เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 26
  พิมพ์  
อ่าน: 18341 ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 45  เมื่อ 26 ก.ค. 22, 16:10


มีเกร็ดเล็กๆอีกเกร็ดที่จำได้คือเมื่อไปเที่ยวหอคอยแห่งลอนดอน  เขาพาไปดูห้องที่เคยใช้เป็นที่คุมขังลอร์ดกิลฟอร์ด ดัดลีย์ สามีหนุ่มน้อยของราชินีเจน  บนกำแพงมีรอยสลักชื่อ "เจน" ที่ทางการเอากระจกปิดทับไว้    ลอร์ดกิลฟอร์ดคงเป็นคนสลักเอาไว้เอง  จะใช้เครื่องมืออะไรก็ไม่อาจทราบได้ แต่ไม่ใช่มีด เพราะทางการคงไม่ยอมให้มีอาวุธติดตัว



ที่ หอคอยฯ ยังมีอีกคนที่เป็นคนรักของ Queen Elizabeth ที่ 1  ที่โดนคุมขัง  เธอสลักอะไรบางอย่างที่กำแพงด้วยเช่นกันครับ  ตอนนี้นึกไม่ออกเลยว่าใคร Robert Dudley รึเปล่า  ไม่มีเวลาค้น 
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 46  เมื่อ 26 ก.ค. 22, 16:20

พูดถึง Doris Day ไปเมื่อวันก่อน  แล้วนึกถึง Debbie Reynolds  ผมว่า 2 คนนี้มีอะไรคล้าย ๆ กัน  เริ่มจากเป็นนักร้องและนักแสดงเหมือนกัน  คือเล่นด้วยร้องด้วย  เล่นหนังบรรยากาศเบา ๆ เหมือนกัน  เคยรับบทสาวแก่นแก้วเหมือนกัน และสามารถนำเพลงที่ร้องในหนังเข้าชิง Oscar ได้ด้วยเหมือนกัน

DD จากเพลง Secret love (1953) ในหนัง Calamity Jane ที่เธอรับบทเคาบอยสาวแก่นแก้ว (ไม่เคยดู)





และอีกครั้งในปี 1956 จากเพลง Que sera, sera ในหนังเรื่อง The man who knew too much (ดูมาน้านนานแล้ว  จนจำอะไรไม่ได้)


(หมายเหตุ – 2 เพลงนี้ได้รางวัลซึ่งมอบให้กับผู้แต่งเนื้อ  ไม่ใช่คนร้อง)


ส่วน DR เคยร้องเพลง Tammy ในหนังเรื่อง Tammy and the bachelor  (ไม่เคยดู) ได้เข้าชิงรางวัลในปี 1957



อย่างไรก็ตามเพลงทั้ง 3 ดังสุดขีดในอันดับเพลงและตามคลื่นวิทยุทั้งไทยและเทศ  ความดังอยู่ในขั้นอมตะมาจนกระทั่งถึงวันนี้

ความเหมือนของทั้ง 2 จะต่างกันตรงที่ DD แก่กว่า DR (DR เกิด 1932 อ่อนกว่า DD 10 ปี) 
 
ในด้านการแสดง  ทั้ง 2 เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar คนละครั้งเหมือนกัน  DD จาก Pillow talk ที่กล่าวมาแล้ว  ส่วน DR จากหนังเรื่อง Unsinkable Molly Brown (1964)

นี่คือเหตุผลที่ทำให้อยากดูทั้ง 2 สาวเล่นบทที่ทำให้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล  ต้องขอบคุณช่อง TCM ที่ช่วยเป็นธุระจัดการให้  ได้ดู PT ไปก่อนแล้ว  ก็คอยว่าเมื่อไร UMB จะมา
แล้ววันหนึ่งหนังก็มา

Unsinkable Molly Brown ตอนรู้จักชื่อครั้งแรกเดาเนื้อเรื่องไม่ออก  มันเป็นหนังอิงชีวประวัติของ Margaret Brown ผู้เติบโตในถิ่นบ้านนอก  เธอเป็นสาวซื่อและแก่นแก้ว  ที่ตั้งความฝันไว้ว่าจะต้องได้ผัวรวย  แล้ววันหนึ่งความฝันก็เป็นจริง  เธอรวยยับ  แต่ความที่รากแก้วเป็นคนบ้านนอกทำให้คนในวงสังคมไม่ยอมรับ  ซึ่งเธอก็ไม่แคร์

MB เป็นผู้โดยสารคนหนึ่งในเรือ Titanic  เมื่อเรือล่มเธอทำหน้าที่ขยันขันแข็งในการช่วยเหลือผู้โดยสารคนอื่น ๆ เท่าที่ช่วยได้ให้ไปลงเรือชูชีพ  ส่วนตัวเธอเองก็โดนลากไปลงเรือชูชีพด้วยในที่สุด  ข่าวเล่าว่าในเรือชูชีพเธอถือพายด้วยตัวเอง  เป็นการช่วยเจ้าหน้าที่อีกแรงหนึ่ง

ระหว่างนั้นเธอยังพยายามเกลี้ยกล่อมให้ จนท. ย้อนเรือกลับไปช่วยคนที่ลอยคออยู่ในน้ำ  แต่ได้รับการปฏิเสธเพราะ จนท. อ้างว่าถ้ากลับไปใกล้จุดเกิดเหตุแรงดูดของน้ำขณะที่เรือลำยักษ์กำลังจมจะดึงให้เรือชูชีพจมตามไปด้วย  อีกทั้งคนที่ลอยคออยู่อาจจะกรูกันเข้ามาขึ้นเรือทำให้เรือรับน้ำหนักไม่ไหว ก็จะทำให้ทุกคนพลอยต้องตายกันหมด  แล้วยังไม่นับเรื่องการอดอยากอีกเพราะไม่รู้ว่าอีกเมื่อไรความช่วยเหลือจึงจะมาถึง

สรุปแล้ว MB เป็นหนึ่งในจำนวนผู้รอดชีวิตจากโศกนาฏกรรมระดับโลกนี้

เมื่อได้รับการช่วยเหลือขึ้นมาบนเรือลำอื่นแล้ว เธอยังทำหน้าที่ให้การช่วยเหลือผู้รอดชีวิตอื่น ๆ อย่างขยันขันแข็ง  เพราะวีรกรรมนี้ทำให้สื่อต่าง ๆ พร้อมใจกันตั้งสมญานามว่า Unsinkable Molly Brown



สำหรับฉบับในหนังก็เป็นการนำเรื่องของเธอมาดัดแปลงเป็นหนังเพลงโดยให้ DR รับบท MB  DR ลื่นไหลไปกับบทมากแต่ผมดูไม่จบ  ดูเพียงเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็น 


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 47  เมื่อ 26 ก.ค. 22, 16:32


มีเกร็ดเล็กๆอีกเกร็ดที่จำได้คือเมื่อไปเที่ยวหอคอยแห่งลอนดอน  เขาพาไปดูห้องที่เคยใช้เป็นที่คุมขังลอร์ดกิลฟอร์ด ดัดลีย์ สามีหนุ่มน้อยของราชินีเจน  บนกำแพงมีรอยสลักชื่อ "เจน" ที่ทางการเอากระจกปิดทับไว้    ลอร์ดกิลฟอร์ดคงเป็นคนสลักเอาไว้เอง  จะใช้เครื่องมืออะไรก็ไม่อาจทราบได้ แต่ไม่ใช่มีด เพราะทางการคงไม่ยอมให้มีอาวุธติดตัว



ที่ หอคอยฯ ยังมีอีกคนที่เป็นคนรักของ Queen Elizabeth ที่ 1  ที่โดนคุมขัง  เธอสลักอะไรบางอย่างที่กำแพงด้วยเช่นกันครับ  ตอนนี้นึกไม่ออกเลยว่าใคร Robert Dudley รึเปล่า  ไม่มีเวลาค้น  
น่าจะเป็น Sir Walter Raleigh มั้งคะ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 48  เมื่อ 26 ก.ค. 22, 16:39

ต้องขอคุยเสียหน่อยว่า บ้านของมอลลี่ บราวน์ อยู่ที่เดนเวอร์ โคโลราโด   ปัจจุบันทำเป็นพิพิธภัณฑ์ เปิดให้เข้าชมได้   พอมีโอกาสไปก็เลยซื้อบัตรเข้าชมเสียหน่อย
ได้เห็นห้องหับต่างๆที่มอลลี่เคยอยู่ กับสามี ในฐานะเศรษฐีใหม่รวยขึ้นมาจากเหมืองแร่ 
จะเป็นเพราะทางรัฐตะวันตกของอเมริกาไม่ค่อยมีเศรษฐีเก่าอย่างทางรัฐตะวันออกหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ   บ้านของมอลลี่เลยไม่ค่อยโอฬารเท่ากับคฤหาสน์ทางนิวอิงแลนด์    แต่ก็ถือว่ามีหน้ามีตาพอสมควรละค่ะ เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 49  เมื่อ 27 ก.ค. 22, 09:28

ตั้งแต่โลกมีอินทรเนตร ตามมาด้วย yahoo  และ google  การไปเยี่ยมชมสถานที่คนละซีกโลกอย่างบ้านมอลลี่ บราวน์ ก็สะดวกสบายมาก    ไม่ต้องเสียค่าเครื่องบิน และค่าทัวร์

 https://mollybrown.org/photo-gallery/
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 50  เมื่อ 27 ก.ค. 22, 17:21


มีเกร็ดเล็กๆอีกเกร็ดที่จำได้คือเมื่อไปเที่ยวหอคอยแห่งลอนดอน  เขาพาไปดูห้องที่เคยใช้เป็นที่คุมขังลอร์ดกิลฟอร์ด ดัดลีย์ สามีหนุ่มน้อยของราชินีเจน  บนกำแพงมีรอยสลักชื่อ "เจน" ที่ทางการเอากระจกปิดทับไว้    ลอร์ดกิลฟอร์ดคงเป็นคนสลักเอาไว้เอง  จะใช้เครื่องมืออะไรก็ไม่อาจทราบได้ แต่ไม่ใช่มีด เพราะทางการคงไม่ยอมให้มีอาวุธติดตัว



ที่ หอคอยฯ ยังมีอีกคนที่เป็นคนรักของ Queen Elizabeth ที่ 1  ที่โดนคุมขัง  เธอสลักอะไรบางอย่างที่กำแพงด้วยเช่นกันครับ  ตอนนี้นึกไม่ออกเลยว่าใคร Robert Dudley รึเปล่า  ไม่มีเวลาค้น  
น่าจะเป็น Sir Walter Raleigh มั้งคะ


ลืมชื่อนี้ไปเลยครับ
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 51  เมื่อ 27 ก.ค. 22, 17:26

Spy (2015) เป็นหนังตลกชั้นดี  เล่าเรื่องสาวอ้วนบุคลิกชาวบ้านที่ทำงานอยู่ในองค์กร CIA  วันหนึ่งเธอก็เกิดจับผลัดจับผลูโดนเลือกให้เป็น spy ไปสืบเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ที่โดนขโมยไป

หนังอัดไปด้วยมุขตลกที่ไม่เสี่ยว  ดูแล้วแสนสนุก  ผมว่าฉากที่ตลกที่สุดคือฉากสายลับปัญญาอ่อนที่แสดงโดยดาราบทบู๊ Jason Statham  มันตลกตรงที่เอาดาราที่เราเห็นเล่นแต่บทเครียดบู๊ล้างผลาญมาเล่นบทงี่เง่า  เธอด่าเป็นไฟ





ฉากตลกอื่น ๆ










ชาวเรือนไทยน้อยคนที่จะรู้จักนักแสดงนำในหนังเรื่องนี้  เธอชื่อ Melissa McCarthy  มีพื้นเพมาจากการเล่นหนังทีวีมาก่อนซึ่งผมไม่เคยดูผลงานของเธอเลย  เธอถนัดบทตลกแต่บทชีวิตเธอก็สามารถเล่นจนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar

ฉากที่เธอโดนส่งไปรับอุปกรณ์สนับสนุนการเป็น spy



ฉากตลก ๆ อีกฉาก



ตัวอย่างหนัง



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 52  เมื่อ 28 ก.ค. 22, 15:26

ต่อ...

ก่อนหน้านี้ MM เคยได้เข้าชิง Oscar ในบทสมทบจากเรื่อง Bridesmaids (2011)  ซึ่งเป็นเรื่องของสาว Annie ที่ได้รับคำชวนไปร่วมเป็น 1 ในเพื่อนเจ้าสาว  จากนั้นเรื่องวุ่นวายก็ตามมาไม่หยุด

ตัวเอก Annie ในหนังเรื่องนี้ไม่ใช่ MM แต่เป็น Kristen Wiig  นักแสดงบทตลก  โดยดั้งเดิม เธอเป็นศิษย์เก่าของรายการทีวี variety show ชื่อดัง Saturday night live ที่ออกมาอากาศมาตั้งแต่ยุค 70s โน่น  เธอเป็นหนึ่งในสมาชิกของรายการในช่วงต้น 2000s  เมื่อชื่อติดลมบนแล้วก็ลาออกแล้วมาหาความก้าวหน้าทางการเล่นหนัง

ในเรื่องนี้มีฉากตลก  ๆ เพียบ  ผมว่าฉากต้นเรื่องนี่ตลกที่สุด



และฉากตามง้อผู้ชาย



ตัวอย่างหนัง



ในเรื่องนี้ MM เด่นกว่าใคร ๆ  เธอได้เข้าชิง Oscar อย่างที่บอก  ผมละถูกชะตากับเธอจริง ๆ  อยากได้เป็นเพื่อน  เวลาได้ข่าวว่าเธอไปออกตลกที่ไหนผมเป็นต้องขวนขวายไปหาดู  อย่างเช่น clip นี้เมื่อเธอไปเป็นแขกรับเชิญในรายการ talk show ของ Ellen Degeneres
 
ED ขอให้เธอเล่นอะไรบางอย่าง  ฟังรายละเอียดจากใน clip ก็แล้วกัน

(ตรง ‘Beep’ คือ Fucked up  เป็น slang ซึ่งไม่มีคำแปลตายตัว  สามารถแปลได้หลากหลายตามแต่เหตุการณ์ในขณะนั้น ๆ  (3.38) Emilio Estevez คือดาราวัยรุ่นยุคเก่า  เธอเป็นลูกดาราใหญ่ Martin Sheen  และเป็นพี่ของ Charlie Sheen


ส่วนนี่เป็น clip ในหนังเรื่อง This is 40  ในเรื่อง MM เล่นเป็นแม่ของเด็กที่ไปก่อเรื่องกับเด็กอีกคน  ผลคือผู้ปกครองของทั้ง 2 ฝ่ายโดนเรียกตัวเข้าห้องผู้อำนวยการฯ  MM มันกับบทจนหลุดออกจากวงถ่ายไปเลย  คนอื่น ๆ ร่วมฉากขำกันกลิ้ง รวมถึง ผกก. ซึ่งไม่บอก cut  แต่ปล่อยให้กล้องถ่ายต่อไปเรื่อย ๆ  ฉากนี้จึงไม่ได้รวมอยู่ในหนัง  มันกลายเป็นฉากหลุด (bloopers) ของหนัง


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 53  เมื่อ 28 ก.ค. 22, 17:53

ในยุค 1960s ต้นๆ เมื่อหนังทีวียังเป็นขาวดำอยู่  มีหนังครอบครัวที่ทั้งฝรั่งและไทยชอบดูกันมาก   ทางไทยเราฉายทางช่อง 4   ชื่อ "หนูน้อยบีเวอร์"  หรือ Leave it to Beaver
เป็นชีวิตครอบครัวคนอเมริกันชั้นกลาง ที่เป็นความฝันของคนยุคนั้น ประกอบด้วยพ่อที่ทำงานมีรายได้ดีพอจะมีบ้านสวยๆ เลี้ยงดูครอบครัวได้ไม่เดือดร้อน   แม่เป็นแม่บ้าน แต่งกายสวยงาม ดูแลบ้านช่องได้ดี และลูกชายน่ารัก 2 คน ชื่อวอลลี่กับบีเวอร์
หนูน้อยทั้งสองเป็นขวัญใจชาวบ้านมาจนโตเข้าสู่วัยรุ่น  หนังชุดก็ต้องจบไปหลังจากดำเนินมา 6 ปี  เพราะวอลลี่ พี่ชายกำลังจะจบไฮสกูลเข้ามหาวิทยาลัย บีเวอร์ก็โตจนไม่เป็นหนูน้อยอีก   แต่หนังชุดนี้ก็รีรันแล้วรีรันอีกหลายทศวรรษต่อมา
เวลาผ่านไปยี่สิบกว่าปี  วอลลี่กับบีเวอร์กลับมาสู่สายตาผู้ชมอีกครั้ง ในฐานะหนุ่มวัยทำงาน มีครอบครัวแล้ว  คนดูต้อนรับหนังชุดนี้อีก 5 ปี   

ผ่านมา 60 กว่าปี   บัดนี้วอลลี่ หรือชื่อจริงว่า Tony Dow ก็ล่วงลับจากฟ้าฮอลลีวู้ดไปแล้วในวัย 77 ปี 

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 54  เมื่อ 29 ก.ค. 22, 17:05

Chariots of fire (1981) ได้รับรางวัล Oscar 2 สาขา  คือหนังยอดเยี่ยม และ soundtracks ยอดเยี่ยม

นักดูหนัง/ฟังเพลงบ้านเราได้สัมผัสหนังเรื่องนี้ทางเพลงก่อน  เพราะหนังเข้าฉายหลังจากการประกาศผลแล้ว  แต่เพลงเข้ามาอาละวาดตั้งแต่หนังเริ่มออกฉายที่บ้านเขา

หนังสร้างจากเรื่องจริงของนักกรีฑาชาวอังกฤษ 2 คน  ที่มีพื้นฐานต่างกันโดยสิ้นเชิง  คนหนึ่งมาจากครอบครัวชาวยิว  อีกคนมาจากครอบครัว missionary ที่กำลังปฏิบัติภาระกิจอยู่ในเมืองจีน
ทั้ง 2 ฝึกฝนการวิ่งจนได้รับเลือกเข้าเป็นตัวแทนไปร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 24 ที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส

อย่างที่บอก ผมรู้จักหนังเรื่องนี้จากเพลงก่อน  เพลงชื่อเดียวกันที่บรรเลงโดย Vangelis นักประพันธ์เพลงชาวกรีก  มันเป็นเพลงแนว progressive ที่เพราะมาก  ทั้ง single และ album ดังทั้งที่บ้านเขาและบ้านเรา  ปกแผ่นเสียงสวยและเพลงก็เพราะทุกเพลง  ฟังได้โดยไม่ต้องอาศัยเรื่องราวของหนังมาเหนี่ยวนำ




แต่ฟังไปฟังมาก็เกิดความอยากรู้ว่าเพลงแต่ละเพลงมีความสัมพันธ์กับฉากไหนของหนัง  แต่ไม่อยากรู้มากเพราะมันเป็นหนังเกี่ยวกับกีฬา  ไม่ใช่แนวของผม  อย่างไรก็ตาม  พอหนังมาเข้าฉาย  ผมก็ร่อนไปซื้อตั๋วดูแบบลืมตัว  ผลจากการเข้าดูคือ  หนังสนุกอย่างไม่น่าเชื่อ

พอกลับมาบ้านมาฟังเพลงใหม่  คราวนี้เพราะกว่าเดิมเพราะมีบรรยากาศในหนังมาสนับสนุน

เพลงเอกที่ตัดเป็น single ที่นักฟังเพลงทุกคนรู้จักดี



เพลงนี้อุทิศให้กับ Eric Riddell ลูกชาย missionary  เริ่มแรกเธอไม่ได้เข้าแข่งขันในรายการนี้  รายการที่เธอลงชื่อเข้าแข่งขัน (100 เมตร) เกิดไปลงล็อคในวันอาทิตย์  ความเคร่งในศาสนาทำให้เธอสละสิทธิ because his Christian convictions prevent him from running on the Lord's Day.  แต่ความที่มีเพื่อนดีซึ่งยกการแข่งขันวิ่งอีกประเภท (400 เมตร) ให้เพราะตัวเองได้เหรียญจากกรีฑาประเภทอื่นไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม  อุปสรรคคือเส้นทางการวิ่งมีระยะยาวกว่าเส้นทางที่เธอถนัด



เพลงนี้อุทิศให้กับ Harold Abrahams ลูกชาวยิว  ให้บรรยากาศที่เครียดมากเพราะเธอเข้าแข่ง 2 รายการ  และรายการแรกก็แพ้ไปแล้ว



อีก 1 เพลงที่เพราะมาก เป็นตอนจบของหนัง


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 55  เมื่อ 30 ก.ค. 22, 14:12

ต่อจากคห. 53

หมายเหตุ  ดาราในหนังชุดหนูน้อยบีเวอร์ ล่วงลับไปเกือบหมดแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ อดีตดาราเด็กตัวสมทบในเรื่อง
ล่าสุดคือโทนี่ ดาวผู้รับบทวอลลี่
ตอนนี้ก็เหลือหนูน้อยบีเวอร์วัย 71  อยู่เเดียวดาย


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 56  เมื่อ 30 ก.ค. 22, 17:26

Jersey Boys (2014) สร้างโดย Clint Eastwood ดาราใหญ่ที่ผันมาเป็นผู้กำกับและผลิตผลงานที่มีคุณภาพออกมาอย่างต่อเนื่อง  จนกระทั่งมาเซกับเรื่องนี้
 
หนังดัดแปลงมาจากละครเวทีประเภท Jukebox musical (ละครเพลงที่ใช้เพลงดัง ๆ ในอันดับเพลงมาใช้  ไม่ใช่เพลงที่ผลิตขึ้นเพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะ) ชื่อเดียวกัน  ที่ได้รางวัล Tony (ประมาณ Oscar ของวงการละคร) มาแล้ว  เล่ากำเนิดของวง pop ชื่อดังของโลก The Four Seasons ที่มี Frankie Valli เป็นนักร้องนำ



เพลงคุ้นหูทั้งนั้นเลยละ



0.08 คือ Bob Crewe เป็น Producer มือฉมังในวงการเพลงและอำนวยการผลิตเพลงดัง ๆ ให้กับวงนี้มาโดยตลอด  ยามว่างเธอตั้งวงดนตรีบรรเลง  มีเพลงดังในบ้านเราคือเพลงนี้










ตัวละครหลักส่วนใหญ่ใช้นักแสดงที่ช่ำชองจากบทที่เล่นบนเวทีละครมาร่วมเล่น

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 57  เมื่อ 30 ก.ค. 22, 19:33

Jersey Boys (2014) สร้างโดย Clint Eastwood ดาราใหญ่ที่ผันมาเป็นผู้กำกับและผลิตผลงานที่มีคุณภาพออกมาอย่างต่อเนื่อง  จนกระทั่งมาเซกับเรื่องนี้

เรื่องนี้ไม่ประสบผลสำเร็จหรือคะ
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 58  เมื่อ 31 ก.ค. 22, 13:48

Jersey Boys (2014) สร้างโดย Clint Eastwood ดาราใหญ่ที่ผันมาเป็นผู้กำกับและผลิตผลงานที่มีคุณภาพออกมาอย่างต่อเนื่อง  จนกระทั่งมาเซกับเรื่องนี้

เรื่องนี้ไม่ประสบผลสำเร็จหรือคะ

เมื่อเทียบกับผลงานของ CE ในอดีตแล้ว  ใช่ครับ 

Rotten Tomatoes ให้ rate แค่ 5.9 จาก 10  พร้อมเหตุผลว่า "Jersey Boys is neither as inventive nor as energetic as it could be, but there's no denying the powerful pleasures of its musical moments."

In a 2021 interview with The Washington Post, Frankie Valli revealed his thoughts on the movie, saying that "I don’t think it was cast properly and I don’t think it was done properly. The whole entity was not put together properly. I think Clint Eastwood is a great director and actor. I don’t think this was right for him."
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 59  เมื่อ 31 ก.ค. 22, 14:12

ทุกเดือนทางบริษัท I/UBC จะส่งตารางรายการมาให้ ซึ่งผมจะเปิดดูรายการจากช่อง TCM ก่อนเสมอ เวลาดูต้องดูประกอบกับคู่มือ คือปูมรายละเอียดโดยย่อของหนังโดยนักวิจารณ์ชื่อดังของอเมริกา Leonard Maltin  ว่ามีเรื่องอะไรน่าสนใจชมบ้าง  หนังสือมีขนาดหนามาก  ประมาณ 3 นิ้วกว่า  ผมใช้งานซะหลุดลุ่ย (ในขณะที่หนังสือเรียนใหม่เอี่ยมเหมือนไม่เคยถูกเปิดอ่าน)




อย่างที่บอกว่าปกติผมไม่ชอบดูหนังเก่าโบราณโบรั่ม  แต่ผมอ่านเรื่องหนังเก่า ๆ พวกนี้มาเยอะ  บางเรื่องก็มีจุดเด่นอยู่ที่ข่าวเบื้องหลังโน่นนี่  บางเรื่องก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงหรือได้รางวัล Oscar เป็นกระบุง  บางเรื่องก็เน้นที่ข่าวของดาราคนนั้นคนนี้  ฯลฯ  อ่านแล้วก็นึกอย่างดูหนังที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่เคยได้อ่านและสนใจมา  ผมว่าผมคงเป็นคนไทยในจำนวนน้อยคนที่ชอบดูช่อง TCM มากขนาดนี้

คราวนี้ผมเจอหนังชื่อ Hollywood Canteen (1944)

พอถามปูมฯ ก็ได้คำตอบว่า เป็นหนังเบาสมองประเภทรวมดาราพร้อมให้ชื่อดาราที่ร่วมเล่นมาเป็นกระบุง  อ่านแล้วอยากดูทันที  เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกเป็นเข่ง

ปูมฯ เล่าต่อว่าหนังสร้างเลียนแบบเหตุการณ์จริงที่เรียกว่างาน ‘โรงอาหารฮอลลีวู้ด’ ที่จัดตั้งโดยดาราใหญ่ 2 คนคือ Bette Davis กับ John Garfield ในปี 1942 ที่ LA




จุดประสงค์ของงานคือเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับเหล่าทหารหาญที่กำลังจะไปออกรบในสงครามโลกครั้งที่สอง  ความบันเทิงอันได้แก่การได้สัมผัสดาราฮอลลีวู้ดดัง ๆ (ในยุคนั้น) ทั้งหลาย  ดาราพวกนี้จะมาให้บริการพูดคุย  ตักอาหารให้ ร่วมเล่นเกม เป็นคู่เต้นรำ ฯลฯ  ทุกอย่างฟรีตลอดรายการ

ส่วนหนึ่งในบรรยากาศของจริง จะเห็น Dinah Shore, Lana Turner, Marlene Dietrich ฯลฯ



ในหนังก็มาทำนองนี้แต่สร้าง plot เสียหน่อย  โดยให้มีตัวละครทหารเกณฑ์หนุ่มรู้ข่าวงาน Hollywood Canteen ก็เลยมาร่วมงานเพื่อตั้งใจจะมาสัมผัสและเต้นรำกับ Joan Leslie (เพิ่งเคยได้ยินชื่อ) ดาราในดวงใจของเขา




ในงานระหว่างตามหาดาราหญิงในดวงใจ  ทหารหนุ่มก็เจอะเจอดาราดังต่าง ๆ ที่มาให้ความบันเทิง  ที่ คลังของ Warner Bros. ตัด clip มาให้ชมเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น  แล้วผมก็คัดเลือกมาจำนวนหนึ่งให้ชมบรรยากาศของหนัง
 
คนแรกคือ Barbara Stanwyck นี่เป็นหนึ่งของดาราระดับมหากาฬของฮอลลีวู้ด นักดูหนังคลาสสิคอเมริกันไม่มีใครไม่รู้จัก  แต่ที่บ้านเรานั้นยังสงสัยอยู่  ฝีมือเธอเข้าขั้นชิง Oscar ถึง 5 ครั้ง  ตอนเด็ก ๆ ภาษาอังกฤษยังไม่กระดิกหูผมอ่านชื่อเธอว่า บาร์บาร่า แซนวิช



ในความทรงจำของผมเคยมีเรื่องที่มี BS มาเกี่ยวข้อง...

เคยเล่าไปแล้วว่าผมมีหนังสือประวัติดาราฮอลลีวู้ด  ซื้อมากว่า 30 ปีแล้ว  หนังสือเล่มนี้ลงประวัติพร้อมเกร็ดย่อย ๆ ของดาราตั้งแต่ยุคบุกเบิกคือ 1930s เป็นต้นมา  ตั้งแต่ยุคหนังเงียบ  หนังสือเล่มนี้ต่อยอดความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเหล่าดารา (ยุคโบราณ) ที่ผมเคยได้ยินแค่ชื่อแต่ไม่เคยรู้จัก




ตอนที่หนังสือออกขายเหล่าดาราฮอลลีวู้ดยุคทอง (หรือยุค Studio System) ยังค้างฟ้ากันอยู่  ข้อมูลที่บันทึกไว้จึงมีเฉพาะวันเกิด  หลังจากได้ครอบครองหนังสือ  เวลาได้ข่าวดาราในยุคนั้นคนไหนตาย  ผมก็จะนำวันตายมาเขียนกำกับไว้ในหน้าของดาราคนที่ตายในหนังสือเล่มนี้  ข่าวที่ได้รู้ก็มาจากหน้าหนังสือพิมพ์แต่ไม่ใช่หนังสือพิมพ์ภาษาไทยอย่างแน่นอนเพราะหนังสือพิมพ์ภาษาไทยไม่ลงลึกขนาดนี้  นอกจากดังสุด ๆ เช่น Steve McQueen หรือ Elizabeth Taylor เป็นต้น

BS ตายเมื่อ 20 Jan, 1990 หรือ 2533 (หวังว่าคงคำนวณถูก)  ผมได้ข่าวหลังจากนั้นอีก 1 วัน  จากหนังสือพิมพ์ Bangkok Post  ที่ทำงานรับเป็นประจำ  โดยส่วนตัวผมไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์ฝรั่งหรอก  ไม่เคยสนใจอ่านข่าวพวกนี้ด้วยซ้ำ  ไปอ่านทำไม  ภาษาไทยก็มีให้อ่าน  ต้องไปเปิด ‘ดิก’ ให้เสียเวลา  เป็นการกระแดะที่ไม่เข้าเรื่อง  แต่ผมชอบภาคบันเทิงอันมีทั้งการ์ตูนต่าง ๆ หนัง เพลง หมอดู ฯลฯ ว่าไปโน่น  แต่ที่ชอบที่สุดคือ กระดานเล่น crossword
 
พอรู้ข่าวการตายของ BS ผมก็ฉีกเศษกระดาษแล้วบันทึกวันตายของเธอเพื่อเอากลับไปลงในหนังสือที่ว่าที่บ้าน  วันนั้นที่ทำงานมีงานทำบุญอะไรบางอย่าง  เพื่อนก็ชักชวนกัน  มีการเขียนชื่อญาติพี่น้องคนตายของเราเพื่อส่งไปเข้ารับการส่งบุญกุศลด้วย  ผมก็เขียนชื่อคุณยายของผมใส่ในเศษกระดาษ

พอไปถึงที่  เราก็ทำบุญแล้วใส่กระดาษชื่อคนตายที่บันทึกไว้ลงในอ่างใบใหญ่  จากนั้นก็เข้าสู่เหตุการณ์ปกติของแต่ละคน  บางคนกลับไปทำงาน  ผมกลับไป (แอบ) เล่น crossword

เย็นนั้นพอกลับถึงบ้าน  ผมก็นำหนังสือที่ว่ามาเปิดหน้าของ BS แล้วควักเศษกระดาษจากในกระเป๋าเสื้อออกมาเพื่อจะบันทึกวันตายของเธอ  พอตาดูที่เศษกระดาษก็ตกใจ  มันเป็นชื่อของคุณยายของผม  แสดงว่าตอนใส่เศษกระดาษชื่อคนตายเพื่อการอุทิศส่วนกุศลที่ที่ทำงานเมื่อเช้านั้น  ผมล้วงผิดไปหยิบเอาเศษกระดาษชื่อ Barbara Stanwyck (พร้อมวันตาย) ใส่ลงไปในอ่างแทนชื่อคุณยาย
 
วันรุ่งขึ้นผมเล่าเรื่องนี้ให้เพื่อนฟัง  พวกมันหัวเราะกันกลิ้ง  

มีต่อ...
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 26
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.092 วินาที กับ 19 คำสั่ง