก่าๆแล้วกลับสู้ไม่ได้ ทั้งที่เรื่องสีสันและเส้นสมัยนี้รู้สึกจะเป็นต่อด้วยซ้ำ
ภาพนี้เป็นภาพฉากบังเพลิง (รึเปล่า) จากงานของสมเด็จย่าผมถ่ายมาจาพพิพิทธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร เป็นภาพเขียนสีใหม่มีความสวยงามไม่น้อยเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
virain
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 26 มิ.ย. 09, 01:50
|
|
ผมเลยมีข้อข้องใจอยู่ว่าทำอย่างไรภาพเขียนของเราถึงจะมีคุณค่าเทียบเท่าภาพเขียนโบราณได้ อันที่จริงผมไม่ได้เก่งถึงขนาดคิดไกลจะวัดรอยเท้า แต่ผมแ่ค่สงสัยว่าภาพที่วาดขาดอะไรไป คือความคิเห็นและข้อสงสัยส่วนตัวนะครับ ผมรับผิดชอบคำพูดคนเดียวแบบไม่มีทฤษฎีรองรับ
จากภาพใน คคห ที่แล้วเมื่อเทียบกับภาพนี้(วัดใหญ่ฯ) ส่วนตัวนะครับผมมองว่าภาพนี้สวยกว่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
yutthana
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 26 มิ.ย. 09, 03:22
|
|
ผมขอเอาความรู้อันน้อยบอกพอที่ผมจะบอกได้นะครับคุณวิเรน ๑.โครงสร้างงานสมัยใหม่ไม่ได้ ผิดเพี้ยนดูหนาและหนักไม่สง่างามเเละเพรียวเหมือนวัดใหญ่ ๒.ความสัมพันธ์ของเส้นไม่มี ไม่ลื่นไหล เส้นขัดกันไปหมดการออกแลื่นไหลบบลายประกอบไม่พริ้วไหวดูหนัก ไม่เบาลอยพริ้วไหวเหมือนงานโบราณ ๓.ผู้เขียนไม่มีความรู้ในการเขียนภาพ เนื่องจากลองสังเกตลายผ้านุ่งกับชายไหวชายเเครง เป็นลายคนละแบบกัน ความจริงการนุ่งผ้าแบบอยุธยานั้นผ้านุ่งกับชายไหวชายแครงเป็นผืนเดียวกันเพราะฉะนั้นลายผ้าจะเป็นสีและลายเดียวกัน ดูจากงานวัดใหญ่ได้ครับ ๔.การใช้สีฝุ่นโบราณซึ่งมีนำ้หนักไม่เท่ากัน ทำให้งานมีระยะไม่ทึบตันเหมือนสีสมัยใหม่ครับ ๕.ไม่มีความรู้เรื่องการตัดเส้นคือตัดเเล้วไม่กลม ดูแบนๆ งานไทยนั้นเป็นงานที่งามด้วยเส้นถ้าตัดแล้วดูแล้วไม่รู้สึกกลมจะไม่งาม อีกอย่างหนึ่งคือการเน้นเส้นขอบอันนี้เข้าใจผิดอย่างมากว่าต้องมีเส้นใหญ่เส้นเล็ก บางครั้งทำให้งานดูหนักและแข็งกระด้างด้วยซ๊ำไปดูฉากบังเพลิงเป็นตัวอย่าง ส่วนภาพด้านล่างที่นำมาให้ดูเป็นงานของเพื่อนผมครับ เป็นรูปแบบรัชกาลที่๓เขียนไม่นานมานี้ เอามาประกอบหลักฐานว่างานที่งามนั้นจะต้องเรียนรู้การดูงานให้เป็นรู้สุนทรียภาพและคติค่านิมยมของศิลปกรรมไทยครับ ซึ่งส่วนใหญ่เด็กที่เขียนงานไทยพอเขียนได้นิดหน่อยก็คิดว่าเก่งแล้วเรียนหมดแล้ว มหาลัยก็สอนให้ประยุกต์งานหารูปแบบใหม่ ของเก่ามันเชยไม่พัฒนาสร้างสรรค์ ความคิดแบบนี้เป็นความคิดของคนบ้องตื้น โข่เขลา ไม่รู้คุณค่าของครูโบราณที่ท่านสร้างสรรค์ไว้นี่เป็นสาเหตหนึ่งที่งานไทยหมดลงทุกวัน ผมเองศึกษางานไทยมายิ่งเรียนยิ่งรู้ว่ามีสิ่งที่เราไม่รู้อีกมาก ยิ่งเรียนยิ่งเห็นว่าสิ่งที่เราเรียนรู้จากครูโบราณมีอีกมากครับ ผมจึงบอกว่าการร่วมกลุ่มกันโดยเอาความรู้ที่รู้มาแลกเปลื่ยนสรูปถกกันโดยมีใจเป็นกลางทำให้เกิดความรู้ใหม่ๆคงสืบต่อลมหายใจของงานไทยได้บ้าง ส่วนความรูขั้นสูงๆลึกๆคงต้องให้พี่ ยีนส์มาเสริมให้ครับ อ้อแล้ววันไหนไปดูวัดผมอาจจะมีเพื่อนไปสักคนสองคนนะครับ ราตรีสวัสดิ์ครัับพี่ยีนส์ น้องวิเรน และคุณสวัสดีบางกอกแล้วเจอกันครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|