atomicno1
อสุรผัด
ตอบ: 0
|
ความคิดเห็นที่ 30 เมื่อ 26 ต.ค. 23, 16:52
|
|
ยังมีอีกโครงสร้างหนึ่งที่อาจจะลืมนึกถึงไป คือเรื่องของ'กงสุล'
งานการกงสุลมีภาระกิจพื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องของความเป็นอยู่และทุกข์สุขของผู้คนของตนที่ดำเนินชีวิตอยู่ในประเทศนั้นๆ รวมทั้งในกิจกรรมเชิงเศรษฐกิจต่างๆ
งานของสำนักงานกงสุลทำให้เจ้าหน้าที่มีโอกาสได้พบปะกับผู้คนได้มากที่สุด เพราะจะมีผู้คนมาพบ มาหารือ มาบ่น มาระบาย.. สารพัดเรื่องจริงๆ ไม่ต่างไปมากนักจากที่ว่าการอำเภอ สถานีตำรวจภูธร หรือศูนย์ช่วยเหลือใดๆที่เกี่ยวกับวงจรชีวิตตั้งแต่เกิด แก่ เจ็บ ตาย
พอพูดถึงประเด็นนี้แล้วอยากรู้ต่อเลยค่ะ และถ้าเป็นกงสุล ตำแหน่งของกงสุลคือแยกออกมาจากตำแหน่งทูตเลยมั้ยคะ หรือว่าเป็นนักการทูตตำแหน่งกงสุล ยอมรับว่าค่อนข้างสับสนกับตรงนี้นิดนึงค่ะ ที่หนูเคยทราบคือ กงสุลก็จะคล้ายๆ สถานทูตแต่ตั้งอยู่ในเมืองใหญ่ที่ไม่ใช่เมืองหลวง และมีท่านกงสุลประจำการอยู่ ประมาณนี้ใช่มั้ยคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33590
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 31 เมื่อ 26 ต.ค. 23, 17:21
|
|
เพื่อช่วยบรรเทาแรงให้คุณตั้งและท่านอื่นๆที่สละแรงและเวลามาให้ความรู้ อยากขอให้คุณ atomicno1 ช่วยใช้กูเกิ้ลค้นศัพท์ต่างๆที่อ่านเจอในกระทู้นี้มาก่อนจะตั้งคำถาม อย่างเช่นหาความหมายของคำว่า กงสุล ซึ่งหาไม่ยากเลยในกูเกิ้ล ไม่เข้าใจตรงไหนค่อยถามคุณตั้ง ก็จะเบาแรงของท่านลงได้มาก เป็นนักเขียนต้องค้นคว้าหาข้อมูลหลายทาง ให้คล่องตัว จะประหยัดเวลาในการเขียนหนังสือได้มากค่ะ อย่ารอคำตอบอย่างเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 32 เมื่อ 26 ต.ค. 23, 18:41
|
|
งานกงสุลเป็นในลักษณะที่เล่าความไป ส่วนมากจะมีที่ทำการเป็นกิจจะลักษณะอยุ่ในพื้นที่ของสถานทูต ซึ่งดูจะใช้คำเรียกว่า Consulate แต่ก็มีแบบที่สถานที่ทำการแยกอยู่กันคนละที่กับตัวสถานทูต ซึ่งอันนี้ไม่รู้ว่าจะเรียก Consulate หรือ Consulate General
ในกรณีที่มีบางพื้นที่เป็นแหล่งของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การเดินทางไปมาระหว่างผู้คนของทั้งสองประเทศมาก หรือมีเหตุอื่นใดที่สมควรก็(อาจ)จะมีการตั้งสำนักงานแยกออกไปอย่างเป็นเรื่องเป็นราวในพื้นที่นั้นๆ มีการจัดให้มีเจ้าหน้าที่มากพอที่จะให้บริการ ก็จะเรียกว่า สถานกงสุล (Consulate) หรือสถานกงสุลใหญ่ (Consulate General) บรรดาเจ้าหน้าที่ส่งไปประจำการก็ถือเป็นลักษณะของเจ้าหน้าที่ทางการทูต หากแต่จะได้รับเอกสิทธิทางการทูตไม่เท่าเทียมกับผู้ที่ทำงานในกิจการทางการทูต(สถานทูต) สถานกงสุลใหญ่ก็จะมีตัวบุคคลที่เป็นกงสุลใหญ่ (Consul General) มีรองกงสุล (Vice Consul) และ Consul
สำหรับกงสุลกิตติมศักดิ์นั้น โดยลักษณะง่ายๆก็คือ งานฝากให้ทำ ไม่มีเอกสิทธิทางการทูตใดๆ มีแต่ความพอใจในเรื่องของเกียรติบศชื่อเสียงของตน ได้รับสิทธิพิเศษบ้าง และการได้รับการอำนวยความสะดวกที่มากกว่าปกติ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 33 เมื่อ 26 ต.ค. 23, 20:09
|
|
ก็มีเรื่องน่าจะหาอ่านเป็นความรู้ประกอบเพิ่มเติม ที่อาจจะเป็นประโยชน์ในการนำไปต้นเหตุของเรื่องราวในเรื่องราวที่จะเขียนต่างๆ ลองหาอ่านหนังสือที่เขียนเรื่อง phobia หรือหนังสือในมุมที่เรียกว่า cultural shock หรือ do and don't ที่เกี่ยวกับประทศต่างๆ (ลองค้นดูโดยใช้ชื่อประเทศนำคำว่า phobia หรือ cultural shock หรือ do and don't) ได้ทั้งความรู้และความเพลิดเพลิน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ประกอบ
|
ความคิดเห็นที่ 34 เมื่อ 28 ต.ค. 23, 22:11
|
|
โดนท่านอาจารย์ดุเอานิดนึง คุณ atomicno1 หายไปเลย ผมก็กำลังตามอ่านเรื่องการทูตได้ความรู้มากมายจากท่าน naitang อยู่ มีข้อสงสัยเหมือนกันเลยอดเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 35 เมื่อ 30 ต.ค. 23, 18:44
|
|
คุณประกอบได้กระตุ้นให้ผมได้เห็นว่ามีผู้ตามอ่านกระทู้นี้มากอยู่พอสมควร คิดว่าเรื่องราวทางปฎิบัติในวงการทูตคงจะเป็นเรื่องที่ให้ความสนใจกัน ก็เลยจะขอเล่าขยายความไปตามที่เหมาะสมตามประสบการณ์ที่ได้ประสบมา
ก็จะขอบอกเล่าเสียแต่แรกว่าตนเองไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ทางการทูต (Diplomat) ที่ทำงานโดยตรงด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เป็นแต่เพียงผู้ที่ได้รับสถานะเป็นบุคคลทางการทูตเพื่อประโยชน์ในการทำงานตามภารกิจเฉพาะทาง (เรียก Diplomat เช่นกัน)
Diplomat ได้รับเอกสิทธิ์และความคุ้มครอง(Privilege & Immunity)จากรัฐผู้รับ ง่ายๆก็คือ เอกสิทธิ์นั้น เป็นเรื่องทางแพ่ง โดยเฉพาะในเรื่องของภาษีต่างๆ คือไม่ต้องเสีย ส่วนในด้านความคุ้มครองนั้น เป็นเรื่องทางอาญาและอสังหาริมทรัพย์ คือไม่ถูกจับ ไม่ถูกบุกรุก ยึด
เอกสิทธิ์และความคุ้มครองนี้ เป็นการให้กับบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ภายในเขตอาณาของรัฐผู้รับ และเป็นการพิจารณาให้โดยรัฐผู้รับว่าจะให้กับผู้ใดตามที่รัฐผู้ส่งขอไป การถือหนังสือเดินทางเล่มสีแดง (Diplomatic Passport) เดินทางไปใหนมาใหนในประเทศใดๆ จึงมิได้หมายความว่าผู้นั้นจะมีเอกสิทธิ์และความคุ้มครองใดๆ เพียงอาจจะได้รับความสะดวก ความเกรงใจ และความอะลุ่มอล่วยมากกว่าคนทั่วๆมากกว่าปกติไปบ้างเท่านั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 36 เมื่อ 31 ต.ค. 23, 18:12
|
|
เป็นเรื่องปกติที่ผู้ที่ทำงานในสายงานหนึ่งใดย่อมจะต้องมีการทำงานในเรื่องเดียวกัน ทำงานร่วมกัน ติดต่อประสานงานกัน ประสานสัมพันธ์กัน ... ในภาษาไทยดูจะใช้คำว่า "วงการ" ในภาษาอังกฤษดูจะใช้คำว่า Circle ซึ่งในแต่ละวงการนั้นมันมีได้ทุกขนาด สลับซับซ้อนกันอยู่ สุดแท้แต่จะตั้งชื่อให้หรือจะใช้คำเรียกเช่นใด
ในงานทางด้านการทูตก็มีวงที่เรียกว่า Diplomat Circle ซึ่งการดำเนินการระหว่างกันดูจะเน้นในบริบทของการประสาน/สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้ที่มาปฏิบัติงานด้านการทูตอยู่ในประเทศเดียวกัน โดยเฉพาะในระดับ ออท.ลงไปถึงระดับหัวหน้าสายงานของสถานทูต(ที่เขาเห็นควร) งานที่แต่ละสถานทูตนิยมจัดขึ้นและออกบัตรเชิญ จนท.ทางการทูตของประเทศต่างๆนั้น(ที่เขาเห็นควร) หลักๆก็จะเป็นงานวันชาติ งานสำคัญเฉลิมฉลองเรื่องหนึ่งใด และงานเกี่ยวกับความสัมพันธ์เฉพาะกลุ่มประเทศ ... ซึ่งงานที่จัดในวงการทูตแบบพหุภาคีกับในวงแบบทวิภาคีก็มีความต่างกันอยู่ไม่น้อย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 37 เมื่อ 31 ต.ค. 23, 19:17
|
|
หลังบ้านของ จนท.ที่ทำงานในระบบ UN ก็มีวงการเหมือนกัน เรียกว่า UN Women's Guild หากแต่ต้องเป็นสมาชิก วงนี้มีทั้งหลังบ้านของบรรดา จนท.ทางการทูตต่างๆและ จนท.ขององค์กรในสังกัดของ UN เช่น UN Women's Guild - Vienna, (- Geneva...) กิจกรรมพื้นฐานคือการลงแรงช่วยกันหาทุนเพื่อนำไปช่วยพัฒนาสังคม/ชุมชนยากไร้ในประเทศต่างๆ ดูเผินๆก็คล้ายเป็นวงการแก้เหงาของบรรดาหลังบ้าน แต่หากเชื่อในอิทธิพลของหลังบ้านว่ามีพลังมากน้อยเพียงใดกับหน้าบ้าน ก็น่าจะพอรู้ได้ถึงพลังที่เป็นประโยชน์ในหลากหลายรูปแบบ
สำหรับผู้แทนที่ทำงานในระบบพหุภาคี หากตั้งใจทำงานในลักษณะเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่สำคัญใดๆ ก็จะเห็นว่าวงที่เรียกว่า ฝ่าย "Secretariat" (ฝ่ายเลขานุการ) จะเป็นวงที่มีความสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นวาระงานแบบทวิภาคี พหุภาคี หรือการประชุมระหว่างรัฐใดๆ ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 38 เมื่อ 01 พ.ย. 23, 19:09
|
|
เมื่อมีกลุ่มคนที่ทำงานอยู่ในวงวิชาชีพหรือวงอื่นใดเดียวกัน ก็ย่อมจะต้องมีลักษณะของกระบวนวิธีการปฏิสัมพันธ์ที่เป็นที่ยอมรับในหมู่เดียวกัน ทั้งมวลก็ตั้งอยู่บนฐานของความสุภาพ ซึ่งก็มีในด้านของการปฏิบัติตัว เช่น การแต่งกาย อากัปกริยา มารยาท การพูดจา การกิน ... (ก็คือเรื่องของ Etiquette) และในด้านของการกระทำที่เหมาะสมระหว่างกัน เช่น เรื่องของการให้เกียรติ การติดต่อประสานกัน ขั้นตอนอันพึงทำในเรื่องใดๆ... (ก็คือเรื่องของ Protocol)
แน่นอนว่า กฎ กติกา มารยาทของแต่ละวงการเหล่านี้ก็ย่อมมีความแตกต่างกันไปในลักษณะสังคมและวัฒนธรรมที่ต่างกัน แต่มันก็มีกรอบใหญ่ๆของมารยาทและการปฏิบัติที่พึงกระทำที่เป็นพื้นฐาน ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ยอมรับกันของผู้คนทั้งโลก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 39 เมื่อ 01 พ.ย. 23, 19:34
|
|
เกิดสงสัยขึ้นมากับการใช้คำว่า วง กับ วงศ์ กับการใช้กับเรื่องของงาน และกับเรื่องของคน ครับ
วงการ วงวิชาการ วงวิชาชีพ วงงาน วงเจ้าหน้าที่ วงทูต วงเลขานุการ วงข้าราชการ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 40 เมื่อ 02 พ.ย. 23, 19:07
|
|
กฎ กติกา มารยาทในแต่ละสังคม/วงการก็มีการเน้นและให้ความสำคัญในแต่ละเรื่อง ในแต่ละเวลา และในแต่ละสถานะการณ์ในระดับที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งในสังคมวงกว้างทั่วๆไป การกระทำใดๆที่ต่างกันนั้นก็พอเป็นที่ยอมรับกันได้ในหมู่ผู้ที่เกี่ยวข้อง แต่ในสังคมที่เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น มันมีเรื่องของศักดิ์ศรี อำนาจ และกิ๋น ทั้งของประเทศและของคนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มันก็เลยมีข้อกำหนด กฏ กติกาต่างๆที่มากกว่าปกติ แถมมีความหยุมหยิมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่มีมาช้านานแล้ว และก็มีทั้งแบบรุ่นเก่าและแบบรุ่นใหม่อีกด้วย ทั้งมวลก็เกิดมาจากการยอมรับกระบวนพิธี/วิธีของของแกบ้าง-ของฉันบ้าง สะสมกันมา เอามารวมกันจนเป็นลักษณะกลางๆที่ยอมรับกันเป็นสากล แบบแผนกลางๆเหล่านี้ใช้กันในทุกประเทศ พร้อมๆไปกับมีการปรับหรือแต่งเติมให้เหมาะสมกลมกลืนไปกับประเพณี สังคม วัฒนธรรม และสถานการณ์ของประเทศตน
ดูเผินๆแล้วก็คล้ายกับเป็นเรื่องที่ไม่มีความสำคัญอะไรมากนัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว การปฏิบัติที่พึงมีความสอดคล้องหรือที่มีการออกนอกลู่ในเรื่องใด อาจจะส่งให้เกิดผลในองค์รวมตามมาในทางบวกหรือในทางลบต่างๆมากมาย เพราะมันเป็นการแสดงออกของตัวเราให้อีกฝ่ายหนึ่งเขาได้รู้จักและประเมินเราในเกือบจะทุกมิติ ปรัชญาตามตำราพิชัยสงครามซุ่นวู "รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง" ยังคงเป็นเรื่องที่ทุกผู้คนใช้อยู่ทั้งในลักษณะที่ตั้งใจหรืออยู่ในจิตสำนึก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 41 เมื่อ 03 พ.ย. 23, 19:18
|
|
เขียนมาตั้งนาน กดผิด เลยหายไปเลย ว่ากันใหม่พรุ่งนี้ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 42 เมื่อ 04 พ.ย. 23, 18:15
|
|
ขอยกตัวอย่างการกระทำบางอย่างที่พอจะสังเกตและพอจะบอกอะไรๆได้
ฝรั่งกินอาหารด้วยส้อมในมือซ้ายและมีดในมือขวา แบบยุโรปจะถือมีดและส้อมตลอดเวลา ใช้มือซ้ายและการคว่ำส้อมเพื่อเทินอาหารเข้าปาก ส่วนแบบอเมริกันเมื่อหั่นอาหารแล้วจะวางมีดและส้อม สลับส้อมไปใช้มือขวาในการตักอาหารเข้าปาก
การใช้ช้อนและส้อมซึ่งเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วๆไป หากแต่ มีแต่คนไทยหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ใช้ส้อมช่วยในการกอบอาหารไปไว้บนช้อนให้เรียบร้อยก่อนตักเข้าปาก ก็เป็น etiquette บนโต๊ะอาหารอย่างหนึ่งที่นานาชาติเขายอมรับกัน
ตะเกียบเป็นของที่ใช้กันทั่วไป ก็มีเรื่องของมันเช่นกัน แบบจีน จะวางตะเกียบจะอยู่ทางขวามือ หันด้านปลายออกไปจากตัวเรา แบบญี่ปุ่นจะเป็นการวางด้านบนของชุดถ้วยชามที่จะใช้กินอาหาร หันปลายตะเกียบไปทางด้านซ้ายมือ แบบเกาหลี ใช้ตะเกียบโลหะ วางแบบจีนพร้อมไปกับช้อนที่มีด้ามยาวกว่าปกติ(ช้อนซุป ใช้กินกิมจิน้ำ_Mul Kimchi)
เนกไทของผู้ชายที่เป็นแบบลายแถบ/เส้นทะแยง แบบของยุโรป(โดยเฉพาะ อังกฤษ)จะทะแยงลงจากซ้ายไปทางขวา แบบอเมริกันจะทะแยงลงจากขวาลงไปทางซ้าย เนกไทแบบนี้มีที่มาที่ไปของมัน เรียกกันว่า Regiment tie หรือ Rapp tie เป็นเนกไทที่ไม่ใช้ผูกไปในงานสำคัญๆ สำหรับงานพิธีสำคัญต่างๆจะใช้เนกไทสีพื้นที่สุภาพ
ก็ไม่ต้องไปซีเรียสกับมันมากมายในสิ่งที่พึงทำหรือไม่พึงทำ เพียงควรจะรู้ไว้และรู้ให้ลึกมากพอที่จะใช้ให้เกิดประโยชน์กับตนและภาระงานต่างๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ประกอบ
|
ความคิดเห็นที่ 43 เมื่อ 04 พ.ย. 23, 20:20
|
|
ยังติดตามอยู่นะครับ ในงานเลี้ยงแบบฝรั่งนี้มีโอกาสที่จะใรการใช้ตะเกียบบ้างไหมครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 44 เมื่อ 04 พ.ย. 23, 20:44
|
|
ที่เล่ามา น่าจะพอทำให้คุณ atomicno1 จินตนาการเรื่องราวต่างๆออกไปในอีกได้อีกมุมหนึ่งได้พอสมควร น่าจะลองหาอ่านเพิ่มเติมเรื่องราวของฉากทัศน์ของการเมืองและเรื่องราวระหว่างประเทศช่วงปี พ.ศ.2500 ว่าจะมีอะไรๆบ้าง ซึ่งทั้งมวลก็ดูจะอยู่ในบริบทของเรื่องเดียว คือเรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ภายใต้อุดมการณ์ระหว่าง Capitalism, Communism และ Socialism ซึ่งก็มีเหตุการณ์ต่างๆในแถบบ้านเรามากมาย เช่น การปฏิวัติในประเทศไทย การยุติการสู้รบของฝรั่งเศสในเวียดนาม ความขัดแย้งใน สปป.ลาว มาเลเซียได้รับเอกราช สงครามเกาหลี การตั้งองค์กร SEATO ที่กรุงเทพฯ และที่อาจจะไม่เกี่ยวข้องก็คือ การกำเนิดพุทธมณฑล ...ฯลฯ ดูคล้ายกับเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่เมื่อเอามาเชื่อมต่อกันในเชิง chronology พ่วงเข้าไปด้วยเกล็ดเล็กๆน้อยจากประวัติศาสตร์ในวงกว้าง บางทีก็ทำให้ได้ฉุกคิดในบางเรื่องขึ้นมา จะถูกหรือผิดในบริบทของ conspiracy theory ก็ยังได้สนุกใจที่ได้ฝันไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|