อีกหนึ่งแนวคิดพิจารณาทางธรรม คือ การตีความการกระทำผิดศีล ซึ่งได้แก่ ศีลขาด หรือ ทะลุ,
ด่างพร้อย หรือเศร้าหมอง
เช่นกัน, หลักสำคัญของศีล คือ เจตนาที่จะล่วงศีลข้อนั้น ถ้าไม่มีเจตนาที่จะล่วง ศีลก็ไม่ขาด,
ไม่เศร้าหมอง(แม้ว่าจะผิดกฎหมายบ้านเมืองก็ตาม เช่น ทำปืนลั่นโดนคนตาย)
ในกรณีของปู่คือ ศีลข้อแรก ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นขาดการฆ่าสัตว์
แยกส่วนประกอบตามลำดับได้เป็น 1.สัตว์มีชีวิต(ทั้งมนุษย์และเดรัจฉาน) 2.รู้อยู่ว่าสัตว์มีชีวิต
3.จิตคิดจะฆ่า 4.พยายามที่จะฆ่า และ 5.สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น
สำหรับปู่แล้ว ข้อ 1,2 นั้นใช่ ส่วนข้อ 4 นั้นปู่ไม่ได้ลงมือจนทำให้เกิดผลในข้อ 5 สัตว์ตาย
หากจะมีส่วนบ้างก็ในทางอ้อม และสุดท้ายแต่สำคัญคือข้อ 3 จิตคิดจะฆ่า ซึ่งก็ไม่รู้ว่าปู่คิดเห็นมีเจตนาอย่างไร
ปู่ไม่เห็นด้วยกับการฆ่าแบบโหดร้ายทว่าปู่ก็เห็นด้วยกับการฆ่าชาวยิวแค่ไหน ไม่ว่าปู่จะคิดอย่างไร ในเมื่อ
ปู่ไม่ได้ลงมือข้อ 4 ดังนั้นจึงพอจะสรุปได้ว่าปู่ไม่ได้ศีลขาด(แต่ด่างพร้อย)
ในเรื่องศีลของพระพุทธศาสนา ให้ความสำคัญกับเจตนา
เช่นเดียวกับความผิดในคดีอาญา หากขาดซึ่งเจตนาในการกระทำ ย่อมถือว่าขาดองค์ประกอบสำคัญในการกระทำผิด
คดีนี้ คุณปู่ขาดเจตนาที่จะฆ่าคนตาย ไม่ว่าจะหนึ่งคน หรือหมื่นๆแสนๆคน คุณปู่ย่อมไม่ผิดในฐานฆ่าคนตาย
แต่ คุณปู่ร่วมอยู่ในขบวนการที่จะนำคนไปฆ่า โดยรับรู้รับเห็น ถึงแม้จะไม่ชอบและพยายามเปลี่ยนงานแล้ว แต่เมื่อไม่สำเร็จก็จำต้องทำต่อไปจนชาชินในที่สุด ตรงนี้จะปฏิเสธอย่างไรว่าไม่มีเจตนาจะทำบัญชีนั้น ก็ฟังไม่ขึ้นแล้ว คุณปู่จึงมีความผิดในฐานที่ร่วมกันฆ่าผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ถึงโทษจะไม่สูงสุดเท่าคนที่สั่งฆ่า หรือคนที่ลงมือฆ่า แต่การร่วมกันฆ่ามิใช่โทษเล็กๆ หลังศาลพิพากษา คุณปู่คงติดคุกสักสิบปี แต่เพราะความชราใกล้จะร่วงหล่นอยู่แล้ว คุณปู่คงต้องตายในคุก