ขอบคุณ คุณ N C อย่างมากครับ
คุณสอ มีบรรดาศักดิ์เป็นคุณหลวง ได้เป็นในปีไหนไม่ทราบ แต่ในปี 2475 คุณหลวงเพิ่งอายุ ๒๙ ปี เท่านั้น
จากนิตยสาร สารคดี ฉบับ พจนานุกรมชีวิต สอ เสถบุตร โดย ศรัณย์ ทองปาน -
G garter
The King gartered him.
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตั้งให้เขาเป็นขุนนาง
ตั้งแต่ยังศึกษาอยู่ในอังกฤษ สอ เศรษฐบุตร มีความสนใจในงานหนังสือพิมพ์มาก เขาทำหน้าที่เป็นเลขานุการ
ของสามัคคีสมาคม ซึ่งเป็นสมาคมนักเรียนไทยในอังกฤษ ทั้งยังรับหน้าที่เป็นบรรณาธิการของ สามัคคีสาร นอกจากนั้น
เขายังสรุปข่าวต่างประเทศในรอบสัปดาห์ส่งให้แก่หนังสือพิมพ์ไทย และเขียนบทความภาษาอังกฤษมาลงใน Bangkok Times
และ Bangkok Daily Mail เป็นประจำ เพื่อเป็นรายได้จุนเจือครอบครัวทางเมืองไทย
แม้จนเมื่อกลับมารับราชการแล้ว งานเขียนต่าง ๆ ของสอก็ยังคงมีปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์อยู่สม่ำเสมอ
โดยเฉพาะบทความที่ใช้นามปากกาว่า Nai Nakorn (นายนคร) ของเขา ที่ลงพิมพ์ใน Bangkok Daily Mail
ทัศนะของนายนครเป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอันมาก ถึงกับโปรดให้
สืบหาตัวผู้เขียน และเมื่อทราบว่าเป็นข้าราชการในกรมโลหะกิจและภูมิวิทยา กระทรวงเกษตราธิการ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้โอนมารับราชการในกรมราชเลขาธิการแทน ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๑
จุดสูงสุดในชีวิตราชการของสอมาถึงตั้งแต่อายุยังไม่ถึง ๓๐ ปี ได้แก่ชั้นยศเสวกโท ซึ่งเป็นยศของข้าราชการพลเรือน
เทียบเท่านายพันโท กับได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงมหาสิทธิโวหาร เจ้ากรมกองเลขาธิการองคมนตรี สังกัดกรมราชเลขาธิการ
นอกจากนั้น หลวงมหาสิทธิโวหาร ยังได้รับราชการใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทในหน้าที่ต่างๆ ที่ทรงพระกรุณาฯ อีกหลายประการ เช่น
ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการหนังสือพิมพ์ไทย ของกรมพระคลังข้างที่ ซึ่งถือเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ดังนั้น เมื่อการยึดอำนาจของคณะราษฎรมาถึง ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ หลวงมหาสิทธิฯ ก็ย่อมถูก "หางเลข"
ไปด้วยอย่างเต็มที่
เริ่มจากการถูกสอบสวน แล้วย้ายไปเป็นรองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ต่อมาอีกไม่กี่เดือน ก็ถูกโยกกลับไปถิ่นเดิมคือ
กรมโลหะกิจอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าเมื่อสิบปีก่อน เขาจะเคยรู้จักมักคุ้นกับหลายคนในคณะผู้ก่อการฯ ซึ่งก็คือนักเรียนไทยในฝรั่งเศส
ที่เขาเคยกล่าวถึงไว้ในจดหมาย แต่ในวันที่กระแสการเมืองกำลังเชี่ยวกรากเยี่ยงนั้น หลวงมหาสิทธิโวหารเล็งเห็นว่าคงเอาดีใน
ทางราชการได้ยาก จึงตัดสินใจลาออกในเดือนพฤศจิกายน ๒๔๗๕
หลังจากลาออกได้ไม่ถึงเดือน ก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วมก่อตั้งโรงเบียร์ของบุญรอดบริวเวอรี อันเป็นกิจการของพระยาภิรมย์ภักดี
(บุญรอด เศรษฐบุตร) ที่มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน โดยมีตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการหนึ่งในห้าคนของบริษัท ทั้งยังคงเขียนบทความ
โจมตีรัฐบาลใหม่ในหน้ากระดาษของ Bangkok Daily Mail อยู่เนือง ๆ