กลับมาที่หนัง Eat Pray Love ตอนจบ
ต่อจากนั้นเธอไปอินเดียและพักพิงอยู่ 3 เดือนเพื่อค้นหาตัวเอง (Pray)
เวลาที่เหลือจากนั้นจนถึงกำหนดการสิ้นสุดการท่องโลก เธอไปจบที่บาหลี อินโดนีเซียเพื่อหาจุดสมดุลย์
แต่ดันไปพบรักที่นั่นกับนักธุรกิจชาวบราซิล เป็นความรักที่ตอนแรกเธอพยายามฝืนแต่แล้วก็ไม่สำเร็จ ความรักนี้ต่อมาจริงจังถึงขนาดลงมือแต่งงานกันแต่แล้วในที่สุดก็หย่ากัน (เนื้อหาของหนังไปไม่ถึงจุดนี้ ผมเอาบทสรุปมาจากหนังสือ)
หนังโดนนักวิจารณ์สับเละ แต่การถ่ายทำและวิวสดใสผลักดันให้มันทำเงินอย่างมหาศาล
จาก 3 ประเทศที่ผู้เขียนไปเยี่ยมมา ผมประทับใจ Italy ที่สุด ผมเคยไปตะลอน ๆ อยู่ 3 หน เป็นการท่องเที่ยวที่สนุกสนาน บรรยากาศคล้าย ๆ เมืองไทยคือไม่ค่อยมีระเบียบแล้วก็วุ่นวาย (เอาเฉพาะที่ Rome ผมว่าอีกแห่งที่คล้ายเมืองไทยคือ London)
อย่างไรก็ตาม ผมไม่สามารถใช้ชีวิตที่นั่นได้สนุกสนานเฮฮาเหมือนในหนังเรื่องนี้ได้เพราะ จากมุมมองของคนยุคเก่าเช่นผม... อย่างแรกคือ ค่าเงินบาทของเราเมื่อเทียบกับค่าเงินชาวบ้านช่างอ่อนโยนนุ่มนิ่มประดุจฟองน้ำเช็ดก้นเด็ก ควักออกมาซื้ออะไรซักอย่างจะรู้สึกใจหายวูบวาบ
อีกอย่างที่สังเกตได้คือเค้าเป็นชาวตะวันตก เราชาวตะวันออก จากประสบการณ์ เค้าไม่สุงสิงกับคนแปลกหน้าต่างสายพันธุ์อย่างเรานอกจากมีสาเหตุที่เจาะจง ประเภทไปท่องเที่ยวแบบหัวเดียวกระเทียมลีบแล้วได้ไปเฮฮากับชาวบ้านนี่ ประสบการณ์จากการท่องเที่ยวโดยลำพังนานร่วม 20 ปี ผมไม่เคยประสบแล้วก็ไม่เคยได้ยิน ผมไม่รู้สาเหตุ จะเป็นด้วยการต่างประเพณี/ต่างวัฒนธรรมหรือจะเป็นการเหยียดผิวรึเปล่าก็ขี้เกียจวิเคราะห์
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่จำได้แม่น ผมอยู่ต่างจังหวัด จำไม่ได้แล้วว่าที่ไหนของ Italy เกริ่นหน่อยว่าปกติราคาที่พักที่ยุโรป (ไม่ใช่โรงแรมหรูหราแบบนั้นนะ) จะแถมอาหารเช้าเสมอ เช้าวันนั้น ผมจัดการธุระส่วนตัวเสร็จก็ลงมายังห้องอาหารซึ่งจะเปิดประมาณ 6 โมงเช้า วันนั้นผมเห็นฝรั่ง 3-4 คนยืนอออยู่หน้าประตูห้องอาหาร ห้องอาหารก็เปิดแล้วแต่ทำไมพวกเขาไม่เดินเข้าไป หรือว่ายังไม่เรียบร้อย ผมก็เดินไปใกล้ ๆ แล้วยื่นหน้าเข้าไปสังเกตุการณ์
ภายในห้องอาหารที่เปิดบริการแล้วมีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนอออยู่ที่หน้าโต๊ะวางอาหาร (เป็นแบบ buffet ทุกแห่ง) ทุกคนกำลังสำรวจอาหารในถาดที่วางอยู่บนโต๊ะ วิธีการสำรวจคือใช้ช้อนกลางที่วางไว้ในถาด (ทุกถาดอาหารจะมีช้อนกลางเพื่อความเป็นระเบียบ) ตักอาหารในแต่ละถาดขึ้นมาสำรวจ มีการปรึกษากันล้งเล้ง เมื่อพิจารณาเสร็จก็เทอาหารในช้อนกลางกลับใส่ถาดแล้วใช้ช้อนกลางคันเดิมตักอาหารในถาดอื่นขึ้นมาสำรวจต่อ เนื่องจากพวกเขามาเป็นกลุ่ม ช้อนกลางในแต่ละถาดอาหารจึงปนเปกันให้มั่ว นี่คือสาเหตุที่พวกฝรั่งไม่เข้าไปในห้องอาหาร
ฝรั่งคนหนึ่งในกลุ่มที่ยืนรออยู่หันมาเห็นผมก็ขยับตัวหลีกทางให้ผมเข้าไปในห้องฯ ผมก็ตั้ง 'guard' ทันที 'I'm not one of them' แต่ผมก็เดินเข้าห้องฯ แล้วตรงไปที่พนง. เสิร์ฟอาหารที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ กำลังจ้องมองภาพเหตุการณ์ในห้องฯ จำได้ว่าเห็นบางคนทำสีหน้าคลื่นไส้
พนง. เสิร์ฟฯ ทั้งกลุ่มจ้องผม สมองคงกำลังว้าวุ่นว่าผมเดินมาทำไม พอไปถึงตัวผมก็แจ้งว่า ผมมาคนเดียว ขอสั่งอาหารเช้าแบบพิเศษ ผมจะนั่งอยู่ตรงโน้น (ชี้นิ้วไป) ช่วยนำรายการอาหารมาให้ผมพิจารณาด้วย
ตกลงเช้านั้นผมต้องจ่ายค่าอาหารเป็นการพิเศษซึ่งแพงชะมัด เพียงเพื่อกันไม่ให้ตัวเองโดน 'เหมา' ติดร่างแห และในช่วงเวลานั้นมีผมเพียงคนเดียวที่ยอมจ่ายค่าอาหารเอง ฝรั่งคนอื่น ๆ ที่อออยู่ และเข้ามาออเพิ่มขึ้น พวกเขารอให้กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนเลิกวุ่นวายกับโต๊ะวางถาดอาหาร แล้วจึงค่อยเข้าไป 'เก็บเศษ'
ตอนเดินออกจากห้องฯ หลังจากกินเสร็จ ผมผ่านฝรั่งคนที่ขยับเปิดทางให้ผมเข้าห้องอาหารเพราะเข้าใจผิด เขาเหลือบมองแล้วพยักหน้าพลางยิ้มกระเรี่ยกระราด ผมแค่มองกลับทางหางตา... บุคลิกคนละแบบเลย ตาเอ็งถั่วขนาดนั้นเชียวเหรอวะ
อาจเป็นเหตุการณ์ทำนองนี้ละมังที่ทำให้ชาวตะวันตกไม่ค่อยอยากสุงสิงกับชาวตะวันออกสักเท่าไร
(หมายเหตุ – Clip ย่อยบานตะเกียง จะว่าดีก็ดี แต่ที่ไม่ดีคือต้องมาเสียเวลานั่งเลือกชิ้นที่กระจ่างที่สุด)