เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6
  พิมพ์  
อ่าน: 33542 ผิดหรือถูก คดีนี้ยังไม่มีคำตัดสิน
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 30  เมื่อ 26 เม.ย. 15, 09:16

พระอภิธรรมท่านจึงเริ่มต้นว่า กุศลาธรรมา อกุศลาธรรมา แปลแบบสมัยใหม่ก็คือ ความดีก็เป็นธรรม ความเลวก็เป็นธรรม

นักตีความมาขยายความเพิ่มเติมว่า ความดีกับความเลวก็เหมือนสีขาวกับสีดำ ธรรมชาติมนุษย์ไม่มีใครเลวสุดๆโดยไม่มีความดีเลย หรือไม่มีใครดีสุดๆโดยไม่มีความเลวเลย (นอกจากผู้ที่พ้นธรรมชาติไปแล้ว)

ทุกคนอยู่ในเกณฑ์ของสีเทา และในแถบที่ผมนำมาแสดงข้างล่างนั้น ดำคือขาวน้อย และขาวก็คือดำน้อย แถบของผมไม่สามารถแสดงดำที่ดำกว่านี้ หรือขาวที่ขาวกว่านี้ ถ้าแสดงได้ พื้นที่หน้าจอของผมหรือของท่านก็แสดงได้ไม่พอ


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 31  เมื่อ 26 เม.ย. 15, 11:04

            อ่านแล้ว นึกถึงเรื่องราวคล้ายคลึงกันจากอรรถกถา ขอย่นย่อนำมาเสนอดังนี้

                    ปาปวรรค: เรื่องนายพรานกุกกุฏมิตร

           นายพรานมีภรรยาเป็นธิดาเศรษฐีบรรลุธรรมโสดาบันตั้งแต่ยังสาว ด้วยรักแรกพบนายพราน
เพราะเคยทำบุญร่วมกันมาแต่ปางก่อน นางได้ติดตามไปอยู่ด้วยกันจนมีลูกชาย 7 คน

          ใกล้รุ่งวันหนึ่ง พระศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลกแล้วทรงเห็นพรานกุกกุฏมิตรกับบุตรและสะใภ้
เข้าไปภายในข่าย คือพระญาณของพระองค์ ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติมรรค จึงเสด็จไปโปรดพราน
และลูกๆ ซึ่งเกิดเหตุเข้าใจผิดคิดว่าพระศาสดาทรงปล่อยสัตว์ที่ตนดักไว้ ได้โก่งคันธนูหมายยิงพระองค์
          เมื่อภรรยาพรานมาพบคนทั้งแปดยืนตัวแข็งทื่อน้าวธนูเล็งไปที่พระศาสดาเช่นนั้น ก็ร้องขึ้นว่า
                “พวกท่านอย่าฆ่าบิดาของเรา ๆ” “พวกเจ้าจงทิ้งธนูเสียโดยเร็วแล้วขอโทษบิดาของฉัน”
คนเหล่านั้นวางธนูและเข้าไปถวายบังคมขอขมาลาโทษแล้ว  พระศาสดาได้แสดงอนุปุพพิกถาโปรด
นายพรานพร้อมทั้งบุตรและสะใภ้ก็สำเร็จพระโสดาปัตติผล

ภาพ(ชุด) พระปฐมสมโพธิ์ ผลงาน เหม เวชกร ภาพนี้เป็นตอน นายขมังธนู(ที่พระเทวทัตส่งไป) ปลดอาวุธ
ฟังธรรมแล้วสำเร็จมรรคผล


บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 32  เมื่อ 26 เม.ย. 15, 11:07

               ประเด็นที่ยกเรื่องนี้มาอยู่ในตอนท้าย ดังนี้

        ภิกษุทั้งหลายกราบทูลถามว่า “ภรรยาของนายพรานกุกกุฏมิตร เป็นพระโสดาบัน แม้ว่าจะไม่มีเจตนา
ฆ่าสัตว์ด้วยตัวเองก็จริง แต่ก็เป็นผู้ส่งข่าย คันธนู และลูกธนูให้แก่สามีที่จะออกไปล่าสัตว์  อย่างนี้จะมิถือว่า
พระโสดาบันกระทำปาณาติบาตละหรือ?” 

        พระศาสดาตรัสตอบว่า “ภิกษุทั้งหลาย พระโสดาบันย่อมไม่ทำปาณาติบาต ที่นางทำอย่างนั้นด้วยแค่
คิดว่า เราจักทำตามคำของสามี จิตของนางไม่มีเลยว่า สามีนั้นจงถือเอาเครื่องประหารนี้ไปทำปาณาติบาต
จริงอยู่ เมื่อแผลในฝ่ามือไม่มี ยาพิษนั้นก็ไม่อาจจะให้โทษแก่ผู้ถือยาพิษได้ ฉันใด ชื่อว่าบาปบ่อมไม่มีแก่
ผู้ไม่ทำบาป แม้นำเครื่องประหารทั้งหลายมีธนูเป็นต้นออกให้ เพราะไม่มีอกุศลเจตนา ฉันนั้นเหมือนกัน”

ถ้าแผลไม่พึงมีในฝ่ามือไซร้
บุคคลพึงนำยาพิษไปด้วยฝ่ามือได้
เพราะยาพิษย่อมไม่ซึมเข้าไปสู่ฝ่ามือที่มีมีแผล  ฉันใด
บาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำอยู่  ฉันนั้น.
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 33  เมื่อ 26 เม.ย. 15, 12:50

แต่จริงๆ แล้วในขณะนั้น สิ่งที่ทำให้ออสก้ารับไม่ได้ ไม่ใช่เพราะว่าคนยิวต้องตาย แต่เป็นเพราะขั้นตอนที่ใช้ในการกำจัดมันเกินกว่าที่เขาจะรับได้  แนวคิดนี้ก็เหมือนคนเยอรมันในเวลานั้นอีกเป็นจำนวนมากที่ถูกปลูกฝังความเกลียดชังและมองคนยิวไม่ต่างจากมดปลวกหรือศัตรู โดยไม่สนใจความเป็นปัจเจกของแต่ละคน ขอแค่เป็นยิวก็สมควรตายแล้ว คนยิวในสายตาของออสก้า ก็ไม่ต่างจากทหารโซเวียตที่เริ่มรุกกลับเยอรมันในขณะนั้นคือเป็นศัตรูของเยอรมันเหมือนกัน  หน้าที่ในค่ายและการกำจัดคนยิวก็ไม่ต่างกับทหารในแนวรบที่ต้องสู้กับศัตรู สิ่งที่ต่างคือแค่สถานที่เท่านั้น การกำจัดยิวก็คือการกำจัดศัตรู

พระศาสดาตรัสตอบว่า “ภิกษุทั้งหลาย พระโสดาบันย่อมไม่ทำปาณาติบาต ที่นางทำอย่างนั้นด้วยแค่คิดว่า เราจักทำตามคำของสามี จิตของนางไม่มีเลยว่า สามีนั้นจงถือเอาเครื่องประหารนี้ไปทำปาณาติบาต จริงอยู่ เมื่อแผลในฝ่ามือไม่มี ยาพิษนั้นก็ไม่อาจจะให้โทษแก่ผู้ถือยาพิษได้ ฉันใด ชื่อว่าบาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำบาป แม้นำเครื่องประหารทั้งหลายมีธนูเป็นต้นออกให้ เพราะไม่มีอกุศลเจตนา ฉันนั้นเหมือนกัน

คุณปู่ออสการ์ต่างจากภรรยาของนายพรานตรง "เจตนา" จะบาปหรือไม่อยู่ที่เจตนา ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 34  เมื่อ 26 เม.ย. 15, 13:11

        ดังได้กล่าวไว้ว่า เรื่องของปู่ 'คล้ายคลึง' กับเรื่องภรรยาโสดาบันนายพราน(ตรง ไม่ได้ลงมือฆ่าเอง)
        แต่,แน่นอน, แตกต่างกัน ระหว่างปุถุชนกับอริยบุคคล มือของภรรยาโสดาบันนั้นไม่มีแผล แต่มือของ
ปู่นี้มีแผล
        ยินดี ความเห็นชอบจากคุณเพ็ญ, ทางธรรม กรรมดูที่เจตนา ถ้าไม่เจตนาก็ไม่บาป(ผิด)
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 35  เมื่อ 26 เม.ย. 15, 16:42

 ยิ้มกว้างๆ


บันทึกการเข้า
Naris
องคต
*****
ตอบ: 421


ความคิดเห็นที่ 36  เมื่อ 27 เม.ย. 15, 10:46

ที่เจ้าตัวเขาออกปากว่า ตัวเขาผิดในทางศีลธรรม แต่ในทางกฎหมายจะผิดหรือไม่ขึ้นกับคำตัดสินของศาล ผมก็เห็นด้วยกับเขานะครับ

ในทางศีลธรรมเจ้าตัวอาจรู้สึกผิดตรงที่ ตนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการอันโหดร้าย แล้วมีช่วงเวลาหนึ่งที่จิตใจของตนดูเหมือนจะรับได้กับเรื่องโหดร้ายนั้น เมื่อมาถึงวันนี้ ตนจึงรู้สึกว่าเป็นเรื่องผิด

ส่วนเรื่องในทางกฎหมาย เนื่องจากผมไม่ทราบว่า การฟ้องคุณปู่คนนี้ ฟ้องโดยอาศัยกฎหมายใด และกฎหมายนั้นมีองค์ประกอบความผิดอย่างไร จึงไม่รู้จะคาดเดาผลอย่างไร หากกฎหมายบัญยัติเพียงว่า "มีส่วนเกี่ยวข้อง" เช่นนี้ คุณปู่คงไม่รอด แต่ถ้าบัญญัติไว้ถึงขนาดว่า ต้องเป็นผู้ลงมือทำด้วย คุณปู่ก็อาจจะรอดได้ ด้วยพยานหลักฐานเป็นอันรับกันว่า คุณปู่ทำงานบัญชีเท่านั้น

ส่วนเรื่องความดีหรือไม่ดีนั้น ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งว่า บางครั้ง ความดี-ไม่ดี ก็อยู่ในคนๆเดียวกันได้ การพิจารณาว่าเรื่องใดเป็นเรื่องดีหรือไม่ จึงต้องพิจารณาจากหลักฐานและข้อเท็จจริงเป็นเรื่องๆไป ไม่ใช่ว่า หากผู้กระทำเป็นคนๆนี้ (ซึ่งเป็นคนที่ฉันรัก) เสียแล้วละก็ ทุกเรื่องต้องเป็นเรื่องดีหมด (เพราะเขาเป้นคนดี) แต่ถ้าเป็นการกระทำโดยคนๆนี้ (ซึ่งฉันเกลียด) ทุกเรื่องที่เขาทำย่อมเลวหมด (เพราะเขาเป็นคนเลว) ฯลฯ ซึ่งทุกวันนี้เวลาดูข่าวการเมือง ก็เหมือนว่าจะวิเคราะห์กันด้วยหลักนี้แหละครับ 
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 37  เมื่อ 27 เม.ย. 15, 11:02

         อีกหนึ่งแนวคิดพิจารณาทางธรรม คือ การตีความการกระทำผิดศีล ซึ่งได้แก่ ศีลขาด หรือ ทะลุ,
ด่างพร้อย หรือเศร้าหมอง
         เช่นกัน, หลักสำคัญของศีล คือ เจตนาที่จะล่วงศีลข้อนั้น ถ้าไม่มีเจตนาที่จะล่วง ศีลก็ไม่ขาด,
ไม่เศร้าหมอง(แม้ว่าจะผิดกฎหมายบ้านเมืองก็ตาม เช่น ทำปืนลั่นโดนคนตาย)

          ในกรณีของปู่คือ ศีลข้อแรก ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นขาดการฆ่าสัตว์
          แยกส่วนประกอบตามลำดับได้เป็น 1.สัตว์มีชีวิต(ทั้งมนุษย์และเดรัจฉาน) 2.รู้อยู่ว่าสัตว์มีชีวิต
3.จิตคิดจะฆ่า 4.พยายามที่จะฆ่า และ 5.สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น

          สำหรับปู่แล้ว ข้อ 1,2 นั้นใช่ ส่วนข้อ  4 นั้นปู่ไม่ได้ลงมือจนทำให้เกิดผลในข้อ 5 สัตว์ตาย
หากจะมีส่วนบ้างก็ในทางอ้อม และสุดท้ายแต่สำคัญคือข้อ 3 จิตคิดจะฆ่า ซึ่งก็ไม่รู้ว่าปู่คิดเห็นมีเจตนาอย่างไร
ปู่ไม่เห็นด้วยกับการฆ่าแบบโหดร้ายทว่าปู่ก็เห็นด้วยกับการฆ่าชาวยิวแค่ไหน ไม่ว่าปู่จะคิดอย่างไร ในเมื่อ
ปู่ไม่ได้ลงมือข้อ 4 ดังนั้นจึงพอจะสรุปได้ว่าปู่ไม่ได้ศีลขาด(แต่ด่างพร้อย)
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 38  เมื่อ 27 เม.ย. 15, 11:04

และ หลังจากที่คุณยาย Eva ผู้รอดจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้มาพบกับคุณปู่แล้ว(คห. 13)
คุณยายได้เขียนลงในบล็อก(ตัดมาบางส่วน) ว่า


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 39  เมื่อ 27 เม.ย. 15, 11:22

         อีกหนึ่งแนวคิดพิจารณาทางธรรม คือ การตีความการกระทำผิดศีล ซึ่งได้แก่ ศีลขาด หรือ ทะลุ,
ด่างพร้อย หรือเศร้าหมอง
         เช่นกัน, หลักสำคัญของศีล คือ เจตนาที่จะล่วงศีลข้อนั้น ถ้าไม่มีเจตนาที่จะล่วง ศีลก็ไม่ขาด,
ไม่เศร้าหมอง(แม้ว่าจะผิดกฎหมายบ้านเมืองก็ตาม เช่น ทำปืนลั่นโดนคนตาย)

          ในกรณีของปู่คือ ศีลข้อแรก ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นขาดการฆ่าสัตว์
          แยกส่วนประกอบตามลำดับได้เป็น 1.สัตว์มีชีวิต(ทั้งมนุษย์และเดรัจฉาน) 2.รู้อยู่ว่าสัตว์มีชีวิต
3.จิตคิดจะฆ่า 4.พยายามที่จะฆ่า และ 5.สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น

          สำหรับปู่แล้ว ข้อ 1,2 นั้นใช่ ส่วนข้อ  4 นั้นปู่ไม่ได้ลงมือจนทำให้เกิดผลในข้อ 5 สัตว์ตาย
หากจะมีส่วนบ้างก็ในทางอ้อม และสุดท้ายแต่สำคัญคือข้อ 3 จิตคิดจะฆ่า ซึ่งก็ไม่รู้ว่าปู่คิดเห็นมีเจตนาอย่างไร
ปู่ไม่เห็นด้วยกับการฆ่าแบบโหดร้ายทว่าปู่ก็เห็นด้วยกับการฆ่าชาวยิวแค่ไหน ไม่ว่าปู่จะคิดอย่างไร ในเมื่อ
ปู่ไม่ได้ลงมือข้อ 4 ดังนั้นจึงพอจะสรุปได้ว่าปู่ไม่ได้ศีลขาด(แต่ด่างพร้อย)

ในเรื่องศีลของพระพุทธศาสนา ให้ความสำคัญกับเจตนา
เช่นเดียวกับความผิดในคดีอาญา หากขาดซึ่งเจตนาในการกระทำ ย่อมถือว่าขาดองค์ประกอบสำคัญในการกระทำผิด

คดีนี้ คุณปู่ขาดเจตนาที่จะฆ่าคนตาย ไม่ว่าจะหนึ่งคน หรือหมื่นๆแสนๆคน  คุณปู่ย่อมไม่ผิดในฐานฆ่าคนตาย
แต่ คุณปู่ร่วมอยู่ในขบวนการที่จะนำคนไปฆ่า โดยรับรู้รับเห็น ถึงแม้จะไม่ชอบและพยายามเปลี่ยนงานแล้ว แต่เมื่อไม่สำเร็จก็จำต้องทำต่อไปจนชาชินในที่สุด ตรงนี้จะปฏิเสธอย่างไรว่าไม่มีเจตนาจะทำบัญชีนั้น ก็ฟังไม่ขึ้นแล้ว  คุณปู่จึงมีความผิดในฐานที่ร่วมกันฆ่าผู้อื่นถึงแก่ความตาย

ถึงโทษจะไม่สูงสุดเท่าคนที่สั่งฆ่า หรือคนที่ลงมือฆ่า แต่การร่วมกันฆ่ามิใช่โทษเล็กๆ หลังศาลพิพากษา คุณปู่คงติดคุกสักสิบปี แต่เพราะความชราใกล้จะร่วงหล่นอยู่แล้ว คุณปู่คงต้องตายในคุก
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 40  เมื่อ 27 เม.ย. 15, 11:48

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 41  เมื่อ 06 พ.ค. 15, 15:24

ในทำนองเดียวกันฟรานซ์ สแตนเกิล (Franz Stangl) ผู้บัญชาการค่ายทรีบลิงกา (Treblinka) ค่ายนรกที่อื้อฉาวเป็นอันดับสองรองจากเอาชวิตซ์ ก็หาใช่เป็นคนซาดิสต์วิปริตไม่ หากเป็นคนสุภาพ พูดเสียงเบา และอุทิศตัวให้แก่การงาน เช่นเดียวกับฮอสส์ งานคือความสุขและความภาคภูมิใจของเขา

ช่วงสองสามเดือนก่อนได้อ่านเรื่องของนาซี คิดว่าน่าสนใจมาเล่า แต่ยังยุ่งๆ อยู่เลยผลัดไว้ก่อนครับ  เป็นเรื่องของ Franz Stangl  ซึ่งผมว่าน่าสนใจ เพราะจากคนธรรมดาที่ไม่ได้มีพื้นฐานรุนแรง โชคชะตาและหน้าที่การงานชักนำให้ต้องไปเป็น ผบ ค่ายที่ใช้กำจัดยิวโดยเฉพาะ เป็นผบ ที่มีประสิทธิภาพด้วย ค่ายที่ฟรานซ์เป็น ผบ มีหน้าที่เดียวคือกำจัดยิว ไม่ใช่ค่ายแรงงาน  มีคำให้สำภาษณ์ของฟรานซ์ และวิธีที่ใช้รับมือกับหน้าที่ที่ต้องสังหารคนเป็นล้าน

ฟรานซ์เป็นภาพสะท้อนให้เห็นว่า คนธรรมดาแบบเราๆ สามารถกลายเป็นส่วนหนึ่งของปิศาจได้ง่ายแค่ไหน  หลังเมษาน่าจะได้เริ่มครับ

เริ่มได้แล้ว คุณประกอบ   เจ๋ง
บันทึกการเข้า
ประกอบ
สุครีพ
******
ตอบ: 1342


ความคิดเห็นที่ 42  เมื่อ 06 พ.ค. 15, 17:42

โดนทวงซะแล้ว...


บันทึกการเข้า

วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
ประกอบ
สุครีพ
******
ตอบ: 1342


ความคิดเห็นที่ 43  เมื่อ 14 พ.ค. 15, 11:43

คดีคุณทวดยังพิจารณาไม่เสร็จ พยานหลายปากยังอญุ่ในระหว่างให้การ   

แต่ข้อความของ มล. รุ่งอรุณที่ผมยกมาเป็นตัวอย่างความคิดของคนไทยจำนวนมากในความเห็นที่ 15  เมื่อวานมติชนเอาไปลงข่าว วันนี้สถานทูตอิสราเอลออกมาตอบโต้ ซึ่งผมมั่นใจว่าไม่สามารถเปลี่ยนอคติของคนไทยจำนวนไม่น้อยได้อยู่ดี 

https://www.facebook.com/IsraelinThailand


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า

วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 44  เมื่อ 14 พ.ค. 15, 12:00

อ่านดูที่คุณชีมอน โรเด็ด เขียนก็เข้าใจความรู้สึกของท่าน แต่ตอนท้ายที่ท่านดึงเอาความเขลาของคน ๆ เดียว มาเป็นเรื่องของประเทศ ก็ดูไม่น่าจะสบายใจเท่าไร   รูดซิบปาก


บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.113 วินาที กับ 20 คำสั่ง